สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู กะเหรี่ยง ,ศาสนา,ความเชื่อ,การรวมกลุ่มทางชาติพันธุ์,ภาคตะวันตก
Author Kirsten Ewers Anderson
Title Pwo Indigenous Karen Religious Denominations
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 10 Year 2524
Source http://www.ibiblo.org/obl/docs/KirstenEA-Karen_Religious_Denominations.pdf
Abstract

ศาสนา ความเชื่อเป็นระบบความคิดที่มีความสำคัญในสังคมต่าง ๆ รวมทั้งในสังคมกะเหรี่ยง ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณตะเข็บพรมแดนพม่า-ไทย ที่ความเชื่อทางศาสนาเกิดจากการผสมผสานระหว่างความเชื่อดั้งเดิมกับความเชื่อในพุทธศาสนาที่รับเข้ามาจากการเติบโตของพุทธศาสนาในพม่า มอญ และไทย ความเชื่อของกะเหรี่ยงจึงมีรูปแบบการผสมผสานและมีส่วนสำคัญต่อการกำหนดอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ศาสนาของกะเหรี่ยงมี 2 สำนัก คือ "lu baung" และ "wi maung" โดยต่างมีผู้นำทางศาสนาของตน ความแตกต่างระหว่างทั้งสองนิกายคือ "lu baung" จะผูกข้อมือ แต่ "wi maung" จะไม่ผูกข้อมือแต่จะดื่มน้ำสุกในพิธีกรรม โดยผู้นำทางศาสนานั้นจะมีบทบาททางการปกครอง เพราะศาสนามีข้อห้าม มีศีล 5 สำหรับผู้ยึดมั่น ดังนั้นผู้นำทางศาสนาจึงมีบทบาทในการควบคุมทางสังคมด้วยเช่นกัน ครอบครัวและการยังชีพก็เป็นสถาบันที่ศาสนาความเชื่อเข้าไปกำหนดกรอบเช่นกัน กะเหรี่ยงจะยึดความสำคัญทางฝ่ายแม่และตั้งถิ่นฐานทางฝ่ายแม่เช่นกัน ซึ่งจะสัมพันธ์กับการยังชีพแบบเพาะปลูกหมุนเวียนที่ต้องใช้แรงงาน แต่ทั้งนี้การยึดโยงทางสายฝ่ายแม่สามารถที่จะปรับเปลี่ยนได้ เช่นเมื่อผู้ชายแต่งงานต้องเปลี่ยนมานับถือนิกายของฝ่ายหญิงและครอบครัว การปรับเปลี่ยนทางศาสนาของกะเหรี่ยงจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้ากะเหรี่ยงไม่มีอิสระภาพในการปกครอง การยังชีพที่อิสระ หรือถูกครอบงำจากอำนาจที่เหนือกว่า ดังนั้น การแสดงออกทางศาสนา พิธีกรรม การมีหมู่บ้าน มีผู้นำ และการมีเสาหลักเมือง จึงไม่ใช่เพียงแค่สัญลักษณ์ของการมีอำนาจครอบครองพื้นที่นั้น ๆ ของสายตระกูล เช่น กรณีหลักเมืองของไทย แต่มันเกี่ยวข้องกับความเป็นเอกภาพของการรวมกลุ่ม ในสถานที่ที่หนึ่ง ในช่วงเวลาขณะหนึ่ง โดยอัตลักษณ์ของความเป็นกลุ่ม ความเป็นชนกะเหรี่ยงนั้น จะปรากฎจะถูกยืนยันในช่วงเวลางานพิธีกรรม Khoung s'raung ของทุกปี (หน้า 260)

Focus

เน้นการศึกษาถกเถียงในเรื่องการรวมกลุ่ม จัดองค์กร ต้นกำเนิด และวัฒนธรรมของกะเหรี่ยงว่าเกิดขึ้นมาจากความเชื่อของชนกะเหรี่ยงเพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า ความคิดเรื่องการเมือง-ศาสนา ความเชื่อและรูปแบบสถาปัตยกรรมทางพิธีกรรมต่าง ๆ ล้วนสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของระบบที่ใหญ่กว่าอย่างประวัติศาสตร์อารยธรรมสังคมพุทธศาสนาที่มีกษัตริย์ปกครองของพม่าและไทย (หน้า 251)

Theoretical Issues

ไม่ได้ระบุไว้ชัดเจน แต่อาจกล่าวได้ว่าแนวคิดที่ใช้ในการศึกษา คือ แนวคิดเรื่อง การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมโดยการรับศาสนาพุทธเข้ามาผสมผสานกับศาสนาดั้งเดิม และแนวคิดเชิงการหน้าที่ (functionalism) โดยอธิบายผ่านปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่มีต้นกำเนิดจากความเชื่อทางศาสนาของกะเหรี่ยง เช่น การเลือกผู้นำทางศาสนา การตั้งถิ่นฐาน การเปลี่ยนแปลงทางสังคม พิธีกรรมทางศาสนา สถาปัตยกรรมในพิธีกรรมซึ่งผู้ศึกษาได้อธิบายปรากฎการณ์เหล่านี้ในกรอบของหน้าที่ที่มีต่อสังคมกะเหรี่ยง โดยหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของความเชื่อทางศาสนาทั้ง 2 สำนัก คือ "lu baung" และ "wi maung" ล้วนมีหน้าที่ในการแสดงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงทั้งสิ้น เช่นกรณีการตั้งเสาค้ำ "la'" หรือหลักเมือง นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเป็นสัญลักษณ์เพื่อแสดงอาณาเขต แสดงอำนาจที่มีเหนือดินแดนเช่นกรณีหลักเมืองของไทย แต่เสาดังกล่าวมีนัยยะหน้าที่ที่เชื่อมโยงกับการมีเอกภาพของการรวมกลุ่ม และพิธีกรรมที่เกิดขึ้นก็มีหน้าที่ที่ในการใช้แสดงและยืนยันความเป็นกลุ่มหรืออัตลักษณ์ของกลุ่มนั่นเอง (หน้า 260)

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยงโปว์ ที่อยู่ในพม่าและไทยที่มีภาษาพูดคล้ายคลึงกัน แต่มี 2 กลุ่มย่อย คือ กะเหรี่ยงด้ายเหลือง (lu baung) และ "wi maung" (หน้า 251)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่ได้ระบุในงานการศึกษา ระบุเพียงว่า เป็นกลุ่มชนที่พูดภาษากะเหรี่ยงครอบคลุมถึงประชาชนในพม่าและไทยที่พูดภาษาที่ใกล้เคียงกันเท่านั้น (หน้า 251)

Study Period (Data Collection)

ไม่ได้ระบุว่าได้ทำการศึกษาช่วงปีใด แต่ช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่ผู้ศึกษากล่าวถึงประมาณพุทธศตวรรษที่ 18-19 (หน้า 251, 255)

History of the Group and Community

ชนกะเหรี่ยงที่อยู่อาศัยบริเวณพรมแดนพม่า-ไทยนั้นส่วนมากสืบเชื้อสายของกะเหรี่ยงโปว์ ซึ่งอพยพหนีการกดขี่มาจากทวาย (Tavoy) ประเทศพม่า เมื่อประมาณ 200 ปีก่อน (หน้า 252)

Settlement Pattern

กะเหรี่ยงหรือกลุ่มคนที่พูดภาษากะเหรี่ยงนั้นกระจายตามพื้นที่ต่าง ๆ การตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยจะอยู่บริเวณหุบเขาและป่า หรือบริเวณที่ราบลุ่ม เมื่อมาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ประเทศไทย กะเหรี่ยงมีจำนวนไม่มากนัก จนกระทั่งปี ค.ศ.1972 ผู้คนจึงหนาแน่นขึ้นบ้าง โดยเป็นผลมาจากสภาวะของระบบนิเวศที่สมดุลเอื้อประโยชน์ต่อการยังชีพแบบเพาะปลูกหมุนเวียน กะเหรี่ยงจึงกลับมาตั้งถิ่นฐานอีกครั้ง การตั้งถิ่นฐานทำกินนั้นไม่จำเป็นต้องขอความยินยอมในการใช้พื้นที่จากใคร โดยเมื่อแต่งงานแล้วผู้อาศัยจะตั้งถิ่นฐานแบบ "uxorilocal" คือครอบครัวเดิมจะขยายโดยลูกเขยเข้ามาตั้งถิ่นฐานสร้างบ้านร่วมในบริเวณเดียวกัน ดังนั้น ภายในหมู่บ้านจึงพบกลุ่มบ้านซึ่งมีบ้านสร้างอยู่รอบ ๆ บ้านของแม่เฒ่า สามีของแม่เฒ่าและบ้านของลูกสาวกับสามีที่อยู่ถัดกันออกไปกับบ้านแม่เฒ่าที่ถือว่าเป็นครัวเรือนศูนย์กลางของแต่ละกลุ่มบ้าน ดังนั้นการตั้งถิ่นฐานจึงสัมพันธ์เชื่อมโยงกับการยังชีพ การผลิตแบบหมุนเวียนของกะเหรี่ยง โดยกลุ่มบ้านกลุ่มครอบครัวจะร่วมมือกันในการเพาะปลูกแบบหมุนเวียน ในขณะเดียวกันแต่ละครอบครัวต่างก็จะมีหน่วยทางเศรษฐกิจของตน (หน้า 251-252)

Demography

ประชากรกะเหรี่ยงโปว์ มีประมาณ 5,000 คน กระจายอยู่ใน 40 หมู่บ้าน โดยกลุ่มกะเหรี่ยง "lu baung" จะอยู่ห่างไกลกว่ากลุ่มกะเหรี่ยง "wi maung" (หน้า 253)

Economy

กะเหรี่ยงยังชีพโดยการผลิตการเพาะปลูกแบบหมุนเวียน และการล่าสัตว์ในป่าลึก (หน้า 252)

Social Organization

การจัดระเบียบทางสังคมของกะเหรี่ยงนั้นจะสัมพันธ์กับความคิดความเชื่อทางศาสนา กล่าวคือ การเข้าร่วมเป็นสมาชิกในสำนักนิกาย "lu baung" หรือ "wi maung" จะเกิดขึ้นทันทีที่สมาชิกในครอบครัวนิกายนั้น ๆ เกิด เช่น แม่เป็น "lu baung" ลูกที่เกิดย่อมเป็น "lu baung" ด้วยเช่นกัน และพ่อก็จะเปลี่ยนนิกายตามนิกายของแม่ ดังนั้น การจัดระเบียบทางสังคมจึงยึดอยู่กับการสืบสายเลือดตระกูลฝ่ายหญิง (Matrilineal) ผู้ชายเมื่อแต่งงานก็จะเปลี่ยนนิกายตามนิกายของภรรยาและครอบครัวฝ่ายหญิง การปรับเปลี่ยนของกะเหรี่ยงในความเชื่อทางศาสนาจึงเกิดขึ้นได้ ถ้าใครที่มีความยึดมั่นอยู่ในนิกายเดิมของตนก็จะเกิดการเย้ยหยัน (roasted) หรือ เหตุการณ์ เช่น มีคนในครอบครัวป่วย เป็นบ้าหรืออาจตาย ทำให้ลูกเขยต้องปฏิบัติตามกฎทางสังคมโดยการเปลี่ยนนิกาย ด้วยเหตุนี้ สังคมจึงมีการจัดระเบียบโดยใช้กรอบทางศาสนา ทำให้สังคมกะเหรี่ยงมีลักษณะเป็นสังคมที่ให้ความสำคัญกับฝ่ายแม่ และตั้งถิ่นฐานตามฝ่ายแม่ ขณะเดียวกันศาสนาก็ยังควบคุมการปฏิบัติตัวของคนในสังคม เช่น ห้ามดื่มเหล้า เคารพธรรมชาติ ต้องทำบุญ รักษาศีล 5 ข้อห้ามเหล่านี้จึงทำให้สังคมกะเหรี่ยงเกิดความสงบสุข (หน้า 254-256)

Political Organization

เมื่อความเชื่อทางศาสนาเป็นสิ่งยึดโยงกลุ่มชนกะเหรี่ยง ดังนั้น ในการปกครองโครงสร้างทางอำนาจของการรวมกลุ่มก็จะสัมพันธ์กับความเชื่อ โดยผู้นำทางศาสนาหรือ "boungkho" จะมีบทบาททางศาสนา แต่ก็มีบทบาททางการปกครองด้วย กล่าวคือ ในแต่ละสำนักต่างก็จะมีผู้นำทางศาสนาของตนในการทำพิธีกรรมหรือในบางครั้งอาจทำร่วมกัน ผู้นำศาสนาเปรียบเสมือนคนกลางในการติดต่อกับอำนาจเหนือธรรมชาติที่มองไม่เห็น ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตอยู่อาศัยและใช้ประโยชน์จากธรรมชาติด้วยเช่นกัน ลักษณะของผู้นำศาสนาเหมือนกับเป็นสัญลักษณ์ของผู้มีบุญกุศล เฉกเช่นเดียวกับพระสงฆ์ในพุทธศาสนา สถาบันผู้นำศาสนามีพัฒนาการในกลุ่มชนกะเหรี่ยงเมื่อยุคที่ 2 ของพม่า ในศตวรรษที่ 18 เกิดจาการสังเคราะห์ทางความคิดของผู้นำขณะนั้น ความคิดแรกอยู่บนกรอบความคิดที่ว่าผู้นำคือสื่อกลางในการติดต่อกับธรรมชาติและผู้นำคือสภาวะของอำนาจเหนือธรรมชาติที่มีเมตตา อีกความคิดหนึ่งเกิดขึ้นโดยอิทธิพลของกรอบความคิดเรื่องบุญกุศลของพุทธศาสนา ซึ่งการสะสมบุญ การเปลี่ยนผ่านของบุญบารมี ปรากฎในรูปของคนธรรมดาโดยผ่านลักษณะผู้นำทางศาสนา ทำให้เรื่องบุญเป็นเรื่องง่ายที่คนทั่วไปสามารถจะเข้าถึงได้ ตัวผู้นำทางศาสนาจะเลือกจากผู้นำที่มีความเหมาะสม โดยเป็นผู้เฒ่าที่แต่งงงานกับลูกสาวคนโตของผู้นำคนก่อน ต้องเป็นคนที่ยึดมั่นในศีลธรรมมีบุญกุศล หากเกิดกรณีน้องชายแต่งงานกับลูกสาวคนเล็กของผู้นำคนก่อน ผู้ที่มีสิทธิในการถูกเลือกเป็นผู้นำคือพี่ชายคนโตเท่านั้น ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าการปกครองของกะเหรี่ยงเรื่องความอาวุโสเป็นสิ่งสำคัญ (หน้า 252, 253)

Belief System

ความเชื่อทางศาสนาของกะเหรี่ยงโปว์มี 2 สำนักนิกาย คือ "lu baung" (ด้ายเหลือง - yellow thread) และ "wi maung" โดยแต่ละกลุ่มมีผู้นำทางศาสนาคือ "boungkho" และภรรยาของเขา พิธีกรรมหลัก ๆ ที่ทำเป็นประจำทุกปีคือ 1 ครั้งในเดือนมกราคมเพื่อถวายเทพเจ้าแห่งข้าว (Phibeyu) และอีก 1 ครั้งในเดือนมีนาคมที่เรียกกันว่า "Khoung s'raung" โดยพิธีเพื่อถวายข้าวนั้นจะคล้ายคลึงกันทั้งสองสำนักนิกาย ส่วนพิธีกรรมที่สอง "Khoung s'raung" นั้นมีความหมายถึงการฟื้นฟูหรือการก่อรูปอีกครั้งในเส้นทางที่ถูกต้องจัดเพื่อเชื่อมระหว่างอดีตและอนาคต เชื่อมวิญญาณในร่างกายและเพื่อขอผ่อนผันผลกรรมที่ได้เคยกระทำ เช่น ตัดไม้ ฆ่าสัตว์สิ่งมีชีวิตในระหว่างการทำเกษตรกรรม พิธีกรรมจัดโดยผู้นำศาสนา ในบริเวณใกล้เคียงกับศูนย์ประชุมของหมู่บ้านที่เรียกว่า " s'ro' " โดยผู้นำศาสนาและภรรยาจะเป็นผู้จัดเตรียมงาน ในพิธีกรรมจะมีความแตกต่างกันระหว่างสองสำนักคือ "lu baung" จะผูกด้ายเหลืองที่ข้อมือ ส่วน "wi maung" จะไม่ผูกด้ายเหลืองแต่จะดื่มน้ำสุก ฝ่าย "lu baung" จะตระเตรียมงานและยกเสาค้ำหรือกลด ที่เรียกว่า "th'dong" โดยแต่ละเสาค้ำนั้นจะมีขั้นหนึ่งขั้นหรือสามขั้น มีการตกแต่งไม้ค้ำ 4 แขนที่เรียกว่า " la' " และโรยทรายบนเจดีย์ขนาดเล็ก ทั้งเจดีย์ "th'dong" และ " la' " จะจัดไว้บริเวณรอบนอกของหมู่บ้าน (หน้า 252, 254)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

สถาปัตยกรรมของกะเหรี่ยงจะเกี่ยวโยงกับพิธีกรรมทางศาสนา เช่น " la' " เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจเอกราชของกะเหรี่ยง และเป็นส่วนประกอบของสถาปัตยกรรมทางศาสนาของ "lu baung" " la' " เป็นไม้ขนาด 2 1/2 เมตร มี 4 แขน " la' " ของกะเหรี่ยงนี้มีพัฒนาการของคำ หรือการกำเนิดที่ใกล้เคียงกับคำว่า หลักเมือง ของไทย ซึ่งเป็นเสาค้ำที่ตั้งขึ้นเพื่อแสดงอำนาจในดินแดนของรัฐ บูชาวิญญาณบรรพชนที่สถาปนาอำนาจรัฐขึ้นมา ในไทยนั้นเสาหลักเมืองเป็นศูนย์กลางของพิธีกรรมทางราชวงศ์เพื่อบูชาบรรพชนผู้ก่อตั้งอำนาจแกนกลางการปกครองของรัฐ ดังนั้น ในเชิงสัญลักษณ์ เสาหลักเมืองเป็นเส้นสมมติแกนกลางของอำนาจรัฐ ซึ่งรัฐไทยรับมาจากแนวคิดเรื่องจักรวาลในพุทธศาสนา นอกจากนี้ เสายังให้ความหมายถึงการติดต่อสื่อสารของราชวงศ์กับพระอินทร์ที่เป็นผู้ดูแลราชวงศ์และเป็นผู้อบรมสั่งสอนพุทธศาสนาเถระวาท ซึ่งเกี่ยวพันกับพุทธเจ้าองค์ที่ 5 (พระอริยเมตตรัย) การผสมผสานของหลักทางศาสนาใน "lu baung" จะมีการใช้ไม้ค้ำที่เรียกว่า "th'dong" และเจดีย์ ไม้ค้ำที่เรียกว่า "th'dong" นี้มีหน้าที่คล้ายกับเสา "iyluw" ของกะเหรี่ยงคะยา หรือกะเหรี่ยงยางแดงในพม่า และมีพัฒนาการของคำการกำเนิดที่เหมือนกับเสาธงศักดิ์สิทธิของพม่าที่เรียกว่า "tagundaing" ซึ่ง F.K Lehman ได้อธิบายว่าเป็นเสาธงที่ตั้งเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะของพุทธศาสนาที่มีเหนือปีศาจ จากการพิจารณาดังกล่าวเพื่อเทียบเคียงกับตำนานที่ปรากฎจริงนั้น การ "th'dong" ของกะเหรี่ยงจึงมีหน้าที่เพื่อขับไล่วิญญาณ " K'lau' " ผู้ซึ่ง Duwe Vaphyaung (บรรพบุรุษกะเหรี่ยง) บูชา โดยคำว่า " K'lau' " เป็นคำมอญที่มีความหมายถึงปีศาจที่มีบาป ในขณะเดียวกัน ในความหมายของมอญก็เป็นเครื่องหมายของวิญญาณของโคตรตระกูลหรือสายตระกูลด้วย ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ว่าศิลปะของกะเหรี่ยงเป็นศิลปะที่เชื่อมโยงกับศาสนาพุทธและประวัติศาสตร์พื้นที่ของอารยธรรมพม่า มอญ ไทย ทำให้การประดิษฐ์ของกะเหรี่ยงจึงมีนัยยะซ่อนเร้นทั้งเรื่องวิธีคิดทางศาสนา การเมือง สังคมและประวัติศาสตร์ (หน้า 257-258)

Folklore

จากประวัติศาสตร์ที่บันทึกโดยมิชชันนารีอเมริกัน กล่าวว่า พม่าในช่วงศตวรรษที่ 19 มีศาสนาที่หลากหลายซึ่งมีแนวโน้มที่จะมีผู้นำที่มีลักษณะมีพลัง พรสวรรค์ มีบารมี นอกจากนี้ งานทางมานุษยวิทยาก็ได้ให้ภาพว่ากลุ่มกะเหรี่ยงกลุ่มหนึ่งเมื่อ 1,000 ปีมาแล้ว เป็นสาวกของผู้นำนิกาย "Telakhon" ขณะที่อีกกลุ่มเป็นสาวกที่ยึดมั่นในนิกาย "Leke" ในพม่า และที่เหลือเป็นกลุ่มที่คิดรูปแบบศาสนาใหม่ มีการสักตามผิวหนังแทนการบูชาภูตผีวิญญาณ โดยในประเพณีท้องถิ่น ศาสนานิกาย "lu baung" และ "wi maung" ก่อตัวเกิดขึ้นในช่วงยุคแรกของพุทธศตวรรษที่ 19 โดยฤาษีศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า "eing sai" ซึ่งกะเหรี่ยงในพม่าจะเรียกว่า "weika" ที่หมายถึง ผู้ศักดิ์สิทธิ์สามารถข่มใจตนเองได้ บรรลุถึงพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ ทำให้ไม่มีใครมองเห็น เหาะเหินดำดินได้และมีอายุยืนยาว ซึ่งคน ๆ นี้อาจจะรู้เห็นถึงการอุบัติขึ้นของพุทธศาสนาสมัยพระอริยเมตตรัย และเขาผู้นี้ได้รับอำนาจของพระอินทร์และยังเกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ศาสนาในกลุ่มคนไม่รู้ด้วย (หน้า 255)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ในตำนานของกะเหรี่ยงนั้น lu baung และ wi maung ที่เกิดจาก eing sai ซึ่งมีตัวตนเป็นผู้ชายชื่อว่า Th'Soung Ne Dje และอาศัยอยู่บริเวณพรมแดนพม่า - ไทย ตามคำบอกเล่าของผู้นำศาสนา "lu baung" Th'Soung Ne Dje ได้สอนว่า กะเหรี่ยงโปว์ เกิดมาจาก Duwe Vaphyaung ผู้ซึ่งบูชาภูติผีวิญญาณ ฉะนั้น กะเหรี่ยงต้องเลี้ยงสัตว์และฆ่าสัตว์เพื่อบูชา " K'lau' " ด้วยอาหารที่ดีพร้อมด้วยไม้ไผ่และตัวตุ่น ต่อมามีฤาษีตนหนึ่ง กำเนิดจาก "eing sai" และได้สร้างบ้านเรือนของ "wi maung" และสั่งให้กะเหรี่ยงสร้าง " s'ro' ", "th'dong" และเจดีย์ ใช้ดอกไม้ 30 ดอก ใช้เทียนเหลือง-ขาว ถวายบูชา "th'dong" และ " la' " และขับไล่ " K'lau' " ออกไป พร้อมทั้งห้ามไม่ให้กะเหรี่ยงเลี้ยงและถวายไก่ หมู เป็ด แก่ " K'lau' " อีกและหลีกเลี่ยงการกลั่นเหล้าจากข้าว ดื่มเหล้า นอกจากนี้ กะเหรี่ยงต้องรักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัด ต้องกราบไหว้บูชาเจดีย์ทรายทุกวันก่อนค่ำ ต้องทำความสะอาดอย่าปล่อยให้สกปรกเพราะเปรียบเสมือนพระพุทธเจ้าของกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงต้องผูกข้อมือ ผูกเท้า และผูกวิญญาณ กะเหรี่ยงต้องจัดงานที่เรียกว่า "Khoung s'raung" ข้อมือต้องผูกด้ายเหลือง กะเหรี่ยงต้องทำตามคำสั่งของฤาษี จากนี้ฤาษีจึงมอบหมายหน้าที่ทางศาสนาให้แก่ผู้นำศาสนาและ เทวดา (dewata) (หน้า 255-256)

Social Cultural and Identity Change

การก่อร่างของความเชื่อทางศาสนาทั้งสองนิกายนั้น อาจเกิดขึ้นจากการปฏิเสธความคิดความเชื่อในศาสนาก่อนหน้านี้ ซึ่งคือวาสนาของ "Duwe Vaphyaung" การเซ่นไหว้บูชาภูติผีวิญญาณ ('aung hrae) ที่เป็นวิญญาณการสืบทอดทางบรรพบุรุษฝ่ายแม่ วิญญาณต้นไม้และภูเขา โดยเป็นรูปแบบที่พบได้ในกลุ่มกะเหรี่ยงทางภาคเหนือของไทย การเข้ามาของฤาษีทำให้ Duwe (ด้ายขาว - white threads) ถูกแยกออกเป็น "lu baung" และ "wi maung" กะเหรี่ยงด้ายขาวไม่มีผู้นำศาสนา กะเหรี่ยงกลุ่มนี้อาศัยอยู่บริเวณแม่น้ำแควน้อยแควใหญ่และภาคเหนือของไทย การบูชาภูติผีวิญญาณของกะเหรี่ยงด้ายขาว ถูกสั่งห้ามโดยผู้รู้กะเหรี่ยงที่ห้ามกะเหรี่ยงถวายอาหาร ออกคำสั่งให้ห้ามเลี้ยงสัตว์ทั้งสัตว์ปีกและหมู โดยให้กะเหรี่ยงหันมาสร้างเจดีย์ ตั้งเสา "th'dong" และไม้ค้ำ 4 แขน " la' " และให้ใช้ดอกไม้และเทียนไขระหว่างพิธีกรรมใน " s'ro' " ให้ทั้งสองนิกายถือศีล 5 ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมของกะเหรี่ยงจึงเกิดขึ้นเมื่อมีการผสมผสานความเชื่อดั้งเดิมในสิ่งเหนือธรรมชาติกับพุทธศาสนา นำมาเป็นแนวทางปฏิบัติและพัฒนาการจุดมุ่งหมายมุ่งสู่พระอริยเมตตรัย การยึดมั่นในศาสนาทั้งสองสำนักนิกาย ได้ผ่านการสั่งสมจากบรรพชนมายาวนานจึงเป็นกรอบในการสร้างอัตลักษณ์วัฒนธรรมของกะเหรี่ยง ระบบวัฒนธรรมของกะเหรี่ยงจึงอยู่ภายใต้ระบบความเชื่อ ด้วยเหตุนี้การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและอัตลักษณ์ของกะเหรี่ยงจึงยึดโยงกับการเปลี่ยนแปลงทางคาวมคิดความเชื่อของกะเหรี่ยง (หน้า 256)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst อินทิรา วิทยสมบูรณ์ Date of Report 25 ก.ย. 2567
TAG โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู กะเหรี่ยง, ศาสนา, ความเชื่อ, การรวมกลุ่มทางชาติพันธุ์, ภาคตะวันตก, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง