|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
บ้านครัวเหนือ,บ้านแขกครัว,ประวัติความเป็นมา,การตั้งถิ่นฐาน,สภาพเศรษฐกิจ,สังคม,วัฒนธรรม,กรุงเทพมหานคร |
Author |
เสาวภา พรสิริพงษ์, พรทิพย์ อุศุภรัตน์, ดวงพร คำนูณรัตน์ |
Title |
การศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับชุมชนบ้านครัวเหนือ (บ้านแขกครัว) กรณีศึกษา สภาพเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
76 |
Year |
2532 |
Source |
สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล |
Abstract |
ผู้วิจัยได้บรรยายสภาพเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมชุมชนบ้านครัวเหนือ (บ้านแขกครัว) ภายหลังอาชีพการทอไหมซึ่งเป็นอาชีพหลักของชุมชนลดบทบาทลง |
|
Focus |
เน้นการพรรณนาสภาพชุมชนของไทยมุสลิมเชื้อสายแขกจาม รวมประวัติความเป็นมา สาเหตุการเข้ามาตั้งถิ่นฐาน, ลักษณะทางกายภาพของชุมชน, สภาพเศรษฐกิจและสังคม, ลักษณะทางประชากรและความสัมพันธ์, กลุ่มทางสังคมและความรู้สึกรวมทั้งการมีส่วนร่วมทางการเมือง (หน้า 55) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ประชากรส่วนใหญ่ของชุมชนบ้านครัวเหนือร้อยละ 70 เป็นไทยมุสลิมซึ่งประกอบด้วยไทยมุสลิมรุ่นเก่า และไทยมุสลิมรุ่นใหม่ กลุ่มคนไทยเชื้อสายจีน และกลุ่มคนอีสาน ไทยมุสลิมรุ่นเก่า ส่วนมากพูดภาษาเขมรได้และนิยมพูดภาษาเขมรระหว่างคนมีอายุด้วยกัน โดยเฉพาะเมื่อไม่ต้องการให้ผู้อื่นเข้าใจเรื่องที่ตนเองสนทนา (หน้า 24) ด้วยเหตุที่คนมุสลิมเชื้อสายแขกจามที่บ้านครัวเหนือ มีบรรพบุรุษที่อพยพจากเวียดนามเข้าไปอยู่ในกัมพูชา และผสมกลมกลืนกับคนเขมร จึงใช้ภาษาเขมรเป็นภาษาพูด คนเฒ่าคนแก่ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ที่บ้านครัวเหนือ บอกว่ารู้ภาษาจามแต่พูดไม่ได้ (หน้า 11) ไทยมุสลิมรุ่นใหม่ไม่รู้ภาษาเขมร แต่จะเรียนภาษาอาหรับเพื่ออ่านพระคัมภีร์อัลกุรอ่าน (หน้า 24) สำหรับกลุ่มคนไทยเชื้อสายจีนพูดภาษาไทยและภาษาจีนกันในครอบครัว บางคนพูดเขมรได้ (หน้า 28) ส่วนคนอีสานจะใช้ภาษาถิ่นภายในครอบครัว และกับคนอีสานด้วยกัน มีบางครอบครัวที่มีลูกเกิดในกรุงเทพฯ ก็อาจพูดภาษาถิ่นและภาษากลางกับลูก (หน้า 31) |
|
Study Period (Data Collection) |
มกราคม พ.ศ.2528 ถึง พฤษภาคม พ.ศ.2529 |
|
History of the Group and Community |
เมื่อ พ.ศ. 2376 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ไทยทำสงครามกับเขมร ได้กวาดต้อนเชลยสงครามคนเขมรรวมทั้งคนจามเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ในกรุงเทพฯ (หน้า 5) ผู้วิจัยได้อ้างถึง ชวน ขำสุวัฒน์ (2514 : 21-22) ได้กล่าวถึงจามว่า " เจ้าพระยาบดินทรเดชา ได้กวาดต้อนครอบครัวเขมรรวม 3,000 คนเศษ ส่งเข้ามากรุงเทพฯ ผ่านทางเมืองปราจีนบุรี ได้แบ่งครอบครัวไว้สำหรับเมืองปราจีนบุรีบ้าง และที่เหลือนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดครอบครัวเขมรไปอยู่ที่คลองมหานาค ตลอดไปจนลำคลองหัวหมาก บางกะปิ พร้อมทั้งพระราชทานที่บ้าน ที่สวนให้อยู่ทำมาหากินเป็นปกติ และให้เป็นไพร่หลวงรักษาเรือรบตามริมคลองบางกะปิ เขมรพวกนี้ได้ชื่อว่าเป็นแขกเขมรโดยมีบิดาเป็นแขก มารดาเป็นเขมร ไทยเรียกว่า แขกครัว เพราะไทยกวาดครอบครัวมาทั้งหมด (หน้า 5) จากการสัมภาษณ์ผู้นำศาสนาของชุมชน ซึ่งมีอายุ 70 ปี ถึงการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของแขกครัว ได้ความว่า แขกครัวได้อพยพมาจากพระตะบอง ประเทศกัมพูชา มาอยู่ที่ชุมชนบ้านครัวมากว่า 4 ชั่วอายุคนแล้ว สมัยก่อนบริเวณนี้เรียกว่า บ้านแขกครัว มุสลิมบ้านครัวมาจากหลายๆ ตำบลในเขมร มาจากตำบลใดก็มักเรียกชื่อบริเวณที่ตนเองอาศัยอยู่ตามชื่อตำบลดั้งเดิมในเขมร (หน้า 6) |
|
Settlement Pattern |
ลักษณะพื้นที่ของชุมชนบ้านครัวเหนือยาวขนานไปตามชายฝั่งคลองมหานาคทางด้านเหนือ ซึ่งเป็นชุมชนที่อยู่ใจกลางกรุงเทพฯ ชาวบ้านสามารถติดต่อกับชุมชนภายนอกได้อย่างสะดวก ในช่วงเวลาที่สำรวจชุมชนมีจำนวนหลังคาเรือน 623 หลัง บ้านเรือนส่วนใหญ่จะเป็นบ้านไม้ มีทั้งบ้านชั้นเดียวและสองชั้น ปลูกกันอยู่หนาแน่น มีทางเดินกว้างประมาณ .70 เมตร เชื่อมติดต่อกัน เมื่อสมาชิกในครอบครัวเพิ่มขึ้น ก็จะแบ่งพื้นที่ให้สร้างบ้าน ทำให้ที่ดินมีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ เนื่องจากพื้นที่ดินมีจำนวนจำกัด ไม่สามารถขยายออกไปได้อีก จนทำให้เกิดความแออัด (หน้า 16) |
|
Demography |
ชุมชนบ้านครัวเหนือมีจำนวนหลังคาเรือน 623 หลัง และมีจำนวนครัวเรือนทั้งสิ้น 1,121 ครัวเรือน มีประชากร 6,200 คน แยกเป็นประชากรชายร้อยละ 47.12 ประชากรหญิงร้อยละ 52.88 ความหนาแน่นของประชากร ประมาณ 180 คนต่อไร่ ประชากรร้อยละ 70 เป็นมุสลิม ที่เหลือเป็นไทยเชื้อสายจีน ไทยอีสาน ภาคกลาง และภาคอื่น ๆ (หน้า 24) |
|
Economy |
อาชีพดั้งเดิมของชุมชนบ้านครัวเหนือ คือ การทอผ้าไหม ซึ่งเฟื่องฟูมากในยุคที่จิม ทอมสันเข้ามามาสนับสนุน ซึ่งกิจการทอผ้าไหมทำให้มีธุรกิจอย่างอื่นเกิดขึ้นซึ่งเป็นการสร้างงานในชุมชน เช่น การย้อมไหม ลงแป้งไหม กรอไหมยืนและไหมพุ่ง การเก็บตะกอและขึ้นหัวม้วน การทอผ้า การรับจ้างสอยผ้าไหมแบต่างๆ แต่เมื่อจิม ทอมสันหายสาบสูญไป ธุรกิจนี้เริ่มมีอุปสรรคและซบเซามากขึ้นจนส่วนใหญ่ต้องเลิกกิจการไป ผู้ที่เลิกกิจการก็จะทำธุรกิจบ้านเช่าแทน ให้คนอีสาน นักศึกษาเช่า นอกจากนั้น คนในชุมชนยังทำอาชีพอื่นๆ เช่น รับราชการ รับจ้าง ค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ขับแท็กซี่ เป็นต้น ซึ่งกิจการทอไหมในบ้านครัวยังดำเนินอยู่ เพียงแต่ไม่ได้เป็นอาชีพส่วนใหญ่ของคนในชุมชน (หน้า 21) |
|
Social Organization |
สมัยก่อน แขกครัวนิยมแต่งงานกันเองในหมู่ญาติที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง โดยครอบครัวเป็นผู้จัดการแต่งงานให้ ซึ่งความนิยมดังกล่าว ทำให้คนในชุมชนส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์เป็นแบบเครือญาติ ซึ่งนำมาสู่ความสนิทสนมและการช่วยเหลือ (หน้า 10) รวมถึงคำสอนทางศาสนาอิสลามที่สอนให้คนมุสลิมรักใคร่กันเหมือนพี่น้อง ส่วนศาสนาอิสลามก็ได้มีอิทธิพลต่อการจัดองค์กรทางสังคมในชุมชน โดยมีมัสยิดเป็นศูนย์กลางกิจกรรมต่าง ๆ ในชุมชน ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม โต๊ะอิหม่ามซึ่งเป็นผู้นำทางศาสนามาจากการเลือกตั้งและอยู่ในตำแหน่งตลอดชีวิต ส่วนคณะกรรมการมัสยิดมาจากการเลือกตั้ง ทุก ๆ 4 ปี (หน้า 21) |
|
Political Organization |
เมื่อการเคหะแห่งชาติเข้ามาพัฒนาปรับปรุงชุมชนบ้านครัวเหนือ ได้มีการเลือกตั้งกลุ่มทางสังคมซึ่งมีบทบาทต่อกิจกรรมต่าง ๆ ภายในชุมชน 2 กลุ่มคือ คณะกรรมการชุมชน และอาสาสมัครสาธารณสุข ซึ่งประกอบด้วยคนไทยมุสลิมและคนไทยเชื้อสายจีน (หน้า 31, 33-48) กลุ่มทางสังคมกลุ่มที่ 1 คือคณะกรรมการชุมชนจะมาจากการเลือกตั้งซึ่งมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อม เช่น แต่งตั้งคณะกรรมการโดยการเคหะ, การสอบถามแล้วแต่งตั้งและการเลือกตั้งซึ่งทางเขตพญาไทเป็นผู้รับผิดชอบ คณะกรรมการไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย เป็นเพียงตัวแทนจากชุมชนเพื่อประสานงานกับภาครัฐและเอกชนให้เกิดความสะดวก สงบเรียบร้อยในชุมชน เช่น การของบประมาณสร้างสะพานข้ามคลอง, ดูแลเรื่องขยะ, งานด้านอาชีพและสุขภาพ โครงสร้างของคณะกรรมการประกอบด้วย ประธาน รองประธาน ที่ปรึกษา เลขานุการ ประชาสัมพันธ์ เหรัญญิก กรรมการฝ่ายการศึกษา กีฬา ฝ่ายบริการชุมชนและฝ่ายกิจกรรมพิเศษ แม้ว่าชาวบ้านส่วนใหญ่จะมองว่าคณะกรรมการมีความจำเป็นต่อชุมชน และเข้าใจถึงบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการ แต่ชาวบ้านและคณะกรรมการก็มีความขัดแย้งและไม่ลงรอยกัน โดยชาวบ้านเห็นว่าคณะกรรมการมีความขัดแย้งกันเอง เนื่องมาจากอุดมการณ์ทางการเมืองต่างกัน และการขาดการประชาสัมพันธ์ในการทำงาน ส่วนคณะกรรมการมีความเห็นต่อชาวบ้านในส่วนของการไม่ให้ความร่วมมือต่อคณะกรรมการและการพัฒนาชุมชน ซึ่งจากการย้ายเข้ามาพักพิงในชุมชนของชาวอีสานได้เป็นปัญหาหนึ่งของการทำงานของคณะกรรมการชุมชน ทั้งนี้ คณะกรรมการเห็นว่า ชาวอีสานขาดจิตสำนึกว่าไม่ใช่ชุมชนของตนและความเกรงใจชาวชุมชน เช่น การไม่ระวังเรื่องไฟ, การทำเสียงดังและไม่ดูแลเรื่องความสะอาด สำหรับอนาคตของคณะกรรมการนั้น มีแนวโน้มว่าคนหนุ่มสาวที่มีความรู้และเข้าใจในงานพัฒนาจะเข้ารับสมัครเพื่อเป็นคณะกรรมการชุมชนชุดต่อไป โดยชาวบ้านไม่ได้เห็นความสำคัญว่า คณะกรรมการควรเป็นชาวจีนหรือมุสลิม กลุ่มทางสังคมกลุ่มที่ 2 คือ อาสาสมัครสาธารณสุข หรือ อสม. ซึ่งดูแลประสานงานเรื่องสุขภาพรวมทั้งเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน อสม. มาจากการคัดเลือกตัวแทนจากซอยต่างๆ ในชุมชนแล้วเข้ารับการอบรมอาสาสมัครสาธารณสุขขั้นมูลฐาน โดยสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร และจะมีการอบรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้อย่างต่อเนื่อง อสม. หนึ่งคนจะรับผิดชอบชาวบ้านประมาณ 30-40 หลังคาเรือน ซึ่งอสม.ได้รับผลตอบแทนด้วยการเข้ารับการรักษาพยาบาลฟรีจากโรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานคร (หน้า 37-49) |
|
Belief System |
ศาสนาที่สำคัญของชุมชนบ้านครัวคือ ศาสนาอิสลาม ซึ่งศาสนาได้มีบทบาทต่อการจัดตั้งองค์กรชุมชน โดยมีมัสยิดเป็นศูนย์กลาง ซึ่งไทยมุสลิมมีความเชื่อและมีการปฏิบัติด้านศาสนาสอดคล้องกับหลักการของศาสนามากกว่าไทยพุทธ โดยมีความเชื่อและการปฏิบัติที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงและมีความถี่ในการปฏิบัติมากกว่า ส่วนไทยพุทธในชุมชนมีการปฏิบัติด้านศาสนาค่อนข้างน้อย เพราะเหตุผลด้านเศรษฐกิจ (หน้า 22) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
ชาวชุมชนบ้านครัวเหนือเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น หอบ หวัดเรื้อรัง และโรคปอด เพราะบ้านเรือนที่สร้างติดๆ กัน ทำให้อากาศไม่ถ่ายเท สภาพน้ำครำและเศษขยะใต้ถุนบ้านและท่อระบายน้ำ ทำให้น้ำมีกลิ่นเหม็นตลอดเวลา เมื่อมีปัญหาด้านสุขภาพ ชาวชุมชนส่วนใหญ่ซื้อยาจากร้านขายยาโดยขอคำแนะนำจากร้านขายยา และรักษาเองตามประสบการณ์ของญาติและเพื่อน ซึ่งยาที่ใช้เป็นแผนปัจจุบันร้อยละ 61 นอกนั้นใช้ยาแผนโบราณและอื่น ๆ นอกจากนั้น ทุก ๆ วันอังคารจะมีแพทย์จาก กทม. มาให้บริการฟรีที่สุเหร่าเกาะกอย ถ้าเจ็บป่วยกะทันหันไปรักษาที่คลีนิค ใกล้ ๆ ถ้ามีอาการมากจะไปรักษาตามโรงพยาบาลของรัฐในบริเวณใกล้เคียง เช่น โรงพยาบาลตำรวจ, โรงพยาบาลกลาง, โรงพยาบาลวชิระ (หน้า 23) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
อาชีพทอผ้าไหมเป็นอาชีพดั้งเดิมของผู้หญิงบ้านครัวซึ่งสืบทอดมาตั้งแต่สมัยยังอยู่ที่เขมร เมื่อถูกกวาดต้อนเข้ามาตั้งรกรากริมคลองมหานาคในรัชกาลที่ 3 ก็ประกอบอาชีพดั้งเดิม จึงเกิดเป็นกิจการทอผ้าไหม ส่วนผู้ชายถึงแม้จะถนัดการเดินเรือ ยังมีส่วนร่วมในกิจการผ้าไหม เช่น ย้อมไหม, กระทบไหม รวมทั้งออกไปหาวัตถุดิบและนำผ้าไหมไปขายต่างถิ่นทั้งในเมืองไทยและประเทศใกล้เคียง ในอดีตนั้น ชาวบ้านบ้านครัวจะทอผ้าไหมกันทุกบ้าน ผ้าไหมบ้านครัวได้รับการยกย่องว่ามีคุณภาพดีและเป็นที่นิยม ซึ่งขั้นตอนการทำผ้าไหมในอดีตนั้นจะเริ่มด้วยการนำไหมดิบมาย้อมในหม้อต้ม โดยผสมขี้เถ้าจากไม้แสมแทนด่างจนสะอาด จากนั้น จึงบิดให้แห้งแล้วย้อมสีธรรมชาติก่อนเริ่มกระบวนการทอ สมัยนั้นแรงงานจะเป็นแรงงานภายในทั้งหมด กิจการทอผ้าไหมของบ้านครัวรุ่งเรืองสุดขีดช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 - พ.ศ.2510 โดยจิม ทอมสันซึ่งเป็นคนอเมริกัน ได้เข้ามาส่งเสริมธุรกิจทอผ้าไหมทั้งการแนะนำเรื่องสี การกำหนดลาย การใช้กี่กระตุกและการให้ชาวบ้านร่วมหุ้นในรูปแบบบริษัท ซึ่งเป็นช่วงที่แรงงานภายนอกจากอีสานอพยพเข้ามา หลังจากการหายตัวไปของจิม ทอมสัน ธุรกิจนี้ก็ซบเซาลง บริษัทของจิมทอมสันตั้งโรงงานเป็นของตนเองรวมทั้งมีการกำหนดคุณภาพงานที่เข้มงวดขึ้น ประกอบกับภาวะค่าเงินและราคาวัตถุดิบ ทำให้ชาวบ้านหลายรายเลิกกิจการทอผ้าไหม ซึ่งจากช่วงเวลานั้นจนถึงปัจจุบัน ยังมีชาวบ้านที่ประกอบอาชีพทอผ้าไหมโดยใช้เทคโนโลยีพื้นบ้าน และนำเข้าไหมจากประเทศญี่ปุ่น จีน บราซิลนอกเหนือจากไหมจากภาคอีสาน และประกอบกิจการที่เกี่ยวกับการทอผ้าไหมบ้าง เช่น สอยผ้าไหม กรอไหม เป็นต้น (หน้า 58-75) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มอื่น ๆ ในชุมชนของไทยมุสลิมนั้นมีอยู่ 2 กลุ่มคือ คนไทยเชื้อสายจีน และคนไทยอีสาน ซึ่งกลุ่มคนเชื้อสายจีนจะมี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ตั้งบ้านเรือนอยู่รอบนอกชุมชน และกลุ่มที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ภายในชุมชน กลุ่มที่อยู่ภายในชุมชนจะมีทัศนคติและความสัมพันธ์ที่ดีกว่ากลุ่มแรก เพราะอยู่มานานและมีความคุ้นเคยมากกว่าและทราบพิธีกรรมต่าง ๆ ของไทยมุสลิมเป็นอย่างดี แต่ไม่ยุ่งเกี่ยวหรือขัดแย้งกัน ในขณะที่กลุ่มคนไทยจีนที่อาศัยอยู่รอบนอก ค่อนข้างมีทัศนคติทางลบต่อไทยมุสลิม โดยมีความรู้สึกว่าเด็กวัยรุ่นไทยมุสลิมนั้นน่ากลัว ส่วนคนไทยอีสานนั้น มีความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันและกันในฐานะเจ้าของบ้านและผู้เช่า แต่ไทยมุสลิมส่วนหนึ่งมองว่า สกปรก มีอิสระเสรีทางเพศมากเกินไป เสียงดัง ชอบกินเหล้าและทะเลาะวิวาท ส่วนคนไทยอีสานจะมองว่าคนไทยมุสลิมว่าเป็นพวกเจ้าถิ่น ชอบส่งเสียงดัง (หน้า 26) ซึ่งทัศนคติและการยอมรับขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ส่วนตัว, ระยะเวลาการอาศัยในชุมชน มีอาชีพและเวลาเข้าสังคมกับเพื่อนบ้าน (หน้า 26) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงด้านสังคมวัฒนธรรมในชุมชนบ้านครัวเหนืออยู่ในระดับที่ไม่รวดเร็วนัก เพราะลักษณะวัฒนธรรมมุสลิมที่ใช้หลักศาสนาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตอย่างเคร่งครัด เช่น ความสัมพันธ์ของกลุ่มเครือญาติ แต่ขณะเดียวกันชาวชุมชนพร้อมจะปรับตัวให้อยู่ร่วมกับสังคมภายนอกและมีสำนึกร่วมของความเป็นไทย ซึ่งเห็นได้จากการมีส่วนร่วมและสำนึกทางการเมือง (หน้า 55) แต่อย่างไรก็ตาม การลดบทบาทของอาชีพทอไหมของชุมชนทำให้ชาวบ้านต้องประกอบอาชีพอื่นเพื่อดำรงชีวิตอยู่ คือ อาชีพการทำบ้านเช่า บ้านหลังใหญ่ที่เคยเป็นโรงงานทอผ้าได้แบ่งเป็นห้องเล็ก ๆ ให้คนอีสาน นักเรียน นักศึกษาเช่า (หน้า 20) ปัจจุบันชุมชนบ้านครัวเหนือจึงไม่ได้มีเพียงกลุ่มคนที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษแขกจาม แต่ยังมีกลุ่มเชื้อชาติอื่นที่เข้าไปอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนไทยอีสาน, คนไทยเชื้อสายจีนและคนไทยจากภาคอื่นๆ (หน้า 54-55) นอกจากนั้นเด็กรุ่นหลังที่มีโอกาสเรียนหนังสือก็จะไปประกอบอาชีพอื่นนอกชุมชนที่รายได้มั่นคง เมื่อคนรุ่นพ่อแม่หมดไป กิจการผ้าไหมก็คงจะหมดลงด้วย (หน้า 75) |
|
|