สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ผีปู่ตา,ความเชื่อ,มหาสารคาม
Author ศิริรักษ์ จรัณยานนท์
Title ความเชื่อผีปู่ตาของชาวบ้านหนองตื่น ตำบลเขวา อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations ไม่ระบุ
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 85 Year 2542
Source หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาไทยคดีศึกษา (เน้นสังคมศาสตร์) มหาวิทยาลัยมหาสารคาร
Abstract

ความเชื่อผีปู่ตาของชาวบ้านหนองตื่น ตำบลเขวา อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เป็นความเชื่อที่ส่งผลต่อสภาพสังคมและวิถีชีวิตของชาวบ้านเป็นอย่างมาก ชาวบ้านมีความเชื่อถือเกรงกลัวต่อผีปู่ตาซึ่งเป็นผีบรรพบุรุษอย่างเข้มข้น พิธีกรรมเลี้ยงผีมีขึ้นในทุกเดือนเจียง (เดือนยี่) และเดือนหกทุกปี เพื่อเป็นการบอกกล่าวก่อนที่จะทำนา เพื่อให้ผีปู่ตาบันดาลความอุดมสมบูรณ์มาให้ และเลี้ยงหลังจากเก็บผลผลิต เพื่อบอกผีปู่ตาถึงผลผลิตที่ได้ หรือเลี้ยงผีปู่ตาเมื่อมีการผิดผีทุกครั้ง ผีปู่ตาเป็นที่พึ่งทางใจของชาวบ้านหนองตื่น ชาวบ้านจะบ๋า (บนบาน) และขอความคุ้มครองจากผีปู่ตาเป็นจำนวนมาก ผีปู่ตาจะคอยให้ความช่วยเหลือเมื่อมีปัญหาและเรื่องทุกข์ร้อน การประกอบพิธีกรรมเลี้ยงเซ่นไหว้ผีปู่ตาจึงเป็นการแสดงความกตัญญูที่ชาวบ้านมีต่อผีปู่ตา สร้างความร่วมมือร่วมใจ ความสามัคคี จ้ำผู้เป็นตัวแทนผีปู่ตายังเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยเรื่องขัดแย้งช่วยสร้างเอกภาพให้กับชุมชน นอกจากนี้ ความเชื่อผีปู่ตายังสามารถช่วยรักษาความสมดุลของระบบนิเวศน์โดยเฉพาะบริเวณดอนปู่ตา (หน้า 4,21,22,44,80, 82)

Focus

ศึกษาความเชื่อเกี่ยวกับผีปู่ตาที่มีบทบาทต่อชาวบ้านหนองตื่น (หน้า 4)

Theoretical Issues

ได้นำทฤษฎีของราล์พ ลินตัน (Ralph Linton) และทฤษฎีของพาร์สัน (Parsons) ซึ่งอธิบายในเรื่องบทบาทของความเชื่อ โดยทฤษฎีของราล์พ ลินตัน (Ralph Linton) ได้กล่าวถึงสถานภาพจะเป็นผู้กำหนดบทบาทให้ และทฤษฎีของพาร์สัน (Parsons) กล่าวถึงบทบาทว่า เป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ในสังคม ทำให้มนุษย์เพิ่มบทบาทของตน (หน้า 8) ในการศึกษาบทบาทความเชื่อผีปู่ตาที่มีต่อชุมชน ผู้ศึกษาได้แบ่งบทบาทออกเป็นด้านต่าง ๆ ได้แก่ บทบาทที่มีต่อครอบครัวและชุมชน เป็นการแสดงความกตัญญูต่อผีปู่ตา ที่คุ้มครองให้พ้นจากทุกข์ภัยต่าง ๆ บทบาทในด้านการรักษาพยาบาลและที่พึ่งทางใจ การสร้างเอกภาพในชุมชน ด้วยการอบรมสั่งสอนไม่ให้ทะเลาะวิวาททำให้เกิดความสามัคคีกันในหมู่บ้าน การควบคุมพฤติกรรมสังคมชุมชน ถ้าประพฤติไปในทางไม่ดี ผีปู่ตาไม่พอใจ ก็จะทำให้เกิดความเจ็บป่วย การแก้ปัญหาชุมชน จะมีจ้ำเป็นตัวแทนของผีปู่ตาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยปัญหาข้อขัดแย้ง บทบาททางศาสนาที่มีการนำพุทธศาสนาเข้ามาควบคู่กับการนับถือผีปู่ตา บทบาทที่มีต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ในการทำการเกษตรทุกครั้งจะต้องมีการบอกกล่าวผีปู่ตา เพื่อให้ช่วยดลบันดาลให้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ หรือกราบไหว้เพื่อให้ทำมาค้าขายดี และบทบาทที่มีต่อระบบนิเวศน์ เพราะบริเวณดอนปู่ตาจะมีสภาพป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านจะไม่กล้าไปทำลาย เชื่อว่าถ้าใครไปทำลายผีปู่ตาจะลงโทษ (หน้า 63-74, 80)

Ethnic Group in the Focus

ไทยลาว (หน้า 3)

Language and Linguistic Affiliations

ไทยลาว (หน้า 3)

Study Period (Data Collection)

ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2538 ถึง 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 (หน้า 7)

History of the Group and Community

ชาวหมู่บ้านหนองตื่นได้ตั้งถิ่นฐานเมื่อประมาณ 170 ปีมาแล้ว เมื่อเริ่มตั้งถิ่นฐานครั้งแรก ชาวบ้านได้กำหนดพื้นที่ป่าของหมู่บ้านเป็นดอนปู่ตา มีพื้นที่ ปัจจุบัน 47 ไร่ โดยล้อมรั้วปักเขตแดนไว้ (หน้า 3-4) มีผู้เล่าถึงประวัติบ้านหนองตื่นแตกต่างกัน บ้างเล่าว่า ชาวบ้านหนองตื่นบางกลุ่มเดินทางจากหมู่บ้านโพนงาม จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อมานมัสการปรางค์กู่บ้านเขวา ขณะพักแรมเห็นว่า พื้นที่ทิศใต้ของปรางค์กู่มีทำเลเหมาะในการทำการเกษตร จึงได้ถากถางป่าเพื่อสร้างเป็นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำการเกษตร มีคำบอกเล่าอีกอย่างหนึ่งว่า เดิมชาวบ้านหนองโด จังหวัดร้อยเอ็ด ได้อพยพมาตั้งบ้านเรือนอยู่ก่อน เพราะเห็นทำเลเหมาะกับการเกษตรกรรม จึงถากถางตั้งบ้านเรือนและทำการเกษตร ต่อมามีชาวบ้านโนนสังข์ จังหวัดร้อยเอ็ด อพยพเข้ามาเพิ่ม ทำให้กลายเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ และที่ชื่อหนองตื่นเพราะว่าชาวบ้านได้ยินเสียงอุจจาระและผายลมของพรานผู้หนึ่งตกใจนึกว่าเสียงเสือร้องจึงไปบอกเพื่อนบ้าน (หน้า 19-20)

Settlement Pattern

ลักษณะของหมู่บ้านจะมีดอนปู่ตาซึ่งมีลักษณะเป็นพื้นที่ป่าล้อมรั้วไว้อย่างชัดเจนอยู่ห่างจากหมู่บ้าน (หน้า 4) ทางทิศเหนือและทิศตะวันออกของดอนปู่ตาติดกับทุ่งนา ทางทิศตะวันตกและทิศใต้ ติดกับบ้านเรือนของชาวบ้าน (หน้า 38)

Demography

บ้านหนองตื่น หมู่ที่ 7 มีจำนวนประชากรในหมู่บ้านทั้งหมด 634 คน ประกอบด้วย ชาย 324 คน หญิง 310 คน จำนวนครัวเรือน 135 ครัวเรือน จัดแบ่งเป็นคุ้มต่างๆ ได้แก่ - คุ้มดอนจันทร์ จำนวน 28 ครอบครัว - คุ้มโรงเรียน จำนวน 32 ครอบครัว - คุ้มหนองกระทุ่ง จำนวน 24 ครอบครัว - คุ้มกลาง จำนวน 27 ครอบครัว - คุ้มวัดใต้ จำนวน 24 ครอบครัว (หน้า 28)

Economy

อาชีพหลัก คือ การทำนา มีการทำนาปีละครั้งตามฤดูกาล โดยอาศัยแหล่งน้ำตามธรรมชาติ คือ น้ำฝน น้ำจากห้วยแอ่ง สระวัด และสระดอนตาปู่ (ดอนปู่ตา) ก่อนลงมือทำนาจะต้องทำพิธีเลี้ยงผีปู่ตาก่อนทุกครั้ง เพื่อแสดงถึงความกตัญญู และช่วยดลบันดาลให้มีผลผลิตอุดมสมบูรณ์ (หน้า 73) นอกจากนี้ ยังมีอาชีพทำสวนและทำไร่ที่ทำเสริมจากการทำนา เมื่อทำนาเสร็จสิ้นแล้ว ชาวบ้านจะไถพรวนดินใหม่และลงมือเพาะปลูกพืชชนิดต่าง ๆ เช่น ผักกาด ผักกะหล่ำปลี แตงกวา ถั่ว เป็นต้น นำผลผลิตไปจำหน่ายที่ตลาดภายในจังหวัด ชาวบ้านบางส่วนทำไร่มันสำปะหลัง มี 1 ครัวเรือนทำไร่ยูคาลิปตัสโดยมีพ่อค้ามารับไม้ยูคาลิปตัสที่หมู่บ้าน อาชีพเลี้ยงสัตว์เป็นอีกอาชีพเสริมหนึ่งของชาวบ้านหนองตื่น สัตว์ที่เลี้ยงกันมาก คือ โคพันธุ์ รองลงมาคือ สุกร การทอผ้าจะทำกันในฤดูกาลที่ว่างเว้นจากการทำนา ผ้าที่นิยมทอเป็นผ้าขะม้า และมีการทอผ้าซิ่นไหมบ้างเป็นส่วนน้อย มีทั้งที่นำไปจำหน่ายและเพื่อเก็บไว้ใช้ในครัวเรือน ชาวบ้านบางส่วนเดินทางไปทำงานรับจ้างในตัวเมือง บางส่วนรับจ้างเป็นลูกจ้างที่วิทยาลัยเกษตรกรรมมหาสารคาม บางส่วนเดินทางไปรับจ้างยังจังหวัดต่าง ๆ เช่น กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ปทุมธานี ส่วนใหญ่จะไปทำงานตามโรงงานอุตสาหกรรม อาชีพรับราชการ ได้แก่ รับราชการครู ตำรวจ พยาบาล ถือเป็นอาชีพที่มีเกียรติมากที่สุด ถือว่าเป็นอาชีพที่มั่นคงและสบาย (หน้า 23-25)

Social Organization

การจัดระเบียบสังคมของชุมชนเชื่อมโยงกับระบบความเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อเรื่อง "ผีปู่ตา" ชาวบ้านมีความเชื่อถือเกรงกลัวต่อผีปู่ตาอย่างเข้มข้นส่งผลต่อสภาพสังคมและวิถีชีวิตของชาวบ้านเป็นอย่างมาก เช่น ในปีหนึ่ง ๆ จะมีชาวบ้านบ๋า (บนบาน) และขอความคุ้มครองจากเจ้าปู่ตาเป็นจำนวนมาก (หน้า 4) ผีปู่ตาเป็นผีบรรพบุรุษ ที่คอยให้ความช่วยเหลือเมื่อมีปัญหาและเรื่องทุกข์ร้อน การประกอบพิธีกรรมเลี้ยงเซ่นไหว้ผีปู่ตาจึงเป็นการแสดงความกตัญญูที่ชาวบ้านมีต่อผีปู่ตา (หน้า 21) ปู่ตาทำหน้าที่เป็นสถาบันทางกฎหมายของหมู่บ้าน เมื่อประกอบพิธีกรรมต้องได้รับความยินยอมจากปู่ตาก่อน (หน้า 39) หน้าที่ในการดูแลรักษาดอนปู่ตาเป็นหน้าที่ของทุกคน กลุ่มที่เป็นผู้นำในการดูแลป่าดอนปู่ตา คือ กลุ่มกรรมการหมู่บ้าน ผู้อาวุโส และจ้ำ (หน้า 40) จะเห็นได้ว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงให้ความเคารพนับถือผู้อาวุโส (หน้า 35) จ้ำซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการปรนนิบัติปู่ตา จะเป็นผู้อาวุโสที่เป็นคนดีมีคุณธรรม และรู้เรื่องพิธีกรรมต่าง ๆ เป็นอย่างดี (หน้า 40) พิธีกรรมเลี้ยงผีปู่ตาเป็นการเน้นย้ำความเชื่อตลอดจนกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่พึ่งปฏิบัติและไม่ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ เป็นกระบวนการทางสังคมอย่างหนึ่งซึ่งมีการส่งทอดความรู้ทางสังคมและกฏหมายประเพณีต่อไปยังคนรุ่นหลังโดยผ่านพิธีกรรม โดยมีผู้อาวุโสเป็นหลักในการอบรมสั่งสอนลูกหลานให้ใช้ชีวิตอยู่ในครรลองความถูกต้อง และเป็นการกระชับความสัมพันธ์ที่ดีของกลุ่มเครือญาติ (หน้า 44)

Political Organization

บ้านหนองตื่น มีการปกครองภายในหมู่บ้านด้วยผู้นำที่เป็นทางการ คือ ผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน มีผู้ทรงคุณวุฒิ 2 คน นอกจากนี้ยังมีผู้นำที่ไม่เป็นทางการที่ชาวบ้านเลือกขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนของแต่ละคุ้ม ทำหน้าที่ติดต่อประสานงานให้แก่ชาวบ้านที่อยู่ในคุ้มให้รับทราบข่าวสาร หรือมีหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบตามที่คณะผู้ปกครองหมู่บ้านมอบหมายให้ (หน้า 33)

Belief System

ชาวบ้านหนองตื่นนับถือศาสนาพุทธ มีวัดประจำหมู่บ้าน 1 แห่ง คือ วัดสีชมภู เป็นวัดที่ตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน ชาวบ้านหนองตื่นจะถือปฏิบัติตามประเพณีเหมือนชาวอีสานโดยทั่ว ๆ ไป (หน้า 34) นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเรื่องผีปู่ตา โดยมีการผสมผสานกันระหว่างศาสนาพุทธและความเชื่อเรื่องผีอย่างกลมกลืนกัน เช่น ในพิธีกรรมของงานประเพณีต่างๆ ทางพุทธศาสนา จะต้องมีการบอกกล่าวผีปู่ตาทุกครั้ง (หน้า 71) ผีปู่ตาเป็นผีบรรพบุรุษของชาวบ้านที่มีมาพร้อมกับการตั้งบ้านเรือน เชื่อว่าผีปู่ตา คือ อารักษ์ของหมู่บ้าน รักษาทรัพย์สิน ความปลอดภัยจากโจรผู้ร้าย ไฟไหม้ ลมพายุ ชาวบ้านจะสร้างดอนปู่ตาบริเวณที่มีป่าไม้มาก อยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน ชาวบ้านเชื่อว่าผีปู่ตาจะเป็นผู้ที่รักษาป่าไม้ไว้ได้ ถ้าใครบุกรุกพื้นที่ดอนปู่ตา ผู้นั้นจะถูกลงโทษให้มีอาการเจ็บป่วย (หน้า 36-37) จ้ำ เป็นบุคคลที่มีหน้าที่โดยตรงที่จะคอยปรนนิบัติผีปู่ตา ซึ่งเป็นคนที่ชาวบ้านเลือก โดยเลือกคนที่มีความรู้ในเรื่องไสยศาสตร์ มีคุณงามความดีและมีคุณธรรม เป็นผู้อาวุโส มีความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม มีความรู้ในพิธีกรรมต่างๆ เป็นอย่างดี รวมทั้งเป็นที่เคารพนับถือของคนในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียง (หน้า 40) พิธีกรรมเลี้ยงผีมีขึ้นในทุกเดือนเจียง (เดือนยี่) และเดือนหกทุกปี หรือเลี้ยงเมื่อมีการผิดผีทุกครั้ง (หน้า 44) ครั้งแรกจัดในเดือน 6 ทำก่อนลงทำนาเพื่อบอกกล่าวให้ผีปู่ตาได้รับทราบ ขอให้ปู่ตาให้ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ ฝนตกตามฤดูกาล ครั้งที่ 2 ทำในเดือนเจียง เพื่อบอกกล่าวให้ผีปู่ตาได้รับทราบถึงผลผลิตที่ทำ (หน้า 51) สิ่งที่ใช้ในพิธีกรรม ได้แก่ ไก่ จะต้มหรือปิ้งก็ได้ หรืออาจเป็นไก่กุ้ม (ไข่ไก่) ก็ได้ ขอดวัว ขอดควาย ขอดคน ซึ่งจะทำจากใบตองฉีกสั้น ๆ เท่ากับจำนวนสมาชิกในครอบครัว ทั้งคนและสัตว์ มัดเป็นปมแยกกัน ข้าวนึ่งสุก ดอกไม้สีขาว ใช้เป็นดอกพุด ดอกมะลิหรือดอกบัวก็ได้ ธูปเทียน เหล้าอีเหมิง หมายถึง เหล้าที่ใช้ในการประกอบพิธี โดยใช้แกลบใส่กระบอกไม้ไผ่ หรือ กะลามะพร้าว เหล้าขาว และอาหาร (หน้า 52-57) ในพิธีหลังถวายอาหารจะมีพิธีเสี่ยงทายโดยใช้ขาไก่และคางไก่ เพื่อดูความอุดมสมบูรณ์ของข้าวปลาอาหารและฝนฟ้า หลังเสร็จพิธีแล้วชาวบ้านจะรับเศษ (อาหารที่ใช้ในพิธี) จากปู่ตามารับประทานร่วมกัน (หน้า 59) ชาวบ้านหนองตื่นจะนิยมการบนบานหรือ "บ๋า" กับผีปู่ตาโดยผ่านจ้ำ เรื่องที่มาบนบานส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการทำมาหากิน และเรื่องการสอบเข้าเรียน เรื่องที่บนบานไม่ได้เลยคือเรื่องเกี่ยวกับการผิดกฎศีลธรรม ในการบนสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ เหล้าและไก่ (หน้า 45,47) เมื่อบนแล้วประสบผลสำเร็จจะมาแก้บนทันที ถ้าไม่แก้บนจะทำให้คนในครอบครัวมีอันเป็นไป (หน้า 46-47) ในพิธีเลี้ยงผีปู่ตา ชาวบ้านทุกคนจะต้องมาร่วมพิธี หากบุคคลใดในครอบครัวไม่ได้มาร่วมพิธี จะต้องบอกกล่าวผีปู่ตาว่าคนนั้นไม่ได้มาเนื่องจากติดกิจการงาน ขอให้ผีปู่ตาปกปักรักษาเขาด้วย (หน้า 50 ) ชาวบ้านหนองตื่นยังคงมีประเพณีที่ถือปฏิบัติสืบต่อมาแต่ครั้งบรรพบุรุษซึ่งได้ประพฤติปฏิบัติเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน คือ ประเพณี 12 เดือน ได้แก่ เดือนอ้าย ทำบุญข้าวกรรม เป็นการทำบุญแด่พระสงฆ์ผู้อยู่ปริวาสกรรม เดือนยี่ ทำบุญคูณลาน บุญขวัญข้าว เดือน 3 บุญข้าวจี่ เดือน 4 บุญผเวส เดือน 5 บุญสงกรานต์ เดือน 6 บุญบั้งไฟ เดือน 7 บุญซำฮะแรกนาขวัญ เดือน 8 บุญเข้าพรรษา เดือน 9 บุญข้าวประดับดิน เดือน 10 บุญข้าวสาก เดือน 11 บุญออกพรรษา เดือน 12 บุญกฐิน (หน้า 35)

Education and Socialization

บ้านหนองตื่น มีโรงเรียนประถมศึกษาประจำหมู่บ้าน 1 โรง คือ โรงเรียนบ้านหนองตื่น ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2477 โดยเริ่มแรกอาศัยเรียนที่ศาลาวัดบ้านหนองตื่น เรียกว่า โรงเรียนวัดบ้านหนองตื่น โดยมีขุนวานิชศึกษากร ศึกษาธิการอำเภอเมืองมหาสารคาม เป็นผู้จัดตั้ง ปัจจุบันมีจำนวนนักเรียน 174 คน แยกเป็นนักเรียนชาย 97 คน นักเรียนหญิง 77 คน ครู 11 คน (สถิติปีการศึกษา 2541) เมื่อจบการศึกษาระดับประถมศึกษาแล้วจะไปเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนประจำจังหวัด (หน้า 34)

Health and Medicine

เมื่อชาวบ้านมีอาการเจ็บป่วยจะหาซื้อยาตามร้านค้าภายในหมู่บ้าน ถ้าอาการไม่ดีขึ้นจะไปหาหมอตามสถานีอนามัยและสถานพยาบาลต่าง ๆ บางคนถ้าอาการไม่ดีขึ้นจะหันมาพึ่งความเชื่อทางไสยศาสตร์ เชื่อว่าอาการนั้นเกิดจากการผิดผี ต้องไปหาจ้ำ จ้ำจะพาไปบนบานที่ศาลปู่ตาช่วยดลบันดาลให้ผู้ป่วยมีอาการหายเป็นปกติ เมื่อหายแล้วจะนำเครื่องเซ่นไหว้มาขอขมาเพื่อเป็นการแก้บน การบนบานจะช่วยสร้างสภาพจิตใจให้ดีขึ้น (หน้า 63-64)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ลักษณะของการสร้างศาลปู่ตา จะมีลักษณะการสร้างที่คล้ายคลึงกับการสร้างบ้าน คือ มีการเลือกตัดไม้ อันเป็นความเชื่อที่ถ่ายทอดกันมาแต่โบราณ เช่น จะต้องเป็นไม้ที่อยู่บนโพน (ที่เนินคล้ายจอมปลวก) มีลำต้นตรง สวยงาม ทรงพุ่มคล้ายร่ม ไม่เป็นไม้ที่โดนฟ้าผ่า ไม่มีรูกลวง เป็นต้น เมื่อเลือกได้แล้วจะต้องนอนใต้ต้นไม้นั้น เพื่อฟังเสียงใบไม้กระทบกันเวลามีลมพัด เมื่อเวลาลมสงบก็ยังคงมีเสียงใบไม้กระทบกันอยู่เรื่อย ๆ จึงจะเป็นไม้ที่ดี และมักจะทำเป็นที่นอนหลับฝันกัน ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องที่ดีงาม (หน้า 43)

Folklore

เรื่องเล่าเกี่ยวกับการตั้งชื่อบ้าน วันหนึ่งราษฎรในหมู่บ้าน 2 คน ชื่อ ตาอินทร์กับตาจันทร์ได้ไปต่อไก่ป่าที่ท้ายหมู่บ้าน ขณะที่ตาอินทร์ซุ่มอยู่บนต้นไม้ ได้เกิดเสียงดังข้าง ๆ ตาอินทร์นึกว่าเป็นเสียงเสือ ด้วยความกลัวและตกใจถึงกับกลั้นอุจจาระไม่อยู่ ทำให้อุจจาระตกลงมาถูกตาจันทร์ที่ซุ่มอยู่ใต้ต้นไม้ ตาจันทร์ตกใจที่ได้ยินเสียงอุจจาระหล่นถูกใบไม้แห้งนึกว่าเป็นเสียงเสือกระโจนตะครุบ ตาจันทร์ตกใจหนีอย่างไม่คิดชีวิตถึงกับจับไข้หัวโกร๋น จากการบอกเล่าถึงความตกใจของตาจันทร์ประกอบกับบริเวณที่เกิดเหตุมีหนองน้ำธรรมชาติ ชาวบ้านจึงเรียกต่อ ๆ กันว่า "หนองตื่น" และเรียกเป็นชื่อหมู่บ้านมาจนถึงปัจจุบัน (หน้า 19) มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับชื่อหมู่บ้านอีกเรื่องหนึ่งว่า แต่ก่อนนั้นได้ตั้งชื่อหมู่บ้านว่า "บ้านดงบัง" เพราะบริเวณทางด้านทิศตะวันออกของหมู่บ้านมีต้นขนาดใหญ่เล็กปกคลุมโดยรอบ บดบังแสงแดดที่จะส่องไปถึงหมู่บ้านในตอนเช้า ต่อมาพ่อใหญ่แก้วซึ่งเป็นพรานประจำหมู่บ้านได้ไปล่าสัตว์ในป่า ขณะรอดักสัตว์อยู่บนต้นยางเกิดปวดท้องถ่ายอุจจาระ จึงถ่ายอุจจาระลงมาและผายลมเสียงดัง บังเอิญมีชาวบ้านผ่านมาได้ยิน จึงตกใจคิดว่าเป็นเสียงเสือเหยียบใบไม้แห้ง รีบวิ่งไปบอกชาวบ้าน ต่อมาทราบความจริงว่าไม่ใช่เสียงเสือแต่เป็นเสียงถ่ายอุจจาระ ชาวบ้านจึงเรียกชื่อหมู่บ้านว่า "บ้านหนองตื่น" ตั้งแต่นั้นมา (หน้า 19-20)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ความเชื่อเรื่องผีปู่ตาเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยสร้างเอกภาพและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้กับคนในชุมชน ไม่มีใครกล้าล่วงละเมิดผีปู่ตา ทุกคนจะถูกปลูกฝังในจิตสำนึกที่จะเคารพนับถือผีปู่ตา ความเคารพในผีปู่ตา ส่งผลมายังความเคารพในจ้ำ เพราะจ้ำเป็นตัวแทนของผีปู่ตา จ้ำมีบทบาทมากในการสั่งสอนอบรมให้ชาวบ้านประพฤติไปในทางที่ถูกที่ควร ไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง เป็นที่พึ่งทางใจ (หน้า 65-66) การเข้าร่วมในการประกอบพิธีกรรมเป็นสิ่งที่สร้างความร่วมมือร่วมแรงกันและสร้างความสามัคคีระหว่างคนในหมู่บ้าน (หน้า 72)

Social Cultural and Identity Change

ไม่ได้ระบุชัดเจน กล่าวแต่เพียงว่าปัจจุบันนั้นได้มีความเจริญทางด้านเทคโนโลยีแผ่ขยายเข้าไปถึงหมู่บ้านแต่ชาวบ้านก็ยังมีความเชื่อ เคารพนับถือสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติเหมือนเช่นในอดีต (หน้า 23)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Text Analyst ขนิษฐา อลังกรณ์ Date of Report 30 มี.ค 2561
TAG ผีปู่ตา, ความเชื่อ, มหาสารคาม, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง