สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject กะเหรี่ยงสะกอ,บทบาทสตรี,สังคม,เศรษฐกิจ,เชียงใหม่
Author วิไลพร ชะมะผลิน
Title บทบาททางสังคมและเศรษฐกิจของสตรีชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง (สะกอ)
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 39 Year 2522
Source ศูนย์วิจัยชาวเขา กองสงเคราะห์ชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์
Abstract

แม้ว่าสังคมกะเหรี่ยงจะเป็นสังคมที่สืบเชื้อสายทางมารดา ในครัวเรือนภรรยาจะยกย่องว่าสามีเป็นหัวหน้าครอบครัว ผู้หญิงเป็นหลักในบ้าน รับผิดชอบงานบ้าน โดยมีสมาชิกในครัวเรือน มาช่วยแบ่งเบาภาระ เช่น ลูกสาวหรือลูกชาย และฝ่ายชายจะเป็นผู้ที่ออกไปทำงานนอกบ้านเช่น รับจ้างหรือออกไปติดต่อกับคนพื้นเมือง จึงทำให้ผู้ชายมีโอกาสในการพัฒนาตนเองและสามารถพูดภาษาไทยทางเหนือได้มากกว่าหญิง รวมทั้งเป็นผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจมากกว่า บทบาททางประเพณีของหญิงกะเหรี่ยง นับตั้งแต่การเลือกคู่ การแต่งงาน เปิดโอกาสให้หญิงเท่าเทียมกับชาย ชายจะต้องมาอยู่บ้านของฝ่ายหญิงหลังจากแต่งงานแล้ว งานพิธีจัดขึ้นที่บ้านฝ่ายหญิงและอาจต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายมากกว่าชาย การเลือกแต่งงานกับคนในสังคมเดียวกัน เป็นการเปิดโอกาสให้หญิงที่สามีตายแล้วมีโอกาสได้แต่งงานใหม่อีกครั้ง แต่หญิงที่หย่าร้างหรือแยกกันอยู่จะไม่ค่อยมีโอกาสได้แต่งงานใหม่ ในทางศาสนา ผู้หญิงได้ให้ผู้ชายเป็นผู้จัดทำพิธีมาแต่โบราณ สตรีกะเหรี่ยงจะอยู่กับบ้านทำงานบ้านไม่มีเวลาไปร่วมพิธี ทำให้หญิงกะเหรี่ยงในปัจจุบันไม่มีบทบาทในงานพิธีศาสนาเท่าที่ควร แต่จะมีบทบาทในการเตรียมของใช้ในงานพิธี เด็กในหมู่บ้านได้รับการสนับสนุนให้เรียนมากขึ้นทั้งในหมู่บ้านและนอกหมู่บ้าน โรงเรียนในหมู่บ้านมีการเปิดสอนถึงระดับประถมศึกษา 4 ทำให้เด็กที่ต้องการเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นต้องเข้าไปเรียนในเมืองและเกิดปัญหาการปรับตัวไม่ได้ ส่วนเด็กหญิงจะมีโอกาศน้อยกว่าเด็กชายเนื่องจากค่าใช้ที่สูงและ ความปลอดภัย นอกจากนี้สตรียังมีบทบาททางเศรษฐกิจ เช่น ช่วยทำไร่ข้าว และในบางครัวเรือนหญิงกะเหรี่ยงใช้เวลาในการทำงานมากกว่าชายหัวหน้าครัวเรือน รวมถึงการใช้เวลาว่างออกไปรับจ้างเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัวอีกด้วย

Focus

บทบาทของหญิงที่ถูกผูกมัดด้วยงานบ้าน ทำให้บทบาทต่อสังคมมีน้อย เช่น การเข้าร่วมพิธีกรรมตามความเชื่อของชนเผ่า การเข้าร่วมประชุมประจำหมู่บ้านที่จำกัดเฉพาะผู้ชาย โดยฝ่ายหญิงเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังคอยให้ความสนับสนุนในด้านเศรษฐกิจผู้หญิงต้องใช้แรงงานและเวลาในการทำงานไม่น้อยไปกว่าชาย เช่น การหน้าที่ในการทำไร่ การรับจ้าง หรือการทอผ้า ทำเครื่องจักสาน เป็นต้น การศึกษาเป็นสิ่งที่ชาวบ้านเริ่มให้ความสนใจและสนับสนุนให้เด็ก ๆ ได้เรียนต่อ แต่อัตราการพูดภาษาไทยทางเหนือ และการศึกษาของหญิงกะเหรี่ยงก็ยังมีจำนวนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับชาย เนื่องจากกรอบวัฒนธรรมที่ยังมีความเป็นห่วงต่อหญิง ในการออกไปเรียนต่อหรือการออกไปติดต่อค้าขาย ในที่ที่ไกลจากบ้านและชุมชน จึงทำให้อำนาจในการตัดสินใจเป็นของชายผู้เป็นหัวหน้าครัวเรือน

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มกะเหรี่ยงสะกอในท้องที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 2)

Language and Linguistic Affiliations

กะเหรี่ยงสะกอมีภาษาเผ่าประจำของตน แต่อ่านและเขียนไม่ได้จึงมีการรื้อฟื้นเอาตัวอักษรกะเหรี่ยงสะกอมาสอนเด็ก ๆ โดยคณะหมอสอนศาสนาคริสเตียนได้นำเอาพระคัมภีร์เป็นตัวอักษรกะเหรี่ยงสะกอมาจากประเทศพม่ามาใช้ในการเผยแพร่ศาสนา (หน้า 19) ระดับการเรียนรู้ของหญิงกะเหรี่ยงบ้านผาแตกนั้นส่วนใหญ่อยู่ในระดับฟังและพูดได้ โดยเฉพาะภาษาไทยทางเหนือ (คำเมือง) แต่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับชายแล้วหญิงที่ฟังและพูดได้ยังมีน้อยกว่าชายมาก (หน้า 20)

Study Period (Data Collection)

ธันวาคม พ.ศ 2521 - กันยายน พ.ศ 2522

History of the Group and Community

ไม่มีข้อมูล

Settlement Pattern

การตั้งบ้านเรือนมักตั้งอยู่ใกล้ ๆ กันตามความสะดวก โดยทั่วไปประกอบด้วย ตัวบ้านซึ่งยกพื้นสูง 5-6 ฟุต ยุ้งฉางและลานบ้าน ไม่มีรั้วกั้น มีพื้นที่ทำสวนขนาดเล็กในบริเวณเดียวกัน มีคอกเลี้ยงหมูหรือคอกเลี้ยงวัวอยู่ใต้ถุนบ้าน (หน้า 4) การสุขาภิบาลในหมู่บ้านไม่ดีเท่าที่ควร และยังไม่มีการขุดส้วมใช้ (หน้า 5)

Demography

บ้านผาแตกมีจำนวนหลังคาเรือน 25 หลังคาเรือน (หน้า 2) จากการสำรวจมีอัตราการเกิดร้อยละ 1.6 และมีอัตราการเจริญพันธุ์ร้อยละ 15.8 กะเหรี่ยงสมัยก่อนถือการมีลูกมากเป็นแรงงานในครัวเรือน จึงไม่มีการวางแผนครอบครัว สุดแล้วแต่การตั้งครรภ์ แต่มีอัตราการตายของทารกมาก (หน้า 13) ปัจจุบัน เด็กได้รับการเลี้ยงดูที่ดีขึ้น และหญิงกะเหรี่ยงมองเห็นความลำบากในการเลี้ยงดูทารก จึงเห็นความสำคัญของการวางแผนครอบครัวมากขึ้น บุตรในอุดมคติของกะเหรี่ยงสะกอ มีเพียง 2 คน คือ หญิง 1 ชาย 1 คนเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงมีความเป็นไปได้น้อยมาก เนื่องจากไม่มีเงินพอที่จะจ่ายค่ายาและค่าเดินทางไปกลับ บางคนก็ไม่แน่ใจว่าบุตรเพียง 2 คนจะเพียงพอแก่ความต้องการของครอบครัว และบางคนก็คาดการณ์เอาเองว่าตนอายุมากแล้วคงจะไม่มีบุตรอีกต่อไป เมื่อเกิดการตั้งครรภ์อีกก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงจำเป็นต้องให้มีบุตรต่อไป (หน้า 14)

Economy

ข้าวเป็นปัจจัยที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ชาวเขาจะอยู่อย่างสบายถ้าปริมาณข้าวมีเพียงพอแก่การบริโภคตลอดปี เงินรายได้ที่ได้มาจากอุตสาหกรรมในครัวเรือน เช่น การจักสาน หรือ การรับจ้างแรงงาน (หน้า 6) บ้านผาแตก 25 หลังคาเรือน มี 19 หลังคาเรือนทำไร่ 2 ครัวเรือนทำนา 4ครัวเรือนช่วยทำไร่ข้าวและกินร่วมกับครัวเรือนอื่น มี 1 ครัวเรือนทำทั้งข้าวไร่และนาดำ ( หน้า 22) การทำนาดำของกะเหรี่ยงบ้านผาแตกต้องใช้เงินในการลงทุนเช่าควายมาไถนา เฉลี่ยหลังคาเรือนละ 200 บาท การประกอบอาชีพมี 2 ประเภทใหญ่ ๆ ที่นับว่าเป็นรายได้สำคัญคือ 1). การอุตสาหกรรมในครัวเรือน เช่น การจักสาน ภาชนะใส่เมี่ยงและตระกร้าเพาะต้นไม้ นอกจากนั้นยังมีการจักสานเสื่อและจักสานตอกไว้ขายอีกด้วย 2). การรับจ้างแรงงานและอาจจะมีรายได้จากการขายงาขาวที่ปลูกแซมในไร่ข้าวและขายของป่า เช่น หน่อไม้ น้ำผึ้ง เป็นต้น(หน้า 26) การรับจ้างแรงงานสังคมกะเหรี่ยง แต่โบราณหญิงไม่เคยรับจ้างแรงงานเพื่อหาเงินเป็นรายได้ นอกจากรับจ้างแรงงานในหมู่บ้านเพื่อแลกแรงงานเป็นข้าว เช่น ขนข้าวอัตรา 10 ปี๊บได้ข้าวเปลือก 2 ปี๊บ กำจัดวัชพืชได้ข้าวเหนียว 4 ลิตรต่อวัน ส่วนหน้าที่ในการหาเงินรับจ้างแรงงานกับคนพื้นราบเป็นหน้าที่ของชายเพราะชายพูดภาษาไทยเหนือเก่งกว่า เช่นการเกี่ยวหญ้าในไร่เมี่ยงของคนพื้นเมืองในหมู่บ้านใกล้เคียงในอัตรา วันละ 15-20 บาท หรือรับจ้างเก็บใบเมี่ยงในอัตรากำละ 40 สตางค์ (หน้า 27) แม้ว่าการรับจ้างจะยังไม่นิยมทำกันตลอดปี แต่ถ้างานรับจ้างทำให้มีรายได้พอกินตลอดปี กะเหรี่ยงก็คงประกอบอาชีพรับจ้างเป็นการถาวร รายจ่ายที่จำเป็นที่สุดที่ชาวบ้านผาแตกใช้เงินซื้อ คือ ข้าว ถ้าหากข้าวในยุ้งฉางหมด และการรับจ้างแรงงานในบางครั้งไม่เอาเป็นเงินแต่เอาเป็นข้าวมาบริโภคในครัวเรือน บางครัวเรือนซื้อวัสดุมาสร้างบ้าน เช่น กระเบื้องหรือสังกะสีมามุงแทนใบคา นอกจานนั้นมีการซื้อฝ้ายมาทอเป็นเสื้อผ้า ถุงย่าม ซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปและอาหารต่าง ๆ ส่วนใหญ่กะเหรี่ยงจะไม่เก็บเงินไว้แต่จะใช้ซื้อของใช้ในแต่ละปี จนถึงฤดูการเก็บเกี่ยวอีกครั้งหนึ่ง (หน้า 28)

Social Organization

ครัวเรือนเป็นศูนย์กลางของสมาชิกทุกคน ครัวเรือนในหมู่บ้านผาแตกโดยเฉลี่ย แสดงให้เห็นชัดถึงลักษณะของสังคมครอบครัวเดี่ยว (Nuclear Family) ซึ่งมักประกอบด้วย พ่อ แม่ และลูก โดยประเพณีที่ฝ่ายชายต้องไปอยู่บ้านของภรรยา (Matrilocal )เป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี จึงจะแยกครัวเรือนได้ (หน้า 5) บทบาทในครัวเรือนกะเหรี่ยงสะกอนั้นเหมือนกับบทบาทของสตรีในชนบทไทย คือทำงานตามพระอาทิตย์ ได้แก่ การตำข้าว การเก็บไม้ฟืน การประกอบอาหาร การหาอาหาร การตักน้ำใช้ การเลี้ยงสัตว์ และยังมีงานที่ต้องปฏิบัติเป็นบางช่วงเวลาคือ การทอผ้า การทำเหล้า (หน้า 7-9) ซึ่งภารกิจนี้จะลดน้อยลงเมื่อสมาชิกในครัวเรือนมีบุคคลที่จะใช้แรงงานได้ เช่น บุตรสาว หรือบุตรชาย ประเพณีการเลือกคู่ ส่วนใหญ่นิยมเลือกคนในสังคมกะเหรี่ยงด้วยกัน เนื่องจากมองว่า ผู้ชายไทยไม่มีความซื่อสัตย์ต่อภรรยา อย่างไรก็ตามหญิงสาวจะเลือกชายหนุ่มที่ตนชอบพอ แม้จะเป็นชายพื้นเมืองก็ไม่มีใครห้ามได้ แต่ถ้าเกิดปัญหาการหย่าร้างหรือปัญหาอื่น ๆ เกี่ยวกับการครองเรือน ก็จะไม่ได้รับการช่วยเหลือจากคนกะเหรี่ยงด้วยกัน การแต่งงาน พ่อแม่ของฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายพูดคุยกับพ่อแม่ฝ่ายชายก่อน เพื่อบอกกล่าวให้ทราบและย้ำความแน่ใจ จากนั้นพ่อแม่ของฝ่ายชายจึงจะไปสู่ขอ ชาวเขาจะกำหนดวันหมักดองเหล้าที่จะใช้ในงานพิธีก่อน เมื่อต้มเหล้าเสร็จ จึงกำหนดวันแต่งงานที่แน่นอน กะเหรี่ยงบ้านผาแตกและอีก 3 หมู่บ้านใกล้เคียงเรียกงานแต่งงานเป็นภาษาไทยเหนือว่า "การกินแขก" (หน้า 11) สำหรับคู่หนุ่มสาวที่ได้ร่วมประเวณีกันก่อนพิธีแต่งงานถือว่าผิดผีกะเหรี่ยง จะทำพิธีอย่างง่าย ๆ ในการที่จะได้อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวตามประเพณี คู่แต่งงานใหม่จะอยู่ช่วยงานในครัวเรือนของฝ่ายหญิงอย่างน้อย 1 ปี หากยังไม่แยกไปลูกสาวคนอื่นจะยังแต่งงานไม่ได้ น้องจะแต่งงานก่อนพี่ก็ได้แต่จะต้องนำข้าวของเครื่องใช้ เช่น ผ้า มาขอขมาต่อพี่ก่อน นอกจากนั้นหญิงที่สามีตายไปแล้ว ยังมีโอกาสแต่งงานใหม่ (หน้า 12-13)

Political Organization

หมู่บ้านกะเหรี่ยงสะกอแต่ละหมู่บ้านมีหมอผี หรือเรียกเป็นภาษากะเหรียงสะกอว่า "ยี่โคะ" ประจำหมู่บ้าน (หน้า 3) หญิงกะเหรี่ยงมีบทบาทในด้านการพัฒนาหมู่บ้านอยู่บ้างเหมือนกัน เช่น ช่วยซ่อมแซมบำรุงถนนในหมู่บ้าน แต่ส่วนใหญ่หญิงกะเหรี่ยงไม่ได้เข้าร่วมประชุมหมู่บ้าน และการประชุมซึ่งมีผู้ชายเป็นส่วนมาก ก็มิได้คำนึงถึงความเห็นของหญิงมากนัก (หน้า 21) การถางป่าโค่นป่าเพื่อการปลูกข้าวไร่ สตรีมีบทบาทตั้งแต่การตัดสินใจเลือกที่ แม้ว่าชายหัวหน้าครัวเรือนจะเป็นผู้ไปเลือกที่ที่ไร่ด้วยตนเอง แต่ถ้าภรรยาไม่เห็นด้วยก็ต้องเลือกที่ทำไร่ใหม่ (หน้า 22)

Belief System

ชาวบ้านผาแตกนับถือศาสนาพุทธและความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณและอำนาจที่ไม่มีตัวตน อันเป็นความเชื่อที่บรรพบุรุษถ่ายทอดกันมา (หน้า 5) มีผีอยู่ 2 ประเภทใหญ่ที่ชาวบ้านนับถือ คือ ผีบ้านและผีเรือน - ผีบ้าน เป็นผีประจำหมู่บ้านโดยมียี่โคะเป็นผู้นำทางผ่าน มีพิธีที่เรียกว่า "ถ่อกะจ่า" แปลว่า การขึ้นเจ้า เป็นการเลี้ยงผีบ้าน จัดขึ้นปีละประมาณ 2 ครั้งหรือมากว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่สงบภายในหมู่บ้าน สถานที่เลี้ยงผีทำกันที่ ศาล ซึ่งสร้างให้สิงสถิตอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน แต่จะอยู่ในระดับพื้นที่สูงกว่าหมู่บ้าน อาจจะมีการสร้างศาลนี้ใหม่ ถ้ามีการเปลี่ยน ยี่โดะ ผู้ทำพิธีหรือเมื่อ ยี่โดะพิจารณาว่าสมควรสร้างขึ้นใหม่ (หน้า 26) ปัจจุบันบ้านผาแตกห้ามหญิงไปร่วมในงานพิธีโดยให้เหตุผลว่าไม่เคยมีหญิงไปร่วมในพิธี แต่โบราณเมื่อครบ 3 ปีจะต้องเลี้ยงผีบ้านด้วยสัตว์ 4 เท้า เช่น หมูหรือควาย แต่เนื่องจากชาวเขามีฐานะยากจนจึงต้องการให้เลิกพิธีกรรมนี้แต่ คนทรงผีซึ่งเป็นคนพื้นเมือง เรียกกันว่า "เจ้านาย" ลงความเห็นว่าไม่สมควรให้เลิก เพราะจะทำให้ผลผลิตข้าวได้จำนวนน้อยลงจึงจำเป็นต้องจัดพิธีนี้ต่อไป - ผีเรือน เป็นผีบรรพบุรุษที่ตายไปแล้ว มีพิธีเลี้ยงผีเรือน โดยชายหัวหน้าครัวเรือนทำพิธี บุตรทุกคนรวมทั้งที่แยกครัวเรือนไปแล้วจะต้องมาร่วมในพิธีและหลานที่เกิดจากลูก ๆ จะต้องมาร่วมในพิธีนี้ด้วย พิธีเริ่มในเวลาเย็นหลังจากฆ่าไก่ทำพิธี และหุงต้มอาหารเสร็จ สมาชิกทุกคนจะนั่งเป็นวงกลมทุกคนจะเริ่มรับประทานอาหารเพียงคำเดียวเรียงลำดับไป (หน้า 17) จนครบทุกคนหัวหน้าครัวเรือนก็จะเอาข้าวและแกงเซ่นผีเรือน เป็นอันเสร็จพิธี และยังเชื่อว่ามีผีสถิตอยู่ในที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไร่ข้าวน้ำลำธาร และจะปฏิบัติพิธีกรรมเพื่อเป็นการอ้อนวอนขอขมา สะเดาะเคราะห์เพื่อรักษาโรคภัย และปฏิบัติพิธีกรรมตามวัฏจักรการเกษตร และตามประเพณีต่าง ๆ (หน้า 6 ) เช่น มีพิธีเลี้ยงผีไร่ ซึ่งทำหลังจากปลูกข้าวไปได้ประมาณ 2 เดือน จะทำพิธีนี้บริเวณตอผีไร่ในบริเวณไร่ข้าว ทุกคนในครัวเรือนจะไปร่วมหรือไม่ไปก็ได้ โดยพิธีนี้จะทำในตอนกลางวัน นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อและข้อห้าม เช่น ห้ามซื้อไก่สีขาวทำอาหารเลี้ยงแขกที่มาพักในครัวเรือน เพราะจะทำให้เกลียดกันระหว่างแขกและคนในครัวเรือน (หน้า 8) ห้ามหญิงมีประจำเดือนเด็ดดอกไม้หรือผักผลไม้ เพราะเชื่อว่าต้นไม้จะเฉาตาย ความเชื่อในเรื่องผีบรรพบุรุษของฝ่ายมารดาและการกลับชาติมาเกิด หากมีการคลอดที่ผิดปกติ กะเหรี่ยงจะถือว่ามีการกระทำที่นอกรีตนอกรอย หรือสาเหตุมาจากผีหรือวิญญาณต่าง ๆ และทารกจะต้องได้รับการดูดนมจากมารดาผู้ให้กำเนิดเท่านั้น ถ้ามารดาตายในการคลอด เด็กทารกจะต้องถูกปล่อยให้ตายตามไปด้วย (หน้า 13-15) อีกทั้งยังมี การทำบุญวันพระที่ปฏิบัติเหมือนกับคนไทยพื้นราบประเพณีขึ้นปีใหม่จัดขึ้นราวปลายเดือนมกราคมของทุกปีหมอผีจะเป็นผู้กำหนดว่าจะเอาวันใดเป็นวันขึ้นปีใหม่ โดยก่อนหน้าที่จะกำหนด จะบอกให้ทุกหลังคาเรือนเตรียมต้มเหล้าไว้ อาหารที่มักทำในวันขึ้นปีใหม่คือ แกงข้าวเบือ เป็นแกงข้าวผสมไก่ (หน้า 18) หลังประกอบอาหารเสร็จสมาชิกในครัวเรือนจะไปเชิญผู้อาวุโสที่คนนับถือมาผูกข้อมือให้ จะเป็นหญิงหรือชายก็ได้แต่ส่วนใหญ่มักเป็นชาย งานประเพณีปีใหม่นี้จากคำบอกเล่าของผู้อาวุโสบ้านผาแตก แตกต่างไปจากที่เคยทำแต่โบราณคือ ทุกครัวเรือนจะต้องเอาเหล้าไปร่วมพิธีรินรดพระธรณีที่บ้านยี่โดะ และทุกหลังคาเรือนจะรอให้ยี่โดะมาผูกข้อมือให้แต่เพียงผู้เดียว (หน้า 19)

Education and Socialization

ในสมัยก่อนกะเหรี่ยงทั้งชายและหญิงส่วนใหญ่อ่านและเขียนไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่มีภาษาประจำเผ่าของตน ต่อมาได้มีการรื้อฟื้นเอาตัวอักษรกะเหรี่ยงสะกอมาสอนเด็ก ๆ โดยคณะหมอสอนศาสนาคริสเตียน (หน้า 19) ระดับการเรียนรู้ของหญิงส่วนใหญ่อยู่ในระดับฟังและพูดได้โดยเฉพาะภาษาไทยเหนือ แต่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับจำนวนชายแล้วยังมีน้อยกว่า เนื่องจากอยู่ในถิ่นที่ห่างไกลความเจริญ การติดต่อค้าขายต้องเดินทางไกลจึงเป็นหน้าที่ของผู้ชาย แต่เมื่อความเจริญเข้าถึงหญิงจึงมีโอกาสพูดภาษาไทยเหนือมากขึ้น ปัจจุบันมีโรงเรียนชั่วคราวของศูนย์พัฒนาฯ จังหวัดเชียงใหม่เปิดสอนระดับประถมศึกษาปีที่ 4 ทั้งเด็กชายและเด็กหญิงมีโอกาสเท่าเทียมกันตามระบบการศึกษาไทย แต่เป็นที่น่าสังเกตุว่า จำนวนเด็กหญิงที่มาเรียนมีน้อยกว่าเด็กชาย ผลของการศึกษาทำให้เด็กอ่านพูดฟังภาษาไทยได้ พ่อแม่เด็กหญิงเห็นว่ามีประโยชน์จึงส่งลูกผู้หญิงเข้าเรียนมากขึ้น ในการศึกษาระดับสูงขึ้น ต้องเข้าไปศึกษาในเมือง โอกาสที่เด็กกะเหรี่ยงโดยเฉพาะเด็กหญิงจะได้รับการศึกษาสูงขึ้นมียาก เพราะครอบครัวยากจน และพบว่าเด็กกะเหรี่ยงมีปัญหามากในเรื่องความเป็นอยู่อย่างสังคมเมือง เด็กกะเหรี่ยงบางคนที่มีความมานะขวนขวายหาความรู้ โดยการทำงานในเมืองตอนกลางวันและเรียนหนังสือตอนกลางคืน หรือโดยการบวชเรียนเป็นสามเณรชาวเขาที่วัดศรีโสดา ซึ่งจะได้เรียนทั้งทางพระและสายสามัญ หรือได้รับทุนเล่าเรียนต่าง ๆ เช่น โรงเรียนตำรวจตระเวณชายแดน (หน้า 20-21)

Health and Medicine

ระบุไว้เพียงแต่ หญิงมีครรภ์จะทำงานชนิดเดียวกับตอนที่ยังไม่ตั้งครรภ์ บางรายเคยคลอดลูกขณะทำงานในไร่ซึ่งสามีจะเป็นผู้ช่วยทำคลอด แต่โดยทั่วไปคลอดที่บ้าน หมอตำแยซึ่งเป็นผู้หญิงด้วยกันจะช่วยทำคลอด หลังการคลอดหญิงกะเหรี่ยงจะทำงานอยู่ที่บ้าน การปฏิบัติเหมือนกับหญิงมีประจำเดือนทั่วๆ ไปคือการนุ่งซ้อนผ้าถุงหลายผืน เพื่อป้องกันการเปื้อนข้างนอก ไม่มีการใช้ผ้าอนามัย จะซักถุงชั้นในและทำความสะอาดเมื่อถึงเวลาอาบน้ำในตอนเย็น (หน้า 13) การคุมกำเนิดที่นิยมคือการฉีดยาเพียงอย่างเดียว จากการสำรวจไม่มีการทำหมันชายเนื่องจากเชื่อว่าการทำหมันจะทำให้ทำงานหนักในไร่ไม่ได้ มีการคุมกำเนิดแบบโบราณ โดยใช้ยาสมุนไพรที่ได้มาจากป่ามาต้มดื่มกิน ซึ่งมักใช้กับหญิงที่มีอายุมากแล้ว และไม่ต้องการมีบุตรอีกต่อไป เนื่องจากการกินยาสมุนไพรดังกล่าวถือว่าเป็นบาปและจะบอกเล่าต่อกันไม่ได้ เพราะผู้เล่าก็จะเป็นบาป ยาชนิดนี้จึงไม่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย (หน้า 14)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การทอผ้าเป็นงานของหญิงที่ต้องจัดหาเสื้อผ้าต่อสมาชิกในครัวเรือน เสื้อผ้าประจำเผ่าปัจจุบันยังมีการทอใช้อยู่ แม้ขั้นตอนบางอย่างจะเปลี่ยนไป เช่น ไม่มีการปั่นฝ้ายเป็นเส้นหรือการย้อมสีเอง แต่จะซื้อฝ้ายที่ทำสำเร็จแล้วจากตลาด หรือซื้อผ้าเป็นชิ้นจากพื้นราบ เช่น ผ้าดำ แล้วนำมาปักลูกเดื่อเป็นเสื้อของหญิงที่แต่งงานแล้ว ปัจจุบันการทอผ้า 1 ชิ้นเริ่มตั้งแต่การนำฝ้ายที่ซื้อมาชุบแป้งเพื่อตั้งทอ จนกระทั่งทอเสร็จจะใช้เวลาประมาณ 7-8 วัน ซึ่งการทอผ้านี้ หญิงกะเหรี่ยงจะทอเมื่อว่างจากกิจกรรมในไร่(หน้า 9) บ้านผาแตกมีการจักสานเป็นอาชีพรองจากการปลูกข้าว การจักสานที่ทำเงินได้มากที่สุดคือ ภาชนะใส่เมี่ยง และตระกร้าเพาะต้นไม้ นอกจากนั้นอาจมีการจักสานเสื่อและตอกไว้ขายอีกด้วย ภาชนะใส่เมี่ยง เป็นเครื่องจักสานที่ใช้ในภาคเหนือโดยเฉพาะ เรียกเป็นภาษาไทยเหนือว่า "ต่าง" เป็นรูปทรงกระบอกสูงประมาณ 75 เซ็นติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 45 เซ็นติเมตร ภาชนะ 1 อันบรรจุใบเมี่ยงได้ประมาณ 250-300 กำ ส่วนใหญ่ชายจะเป็นผู้จัดเตรียมวัสดุไม้โดยใช้เวลาทั้งวันไปหาไม้ไผ่เล่มใหญ่ ๆ ในป่าและจักผิวไม้เป็นรูปคล้ายจักตอกกว้างประมาณ 3/4 เซ็นติเมตรตามความยาวของไม้และขดเป็นวงกลมนำกลับบ้าน หญิงจะช่วยสานให้เป็นรูปร่าง (หน้า 26) ตระกร้าเพาะต้นไม้ เป็นงานที่หญิงกะเหรี่ยงสามารถทำได้เองเมื่อว่างจากงานในไร่ เสื่อ เป็นงานจักสานค่อนข้างละเอียด การสานจะต้องมีความสม่ำเสมอและเวลาสานจะต้องทำอย่างละเอียด ผู้ทำจะเป็นหญิงวัยชราเป็นส่วนใหญ่ ส่วนตอกเป็นวัสดุที่ใช้แทนเชือกหรือยางรัด ซึ่งในเวลาวันหนึ่ง ๆ จะทำได้จำนวน 400-500 เส้น (หน้า 27)

Folklore

กะเหรี่ยงมีเรื่องเล่าถึงสาเหตุที่เขาอ่านและเขียนอักษรกะเหรี่ยงสะกอไม่ได้ เพราะว่า พวกเขามัวแต่ไปทำไร่กันอยู่ ในขณะที่เทพเจ้าผู้สร้างโลกได้ประทานความรู้ให้แก่เผ่าพันธุ์ต่าง ๆ เมื่อไปไม่ทัน เทพเจ้าจึงฝากไว้ที่พี่ ๆ น้อง ๆ (ซึ่งหมายถึง คนไทย ฝรั่ง และชาติต่าง ๆ) แต่ผู้ที่รับฝากนำไปทิ้งไว้ในไร่ เมื่อหมูมาพบเข้าก็กินเข้าไปและถ่ายออกมา ไก่ก็ไปคุ้ยเขี่ย เมื่อกะเหรี่ยงมาพบจึงนำไก่ไปฆ่า แล้วนำความรู้จากไก่มาใช้ ซึ่งได้แก่การศึกษาเรื่องการทำนายจากกระดูกไก่ของกะเหรี่ยงในปัจจุบัน (หน้า 19)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ในการติดต่อกับสังคมภายนอก เช่น การค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้าของกะเหรี่ยงสะกอ ส่วนใหญ่เป็นบทบาทของชาย ทำให้ชายมีความรู้และมีประสบการณ์มากกว่าหญิง ทำให้มีอำนาจในการตัดสินใจ (หน้า 2) และในการเข้าศึกษาในระดับที่สูงขึ้นไป เด็กกะเหรี่ยงทั้งชายและหญิงต้องเข้าไปรับการศึกษาจากในเมือง แต่มีปัญหาในเรื่องการปรับตัวกับสังคมในเมืองเป็นอย่างมาก เช่นเด็กโรงเรียนบ้านผาแตกที่ได้รับการคัดเลือกไปศึกษาต่อในเมืองทุกคนอยู่ไม่ได้ ทางโรงเรียนจึงต้องส่งเด็กกลับไปอยู่กับครอบครัวตามเดิม (หน้า 20 )

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

1. แผนที่แสดงลักษณะการตั้งหมู่บ้านและระยะทางของ 4 หมู่บ้านได้แก่ บ้านผาแตก ผาเด่น แม่หลอด และแม่เจี้ยว (หน้า 3) 2. แผนผังของตัวบ้านของชาวกะเหรี่ยง ประกอบด้วย 2 ส่วนใหญ่คือ ชานหัวบันไดและห้องใหญ่ (หน้า 4) 3. ภาพที่ 1 : ปิรามิดโครงสร้างอายุประชากรกะเหรี่ยงบ้านผาแตก (หน้า 32)

Text Analyst จันทิวา ก๋าวงศ์อ้าย Date of Report 04 ต.ค. 2567
TAG กะเหรี่ยงสะกอ, บทบาทสตรี, สังคม, เศรษฐกิจ, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง