|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ผู้ไท,ประวัติศาสตร์,การเมืองการปกครอง,กาฬสินธุ์ |
Author |
ปียะมาศ อรรคอำนวย |
Title |
ชนเผ่าผู้ไทยกับการมีบทบาททางการเมืองบนเทือกเขาภูพาน ระหว่างปี พ.ศ. 2488 - 2523 |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ผู้ไท ภูไท,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
110 |
Year |
2545 |
Source |
หลักสูตรปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม |
Abstract |
ชนเผ่าผู้ไทยที่อพยพเข้ามาอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณแนวเทือกเขาภูพานกระจายอยู่ใน 6 อำเภอของจังหวัด ซึ่งมีสภาพที่เหมาะสมต่อการประกอบอาชีพ ทำให้มีผู้ไทยอยู่เป็นจำนวนมาก และมีบทบาททางการเมืองมากขึ้นเป็นลำดับ โดยภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เกิดขบวนการเสรีไทยในภาคอีสาน รวมทั้งในจังหวัดกาฬสินธุ์ จึงทำให้ผู้ไทยเริ่มมีบทบาททางการเมือง รวมถึงในช่วงปี พ.ศ. 2495-2500 ที่คอมมิวนิสต์ขยายอำนาจมาในชนบท ผู้ไทยก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมเป็นสมาชิกจำนวนมากเช่นกัน |
|
Focus |
งานวิจัยเน้นการอธิบายประวัติศาสตร์ด้านบทบาท และการเคลื่อนไหวทางการเมืองการปกครองของผู้ไทย ในช่วงปี พ.ศ. 2488 - 2523 |
|
Theoretical Issues |
ไม่มีการกล่าวถึงการใช้แนวทฤษฎีผู้วิจัยระบุว่าเป็นการศึกษาโดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการที่ผู้ไทยบริเวณเทือกเขาภูพานเข้าไปมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวของเสรีไทย (หน้า 1) ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และการปฏิบัติการของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย |
|
Ethnic Group in the Focus |
"ผู้ไทย" ที่อาศัยอยู่บริเวณเทือกเขาภูพาน โดยเฉพาะที่จังหวัดกาฬสินธุ์ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้วิจัยศึกษาประวัติศาสตร์ด้านการเมืองการปกครองของผู้ไทยในช่วงปี พ.ศ. 2488 - 2523 |
|
History of the Group and Community |
ผู้ไทยเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อพยพข้ามน้ำโขง เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ใน จ.กาฬสินธุ์ เมื่อปี พ.ศ. 2487 (หน้า 106) ซึ่งผู้ไทยที่อพยพจากลาวเข้ามาอยู่ในประเทศไทยนั้น เข้ามาตั้งแต่สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี (หน้า 2) จากนั้นในปี พ.ศ. 2369 เมื่อเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ตั้งตนเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อไทย และยกทัพเข้ามาตีเมืองนครราชสีมา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ยก ทัพไปปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ และกวาดต้อนครอบครัวผู้ไทยจากเมืองต่าง ๆ ของประเทศลาวให้เข้ามาอยู่ในหลายจังหวัดของ ภาคอีสาน คือ กาฬสินธุ์ สกลนคร มุกดาหาร นครพนม อุดรธานี ร้อยเอ็ด และอุบลราชธานี เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่จะตั้งถิ่นฐาน อยู่บริเวณแนวเทือกเขาภูพาน (หน้า 3) |
|
Settlement Pattern |
ตามที่ปรากฏในงานการศึกษากล่าวว่า ผู้ไทยตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ที่มีทิวเขาภูพานล้อมรอบ ปลูกบ้านเรือนอยู่ในที่ราบกลางหุบเขา ซึ่งผู้ไทยเดิมนั้นที่ภูมิลำเนาอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน (หน้า 1) เมื่อครั้งอพยพจากประเทศลาวเข้าสู่ประเทศไทยในปี พ.ศ. 2369 ครอบครัวผู้ไทยได้เข้ามาอยู่ในหลายจังหวัดของภาคอีสาน คือ กาฬสินธุ์ สกลนคร มุกดาหาร นครพนม อุดรธานี ร้อยเอ็ด และอุบลราชธานี ซึ่งส่วนใหญ่จะตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณแนวเทือกเขาภูพาน เพราะมีความเคยชินกับสภาพป่าและภูเขา (หน้า 3) สำหรับในจังหวัดกาฬสินธุ์ มีผู้ไทยตั้งบ้านเรือนอยู่ในพื้นที่ 8 อำเภอ ได้แก่ อ.กุฉินารายณ์ อ.เขาวง อ.คำม่วง อ.สมเด็จ อ.ห้วยผึ้ง อ.สหัสขันธ์ กิ่งอำเภอนาคู และกิ่งอำเภอสามชัย (หน้า 5-6) เมื่อเข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ ทุกคนจะต้องมีเปลประจำตัว สำหรับแขวนนอนตามต้นไม้ หรือนำกิ่งไม้ ฟางหญ้า มาปูนอนหรือหากอยู่ตามฐานจะสร้างบ้านเรือนแบบง่ายๆ โดยใช้วัสดุที่มีตามธรรมชาติ และสามารถทำลายได้ง่าย (หน้า 70) หลังจากที่ออกจากการที่เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ แล้วเข้าเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย โดยยอมรับระบบเสรีประชาธิปไตย ที่อพยพเข้ามาในจังหวัดกาฬสินธุ์ ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณที่ราบตามแนวเทือกเขาภูพานห่างจากตัวจังหวัดไปทางทิศเหนือ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีพื้นที่เหมาะสมกับการเพาะปลูก (หน้า 100) โดยการตั้งบ้านเรือนเดิมนั้นจะตั้งอยู่อย่างกระจัดกระจาย มีลักษณะเป็นหลังคาสูง มุงแฝก ฝาเรือนใช้ไม้ไผ่สานขัดกันแล้วกั้นเป็นห้องเล็กๆ มีใต้ถุนสูง ใช้สำหรับทำข้าวของเครื่องใช้ แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไป (หน้า 101) |
|
Economy |
งานวิจัยกล่าวว่าผู้ไทยเคยชินกับสภาพแวดล้อมแบบป่าเขา มีนิสัยชอบล่าสัตว์ และประกอบอาชีพด้านการเกษตร ได้แก่ ทำไร่ ทำนา เลี้ยงสัตว์ ทอผ้า จักสาน นอกจากนี้ยังอาศัยการรับจ้าง ทำไร่ ทำนา ในการหาเลี้ยงชีพด้วย (หน้า 6) แต่เมื่อเข้าสู่ระบบของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งบางครั้งต้องดำเนินชีวิตอยู่ในป่า ต้องใช้ชีวิตเรียบง่าย และหากนตามธรรมชาติ (หน้า 70) ซึ่งผู้ไทยดั้งเดิมคือทำนา รองลงมาคือการทอผ้า และเลี้ยงสัตว์ โดยการทอผ้านั้นปัจจุบันสามารถสร้างรายได้และชื่อเสียงให้กับชาวกาฬสินธุ์ ซึ่งปกติมักจะทอผ้าหลังว่างจากการทำนา (หน้า 102) การทำไร่ก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งของผู้ไทย ซึ่งมักทำไร่อ้อย ไร่มันสำปะหลัง เพราะความเหมาะสมของสภาพภูมิศาสตร์ (หน้า 103) |
|
Social Organization |
ในงานการศึกษาได้กล่าวว่าเมื่อผู้ไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์ ก็ได้มีพิธีแต่งงาน ซึ่งเมื่อชายชอบหญิง จะมีการเสนอจัดตั้งปรึกษากันและเรียกฝ่ายหญิงมาสอบถาม หากตกลงกันได้ จะต้องแจ้งพรรค และจะมีพิธีสู่ขออย่างง่าย ๆ มีพิธีส่งตัวเหมือนแต่งงานทั่วไป แต่หลังจากแต่งงานเสร็จ จะต้องกลับมาปฏิบัติงานตามปกติ (หน้า 75) ซึ่งตามปกติแล้วผู้ไทยจะอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ (หน้า 101) |
|
Political Organization |
ในงานการศึกษากล่าวว่าเดิมนั้นผู้ไทยที่เจ้าเมืองปกครอง คอยดูแลความสงบสุขของบ้านเมือง ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นการปกครองส่วนท้องถิ่น มีผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครอง (หน้า 6) ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ได้มีการจัดตั้งคณะไทยอิสระหรือเสรีไทย เพื่อต่อต้านญี่ปุ่น ซึ่งมีสมาชิกหลายกลุ่ม รวมถึงสมาชิกจากภาคอีสาน มีการจัดตั้งค่ายฝึกหัดอาวุธเรียกว่า "พลพรรค" โดยการเข้าร่วมขบวนการเสรีไทยมีทั้งชาวพื้นเมืองไทย-ลาว และผู้ไทยในจังหวัดกาฬสินธุ์ ที่ได้รับการฝึกอาวุธจากค่ายเสรีไทยหน่วยมหาสารคาม (หน้า 7) ทั้งนี้เพราะเป็นหมู่บ้านที่อยู่ใกล้แนวเทือกเขาภูพาน (หน้า 21) และหลายคนมีบทบาทหน้าที่ที่สำคัญในขบวนการเสรีไทยหน่วยพื้นที่ภาคอีสาน นอกจากนี้เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์เข้าเข้ามามีบทบาทในภาคอีสานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2468 และเข้ามายังท้องที่ 8 อำเภอของจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งราษฎรส่วนใหญ่เป็นผู้ไทย ถูกชักชวนให้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ ได้มีการตั้งหน่วยงานขึ้นตามหมู่บ้านต่าง ๆ และทำสงครามกับฝ่ายรัฐบาลมาโดยตลอด จึงถูกรัฐบาลปราบปรามอย่างรุนแรง (หน้า 8-11) ซึ่งจากเหตุการณ์ทั้งสองจะเห็นได้มีส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้ไทยเข้าไปมีบทบาททางการเมืองการปกครอง |
|
Belief System |
ผู้ไทยที่เข้ามาอยู่ใน จ.กาฬสินธุ์ นับถือพุทธศาสนา จึงมีประเพณีทางพุทธศาสนาเหมือนกับชาวอีสานทั่วไป เช่น ทำบุญกฐิน ทำบุญออกพรรษา ทำบุญสงกรานต์ ทำบุญพระเวส เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามยังมีความเชื่อดั้งเดิมที่มีบทบาทต่อการดำรงชีวิต โดยเฉพาะความเชื่อเกี่ยวกับการนับถือผี ซึ่งมีทั้งผีบรรพบุรุษ ที่เชื่อว่าเป็นผู้คอยดูแลพฤติกรรมของลูกหลาน หากมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดี จะต้องมีการเซ่นสรวงตามที่ผีต้องการ นอกจากนี้แล้วยังมีการเซ่นไหว้ผีเรือน (หน้า 6) และผีประจำหมู่บ้านโดยจะมีศาลปู่ตาเป็นสิ่งที่สิงสถิต และคุ้มครองคนในหมู่บ้าน แต่ปัจจุบันวัดมีบทบาทสำคัญในการเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในหมู่บ้าน (หน้า 101) |
|
Education and Socialization |
ในงานการศึกษาได้กล่าวไว้เกี่ยวกับการให้การศึกษาว่า เดิมผู้ไทยนิยมส่งบุตรหลานไปศึกษาที่วัด เพราะยังไม่มีโรงเรียน และผู้ที่ได้เรียนส่วนใหญ่มักเป็นผู้ชาย ซึ่งจะมีการเรียนคาถาเวทมนต์ต่าง ๆ ในการรักษาโรค ส่วนผู้หญิงมักจะเรียนวิธีการ "เหยา" ซึ่งได้รับการสืบทอดจากบรรพบุรุษ (หน้า 103) เมื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยว่าให้มีความคิดแบบเหมาเจ๋อตุง และให้การศึกษาอบรมตามทฤษฎีของลัทธิมาร์ค-เลนิน โดยทุกคนต้องปฏิบัติ ไม่ต่อต้าน ขัดขืน (หน้า 62) ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยจะเน้นการให้การศึกษาแก่ผู้ไทยมาก เนื่องจากผู้ไทยส่วนใหญ่มีพื้นฐานความรู้เพียงระดับประถมศึกษา หรือไม่ได้รับการศึกษาเลยก็มี (หน้า 68) นอกจากนี้ ยังมีการให้การศึกษาอบรมการทหาร การใช้อาวุธ การยุแหย่ชักนำชาวบ้านให้ต่อสู้กับฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ (หน้า 72) สำหรับในด้านการถ่ายทอดทางสังคมวัฒนธรรมทั้งในด้านการประกอบอาชีพ และความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับการทอผ้า เพื่อเป็นการสืบทอด (หน้า 102) สำหรับในปัจจุบันรัฐได้ส่งเสริมให้ประชาชนได้รับการศึกษา ดังนั้นจึงมีโรงเรียนในระดับต่าง ๆ ประจำหมู่บ้าน และอำเภอ และมีการให้ทุนการศึกษา และให้การศึกษาฟรี (หน้า 103) |
|
Health and Medicine |
งานวิจัยกล่าวไว้เกี่ยวกับด้านการแพทย์ของพรรคคอมมิวนิสต์ว่า มีการส่งสมาชิกทั้งหญิงชายไปศึกษาทางด้านการแพทย์ และต้องกลับมาประจำยังหน่วยต่าง ๆ เพื่อรักษาสมาชิกที่ป่วย หรือบาดเจ็บจากการต่อสู้ (หน้า 62) และยามีความจำเป็นมากในการใช้ชีวิตอยู่ในป่า นอกจากนี้ด้านการรักษาพยาบาล ทางพรรคจะมีการแยกผู้บาดเจ็บเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทผู้นำ และผู้ถูกนำ ซึ่งหากเป็นผู้นำจะได้รับการดูแลรักษาพยาบาลอย่างดี ซึ่งแตกต่างกับผู้ถูกนำ (หน้า 71) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผู้วิจัยได้กล่าวถึงการทอผ้าของผู้ไทยว่ามีการทำ ผ้าขิด ผ้ามัดหมี่ ผ้าขาวม้า ผ้าโสร่ง ผ้าพื้นสีต่าง ๆ และผ้าสไบ ซึ่งนิยมเรียกกันว่าผ้าแพรวา นอกจากนี้ ผู้ไทยยังมีความถนัดในการจักสาน เช่น กระบุง ตะกร้า ฝักพร้า ขันหมาก กะหยัง ซึ่งเป็นของใช้ในครัวเรือน (หน้า 102) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ผู้ไทยยังคงรักษาเอกลักษณ์ที่เป็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ไว้โดยการผสมผสานวัฒนธรรมประเพณีของชาวไทย - ลาว ไว้เป็นของตนด้วย (หน้า 102) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในงานการศึกษากล่าวว่าปัจจุบันผู้ไทยมีการปลูกบ้านเรือนเหมือนอย่างคนไทย - ลาวอย่างคนอีสานทั่วไป เป็นเรือนทรงปั้นหยา ใต้ถุนสูง ปูพื้นด้วยกระดานไม้ไผ่ ใช้เสาไม้แก่น และมีเครื่องสาธารณูปโภคต่าง ๆ ที่สะดวกสบายขึ้น (หน้า 101) |
|
Map/Illustration |
แผนที่แสดงที่ตั้งหมู่บ้านผู้ไทยรอบเทือกเขาภูพาน (หน้า4) แผนที่แสดงการแบ่งเขตปกครองและการปฏิบัติงานของพรรคคอมมิวนิสต์ใน จ.กาฬสินธุ์ (หน้า10) แผนภูมิโครงสร้างการปฏิบัติงานของขบวนการเสรีไทยหน่วยสกลนคร (หน้า17) แผนภูมิโครงสร้างการปฏิบัติงานของขบวนการเสรีไทยหน่วยมหาสารคาม (หน้า18) แผนผังแสดงที่ตั้งค่ายบ้านนาคู หน่วยมหาสารคาม (หน้า20) แผนผังค่ายที่พักหน่วยมหาสารคาม (หน้า26) แผนผังที่ตั้งสนามบินบ้านนาดู (หน้า44) แผนที่หมู่บ้านที่มีการตั้งหน่วยงานของ พคท. ในเขตอำเภอคำม่วง (หน้า51) แผนที่หมู่บ้านที่มีการตั้งหน่วยงานของ พคท. ในเขตอำเภอเขาวง (หน้า52) แผนที่หมู่บ้านที่มีการตั้งหน่วยงานของ พคท. ในเขตอำเภอกุฉินารายณ์ (หน้า53) แผนที่หมู่บ้านที่มีการตั้งหน่วยงานของ พคท. ในเขตอำเภอนาดู (หน้า54) แผนที่หมู่บ้านที่มีการตั้งหน่วยงานของ พคท. ในเขตอำเภอสามชัย (หน้า55) แผนที่หมู่บ้านที่มีการตั้งหน่วยงานของ พคท. ในเขตอำเภอสมเด็จ (หน้า56) แผนภูมิการบริหารงานระดับเขตของพรรคคอมมิวนิสต์ในจังหวัดกาฬสินธุ์ (หน้า66) แผนภูมโครงสร้างการบริหารงานของพรรคคอมมิวนิสต์ (หน้า67) แผนภูมิขอบเขตปฏิบัติงานของพรรคคอมมิวนิสต์ในภาคต่างๆ ของไทย (หน้า79) แผนภูมิการบริหารงานระดับอำเภอของจังหวัดกาฬสินธุ์ (หน้า80) |
|
|