|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ผีปู่ตา,ความเชื่อ,มหาสารคาม |
Author |
ศิริรักษ์ จรัณยานนท์ |
Title |
ความเชื่อผีปู่ตาของชาวบ้านหนองตื่น ตำบลเขวา อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
85 |
Year |
2542 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาไทยคดีศึกษา (เน้นสังคมศาสตร์) มหาวิทยาลัยมหาสารคาร |
Abstract |
ความเชื่อผีปู่ตาของชาวบ้านหนองตื่น ตำบลเขวา อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เป็นความเชื่อที่ส่งผลต่อสภาพสังคมและวิถีชีวิตของชาวบ้านเป็นอย่างมาก ชาวบ้านมีความเชื่อถือเกรงกลัวต่อผีปู่ตาซึ่งเป็นผีบรรพบุรุษอย่างเข้มข้น พิธีกรรมเลี้ยงผีมีขึ้นในทุกเดือนเจียง (เดือนยี่) และเดือนหกทุกปี เพื่อเป็นการบอกกล่าวก่อนที่จะทำนา เพื่อให้ผีปู่ตาบันดาลความอุดมสมบูรณ์มาให้ และเลี้ยงหลังจากเก็บผลผลิต เพื่อบอกผีปู่ตาถึงผลผลิตที่ได้ หรือเลี้ยงผีปู่ตาเมื่อมีการผิดผีทุกครั้ง ผีปู่ตาเป็นที่พึ่งทางใจของชาวบ้านหนองตื่น ชาวบ้านจะบ๋า (บนบาน) และขอความคุ้มครองจากผีปู่ตาเป็นจำนวนมาก ผีปู่ตาจะคอยให้ความช่วยเหลือเมื่อมีปัญหาและเรื่องทุกข์ร้อน การประกอบพิธีกรรมเลี้ยงเซ่นไหว้ผีปู่ตาจึงเป็นการแสดงความกตัญญูที่ชาวบ้านมีต่อผีปู่ตา สร้างความร่วมมือร่วมใจ ความสามัคคี จ้ำผู้เป็นตัวแทนผีปู่ตายังเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยเรื่องขัดแย้งช่วยสร้างเอกภาพให้กับชุมชน นอกจากนี้ ความเชื่อผีปู่ตายังสามารถช่วยรักษาความสมดุลของระบบนิเวศน์โดยเฉพาะบริเวณดอนปู่ตา (หน้า 4,21,22,44,80, 82) |
|
Focus |
ศึกษาความเชื่อเกี่ยวกับผีปู่ตาที่มีบทบาทต่อชาวบ้านหนองตื่น (หน้า 4) |
|
Theoretical Issues |
ได้นำทฤษฎีของราล์พ ลินตัน (Ralph Linton) และทฤษฎีของพาร์สัน (Parsons) ซึ่งอธิบายในเรื่องบทบาทของความเชื่อ โดยทฤษฎีของราล์พ ลินตัน (Ralph Linton) ได้กล่าวถึงสถานภาพจะเป็นผู้กำหนดบทบาทให้ และทฤษฎีของพาร์สัน (Parsons) กล่าวถึงบทบาทว่า เป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ในสังคม ทำให้มนุษย์เพิ่มบทบาทของตน (หน้า 8) ในการศึกษาบทบาทความเชื่อผีปู่ตาที่มีต่อชุมชน ผู้ศึกษาได้แบ่งบทบาทออกเป็นด้านต่าง ๆ ได้แก่ บทบาทที่มีต่อครอบครัวและชุมชน เป็นการแสดงความกตัญญูต่อผีปู่ตา ที่คุ้มครองให้พ้นจากทุกข์ภัยต่าง ๆ บทบาทในด้านการรักษาพยาบาลและที่พึ่งทางใจ การสร้างเอกภาพในชุมชน ด้วยการอบรมสั่งสอนไม่ให้ทะเลาะวิวาททำให้เกิดความสามัคคีกันในหมู่บ้าน การควบคุมพฤติกรรมสังคมชุมชน ถ้าประพฤติไปในทางไม่ดี ผีปู่ตาไม่พอใจ ก็จะทำให้เกิดความเจ็บป่วย การแก้ปัญหาชุมชน จะมีจ้ำเป็นตัวแทนของผีปู่ตาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยปัญหาข้อขัดแย้ง บทบาททางศาสนาที่มีการนำพุทธศาสนาเข้ามาควบคู่กับการนับถือผีปู่ตา บทบาทที่มีต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ในการทำการเกษตรทุกครั้งจะต้องมีการบอกกล่าวผีปู่ตา เพื่อให้ช่วยดลบันดาลให้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ หรือกราบไหว้เพื่อให้ทำมาค้าขายดี และบทบาทที่มีต่อระบบนิเวศน์ เพราะบริเวณดอนปู่ตาจะมีสภาพป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านจะไม่กล้าไปทำลาย เชื่อว่าถ้าใครไปทำลายผีปู่ตาจะลงโทษ (หน้า 63-74, 80) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2538 ถึง 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 (หน้า 7) |
|
History of the Group and Community |
ชาวหมู่บ้านหนองตื่นได้ตั้งถิ่นฐานเมื่อประมาณ 170 ปีมาแล้ว เมื่อเริ่มตั้งถิ่นฐานครั้งแรก ชาวบ้านได้กำหนดพื้นที่ป่าของหมู่บ้านเป็นดอนปู่ตา มีพื้นที่ ปัจจุบัน 47 ไร่ โดยล้อมรั้วปักเขตแดนไว้ (หน้า 3-4) มีผู้เล่าถึงประวัติบ้านหนองตื่นแตกต่างกัน บ้างเล่าว่า ชาวบ้านหนองตื่นบางกลุ่มเดินทางจากหมู่บ้านโพนงาม จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อมานมัสการปรางค์กู่บ้านเขวา ขณะพักแรมเห็นว่า พื้นที่ทิศใต้ของปรางค์กู่มีทำเลเหมาะในการทำการเกษตร จึงได้ถากถางป่าเพื่อสร้างเป็นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำการเกษตร มีคำบอกเล่าอีกอย่างหนึ่งว่า เดิมชาวบ้านหนองโด จังหวัดร้อยเอ็ด ได้อพยพมาตั้งบ้านเรือนอยู่ก่อน เพราะเห็นทำเลเหมาะกับการเกษตรกรรม จึงถากถางตั้งบ้านเรือนและทำการเกษตร ต่อมามีชาวบ้านโนนสังข์ จังหวัดร้อยเอ็ด อพยพเข้ามาเพิ่ม ทำให้กลายเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ และที่ชื่อหนองตื่นเพราะว่าชาวบ้านได้ยินเสียงอุจจาระและผายลมของพรานผู้หนึ่งตกใจนึกว่าเสียงเสือร้องจึงไปบอกเพื่อนบ้าน (หน้า 19-20) |
|
Settlement Pattern |
ลักษณะของหมู่บ้านจะมีดอนปู่ตาซึ่งมีลักษณะเป็นพื้นที่ป่าล้อมรั้วไว้อย่างชัดเจนอยู่ห่างจากหมู่บ้าน (หน้า 4) ทางทิศเหนือและทิศตะวันออกของดอนปู่ตาติดกับทุ่งนา ทางทิศตะวันตกและทิศใต้ ติดกับบ้านเรือนของชาวบ้าน (หน้า 38) |
|
Demography |
บ้านหนองตื่น หมู่ที่ 7 มีจำนวนประชากรในหมู่บ้านทั้งหมด 634 คน ประกอบด้วย ชาย 324 คน หญิง 310 คน จำนวนครัวเรือน 135 ครัวเรือน จัดแบ่งเป็นคุ้มต่างๆ ได้แก่ - คุ้มดอนจันทร์ จำนวน 28 ครอบครัว - คุ้มโรงเรียน จำนวน 32 ครอบครัว - คุ้มหนองกระทุ่ง จำนวน 24 ครอบครัว - คุ้มกลาง จำนวน 27 ครอบครัว - คุ้มวัดใต้ จำนวน 24 ครอบครัว (หน้า 28) |
|
Economy |
อาชีพหลัก คือ การทำนา มีการทำนาปีละครั้งตามฤดูกาล โดยอาศัยแหล่งน้ำตามธรรมชาติ คือ น้ำฝน น้ำจากห้วยแอ่ง สระวัด และสระดอนตาปู่ (ดอนปู่ตา) ก่อนลงมือทำนาจะต้องทำพิธีเลี้ยงผีปู่ตาก่อนทุกครั้ง เพื่อแสดงถึงความกตัญญู และช่วยดลบันดาลให้มีผลผลิตอุดมสมบูรณ์ (หน้า 73) นอกจากนี้ ยังมีอาชีพทำสวนและทำไร่ที่ทำเสริมจากการทำนา เมื่อทำนาเสร็จสิ้นแล้ว ชาวบ้านจะไถพรวนดินใหม่และลงมือเพาะปลูกพืชชนิดต่าง ๆ เช่น ผักกาด ผักกะหล่ำปลี แตงกวา ถั่ว เป็นต้น นำผลผลิตไปจำหน่ายที่ตลาดภายในจังหวัด ชาวบ้านบางส่วนทำไร่มันสำปะหลัง มี 1 ครัวเรือนทำไร่ยูคาลิปตัสโดยมีพ่อค้ามารับไม้ยูคาลิปตัสที่หมู่บ้าน อาชีพเลี้ยงสัตว์เป็นอีกอาชีพเสริมหนึ่งของชาวบ้านหนองตื่น สัตว์ที่เลี้ยงกันมาก คือ โคพันธุ์ รองลงมาคือ สุกร การทอผ้าจะทำกันในฤดูกาลที่ว่างเว้นจากการทำนา ผ้าที่นิยมทอเป็นผ้าขะม้า และมีการทอผ้าซิ่นไหมบ้างเป็นส่วนน้อย มีทั้งที่นำไปจำหน่ายและเพื่อเก็บไว้ใช้ในครัวเรือน ชาวบ้านบางส่วนเดินทางไปทำงานรับจ้างในตัวเมือง บางส่วนรับจ้างเป็นลูกจ้างที่วิทยาลัยเกษตรกรรมมหาสารคาม บางส่วนเดินทางไปรับจ้างยังจังหวัดต่าง ๆ เช่น กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ปทุมธานี ส่วนใหญ่จะไปทำงานตามโรงงานอุตสาหกรรม อาชีพรับราชการ ได้แก่ รับราชการครู ตำรวจ พยาบาล ถือเป็นอาชีพที่มีเกียรติมากที่สุด ถือว่าเป็นอาชีพที่มั่นคงและสบาย (หน้า 23-25) |
|
Social Organization |
การจัดระเบียบสังคมของชุมชนเชื่อมโยงกับระบบความเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อเรื่อง "ผีปู่ตา" ชาวบ้านมีความเชื่อถือเกรงกลัวต่อผีปู่ตาอย่างเข้มข้นส่งผลต่อสภาพสังคมและวิถีชีวิตของชาวบ้านเป็นอย่างมาก เช่น ในปีหนึ่ง ๆ จะมีชาวบ้านบ๋า (บนบาน) และขอความคุ้มครองจากเจ้าปู่ตาเป็นจำนวนมาก (หน้า 4) ผีปู่ตาเป็นผีบรรพบุรุษ ที่คอยให้ความช่วยเหลือเมื่อมีปัญหาและเรื่องทุกข์ร้อน การประกอบพิธีกรรมเลี้ยงเซ่นไหว้ผีปู่ตาจึงเป็นการแสดงความกตัญญูที่ชาวบ้านมีต่อผีปู่ตา (หน้า 21) ปู่ตาทำหน้าที่เป็นสถาบันทางกฎหมายของหมู่บ้าน เมื่อประกอบพิธีกรรมต้องได้รับความยินยอมจากปู่ตาก่อน (หน้า 39) หน้าที่ในการดูแลรักษาดอนปู่ตาเป็นหน้าที่ของทุกคน กลุ่มที่เป็นผู้นำในการดูแลป่าดอนปู่ตา คือ กลุ่มกรรมการหมู่บ้าน ผู้อาวุโส และจ้ำ (หน้า 40) จะเห็นได้ว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงให้ความเคารพนับถือผู้อาวุโส (หน้า 35) จ้ำซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการปรนนิบัติปู่ตา จะเป็นผู้อาวุโสที่เป็นคนดีมีคุณธรรม และรู้เรื่องพิธีกรรมต่าง ๆ เป็นอย่างดี (หน้า 40) พิธีกรรมเลี้ยงผีปู่ตาเป็นการเน้นย้ำความเชื่อตลอดจนกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่พึ่งปฏิบัติและไม่ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ เป็นกระบวนการทางสังคมอย่างหนึ่งซึ่งมีการส่งทอดความรู้ทางสังคมและกฏหมายประเพณีต่อไปยังคนรุ่นหลังโดยผ่านพิธีกรรม โดยมีผู้อาวุโสเป็นหลักในการอบรมสั่งสอนลูกหลานให้ใช้ชีวิตอยู่ในครรลองความถูกต้อง และเป็นการกระชับความสัมพันธ์ที่ดีของกลุ่มเครือญาติ (หน้า 44) |
|
Political Organization |
บ้านหนองตื่น มีการปกครองภายในหมู่บ้านด้วยผู้นำที่เป็นทางการ คือ ผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน มีผู้ทรงคุณวุฒิ 2 คน นอกจากนี้ยังมีผู้นำที่ไม่เป็นทางการที่ชาวบ้านเลือกขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนของแต่ละคุ้ม ทำหน้าที่ติดต่อประสานงานให้แก่ชาวบ้านที่อยู่ในคุ้มให้รับทราบข่าวสาร หรือมีหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบตามที่คณะผู้ปกครองหมู่บ้านมอบหมายให้ (หน้า 33) |
|
Belief System |
ชาวบ้านหนองตื่นนับถือศาสนาพุทธ มีวัดประจำหมู่บ้าน 1 แห่ง คือ วัดสีชมภู เป็นวัดที่ตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน ชาวบ้านหนองตื่นจะถือปฏิบัติตามประเพณีเหมือนชาวอีสานโดยทั่ว ๆ ไป (หน้า 34) นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเรื่องผีปู่ตา โดยมีการผสมผสานกันระหว่างศาสนาพุทธและความเชื่อเรื่องผีอย่างกลมกลืนกัน เช่น ในพิธีกรรมของงานประเพณีต่างๆ ทางพุทธศาสนา จะต้องมีการบอกกล่าวผีปู่ตาทุกครั้ง (หน้า 71) ผีปู่ตาเป็นผีบรรพบุรุษของชาวบ้านที่มีมาพร้อมกับการตั้งบ้านเรือน เชื่อว่าผีปู่ตา คือ อารักษ์ของหมู่บ้าน รักษาทรัพย์สิน ความปลอดภัยจากโจรผู้ร้าย ไฟไหม้ ลมพายุ ชาวบ้านจะสร้างดอนปู่ตาบริเวณที่มีป่าไม้มาก อยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน ชาวบ้านเชื่อว่าผีปู่ตาจะเป็นผู้ที่รักษาป่าไม้ไว้ได้ ถ้าใครบุกรุกพื้นที่ดอนปู่ตา ผู้นั้นจะถูกลงโทษให้มีอาการเจ็บป่วย (หน้า 36-37) จ้ำ เป็นบุคคลที่มีหน้าที่โดยตรงที่จะคอยปรนนิบัติผีปู่ตา ซึ่งเป็นคนที่ชาวบ้านเลือก โดยเลือกคนที่มีความรู้ในเรื่องไสยศาสตร์ มีคุณงามความดีและมีคุณธรรม เป็นผู้อาวุโส มีความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม มีความรู้ในพิธีกรรมต่างๆ เป็นอย่างดี รวมทั้งเป็นที่เคารพนับถือของคนในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียง (หน้า 40) พิธีกรรมเลี้ยงผีมีขึ้นในทุกเดือนเจียง (เดือนยี่) และเดือนหกทุกปี หรือเลี้ยงเมื่อมีการผิดผีทุกครั้ง (หน้า 44) ครั้งแรกจัดในเดือน 6 ทำก่อนลงทำนาเพื่อบอกกล่าวให้ผีปู่ตาได้รับทราบ ขอให้ปู่ตาให้ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ ฝนตกตามฤดูกาล ครั้งที่ 2 ทำในเดือนเจียง เพื่อบอกกล่าวให้ผีปู่ตาได้รับทราบถึงผลผลิตที่ทำ (หน้า 51) สิ่งที่ใช้ในพิธีกรรม ได้แก่ ไก่ จะต้มหรือปิ้งก็ได้ หรืออาจเป็นไก่กุ้ม (ไข่ไก่) ก็ได้ ขอดวัว ขอดควาย ขอดคน ซึ่งจะทำจากใบตองฉีกสั้น ๆ เท่ากับจำนวนสมาชิกในครอบครัว ทั้งคนและสัตว์ มัดเป็นปมแยกกัน ข้าวนึ่งสุก ดอกไม้สีขาว ใช้เป็นดอกพุด ดอกมะลิหรือดอกบัวก็ได้ ธูปเทียน เหล้าอีเหมิง หมายถึง เหล้าที่ใช้ในการประกอบพิธี โดยใช้แกลบใส่กระบอกไม้ไผ่ หรือ กะลามะพร้าว เหล้าขาว และอาหาร (หน้า 52-57) ในพิธีหลังถวายอาหารจะมีพิธีเสี่ยงทายโดยใช้ขาไก่และคางไก่ เพื่อดูความอุดมสมบูรณ์ของข้าวปลาอาหารและฝนฟ้า หลังเสร็จพิธีแล้วชาวบ้านจะรับเศษ (อาหารที่ใช้ในพิธี) จากปู่ตามารับประทานร่วมกัน (หน้า 59) ชาวบ้านหนองตื่นจะนิยมการบนบานหรือ "บ๋า" กับผีปู่ตาโดยผ่านจ้ำ เรื่องที่มาบนบานส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการทำมาหากิน และเรื่องการสอบเข้าเรียน เรื่องที่บนบานไม่ได้เลยคือเรื่องเกี่ยวกับการผิดกฎศีลธรรม ในการบนสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ เหล้าและไก่ (หน้า 45,47) เมื่อบนแล้วประสบผลสำเร็จจะมาแก้บนทันที ถ้าไม่แก้บนจะทำให้คนในครอบครัวมีอันเป็นไป (หน้า 46-47) ในพิธีเลี้ยงผีปู่ตา ชาวบ้านทุกคนจะต้องมาร่วมพิธี หากบุคคลใดในครอบครัวไม่ได้มาร่วมพิธี จะต้องบอกกล่าวผีปู่ตาว่าคนนั้นไม่ได้มาเนื่องจากติดกิจการงาน ขอให้ผีปู่ตาปกปักรักษาเขาด้วย (หน้า 50 ) ชาวบ้านหนองตื่นยังคงมีประเพณีที่ถือปฏิบัติสืบต่อมาแต่ครั้งบรรพบุรุษซึ่งได้ประพฤติปฏิบัติเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน คือ ประเพณี 12 เดือน ได้แก่ เดือนอ้าย ทำบุญข้าวกรรม เป็นการทำบุญแด่พระสงฆ์ผู้อยู่ปริวาสกรรม เดือนยี่ ทำบุญคูณลาน บุญขวัญข้าว เดือน 3 บุญข้าวจี่ เดือน 4 บุญผเวส เดือน 5 บุญสงกรานต์ เดือน 6 บุญบั้งไฟ เดือน 7 บุญซำฮะแรกนาขวัญ เดือน 8 บุญเข้าพรรษา เดือน 9 บุญข้าวประดับดิน เดือน 10 บุญข้าวสาก เดือน 11 บุญออกพรรษา เดือน 12 บุญกฐิน (หน้า 35) |
|
Education and Socialization |
บ้านหนองตื่น มีโรงเรียนประถมศึกษาประจำหมู่บ้าน 1 โรง คือ โรงเรียนบ้านหนองตื่น ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2477 โดยเริ่มแรกอาศัยเรียนที่ศาลาวัดบ้านหนองตื่น เรียกว่า โรงเรียนวัดบ้านหนองตื่น โดยมีขุนวานิชศึกษากร ศึกษาธิการอำเภอเมืองมหาสารคาม เป็นผู้จัดตั้ง ปัจจุบันมีจำนวนนักเรียน 174 คน แยกเป็นนักเรียนชาย 97 คน นักเรียนหญิง 77 คน ครู 11 คน (สถิติปีการศึกษา 2541) เมื่อจบการศึกษาระดับประถมศึกษาแล้วจะไปเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนประจำจังหวัด (หน้า 34) |
|
Health and Medicine |
เมื่อชาวบ้านมีอาการเจ็บป่วยจะหาซื้อยาตามร้านค้าภายในหมู่บ้าน ถ้าอาการไม่ดีขึ้นจะไปหาหมอตามสถานีอนามัยและสถานพยาบาลต่าง ๆ บางคนถ้าอาการไม่ดีขึ้นจะหันมาพึ่งความเชื่อทางไสยศาสตร์ เชื่อว่าอาการนั้นเกิดจากการผิดผี ต้องไปหาจ้ำ จ้ำจะพาไปบนบานที่ศาลปู่ตาช่วยดลบันดาลให้ผู้ป่วยมีอาการหายเป็นปกติ เมื่อหายแล้วจะนำเครื่องเซ่นไหว้มาขอขมาเพื่อเป็นการแก้บน การบนบานจะช่วยสร้างสภาพจิตใจให้ดีขึ้น (หน้า 63-64) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ลักษณะของการสร้างศาลปู่ตา จะมีลักษณะการสร้างที่คล้ายคลึงกับการสร้างบ้าน คือ มีการเลือกตัดไม้ อันเป็นความเชื่อที่ถ่ายทอดกันมาแต่โบราณ เช่น จะต้องเป็นไม้ที่อยู่บนโพน (ที่เนินคล้ายจอมปลวก) มีลำต้นตรง สวยงาม ทรงพุ่มคล้ายร่ม ไม่เป็นไม้ที่โดนฟ้าผ่า ไม่มีรูกลวง เป็นต้น เมื่อเลือกได้แล้วจะต้องนอนใต้ต้นไม้นั้น เพื่อฟังเสียงใบไม้กระทบกันเวลามีลมพัด เมื่อเวลาลมสงบก็ยังคงมีเสียงใบไม้กระทบกันอยู่เรื่อย ๆ จึงจะเป็นไม้ที่ดี และมักจะทำเป็นที่นอนหลับฝันกัน ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องที่ดีงาม (หน้า 43) |
|
Folklore |
เรื่องเล่าเกี่ยวกับการตั้งชื่อบ้าน วันหนึ่งราษฎรในหมู่บ้าน 2 คน ชื่อ ตาอินทร์กับตาจันทร์ได้ไปต่อไก่ป่าที่ท้ายหมู่บ้าน ขณะที่ตาอินทร์ซุ่มอยู่บนต้นไม้ ได้เกิดเสียงดังข้าง ๆ ตาอินทร์นึกว่าเป็นเสียงเสือ ด้วยความกลัวและตกใจถึงกับกลั้นอุจจาระไม่อยู่ ทำให้อุจจาระตกลงมาถูกตาจันทร์ที่ซุ่มอยู่ใต้ต้นไม้ ตาจันทร์ตกใจที่ได้ยินเสียงอุจจาระหล่นถูกใบไม้แห้งนึกว่าเป็นเสียงเสือกระโจนตะครุบ ตาจันทร์ตกใจหนีอย่างไม่คิดชีวิตถึงกับจับไข้หัวโกร๋น จากการบอกเล่าถึงความตกใจของตาจันทร์ประกอบกับบริเวณที่เกิดเหตุมีหนองน้ำธรรมชาติ ชาวบ้านจึงเรียกต่อ ๆ กันว่า "หนองตื่น" และเรียกเป็นชื่อหมู่บ้านมาจนถึงปัจจุบัน (หน้า 19) มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับชื่อหมู่บ้านอีกเรื่องหนึ่งว่า แต่ก่อนนั้นได้ตั้งชื่อหมู่บ้านว่า "บ้านดงบัง" เพราะบริเวณทางด้านทิศตะวันออกของหมู่บ้านมีต้นขนาดใหญ่เล็กปกคลุมโดยรอบ บดบังแสงแดดที่จะส่องไปถึงหมู่บ้านในตอนเช้า ต่อมาพ่อใหญ่แก้วซึ่งเป็นพรานประจำหมู่บ้านได้ไปล่าสัตว์ในป่า ขณะรอดักสัตว์อยู่บนต้นยางเกิดปวดท้องถ่ายอุจจาระ จึงถ่ายอุจจาระลงมาและผายลมเสียงดัง บังเอิญมีชาวบ้านผ่านมาได้ยิน จึงตกใจคิดว่าเป็นเสียงเสือเหยียบใบไม้แห้ง รีบวิ่งไปบอกชาวบ้าน ต่อมาทราบความจริงว่าไม่ใช่เสียงเสือแต่เป็นเสียงถ่ายอุจจาระ ชาวบ้านจึงเรียกชื่อหมู่บ้านว่า "บ้านหนองตื่น" ตั้งแต่นั้นมา (หน้า 19-20) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความเชื่อเรื่องผีปู่ตาเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยสร้างเอกภาพและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้กับคนในชุมชน ไม่มีใครกล้าล่วงละเมิดผีปู่ตา ทุกคนจะถูกปลูกฝังในจิตสำนึกที่จะเคารพนับถือผีปู่ตา ความเคารพในผีปู่ตา ส่งผลมายังความเคารพในจ้ำ เพราะจ้ำเป็นตัวแทนของผีปู่ตา จ้ำมีบทบาทมากในการสั่งสอนอบรมให้ชาวบ้านประพฤติไปในทางที่ถูกที่ควร ไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง เป็นที่พึ่งทางใจ (หน้า 65-66) การเข้าร่วมในการประกอบพิธีกรรมเป็นสิ่งที่สร้างความร่วมมือร่วมแรงกันและสร้างความสามัคคีระหว่างคนในหมู่บ้าน (หน้า 72) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ไม่ได้ระบุชัดเจน กล่าวแต่เพียงว่าปัจจุบันนั้นได้มีความเจริญทางด้านเทคโนโลยีแผ่ขยายเข้าไปถึงหมู่บ้านแต่ชาวบ้านก็ยังมีความเชื่อ เคารพนับถือสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติเหมือนเช่นในอดีต (หน้า 23) |
|
|