|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลื้อ,ชาติพันธุ์วรรณา,อัตลักษณ์ชาติพันธุ์,วัฒนธรรม,ปฏิสัมพันธ์,เชียงคำ,เชียงราย |
Author |
Michael Moerman |
Title |
Ariadne's Thread and Indra's Net: Reflections on Ethnography, Ethnicity, Identity, Culture, and Interaction |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
12 |
Year |
2536 |
Source |
Research on Language and Social Interaction, 26(1), 85-98, Lawrence Erlbaum Association, Inc. |
Abstract |
ผู้เขียนบทความนี้ทบทวนแนวความคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์วรรณา การธำรงชาติพันธุ์ อัตลักษณ์ วัฒนธรรมและการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งแต่ละส่วนต่างก็เป็นผลิตผลของกระบวนการที่ทาบเกี่ยวกัน(the ongoing product of intersecting processes) กระบวนการนี้เกิดขึ้นภายในเงื่อนไขสถานการณ์ที่เกิดเหตุการณ์ และเป็นเป้าหมายหรือความสำเร็จทางสังคม(social accomplishment) (น.96-97) |
|
Focus |
นำเสนอความคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์วรรณา การธำรงชาติพันธุ์ อัตลักษณ์ วัฒนธรรมและการปฏิสัมพันธ์ |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนเห็นว่าการศึกษาวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรม (intercultural research) มักจะเผชิญปัญหาการใช้มโนทัศน์ อัตลักษณ์และการธำรงชาติพันธุ์ ทั้งในแง่ที่เป็นแนวคิดและเป็นปรากฏการณ์ การทำงานที่นำเสนออัตลักษณ์และการธำรงชาติพันธุ์ต่างก็เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมที่สืบทอดยาวนานกับการปฏิสัมพันธ์ที่เป็นเรื่องตามสถานการณ์ จึงจำเป็นต้องตรวจสอบทบทวนวิธีการใช้แนวความคิดการธำรงชาติพันธุ์และอัตลักษณ์ใหม่ โดยใช้วิธีของนักวิเคราะห์ชาติพันธุ์ (an ethnomethodologist) (น.85-86) ทั้งนี้ ผู้เขียนเห็นว่าแนวความคิดชาติพันธุ์วรรณา การธำรงชาติพันธุ์ การปฏิสัมพันธ์ทางสังคม อัตลักษณ์และวัฒนธรรมต่างก็มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันในสถานการณ์ที่เกิดเหตุการณ์ (น.96) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ลื้อที่เชียงคำ ภาคเหนือของไทย (น.86) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ไม่ได้ระบุช่วงเวลาที่แน่นอน กล่าวแต่ว่าได้ศึกษาไทลื้อเป็นช่วง ๆ มา 30 ปี (น.86) |
|
History of the Group and Community |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ผู้เขียนกล่าวถึง ความหมายของการธำรงชาติพันธุ์ว่ามีลักษณะทำนองเดียวกับเกลียวเชือกที่พันกัน และในบรรดาความหมายหลักของการธำรงชาติพันธุ์ที่นักมานุษยวิทยาสร้างขึ้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับตราประทับที่ใช้กำหนดหรืออ้างถึงเกณฑ์บางประการ ประชากรหรือกลุ่มคนที่เหมือนกับพวกเขาหรือต่างจากพวกเขา (น.87) สิ่งที่กล่าวอ้างว่าเหมือนกันและยึดถือว่าเป็นพวกเดียวกันและต่างพวกกัน ได้แก่ 1. การเชื่อมโยงกับสถานที่หรือเขตแดน 2. ประวัติศาสตร์และจุดมุ่งหมาย 3. ภาษาและลักษณะอื่นๆ ของวัฒนธรรม เช่น คุณค่ามาตรฐานพื้นฐาน ศาสนาและลักษณะคุณสมบัติหรือการกระทำที่ต่างกันหรือการปรับตัวเชิงนิเวศน์ (น.88) ผู้เขียนเห็นว่า ปัจจัยทุกประการที่กล่าวมานี้เป็นความมุ่งหมายหรือความสำเร็จทางสังคม (a social accomplishment) โดยตัวของมันเอง ปัจจัยทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอของสังคมและประวัติศาสตร์ ไม่มีปัจจัยใดคงที่แน่นอนและเป็นอิสระจากกัน การจัดระเบียบระหว่างกันไม่ได้เป็นสากลร่วมสำหรับทุกคนที่ถูกประทับตรา และไม่ได้คงที่สม่ำเสมอสำหรับคนหนึ่งคนใด ผู้เขียนสรุปว่า การธำรงชาติพันธุ์ไม่ได้ติดแน่นถาวรในกลุ่มคน แต่ทว่าเป็นเครือข่ายของกระบวนการการปฏิสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และสังคม (น.88) ในการมองการธำรงชาติพันธุ์ของนักมานุษยวิทยากับคนลื้อมีทั้งเหมือนและต่างกัน ส่วนที่เหมือนกัน ได้แก่ การเชื่อมโยงการธำรงชาติพันธุ์เข้ากับวัฒนธรรม บางครั้งคนลื้อก็คิดว่า คนที่มีตราประทับชาติพันธุ์เหมือนกันมีวัฒนธรรมร่วมกัน มีวิถีชีวิตที่สืบทอดมาเหมือนกัน (น.86) หรือมองว่าวัฒนธรรมเป็นมวลรวมของลักษณะหรือการปฏิบัติ และเข้าใจว่าการปฏิบัติเหล่านั้นเกี่ยวข้องกันทั้งในเชิงหน้าที่และประวัติศาสตร์ ถ้ามีการปฏิบัติที่เรียกว่า "ลื้อ" พวกเขาก็คาดว่าคนอื่นที่ไม่ใช่พวกเขาจะปฏิบัติต่างออกไป และบางครั้งลื้อก็ตีความการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางวัฒนธรรมว่าเป็นการสูญเสียวัฒนธรรมเมื่อถูกวัฒนธรรมอื่นเข้ามาแทนที่ สำหรับความคิดส่วนที่ต่างกัน คือ ความคิดของนักมานุษยวิทยาไม่ยืดหยุ่นและยึดมั่นมากกว่าคนลื้อซึ่งเป็นคนพื้นเมือง (น.87) ความไม่ชัดเจนของชื่อชาติพันธุ์ ความไม่แน่นอนของกลุ่มที่ถูกประทับตราไม่ใช่ปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อคนพื้นเมืองที่จะเข้าใจและประสบความสำเร็จในการธำรงชาติพันธุ์ กล่าวคือ ระบบการเรียกชื่อชาติพันธุ์ท้องถิ่น(a local taxonomy of ethnic names)เป็นตราประทับอย่างหนึ่ง บุคคลหรือชุมชนจะใช้ชื่อเปลี่ยนไปในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งในระดับต่างๆ กัน การจำแนกตนเองด้วยตราประทับนี้เป็นเกณฑ์จำเป็นสำหรับการเป็นสมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ (น.89) บางครั้งคนท้องถิ่นก็ใช้ตราชาติพันธุ์บ่งบอกว่า คนๆ นั้นเป็นใคร และก็ใช้อธิบายการกระทำของคน ๆ นั้น เช่นเดียวกับตราประทับอื่นๆ เช่น ชนชั้น เครือญาติ ชุมชน ศาสนา และอื่นๆ การธำรงชาติพันธุ์หรือตราชาติพันธุ์จึงไม่ใช่ผิวหนังที่ติดตัวคน แต่เป็นเหมือนเสื้อคลุมตัวหนึ่งในจำนวนหลายๆ ตัวที่ถอดเปลี่ยนได้ ผู้เขียนเปรียบการใช้ตราชาติพันธุ์ว่า บางครั้งเป็นงาน บางครั้งเป็นบทบาทการแสดง บางครั้งเป็นปฏิกริยาสะท้อนกลับ (a reflex) สิ่งที่คนพื้นเมืองพูดและทำจึงแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ ผู้เขียนจึงเห็นว่า การศึกษาการธำรงชาติพันธุ์ในสถานการณ์หนึ่งๆ จึงจำเป็นต้องศึกษาสถานการณ์ทางสังคมที่เกิดการกระทำนั้น ซึ่งก็คือ การปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (น.90) ผู้เขียนเห็นว่า การปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเป็นรูปแบบและศูนย์กลางสำคัญของการกระทำและการเรียนรู้วัฒนธรรมและสังคม (น.90) ซึ่งความเกี่ยวพันกันระหว่างวัฒนธรรมกับการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมจะเห็นได้ชัดเจน ทั้งนี้ เนื้อหาและรูปแบบของวัฒนธรรมจะปรากฏในเวลาที่มีปฏิสัมพันธ์กัน (น.97) เมื่อใดก็ตามที่ตราประทับ พรมแดนหรือเครื่องหมายใดของการแบ่งแยกทางชาติพันธุ์เกิดเป็นเหตุการณ์จริงในการปฏิสัมพันธ์กัน ตราประทับ พรมแดนหรือเครื่องหมายเหล่านั้นได้ถูกสร้างขึ้นโดยเฉพาะ (น.92) ดังกรณีตัวอย่างของเจ๊กไฮ้ (Cek Hai) ในวงสนทนาของชาวบ้านซึ่งมีเจ้าหน้าที่อำเภอและผู้เขียนร่วมอยู่ด้วย ชาวบ้านใช้คำเรียกเจ๊กไฮ้ต่างกันเมื่อเหตุการณ์ในวงสนทนาเปลี่ยนไป ชาวบ้านใช้คำ "เจ๊กไฮ้" เมื่อในวงสนทนามีแต่ชาวบ้านด้วยกัน ซึ่งคำว่า "เจ๊ก" หมายถึงคนจีน เป็นคำนำหน้าชื่อที่แสดงการดูถูก และแสดงถึงการเป็นคนอื่นที่ต่างจากชาวบ้าน แต่เมื่อมีเจ้าหน้าที่อำเภอเข้าร่วมวงสนทนาด้วย ชาวบ้านก็เปลี่ยนคำเรียก "เจ๊กไฮ้" เป็น "กู๋" (Koo) แทน ซึ่งหมายถึงพี่ชาย เป็นคำแสดงชาติพันธุ์ที่มีนัยยะความหมายเชิงยกย่อง เป็นการแสดงถึงการเป็นคนในเมืองที่ร่ำรวย มีฐานะสูง เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่อำเภอ ขณะที่ใช้คำว่า "กาดปู้น" (kaat pun) เมื่อพูดกับผู้เขียน หมายถึง คนที่อยู่ในตลาด เพราะผู้เขียนไม่รู้จักเจ๊กไฮ้ว่าเป็นใคร คำเรียกเจ๊กไฮ้ทั้งสามคำแสดงถึงการจัดลำดับชั้นการเป็นคนในและคนนอก โดยสองคำแรกแสดงถึงการมีความรู้และวัฒนธรรมร่วมกัน ส่วนคำที่สามแสดงถึงการเป็นคนนอก (น.91-93) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|