|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู กะเหรี่ยง ,ศาสนา,ความเชื่อ,การรวมกลุ่มทางชาติพันธุ์,ภาคตะวันตก |
Author |
Kirsten Ewers Anderson |
Title |
Pwo Indigenous Karen Religious Denominations |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
10 |
Year |
2524 |
Source |
http://www.ibiblo.org/obl/docs/KirstenEA-Karen_Religious_Denominations.pdf |
Abstract |
ศาสนา ความเชื่อเป็นระบบความคิดที่มีความสำคัญในสังคมต่าง ๆ รวมทั้งในสังคมกะเหรี่ยง ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณตะเข็บพรมแดนพม่า-ไทย ที่ความเชื่อทางศาสนาเกิดจากการผสมผสานระหว่างความเชื่อดั้งเดิมกับความเชื่อในพุทธศาสนาที่รับเข้ามาจากการเติบโตของพุทธศาสนาในพม่า มอญ และไทย ความเชื่อของกะเหรี่ยงจึงมีรูปแบบการผสมผสานและมีส่วนสำคัญต่อการกำหนดอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ศาสนาของกะเหรี่ยงมี 2 สำนัก คือ "lu baung" และ "wi maung" โดยต่างมีผู้นำทางศาสนาของตน ความแตกต่างระหว่างทั้งสองนิกายคือ "lu baung" จะผูกข้อมือ แต่ "wi maung" จะไม่ผูกข้อมือแต่จะดื่มน้ำสุกในพิธีกรรม โดยผู้นำทางศาสนานั้นจะมีบทบาททางการปกครอง เพราะศาสนามีข้อห้าม มีศีล 5 สำหรับผู้ยึดมั่น ดังนั้นผู้นำทางศาสนาจึงมีบทบาทในการควบคุมทางสังคมด้วยเช่นกัน ครอบครัวและการยังชีพก็เป็นสถาบันที่ศาสนาความเชื่อเข้าไปกำหนดกรอบเช่นกัน กะเหรี่ยงจะยึดความสำคัญทางฝ่ายแม่และตั้งถิ่นฐานทางฝ่ายแม่เช่นกัน ซึ่งจะสัมพันธ์กับการยังชีพแบบเพาะปลูกหมุนเวียนที่ต้องใช้แรงงาน แต่ทั้งนี้การยึดโยงทางสายฝ่ายแม่สามารถที่จะปรับเปลี่ยนได้ เช่นเมื่อผู้ชายแต่งงานต้องเปลี่ยนมานับถือนิกายของฝ่ายหญิงและครอบครัว การปรับเปลี่ยนทางศาสนาของกะเหรี่ยงจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้ากะเหรี่ยงไม่มีอิสระภาพในการปกครอง การยังชีพที่อิสระ หรือถูกครอบงำจากอำนาจที่เหนือกว่า ดังนั้น การแสดงออกทางศาสนา พิธีกรรม การมีหมู่บ้าน มีผู้นำ และการมีเสาหลักเมือง จึงไม่ใช่เพียงแค่สัญลักษณ์ของการมีอำนาจครอบครองพื้นที่นั้น ๆ ของสายตระกูล เช่น กรณีหลักเมืองของไทย แต่มันเกี่ยวข้องกับความเป็นเอกภาพของการรวมกลุ่ม ในสถานที่ที่หนึ่ง ในช่วงเวลาขณะหนึ่ง โดยอัตลักษณ์ของความเป็นกลุ่ม ความเป็นชนกะเหรี่ยงนั้น จะปรากฎจะถูกยืนยันในช่วงเวลางานพิธีกรรม Khoung s'raung ของทุกปี (หน้า 260) |
|
Focus |
เน้นการศึกษาถกเถียงในเรื่องการรวมกลุ่ม จัดองค์กร ต้นกำเนิด และวัฒนธรรมของกะเหรี่ยงว่าเกิดขึ้นมาจากความเชื่อของชนกะเหรี่ยงเพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า ความคิดเรื่องการเมือง-ศาสนา ความเชื่อและรูปแบบสถาปัตยกรรมทางพิธีกรรมต่าง ๆ ล้วนสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของระบบที่ใหญ่กว่าอย่างประวัติศาสตร์อารยธรรมสังคมพุทธศาสนาที่มีกษัตริย์ปกครองของพม่าและไทย (หน้า 251) |
|
Theoretical Issues |
ไม่ได้ระบุไว้ชัดเจน แต่อาจกล่าวได้ว่าแนวคิดที่ใช้ในการศึกษา คือ แนวคิดเรื่อง การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมโดยการรับศาสนาพุทธเข้ามาผสมผสานกับศาสนาดั้งเดิม และแนวคิดเชิงการหน้าที่ (functionalism) โดยอธิบายผ่านปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่มีต้นกำเนิดจากความเชื่อทางศาสนาของกะเหรี่ยง เช่น การเลือกผู้นำทางศาสนา การตั้งถิ่นฐาน การเปลี่ยนแปลงทางสังคม พิธีกรรมทางศาสนา สถาปัตยกรรมในพิธีกรรมซึ่งผู้ศึกษาได้อธิบายปรากฎการณ์เหล่านี้ในกรอบของหน้าที่ที่มีต่อสังคมกะเหรี่ยง โดยหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของความเชื่อทางศาสนาทั้ง 2 สำนัก คือ "lu baung" และ "wi maung" ล้วนมีหน้าที่ในการแสดงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงทั้งสิ้น เช่นกรณีการตั้งเสาค้ำ "la'" หรือหลักเมือง นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเป็นสัญลักษณ์เพื่อแสดงอาณาเขต แสดงอำนาจที่มีเหนือดินแดนเช่นกรณีหลักเมืองของไทย แต่เสาดังกล่าวมีนัยยะหน้าที่ที่เชื่อมโยงกับการมีเอกภาพของการรวมกลุ่ม และพิธีกรรมที่เกิดขึ้นก็มีหน้าที่ที่ในการใช้แสดงและยืนยันความเป็นกลุ่มหรืออัตลักษณ์ของกลุ่มนั่นเอง (หน้า 260) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงโปว์ ที่อยู่ในพม่าและไทยที่มีภาษาพูดคล้ายคลึงกัน แต่มี 2 กลุ่มย่อย คือ กะเหรี่ยงด้ายเหลือง (lu baung) และ "wi maung" (หน้า 251) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ได้ระบุในงานการศึกษา ระบุเพียงว่า เป็นกลุ่มชนที่พูดภาษากะเหรี่ยงครอบคลุมถึงประชาชนในพม่าและไทยที่พูดภาษาที่ใกล้เคียงกันเท่านั้น (หน้า 251) |
|
Study Period (Data Collection) |
ไม่ได้ระบุว่าได้ทำการศึกษาช่วงปีใด แต่ช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่ผู้ศึกษากล่าวถึงประมาณพุทธศตวรรษที่ 18-19 (หน้า 251, 255) |
|
History of the Group and Community |
ชนกะเหรี่ยงที่อยู่อาศัยบริเวณพรมแดนพม่า-ไทยนั้นส่วนมากสืบเชื้อสายของกะเหรี่ยงโปว์ ซึ่งอพยพหนีการกดขี่มาจากทวาย (Tavoy) ประเทศพม่า เมื่อประมาณ 200 ปีก่อน (หน้า 252) |
|
Settlement Pattern |
กะเหรี่ยงหรือกลุ่มคนที่พูดภาษากะเหรี่ยงนั้นกระจายตามพื้นที่ต่าง ๆ การตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยจะอยู่บริเวณหุบเขาและป่า หรือบริเวณที่ราบลุ่ม เมื่อมาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ประเทศไทย กะเหรี่ยงมีจำนวนไม่มากนัก จนกระทั่งปี ค.ศ.1972 ผู้คนจึงหนาแน่นขึ้นบ้าง โดยเป็นผลมาจากสภาวะของระบบนิเวศที่สมดุลเอื้อประโยชน์ต่อการยังชีพแบบเพาะปลูกหมุนเวียน กะเหรี่ยงจึงกลับมาตั้งถิ่นฐานอีกครั้ง การตั้งถิ่นฐานทำกินนั้นไม่จำเป็นต้องขอความยินยอมในการใช้พื้นที่จากใคร โดยเมื่อแต่งงานแล้วผู้อาศัยจะตั้งถิ่นฐานแบบ "uxorilocal" คือครอบครัวเดิมจะขยายโดยลูกเขยเข้ามาตั้งถิ่นฐานสร้างบ้านร่วมในบริเวณเดียวกัน ดังนั้น ภายในหมู่บ้านจึงพบกลุ่มบ้านซึ่งมีบ้านสร้างอยู่รอบ ๆ บ้านของแม่เฒ่า สามีของแม่เฒ่าและบ้านของลูกสาวกับสามีที่อยู่ถัดกันออกไปกับบ้านแม่เฒ่าที่ถือว่าเป็นครัวเรือนศูนย์กลางของแต่ละกลุ่มบ้าน ดังนั้นการตั้งถิ่นฐานจึงสัมพันธ์เชื่อมโยงกับการยังชีพ การผลิตแบบหมุนเวียนของกะเหรี่ยง โดยกลุ่มบ้านกลุ่มครอบครัวจะร่วมมือกันในการเพาะปลูกแบบหมุนเวียน ในขณะเดียวกันแต่ละครอบครัวต่างก็จะมีหน่วยทางเศรษฐกิจของตน (หน้า 251-252) |
|
Demography |
ประชากรกะเหรี่ยงโปว์ มีประมาณ 5,000 คน กระจายอยู่ใน 40 หมู่บ้าน โดยกลุ่มกะเหรี่ยง "lu baung" จะอยู่ห่างไกลกว่ากลุ่มกะเหรี่ยง "wi maung" (หน้า 253) |
|
Economy |
กะเหรี่ยงยังชีพโดยการผลิตการเพาะปลูกแบบหมุนเวียน และการล่าสัตว์ในป่าลึก (หน้า 252) |
|
Social Organization |
การจัดระเบียบทางสังคมของกะเหรี่ยงนั้นจะสัมพันธ์กับความคิดความเชื่อทางศาสนา กล่าวคือ การเข้าร่วมเป็นสมาชิกในสำนักนิกาย "lu baung" หรือ "wi maung" จะเกิดขึ้นทันทีที่สมาชิกในครอบครัวนิกายนั้น ๆ เกิด เช่น แม่เป็น "lu baung" ลูกที่เกิดย่อมเป็น "lu baung" ด้วยเช่นกัน และพ่อก็จะเปลี่ยนนิกายตามนิกายของแม่ ดังนั้น การจัดระเบียบทางสังคมจึงยึดอยู่กับการสืบสายเลือดตระกูลฝ่ายหญิง (Matrilineal) ผู้ชายเมื่อแต่งงานก็จะเปลี่ยนนิกายตามนิกายของภรรยาและครอบครัวฝ่ายหญิง การปรับเปลี่ยนของกะเหรี่ยงในความเชื่อทางศาสนาจึงเกิดขึ้นได้ ถ้าใครที่มีความยึดมั่นอยู่ในนิกายเดิมของตนก็จะเกิดการเย้ยหยัน (roasted) หรือ เหตุการณ์ เช่น มีคนในครอบครัวป่วย เป็นบ้าหรืออาจตาย ทำให้ลูกเขยต้องปฏิบัติตามกฎทางสังคมโดยการเปลี่ยนนิกาย ด้วยเหตุนี้ สังคมจึงมีการจัดระเบียบโดยใช้กรอบทางศาสนา ทำให้สังคมกะเหรี่ยงมีลักษณะเป็นสังคมที่ให้ความสำคัญกับฝ่ายแม่ และตั้งถิ่นฐานตามฝ่ายแม่ ขณะเดียวกันศาสนาก็ยังควบคุมการปฏิบัติตัวของคนในสังคม เช่น ห้ามดื่มเหล้า เคารพธรรมชาติ ต้องทำบุญ รักษาศีล 5 ข้อห้ามเหล่านี้จึงทำให้สังคมกะเหรี่ยงเกิดความสงบสุข (หน้า 254-256) |
|
Political Organization |
เมื่อความเชื่อทางศาสนาเป็นสิ่งยึดโยงกลุ่มชนกะเหรี่ยง ดังนั้น ในการปกครองโครงสร้างทางอำนาจของการรวมกลุ่มก็จะสัมพันธ์กับความเชื่อ โดยผู้นำทางศาสนาหรือ "boungkho" จะมีบทบาททางศาสนา แต่ก็มีบทบาททางการปกครองด้วย กล่าวคือ ในแต่ละสำนักต่างก็จะมีผู้นำทางศาสนาของตนในการทำพิธีกรรมหรือในบางครั้งอาจทำร่วมกัน ผู้นำศาสนาเปรียบเสมือนคนกลางในการติดต่อกับอำนาจเหนือธรรมชาติที่มองไม่เห็น ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตอยู่อาศัยและใช้ประโยชน์จากธรรมชาติด้วยเช่นกัน ลักษณะของผู้นำศาสนาเหมือนกับเป็นสัญลักษณ์ของผู้มีบุญกุศล เฉกเช่นเดียวกับพระสงฆ์ในพุทธศาสนา สถาบันผู้นำศาสนามีพัฒนาการในกลุ่มชนกะเหรี่ยงเมื่อยุคที่ 2 ของพม่า ในศตวรรษที่ 18 เกิดจาการสังเคราะห์ทางความคิดของผู้นำขณะนั้น ความคิดแรกอยู่บนกรอบความคิดที่ว่าผู้นำคือสื่อกลางในการติดต่อกับธรรมชาติและผู้นำคือสภาวะของอำนาจเหนือธรรมชาติที่มีเมตตา อีกความคิดหนึ่งเกิดขึ้นโดยอิทธิพลของกรอบความคิดเรื่องบุญกุศลของพุทธศาสนา ซึ่งการสะสมบุญ การเปลี่ยนผ่านของบุญบารมี ปรากฎในรูปของคนธรรมดาโดยผ่านลักษณะผู้นำทางศาสนา ทำให้เรื่องบุญเป็นเรื่องง่ายที่คนทั่วไปสามารถจะเข้าถึงได้ ตัวผู้นำทางศาสนาจะเลือกจากผู้นำที่มีความเหมาะสม โดยเป็นผู้เฒ่าที่แต่งงงานกับลูกสาวคนโตของผู้นำคนก่อน ต้องเป็นคนที่ยึดมั่นในศีลธรรมมีบุญกุศล หากเกิดกรณีน้องชายแต่งงานกับลูกสาวคนเล็กของผู้นำคนก่อน ผู้ที่มีสิทธิในการถูกเลือกเป็นผู้นำคือพี่ชายคนโตเท่านั้น ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าการปกครองของกะเหรี่ยงเรื่องความอาวุโสเป็นสิ่งสำคัญ (หน้า 252, 253) |
|
Belief System |
ความเชื่อทางศาสนาของกะเหรี่ยงโปว์มี 2 สำนักนิกาย คือ "lu baung" (ด้ายเหลือง - yellow thread) และ "wi maung" โดยแต่ละกลุ่มมีผู้นำทางศาสนาคือ "boungkho" และภรรยาของเขา พิธีกรรมหลัก ๆ ที่ทำเป็นประจำทุกปีคือ 1 ครั้งในเดือนมกราคมเพื่อถวายเทพเจ้าแห่งข้าว (Phibeyu) และอีก 1 ครั้งในเดือนมีนาคมที่เรียกกันว่า "Khoung s'raung" โดยพิธีเพื่อถวายข้าวนั้นจะคล้ายคลึงกันทั้งสองสำนักนิกาย ส่วนพิธีกรรมที่สอง "Khoung s'raung" นั้นมีความหมายถึงการฟื้นฟูหรือการก่อรูปอีกครั้งในเส้นทางที่ถูกต้องจัดเพื่อเชื่อมระหว่างอดีตและอนาคต เชื่อมวิญญาณในร่างกายและเพื่อขอผ่อนผันผลกรรมที่ได้เคยกระทำ เช่น ตัดไม้ ฆ่าสัตว์สิ่งมีชีวิตในระหว่างการทำเกษตรกรรม พิธีกรรมจัดโดยผู้นำศาสนา ในบริเวณใกล้เคียงกับศูนย์ประชุมของหมู่บ้านที่เรียกว่า " s'ro' " โดยผู้นำศาสนาและภรรยาจะเป็นผู้จัดเตรียมงาน ในพิธีกรรมจะมีความแตกต่างกันระหว่างสองสำนักคือ "lu baung" จะผูกด้ายเหลืองที่ข้อมือ ส่วน "wi maung" จะไม่ผูกด้ายเหลืองแต่จะดื่มน้ำสุก ฝ่าย "lu baung" จะตระเตรียมงานและยกเสาค้ำหรือกลด ที่เรียกว่า "th'dong" โดยแต่ละเสาค้ำนั้นจะมีขั้นหนึ่งขั้นหรือสามขั้น มีการตกแต่งไม้ค้ำ 4 แขนที่เรียกว่า " la' " และโรยทรายบนเจดีย์ขนาดเล็ก ทั้งเจดีย์ "th'dong" และ " la' " จะจัดไว้บริเวณรอบนอกของหมู่บ้าน (หน้า 252, 254) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
สถาปัตยกรรมของกะเหรี่ยงจะเกี่ยวโยงกับพิธีกรรมทางศาสนา เช่น " la' " เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจเอกราชของกะเหรี่ยง และเป็นส่วนประกอบของสถาปัตยกรรมทางศาสนาของ "lu baung" " la' " เป็นไม้ขนาด 2 1/2 เมตร มี 4 แขน " la' " ของกะเหรี่ยงนี้มีพัฒนาการของคำ หรือการกำเนิดที่ใกล้เคียงกับคำว่า หลักเมือง ของไทย ซึ่งเป็นเสาค้ำที่ตั้งขึ้นเพื่อแสดงอำนาจในดินแดนของรัฐ บูชาวิญญาณบรรพชนที่สถาปนาอำนาจรัฐขึ้นมา ในไทยนั้นเสาหลักเมืองเป็นศูนย์กลางของพิธีกรรมทางราชวงศ์เพื่อบูชาบรรพชนผู้ก่อตั้งอำนาจแกนกลางการปกครองของรัฐ ดังนั้น ในเชิงสัญลักษณ์ เสาหลักเมืองเป็นเส้นสมมติแกนกลางของอำนาจรัฐ ซึ่งรัฐไทยรับมาจากแนวคิดเรื่องจักรวาลในพุทธศาสนา นอกจากนี้ เสายังให้ความหมายถึงการติดต่อสื่อสารของราชวงศ์กับพระอินทร์ที่เป็นผู้ดูแลราชวงศ์และเป็นผู้อบรมสั่งสอนพุทธศาสนาเถระวาท ซึ่งเกี่ยวพันกับพุทธเจ้าองค์ที่ 5 (พระอริยเมตตรัย) การผสมผสานของหลักทางศาสนาใน "lu baung" จะมีการใช้ไม้ค้ำที่เรียกว่า "th'dong" และเจดีย์ ไม้ค้ำที่เรียกว่า "th'dong" นี้มีหน้าที่คล้ายกับเสา "iyluw" ของกะเหรี่ยงคะยา หรือกะเหรี่ยงยางแดงในพม่า และมีพัฒนาการของคำการกำเนิดที่เหมือนกับเสาธงศักดิ์สิทธิของพม่าที่เรียกว่า "tagundaing" ซึ่ง F.K Lehman ได้อธิบายว่าเป็นเสาธงที่ตั้งเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะของพุทธศาสนาที่มีเหนือปีศาจ จากการพิจารณาดังกล่าวเพื่อเทียบเคียงกับตำนานที่ปรากฎจริงนั้น การ "th'dong" ของกะเหรี่ยงจึงมีหน้าที่เพื่อขับไล่วิญญาณ " K'lau' " ผู้ซึ่ง Duwe Vaphyaung (บรรพบุรุษกะเหรี่ยง) บูชา โดยคำว่า " K'lau' " เป็นคำมอญที่มีความหมายถึงปีศาจที่มีบาป ในขณะเดียวกัน ในความหมายของมอญก็เป็นเครื่องหมายของวิญญาณของโคตรตระกูลหรือสายตระกูลด้วย ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ว่าศิลปะของกะเหรี่ยงเป็นศิลปะที่เชื่อมโยงกับศาสนาพุทธและประวัติศาสตร์พื้นที่ของอารยธรรมพม่า มอญ ไทย ทำให้การประดิษฐ์ของกะเหรี่ยงจึงมีนัยยะซ่อนเร้นทั้งเรื่องวิธีคิดทางศาสนา การเมือง สังคมและประวัติศาสตร์ (หน้า 257-258) |
|
Folklore |
จากประวัติศาสตร์ที่บันทึกโดยมิชชันนารีอเมริกัน กล่าวว่า พม่าในช่วงศตวรรษที่ 19 มีศาสนาที่หลากหลายซึ่งมีแนวโน้มที่จะมีผู้นำที่มีลักษณะมีพลัง พรสวรรค์ มีบารมี นอกจากนี้ งานทางมานุษยวิทยาก็ได้ให้ภาพว่ากลุ่มกะเหรี่ยงกลุ่มหนึ่งเมื่อ 1,000 ปีมาแล้ว เป็นสาวกของผู้นำนิกาย "Telakhon" ขณะที่อีกกลุ่มเป็นสาวกที่ยึดมั่นในนิกาย "Leke" ในพม่า และที่เหลือเป็นกลุ่มที่คิดรูปแบบศาสนาใหม่ มีการสักตามผิวหนังแทนการบูชาภูตผีวิญญาณ โดยในประเพณีท้องถิ่น ศาสนานิกาย "lu baung" และ "wi maung" ก่อตัวเกิดขึ้นในช่วงยุคแรกของพุทธศตวรรษที่ 19 โดยฤาษีศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า "eing sai" ซึ่งกะเหรี่ยงในพม่าจะเรียกว่า "weika" ที่หมายถึง ผู้ศักดิ์สิทธิ์สามารถข่มใจตนเองได้ บรรลุถึงพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ ทำให้ไม่มีใครมองเห็น เหาะเหินดำดินได้และมีอายุยืนยาว ซึ่งคน ๆ นี้อาจจะรู้เห็นถึงการอุบัติขึ้นของพุทธศาสนาสมัยพระอริยเมตตรัย และเขาผู้นี้ได้รับอำนาจของพระอินทร์และยังเกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ศาสนาในกลุ่มคนไม่รู้ด้วย (หน้า 255) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในตำนานของกะเหรี่ยงนั้น lu baung และ wi maung ที่เกิดจาก eing sai ซึ่งมีตัวตนเป็นผู้ชายชื่อว่า Th'Soung Ne Dje และอาศัยอยู่บริเวณพรมแดนพม่า - ไทย ตามคำบอกเล่าของผู้นำศาสนา "lu baung" Th'Soung Ne Dje ได้สอนว่า กะเหรี่ยงโปว์ เกิดมาจาก Duwe Vaphyaung ผู้ซึ่งบูชาภูติผีวิญญาณ ฉะนั้น กะเหรี่ยงต้องเลี้ยงสัตว์และฆ่าสัตว์เพื่อบูชา " K'lau' " ด้วยอาหารที่ดีพร้อมด้วยไม้ไผ่และตัวตุ่น ต่อมามีฤาษีตนหนึ่ง กำเนิดจาก "eing sai" และได้สร้างบ้านเรือนของ "wi maung" และสั่งให้กะเหรี่ยงสร้าง " s'ro' ", "th'dong" และเจดีย์ ใช้ดอกไม้ 30 ดอก ใช้เทียนเหลือง-ขาว ถวายบูชา "th'dong" และ " la' " และขับไล่ " K'lau' " ออกไป พร้อมทั้งห้ามไม่ให้กะเหรี่ยงเลี้ยงและถวายไก่ หมู เป็ด แก่ " K'lau' " อีกและหลีกเลี่ยงการกลั่นเหล้าจากข้าว ดื่มเหล้า นอกจากนี้ กะเหรี่ยงต้องรักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัด ต้องกราบไหว้บูชาเจดีย์ทรายทุกวันก่อนค่ำ ต้องทำความสะอาดอย่าปล่อยให้สกปรกเพราะเปรียบเสมือนพระพุทธเจ้าของกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงต้องผูกข้อมือ ผูกเท้า และผูกวิญญาณ กะเหรี่ยงต้องจัดงานที่เรียกว่า "Khoung s'raung" ข้อมือต้องผูกด้ายเหลือง กะเหรี่ยงต้องทำตามคำสั่งของฤาษี จากนี้ฤาษีจึงมอบหมายหน้าที่ทางศาสนาให้แก่ผู้นำศาสนาและ เทวดา (dewata) (หน้า 255-256) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การก่อร่างของความเชื่อทางศาสนาทั้งสองนิกายนั้น อาจเกิดขึ้นจากการปฏิเสธความคิดความเชื่อในศาสนาก่อนหน้านี้ ซึ่งคือวาสนาของ "Duwe Vaphyaung" การเซ่นไหว้บูชาภูติผีวิญญาณ ('aung hrae) ที่เป็นวิญญาณการสืบทอดทางบรรพบุรุษฝ่ายแม่ วิญญาณต้นไม้และภูเขา โดยเป็นรูปแบบที่พบได้ในกลุ่มกะเหรี่ยงทางภาคเหนือของไทย การเข้ามาของฤาษีทำให้ Duwe (ด้ายขาว - white threads) ถูกแยกออกเป็น "lu baung" และ "wi maung" กะเหรี่ยงด้ายขาวไม่มีผู้นำศาสนา กะเหรี่ยงกลุ่มนี้อาศัยอยู่บริเวณแม่น้ำแควน้อยแควใหญ่และภาคเหนือของไทย การบูชาภูติผีวิญญาณของกะเหรี่ยงด้ายขาว ถูกสั่งห้ามโดยผู้รู้กะเหรี่ยงที่ห้ามกะเหรี่ยงถวายอาหาร ออกคำสั่งให้ห้ามเลี้ยงสัตว์ทั้งสัตว์ปีกและหมู โดยให้กะเหรี่ยงหันมาสร้างเจดีย์ ตั้งเสา "th'dong" และไม้ค้ำ 4 แขน " la' " และให้ใช้ดอกไม้และเทียนไขระหว่างพิธีกรรมใน " s'ro' " ให้ทั้งสองนิกายถือศีล 5 ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมของกะเหรี่ยงจึงเกิดขึ้นเมื่อมีการผสมผสานความเชื่อดั้งเดิมในสิ่งเหนือธรรมชาติกับพุทธศาสนา นำมาเป็นแนวทางปฏิบัติและพัฒนาการจุดมุ่งหมายมุ่งสู่พระอริยเมตตรัย การยึดมั่นในศาสนาทั้งสองสำนักนิกาย ได้ผ่านการสั่งสมจากบรรพชนมายาวนานจึงเป็นกรอบในการสร้างอัตลักษณ์วัฒนธรรมของกะเหรี่ยง ระบบวัฒนธรรมของกะเหรี่ยงจึงอยู่ภายใต้ระบบความเชื่อ ด้วยเหตุนี้การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและอัตลักษณ์ของกะเหรี่ยงจึงยึดโยงกับการเปลี่ยนแปลงทางคาวมคิดความเชื่อของกะเหรี่ยง (หน้า 256) |
|
|