สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ภูมิปัญญาชาวบ้าน,นิเวศวิทยา,ทุ่งใหญ่นเรศวร,ภาคตะวันตก
Author ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี
Title ภูมิปัญญานิเวศวิทยาชนพื้นเมือง: ศึกษากรณีชุมชนกะเหรี่ยงในป่าทุ่งใหญ่นเรศวร
Document Type หนังสือ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 173 Year 2539
Source โครงการฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ กรุงเทพฯ
Abstract

หนังสือเล่มนี้ เป็นงานศึกษาเกี่ยวกับความรู้ทางนิเวศวิทยา การนิยามและมโนทัศน์ที่มีต่อธรรมชาติของชุมชนกะเหรี่ยง ในสองหมู่บ้าน คือ หมู่บ้านเกริงบอ ตำบลแม่จัน อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก และหมู่บ้านจะแก ตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งทั้งสองหมู่บ้านตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร โดยพิจารณาบทบาทของความรู้ทางนิเวศวิทยาของชุมชนที่มีต่อระบบการผลิตเพื่อการยังชีพ ตลอดจนระบบการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เสถียรภาพของระบบการจัดการในทางนิเวศวิทยาและความเกี่ยวข้องกับการจัดระเบียบทางสังคมของชุมชน นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาถึงเงื่อนไขและปัจจัยที่จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางด้านความรู้อีกด้วย งานศึกษาเสนอว่า ความรู้ทางนิเวศวิทยาที่มีความสำคัญมากที่สุด คือ ระบบความรู้ที่เกี่ยวกับการผลิตภายใต้ระบบเกษตรกรรมแบบไร่หมุนเวียน อันเป็นระบบความรู้ที่มีคุณลักษณะหลากหลาย ซับซ้อน ซึ่งรวมเอาความรู้เกี่ยวกับป่า ความรู้เกี่ยวกับภูมิอากาศ ความรู้เกี่ยวกับพืช ความรู้เกี่ยวกับสัตว์ และความรู้เกี่ยวกับสิ่งคุ้มครองธรรมชาติ เข้าด้วยกัน สิ่งสำคัญอันเป็นรากฐานของความรู้คือ มโนทัศน์ที่มีเกี่ยวกับจักรวาลวิทยาของกะเหรี่ยง ซึ่งได้จัดวางสรรพสิ่งที่ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อาณาจักรเดียวกัน และมีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน มนุษย์มีตำแหน่งแห่งที่ในจักรวาลเพียงเป็นส่วนหนึ่งของระบบธรรมชาติใหญ่เท่านั้น ธรรมชาติล้วนมีสิ่งอันคุ้มครองธรรมชาติ ดังนั้น มนุษย์จึงไม่อาจครอบครองหรือเป็นเจ้าของธรรมชาติได้ ทำได้เพียงการขอใช้ ด้วยวิถีทางแห่งการเคารพต่อธรรมชาติ นอกจากนี้สำหรับมนุษย์แล้ว วิถีการดำรงชีวิตภายใต้วัฒนธรรมแห่งการมีศีลธรรมเท่านั้น จึงจะสามารถรักษาสมดุลยภาพของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติไว้ได้ ความรู้และมโนทัศน์ดังกล่าวมีผลทำให้การใช้ทรัพยากรของกะเหรี่ยงเป็นไปอย่างยั่งยืน หนังสือยังได้ชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลของรัฐ และโครงการพัฒนาที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในหมู่บ้านกะเหรี่ยง ด้วยการใช้อำนาจ และการครอบงำจากรัฐด้วยกลไกของการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยม การบังคับให้เปลี่ยนแปลงด้วยระบบโรงเรียน และการเก็บภาษีที่ดินของรัฐ โครงการเหล่านี้ปราศจากความเข้าใจในวัฒนธรรมชาวบ้าน ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางความคิด และมโนทัศน์ของชุมชนที่มีต่อธรรมชาติ และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ อันจะส่งผลต่อเนื่องถึงระบบการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในที่สุด

Focus

ศึกษาองค์ความรู้ทางด้านนิเวศวิทยาของกะเหรี่ยง โลกทัศน์ที่เกี่ยวกับธรรมชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างกะเหรี่ยงกับธรรมชาติ จักรวาลวิทยาในเรื่องพุทธ ผี ธรรมชาติ และมนุษย์ ระบบการยังชีพและวิถีการผลิตแบบไร่หมุนเวียน

Theoretical Issues

ใช้แนวคิดทางด้านมานุษยวิทยานิเวศ (ecological anthropology) และชาติพันธุ์นิเวศ (ethno-ecology) ดู abstract ประกอบ (หน้า 23-29)

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยงโปว์

Language and Linguistic Affiliations

ภาษากะเหรี่ยง จัดอยู่ในตระกูลภาษาทิเบต-พม่า

Study Period (Data Collection)

ไม่ได้ระบุในหนังสือ แต่คาดว่าอยู่ระหว่าง พ.ศ. 2534-2535

History of the Group and Community

600-700 ปีในพม่า ราว 250 ปีในไทย โดยอพยพครั้งใหญ่ หนีภัยพม่า ในช่วง พ.ศ. 2317-2318 อันเป็นช่วงพระเจ้าอลองพญา ทำสงครามยึดดินแดนมอญ หมู่บ้านเกริงบอ ตั้งมาประมาณ 200 ปี โดยอพยพมาจากเมืองขวยกะบอง และเมวดี ในฝั่งพม่า (หน้า 46-49, 56)

Settlement Pattern

ทั้งสองหมู่บ้านตั้งอยู่ในเขตที่ราบหุบเขา ล้อมรอบด้วยป่าเบญจพรรณที่มีป่าไผ่เป็นหลัก โดยตั้งถิ่นฐานถาวรและทำการผลิตแบบไร่หมุนเวียน

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

ระบบการผลิตแบบยังชีพ โดยทำไร่หมุนเวียน แบบผสมผสาน โดยมีข้าวเป็นหัวใจของการผลิตผสมกับพืชอาหารชนิดอื่น ๆ การทำไร่จะใช้พื้นที่ป่าไผ่ทำการเพาะปลูกเป็นเวลา 1 ปีและพักฟื้นเป็นเวลา 7-10 ปีก่อนจะย้อนกลับมาทำไร่ในที่เดิมอีก โดยระบบการทำไร่ประกอบไปด้วยขั้นตอนต่าง ๆ คือ การเลือกพื้นที่ การถางที่ ตากไร่และเผาไร่ การหยอดข้าว การควบคุมวัชพืชและโรคพืช และการเกี่ยวข้าว ตีข้าว และนำข้าวขึ้นยุ้งฉาง ระบบการผลิตมีลักษณะหลากหลายในพันธุ์พืช (multiple cropping) โดยมีข้าว 14 สายพันธุ์ และพืชอาหารอื่น ๆ 48 ชนิด (หน้า 67-107, 121-141 )

Social Organization

กะเหรี่ยงโปว์ในภาคตะวันตก เป็นสังคมที่ถือสายตระกูลทางมารดา (matrilineal) โดย แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ตามความเชื่อทางศาสนา คือ กลุ่มด้ายขาว กลุ่มด้ายเหลือง และกลุ่มที่ไม่ผูกข้อมือด้วยด้ายใดๆ กลุ่มด้ายขาวยังแยกออกเป็น 3 กลุ่ม คือ วะเพลี่ยง (ถือผี) ตูเหว่ (ถือผี) และบาเกีย (ถือพุทธ) กลุ่มด้ายเหลือยังแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มที่ไหว้เจดีย์ และกลุ่มที่ไหว้พระ หมู่บ้านเกริงบอ เป็นกลุ่มด้ายขาว โดยมีสมาชิกเป็นด้ายเหลือง 1 ครัวเรือน สังคมค่อนข้างมีความเสมอภาคระหว่างครัวเรือน (egalitarian) โดยมีโครงสร้างทางสังคมแบบเครือญาติ และจัดการการผลิต และแรงงาน โดยใช้ระบบเครือญาติ เป็นสำคัญ (หน้า 52-65)

Political Organization

มีผู้นำที่แต่งตั้งโดยทางการ แต่กลุ่มผู้อาวุโส ยังเป็นสถาบันสำคัญในการตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ ของหมู่บ้าน ดูแลจัดระเบียบในสังคม ตลอดจนแก้ปัญหาความขัดแย้งในหมู่บ้าน การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกิดขึ้นในช่วงปี 2510 เป็นต้นมา จากการแทรกแซงของรัฐ การที่ชาวบ้านเข้าร่วมปฏิวัติกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และการวางอาวุธและเข้าร่วมเป็นผู้พัฒนาชาติไทยกับรัฐ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ในหมู่บ้านจะแก ได้ทำให้ผู้นำที่เป็นทางการ และคนหนุ่มในหมู่บ้านมีอำนาจมากขึ้น มีโลกทัศน์ที่แตกต่างจากผู้อาวุโส และมีความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนหนุ่ม และผู้อาวุโสเพิ่มมากขึ้น (หน้า 64-65 143-196)

Belief System

กะเหรี่ยงในหมู่บ้านเกริงบอ มีความเชื่อที่ผสมผสานระหว่าง พุทธ ผี และฤาษี โดยผู้หญิง ผู้เป็นหัวหน้าของสายตระกูล เป็นผู้ดูแลผีของสายตระกูล โดยนับถือต้นไม้และเทวาอารักษ์ต้นไม้ของหมู่บ้าน นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าธรรมชาติทุกอย่างมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองอยู่ ทั้งข้าว แผ่นดิน แม่น้ำ การทำการผลิตที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ต้องประกอบพิธีกรรมเพื่อขอขมาและแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ผู้อาวุโสของชุมชน เชื่อและปฏิบัติตามความเชื่อแบบฤาษี อันเป็นการผสานอุดมการณ์แบบพุทธให้เข้ากับระบบศีลธรรมแบบกะเหรี่ยง โดยเคร่งครัดในการถือศีล และปฏิบัติธรรม (หน้า 59-63, 95-119)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ตำนานเรื่องข้าวกับลูกกำพร้า (ชี้ให้เห็นว่าข้าวนั้นคุ้มครองคนดีที่ด้อยอำนาจ) ตำนานเรื่องฤาษี (ซึ่งถือเป็นผู้นำทางศาสนาของกะเหรี่ยงโปว์ในภาคตะวันตก และเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ และปลดปล่อยตนเองจากการกดขี่จากพม่า) (หน้า 52, 105-106, 113-115, 161)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

กะเหรี่ยงในหมู่บ้านเกริงบอ (และในหมู่บ้านอื่นๆ ในเขตหุบเขาแม่จัน) นิยามความเป็นกะเหรี่ยงผ่านความเชื่อและโลกทัศน์ที่ผสมผสานระหว่างพุทธ ผี และฤาษี โดยมีความเชื่อเรื่องศีลธรรม ความผูกพันต่อข้าว และการเคารพในธรรมชาติ และสิ่งที่คุ้มครองธรรมชาติ เป็นแกนกลาง ของการมองตนเอง ที่ต่างไปจากกลุ่มอื่น (หน้า 52, 112-119)

Social Cultural and Identity Change

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เกิดจากแนวคิด และแนวทางการพัฒนาที่ส่งเสริมโดยรัฐ ที่มองชาวบ้าน และความเชื่อดั้งเดิมว่าโง่ และล้าหลัง และสนับสนุนระบบความเป็นเจ้าของที่ดิน (หรือธรรมชาติ) และการศึกษาสมัยใหม่ และความเป็นไทย ให้ชาวบ้าน ก่อให้เกิดความขัดแย้ง และความสับสนในการมองและเข้าใจตนเองในฐานะคนกะเหรี่ยงแก่ชาวบ้าน โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว (หน้า 152-164)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

1. แผนภูมิแสดงทำเลที่ตั้ง หมู่บ้านเกริงบอ กลางหุบแม่จัน (หน้า 57) 2. แผนผังเครือญาติในหมู่บ้านเกริงบ่อ (หน้า 61-62) 3. ตารางแสดงชนิดพืชที่ปลูกในไร่ในแต่ละฤดูกาล (หน้า 87) 4. ตารางแสดงการใช้ที่ดินในการทำไร่หมุนเวียนในปี 2534 ของหมู่บ้านเกริงบอ (หน้า 132) 5. ตารางแสดง จำนวนเนื้อที่ปลูกและผลผลิตข้าวปี 2534 ของหมู่บ้านเกริงบอ (หน้า 132) 6. แผนภูมิแสดงพื้นที่ไร่หมุนเวียน และที่นาของแต่ละครอบครัวในหมู่บ้านเกริงบอ ปี 2534 (หน้า 133) 7. แผนภูมิแสดงการใช้ที่ดินทำไร่หมุนเวียน ระหว่างปี 2524-2534 ครอบครัวซองผาโท่ และหน่อมึงป๋วย (หน้า 134) 8. แม่เฒ่าชาวกะเหรี่ยงแห่งหมู่บ้านสะเนพ่อง (หน้า 45) 9. ยามเช้าที่หมู่บ้านเกริงบอ (หน้า 55) 10. สายน้ำโรคี่ ที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ชุมชนกะเหรี่ยงในอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี (หน้า 58) 11. ลุงเนเต๊อะ (หน้า 64) 12. ฉะเอ็งกับปลาที่เขาตกได้ด้วยเบ็ดจากแม่จัน (หน้า 68) 13. ถางไร่เพื่อปลูกข้าว (หน้า 78) 14.หนุ่มกะเหรี่ยงกำลังมัดฟ่อนข้าว 9 กอหรือบือฉิเบาะ (หน้า 81) 15. ไร่ข้าวที่เก็บเกี่ยวแล้วจะยังคงเห็นพืชผักที่จะเป็นอาหารไปได้ตลอดฤดูหนาว (หน้า 83) 16. พืชผักที่เก็บจากไร่ข้าว (หน้า 83) 17. บืออ่องเจิ่ง ข้าวเจ้าพันธุ์ใหม่ เกิดขึ้นเมื่อ 30 กว่าปีก่อน (หน้า 85) 18. งานบุญข้าวใหม่ที่สะเนพ่อง (หน้า 98) 19. แม่น้ำมีสิ่งคุ้มครอง (หน้า 101) 20. พิธีค้ำต้นไทรของคนกะเหรี่ยง (หน้า 103) 21. ตากข้าวไร่กลางลานบ้าน (หน้า 107) 22. หนุ่มสาวชาวกะเหรี่ยงกำลังร้องเพลงขอบคุณแม่โพสพในงานบุญข้าวใหม่ สะเนพ่อง (หน้า 109) 23. งานบุญสักการะฤาษี ณ ศาลฤาษีในทุ่งใหญ่นเรศวร (หน้า 113) 24. บ้านชาวกะเหรี่ยง ห้อมล้อมด้วยดงหมากและมะพร้าว (หน้า 122) 25. เด็กสาวกำลังแบกฟืนกลับบ้าน (หน้า 122) 26. ป่าไผ่ผืนนี้เคยเป็นไร่ข้าวมาก่อนเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา (หน้า 137) 27. ไร่ทรากอายุ 4 ปี (หน้า 138)

Text Analyst ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี Date of Report 24 เม.ย 2556
TAG โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), ภูมิปัญญาชาวบ้าน, นิเวศวิทยา, ทุ่งใหญ่นเรศวร, ภาคตะวันตก, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง