สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,ลาหู่ ลาฮู, ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง, ลีซู,ชาติพันธุ์,แผนพัฒนา,การทำเกษตรกรรม,ภาคเหนือ
Author Anthony R. Walker, Syed Jamal Jaafar
Title The Zonal Approach to Agricultural Development in North Thailand
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ลีซู, ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, ม้ง, ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations ไม่ระบุ
Location of
Documents
ห้องสมุดกลางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 7 Year 2518
Source Farmer in the Hills : Upland Peoples of North Thailand, Anthony R. Walker (Editor), p.205-200. จัดพิมพ์โดย The School of Comparative Social Sciences, พิมพ์ที่ Universiti Sains Malaysia
Abstract

พรรณนาถึงการดำเนินการตามแผนพัฒนาเป็นเขตพื้นที่ ที่รัฐบาลนำมาใช้พัฒนาหมู่บ้านชาติพันธุ์บนที่สูงในภาคเหนือของไทย (The Highland Zonal Development Plan) เพื่อเปลี่ยนวิถีการผลิตแบบดั้งเดิมที่ทำไร่เลื่อนลอยตัดต้นไม้แล้วเผาและการปลูกฝิ่น ให้หันมาทำการเพาะปลูกโดยใช้ระบบชลประทาน และปลูกป่าขึ้นใหม่ (หลังจากตัดต้นไม้ไปแล้ว) เพื่อให้เกิดป่าถาวรที่สามารถเก็บผลผลิตจากป่ามาใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งให้ความรู้ทั้งด้านการศึกษา การแพทย์ สาธารณสุข ปศุสัตว์ การเพาะปลูก การบริหารจัดการ ฯลฯ ซึ่งเป็นแผนพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานทางความคิดแนวใหม่ คือประชากรบนเขาต้องได้ รับการฝึกสอน (taught) ไม่ใช่ด้วยการบีบบังคับ (forced) และยังต้องมีการสาธิตภาคปฏิบัติของวิธีการใหม่ ๆ ให้เห็นเป็นรูปธรรมอีกด้วย

Focus

นำเสนอการดำเนินการตามแผนพัฒนาแบบเขตพื้นที่ของรัฐที่ใช้กับชาติพันธุ์บนเขาในภาคเหนือของไทย (The Highland Zonal Development Plan)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ผู้เขียนกล่าวถึงแผนพัฒนาชาวเขาบนที่สูงทางภาคเหนือของไทยโดยรวม แต่ได้กล่าวระบุถึงชาติพันธุ์ในพื้นที่โครงการที่ดำเนินการตามแผนพัฒนาบนที่สูงจำนวน 5 พื้นที่คือ โครงการแรกที่แม่แสล็บ อำเภอแม่จัน เป็นพื้นที่ของอาข่า พื้นที่โครงการที่สอง เริ่มที่ Huai Ma Ta Mau ในอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงราย ส่วนใหญ่เป็นม้ง พื้นที่โครงการที่สามที่ Doi Musoe อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก เป็นพื้นที่ซึ่งมีหมู่บ้านชาติพันธุ์หลายชาติพันธุ์อยู่คละกัน ได้แก่ ลาหู่ ม้ง ลีซอ และมีกำหนดจะดำเนินการอีกสองโครงการที่ Mae Chang ในอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน และที่ Huai Pang Pao ในอำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ สองพื้นที่นี้เป็นถิ่นที่อยู่ของหมู่บ้านกะเหรี่ยง (หน้า 211)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ค.ศ. 1973 (หน้า 211)

History of the Group and Community

ประชากรบนเขาในภาคเหนือของไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่การเติบโตของธรรมชาติไม่สมดุลกับการเพิ่มขึ้นของประชากร ประกอบกับความไม่มั่นคงทางการเมืองของประเทศเพื่อนบ้านทำให้ชาวเขาจำนวนมากมายอพยพเข้าอาศัยอยู่บนพื้นที่สูงของประเทศไทย ในขณะเดียวกันก็เกิดการขยายตัวของประชากรในพื้นราบ (valley) ของไทย ทำให้เกิดการขาดแคลนที่ดินทำกิน ฉะนั้น ชาวนาพื้นราบจำนวนมากจึงเคลื่อนย้ายขึ้นไปบนเขา ซึ่งซ้ำเติมการขาดแคลนที่ดินทำกินบนที่สูง และส่งผลต่อชาวเขาที่ทำไร่เลื่อนลอยตัดต้นไม้แล้วเผาตามจารีตให้ต้องใช้ที่ดินที่มีอยู่จำกัดซ้ำและถี่จนเสื่อมโทรม ฉะนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายระบบนิเวศ วิธีการทำไร่แบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผาของชาวไร่บนเขา จำเป็นต้องลดความถี่ของการใช้ที่ดินเพาะปลูกลง ด้วยการเพาะปลูกครั้งหรือสองครั้งแล้วปล่อยที่ดินให้ว่าง (fallow) ยาวนานประมาณ 10 ปีหรือมากกว่านั้น เพื่อให้ที่ดินเกิดการฟื้นตัวและไม่ถูกทำลาย อย่างไรก็ตาม ผลจากการขาดแคลนที่ดินทำให้การปล่อยที่ดินให้ว่างเพื่อการฟื้นฟูในช่วงเวลายาวนานเป็นไปไม่ได้ ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติบนที่สูงทางเหนือของไทยเสื่อมโทรม เกิดเป็นทุ่งหญ้า savanna ขนาดใหญ่บนพื้นดินซึ่งเคยเป็นผืนป่าอุดมสมบูรณ์ ศูนย์วิจัยชาติพันธุ์ของไทยในจังหวัดเชียงใหม่ (Thai Tribal Research Centre in Chiang Mai) ได้จัดทำแผนพัฒนาบนที่สูงขึ้นเพื่อรับมือต่อสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติดังกล่าว (The Highland Zonal Development Plan - หน้า 211) (หน้า 205) - พื้นที่โครงการแรก เริ่มที่แม่แสล็บ (Mae Slaep) อำเภอแม่จัน (Mae Chan) ในปี ค.ศ.1972 พื้นที่นี้มีอาข่าอาศัยอยู่ 7 หมู่บ้าน ประชากร 800 คน - พื้นที่ที่สองและสาม อีกสองโครงการเริ่มต้นในปี ค.ศ.1973 ที่ Huai Ma Ta Mau ในอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงรายแห่งหนึ่ง เป็นพื้นที่ที่ม้งจำนวนมากอาศัยอยู่ อีกพื้นที่ทำโครงการที่ Doi Musoe อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก เป็นพื้นที่ซึ่งมีหมู่บ้านชาติพันธุ์หลายชาติพันธุ์อยู่คละกัน ได้แก่ ลาหู่ ม้ง ลีซอ - พื้นที่ต่อไป มีกำหนดการจะดำเนินการอีกสองโครงการที่ Mae Chang ในอำเภอแม่เสรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน และที่ Huai Pang Pao ในอำเภอพร้าว (Prao) จังหวัดเชียงใหม่ สองพื้นที่นี้เป็นถิ่นที่อยู่ของหมู่บ้านกะเหรี่ยง (หน้า 211)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

ไม่มีข้อมูล

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

ไม่มีข้อมูล

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

การวางแผนพัฒนาบนพื้นที่สูง : ฐานทางความคิดและแผนพัฒนา (Zonal Development : The Philosophy and the Plan) ข้อเสนอ 2 ข้อแรกที่สำคัญซึ่งเป็นฐานทางความคิดของผู้วางแผน คือ 1.ผลผลิต (outputs) ที่สำคัญที่สุดของบนเขาในภาคเหนือของไทยคือผลผลิตจากป่าและน้ำชลประทาน ไม่ใช่การผลิตทางการเกษตร 2.การดำรงอยู่ของชุมชนบนที่สูง (highland communities) จะต้องทำให้มีเสถียรภาพ (stabilized) อยู่บนที่สูง (uplands) มากกว่าการย้ายไปถิ่นที่อยู่ใหม่ในพื้นราบ (valleys) ซึ่งมีความแออัดอยู่แล้ว ผู้วางแผนยืนยันว่าจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่บนที่สูงจะต้องทำให้มีเสถียรภาพเสียก่อนที่ การพัฒนาระยะยาวใดๆ จะเริ่มต้นขึ้น ปัญหาที่ควรพิจารณา นอกเหนือจากปัญหาทรัพยากรที่ครอบคลุมการทำลายป่าและแหล่งแม่น้ำแล้ว มีปัจจัยอื่น ๆ อีก เช่น สวัสดิการบนที่สูงโดยเฉพาะในภาคส่วนด้านการแพทย์และการศึกษา มีปัญหาการปลูกฝิ่นและการเสพยาเสพติด และบางพื้นที่มีปัญหาการก่อการร้าย ดังนั้นความพยายามในการหาหนทางแก้ไขปัญหาควรพิจารณาพร้อม ๆ กันไป โดยประการแรก คือสำรวจพื้นที่สูงทางเหนืออย่างละเอียด แล้ววางแผนการใช้พื้นที่ที่จะพัฒนา (development zones) โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของการศึกษาปริมาณพื้นที่ (land capacity) เขตพื้นที่พัฒนาซึ่งมักประกอบด้วย แม่น้ำบนที่สูงและแอ่งน้ำรวม วิธีแบ่งเขตจะพึ่งพาระบบนิเวศมากกว่ามุ่งเป้าไปที่หมู่บ้านใดหมู่บ้านหนึ่งเดี่ยวๆ หรือชาติพันธุ์เฉพาะกลุ่ม ดังนั้น จุดประสงค์เบื้องต้นของโครงการในแต่ละเขตพื้นที่พัฒนาคือการทำให้จำนวนประชากรบนที่สูงนั้นๆ หยุดนิ่ง และควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างประชากรกับที่ดิน ที่ดินในแต่ละเขตพื้นที่พัฒนาจะได้รับการแบ่งสรรให้ตามวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันตามสมรรถนะทางธรรมชาติ คือ "ผืนดินที่มีความลาดชัน 45 องศาขึ้นไป" จะได้รับการประกาศให้เป็นป่าสงวนที่ได้รับการอนุรักษ์ หรือปลูกป่าใหม่หลังจากมีการโค่นต้นไม้ "ผืนดินที่มีความลาดชันต่ำ" จะทำเป็นขั้นบันไดและอยู่ร่วมกับพื้นที่ราบซึ่งจะสร้างรากฐานเบื้องต้นของการปลูกข้าวนาน้ำชลประทาน (irrigated rice) ส่วน "พื้นที่ที่ความลาดชันระดับกลาง (ระหว่าง 20 องศาถึง 45 องศา)" ใช้ปลูกธัญพืชและป่าที่ใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน มีที่ดินบางผืนในประเภทนี้ถูกแบ่งสรรให้แก่ชาวเขา (Hillman) ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่พัฒนา ที่เหลือจะใช้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจ (commercial) ผืนใหญ่ภายใต้การจัดการของรัฐบาล เงื่อนไขของการแก้ปัญหา ประการแรกประชาชนในเขตพัฒนาจะต้องเลิกใช้วิธีเพาะปลูกแบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผา (slash-and-burn) และต้องได้รับการสอนวิธีการทำการเกษตรแบบยั่งยืน ต้องให้ความรู้ใหม่แก่ชาวเขาคือการทำการเกษตรที่ไม่ทำลายทรัพยากร ผู้วางแผนคำนึงถึงความจำเป็นของชาวเขาที่ต้องใช้เงินสดเพื่อซื้อสิ่งของใช้จำเป็น ซึ่งเดิมได้เงินจากการปลูกฝิ่น จึงต้องแนะนำพืชเศรษฐกิจอื่นและต้องจัดทำโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินและการตลาดให้ (financial and marketing infrastructure) อีกทั้งสร้างความเข้มแข็งให้แก่องค์กรชุมชน สุดท้ายประเด็นสำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายคือการอนุญาตให้ชาวเขามีสิทธิในที่ดินอย่างถาวร (หน้า 205-206) บุคลากรของโครงการ : บุคลากรของโครงการประกอบด้วยคณะทำงานด้านพัฒนาและคณะทำงานด้านเทคนิค - คณะทำงานด้านพัฒนา บุคลากรทำงานพัฒนา (development personnel) ผู้วางแผนเขตพื้นที่พัฒนาคาดว่าแต่ละเขตพื้นที่พัฒนาจำเป็นต้องได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญที่ประจำอยู่ในทีมพัฒนาเป็นเวลา 10 ปี และภาคส่วนต่าง ๆ ในโครงการจะดำเนินไปพร้อม ๆ กัน ขั้นตอนการดำเนินการ ขั้นแรกคัดเลือกชาวเขาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่โครงการ ฝึกอบรมโดยให้ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้เชี่ยวชาญในคณะทำงานพัฒนา หัวหน้าของแต่ละคณะทำงานพัฒนา สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาการเกษตร สังคม หรือสหกรณ์ศาสตร์ (cooperative science) หัวหน้ามีหน้าที่เป็นที่ปรึกษากิจกรรมทุกด้านของทีมงาน และมีความรับผิดชอบพิเศษต่อการสร้างหรือรักษาความสัมพันธ์ในการติดต่อประสานงานระหว่างคนท้องถิ่น (local people) ในพื้นที่เขตพัฒนาของหัวหน้าเองกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดำเนินการอยู่ในพื้นที่โครงการ หัวหน้าคณะทำงานมีผู้ช่วย 2 คน คนหนึ่งสำหรับงานขยายการเกษตร อีกคนหนึ่งช่วยงานด้านการรวบรวมชาวไร่บนเขา (hill farmer) ให้เข้ามาอยู่ในสังคมสหกรณ์ (cooperative societies) และสร้างช่องทางการตลาดสำหรับผลิตผลส่วนเกินจากการยังชีพ รองหัวหน้าแต่ละคนจะมีเพื่อนร่วมงานเป็นคนท้องถิ่นซึ่งในที่สุดจะสามารถเข้ารับผิดชอบหน้าที่แทนรองหัวหน้าได้ สมาชิกอื่นๆ ของคณะทำงานรวมทั้งคนงานเกษตรกรรมบนที่สูง (highland) ทำงานร่วมกับทีมรองหัวหน้าด้านการเกษตรทำร่วมกันตั้งแต่เริ่มนำวิธีการทำการเกษตรแบบใหม่มาใช้ ทีมงานรองหัวหน้า จะมีเพื่อนร่วมงานที่เป็นคนท้องถิ่น 3 คน ทีมงานจะรวมถึง three teachers-cum-medic ทีมงานนี้จะจัดให้มีบริการสถานีอนามัยพื้นฐาน (basic dispensary) ในพื้นที่โครงการ สอนหลักสูตรสามัญ (regular courses) และสุขอนามัยพื้นฐานในโรงเรียนของโครงการ มีบทบาทในโครงการวางแผนครอบครัว teacher-medic แต่ละคนจะฝึกเพื่อนร่วมงานท้องถิ่น 1 คน สุดท้ายแต่ละทีมจะรวมคนขับรถจี๊ป 1 คน คนขับรถแทร็คเตอร์ 1 คน และผู้ช่วยคนขับรถแทร็คเตอร์ท้องถิ่น 1 คน (หน้า 207) - คณะทำงานด้านเทคนิค (technical team) สองปีแรกของอายุโครงการพัฒนาต่างๆ คณะทำงานด้านเทคนิคจะได้รับมอบหมายให้เข้าไปในพื้นที่โครงการนอกเหนือจากคณะทำงานพัฒนา (development team) คณะทำงานด้านเทคนิคจะได้รับภาระหน้าที่ earth - moving และงานก่อสร้าง หัวหน้าคณะทำงานด้านเทคนิคจะต้องจบการศึกษาจากโรงเรียนฝึกอาชีพ (vocational train school) หรือมีประสบการณ์จากการปฏิบัติเท่าเทียมกัน หัวหน้าคณะทำงานด้านเทคนิคจะต้องรับผิดชอบการสำรวจ แล้วให้คำปรึกษาการก่อสร้างถนนสายย่อยของพื้นที่โครงการ ปรับพื้นที่ขั้นบันไดสำหรับการปลูกข้าวนาน้ำชลประทาน (irrigated rice) เขื่อน และระบบชลประทาน หัวหน้าคณะทำงานด้านเทคนิคมีช่างเทคนิค 1 คนเป็นผู้ช่วยในเรื่องการบำรุงรักษาเครื่องมือของคณะทำงานด้านเทคนิค และมีบทบาทในฐานะหัวหน้าคนงานของทุกงานก่อสร้าง สมาชิกอื่นๆ ของคณะทำงานด้านเทคนิคคือคนขับรถตักดิน 2 คน (หน้า 208) ขั้นตอนการพัฒนา (Development Procedures) งานแรก ของคณะทำงานพัฒนาคือการจัดตั้งคณะกรรมการหมู่บ้าน (village committee) ในพื้นที่โครงการ ในบางพื้นที่ทุกหมู่บ้านจะมีคณะกรรมการของตัวเอง ในขณะที่อีกบางพื้นที่หลายๆ หมู่บ้านจะจัดเข้าไปอยู่ในขอบเขตการควบคุมของคณะกรรมการชุดหนึ่ง แต่ละคณะกรรมการหมู่บ้านจะประกอบด้วยหัวหน้าหมู่บ้านตามจารีต ผู้ประกอบพิธีกรรมอาวุโส (ซึ่งมักจะมีอำนาจในชุมชนบนเขาเสมอ) และหากรัฐบาลแต่งตั้งตัวแทนของรัฐบาลเป็นหัวหน้านอกเหนือจากผู้นำตามจารีต เขาก็จะได้เป็นกรรมการในคณะกรรมการของหมู่บ้านโดยอัตโนมัติ กรรมการนอกจากนี้จะรวมถึงหัวหน้าครอบครัวจำนวนมากเท่าที่จะสามารถปฏิบัติงานได้ ในปีที่ 3 ของโครงการคณะกรรมการหมู่บ้านจะถูกสร้างองค์ประกอบขึ้นมาใหม่เป็นสังคมสหกรณ์ (cooperative society) จากระยะเริ่มต้น คณะทำงานพัฒนาที่ประจำอยู่ (resident development team) จะทำงานให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดกับคณะกรรมการหมู่บ้าน เพื่อที่จะยกระดับสมรรถนะของผู้เข้าร่วมโครงการให้สามารถดำเนินกิจกรรมของตนต่อไปได้เมื่อคณะทำงานพัฒนาถอนตัวออกไปแล้ว เมื่อคณะกรรมการหมู่บ้านก่อตั้งขึ้น งานด้านเทคนิคเป็นหน้าที่ของคณะทำงานด้านเทคนิค ส่วนคณะทำงานด้านพัฒนาทำหน้าที่สร้างความร่วมมือและรวบรวมแรงงานชาวไร่บนเขา งานก่อสร้าง นาน้ำชลประทานและระบบส่งน้ำมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างขึ้นภายในฤดูแล้ง เนื่องจากหากสร้างไม่ทันในฤดูแล้ง เมื่อฝนในฤดูมรสุมมาถึงงานก่อสร้างที่เริ่มต้นไว้อาจถูกน้ำท่วมทำลายได้ การสร้างเขื่อนตลิ่งและท่อส่งน้ำชลประทานจำเป็นต้องใช้แรงงานที่ทำด้วยมือ (manual) ขณะที่การทำผืนดินที่นาขั้นบันไดสามารถใช้รถตักดิน (bulldozer) ได้ รถตักดินสามารถใช้ได้ตลอดช่วงหน้าร้อนแล้งจัด แต่งานที่ใช้แรงคนจะต้องรอจนกว่าฝนแรกทำให้ผืนดินนิ่มก่อน ซึ่งจะทำให้งานช้าลง ดังนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่คณะทำงานพัฒนาต้องระดมแรงงานจำนวนมากเพื่อทำให้เสร็จตามกำหนด โดยอุดมคติแรงงานควรเป็นชาวเขาในท้องถิ่น แต่มีปัญหาคือขณะที่มีความจำเป็นต้องใช้แรงงานชาวเขาเพื่องานพัฒนา แต่เป็นช่วงเวลาที่ชาวเขาต้องปลูกข้าว ไม่สามารถวางมือจากงานในไร่ ฉะนั้นคณะทำงานด้านพัฒนาจะต้องจ้างแรงงานจากภายนอกสำหรับทำงานพัฒนาพื้นฐาน โครงการสาธิต ขณะที่งานปรับผืนดินขั้นบันไดกำลังดำเนินอยู่ สมาชิกคณะทำงานจะจัดทำโครงการสาธิตและให้คำปรึกษาการสร้างเรือนอนุบาลต้นกล้า ซึ่งจะตั้งอยู่ใกล้กับโรงเรียนของหมู่บ้านเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้เด็ก ๆ ได้ใกล้ชิดและสามารถทำความเข้าใจกับวิธีการใหม่ เรือนอนุบาลต้นกล้านี้จะเป็นสถานที่ที่คณะทำงานจะสาธิตวิธีการเกี่ยวกับการเพาะปลูกแบบผสมผสานโดยใช้น้ำชลประทาน (irrigated multi - cropping) การปลูกพืชขั้นบันไดอาศัยน้ำฝน (rain - fed terrace cropping) และการปลูกพืชเศรษฐกิจ (tree cash - cropping) นอกจากนี้ยังมีการสาธิต การปลูกไม้ล้มลุกประเภทถั่วและไม้เลื้อยเพื่อช่วยฟื้นฟูดินให้อุดมสมบูรณ์ สาธิตการพัฒนาวิธีการเพาะเลี้ยงหมู และสร้างบ่อพันธุ์ปลาสาธิต (หน้า 208, 209) สิทธิในที่ดิน แต่ละครัวเรือนในพื้นที่โครงการที่ได้รับที่ดินพื้นที่เพาะปลูกโดยใช้น้ำชลประทาน จะได้รับหนังสือสำคัญของโครงการรับรองการเข้าครอบครองที่ดิน (project certificate of occupancy) การรักษาใบรับรองการเข้าครอบครองเพื่อใช้พื้นที่ครัวเรือนจะต้องจ่ายค่าเช่าเป็นรายปี เพื่อให้รัฐบาลได้ต้นทุนที่ใช้ไปในการพัฒนาระยะเริ่มต้นเคืนกลับมา ... ใบรับรองการครอบครองพอที่จะสืบทอดได้เฉพาะชาวเขาที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์เท่านั้น บุคคลที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์คือ 1.จะต้องเป็นชาวเขาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่โครงการ หรือเป็นผู้อพยพที่ได้รับอนุญาตและไม่มีที่ดินอยู่บนพื้นราบ ไม่มีความคิดต่อต้านรัฐบาล 2.จะไม่ให้ใบรับรองสิทธิการใช้ที่ดินแก่สมาชิกของครัวเรือนที่เกี่ยวพันกับการเพาะปลูกแบบตัดต้นไม้แล้วเผา (รวมทั้งการปลูกฝิ่นด้วย) ไม่ว่าจะอยู่ภายในหรือภายนอกอาณาเขตพื้นที่โครงการ รวมถึงผู้ที่ติดยาเสพติดที่ปฏิเสธการเข้าบำบัดรักษา และ 3.ใบรับรองสิทธิ์นี้สามารถถูกเพิกถอนได้ หากสมาชิกของครัวเรือนที่ถือใบรับรองสิทธ์เริ่มต้นกลับไปเพาะปลูกแบบตัดต้นไม้แล้วเผาอีก ... ผู้วางแผน (the planner) แนะนำว่า เมื่อครบ 10 ปีของการพัฒนา ใบรับรองสิทธิครอบครองที่ดินโครงการทุกใบจะถูกเปลี่ยนเป็น "การรับรองทางกฎหมายในที่ดินที่เช่า (leasehold) ซึ่งดำเนินการโดยอำเภอ" ชาวไร่บนเขาจ่ายภาษีที่ดินให้กับหน่วยงานในอำเภอด้วยช่องทางเดียวกับชาวพื้นราบ (หน้า 209) ... เมื่อดำเนินโครงการได้ 3 ปี คาดหวังว่าที่ดินชลประทาน (irrigable land) ทุกผืนของโครงการจะปลูกข้าวนาน้ำ (wet rice) งานก่อสร้างทุกงานของโครงการและถนนที่จะเข้าถึงจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ คณะทำงานด้านเทคนิคจะถอนตัวออกไป และจะได้รับมอบหมายให้เริ่มต้นโครงการใหม่ ณ ที่แห่งใหม่ ในระหว่างนี้ คณะทำงานพัฒนาจะเอาใจใส่ดำเนินการเรื่องไร่สำหรับเพาะปลูกและการปลูกป่า ... จากปีที่ 3 ถึงปีที่ 9 ของการดำเนินโครงการ คณะทำงานพัฒนาจะทำงานเพื่อฟื้นฟูป่าให้ดีขึ้นและปลูกป่าใหม่ในเขตป่าไม้หลังการตัดโค่นต้นไม้ (reafforestation) ... ในปีที่ 10 ของโครงการ คณะทำงานพัฒนาจะเริ่มต้นส่งมอบภารกิจให้กับคณะทำงานที่เป็นคนท้องถิ่น และส่งต่อความรับผิดชอบให้หน่วยงานปกครองของท้องถิ่น งานการศึกษาให้ความรู้ทั้งหมดจะส่งมอบให้กับหน่วยบริหารของจังหวัด : กิจกรรมด้านการแพทย์ส่งต่อให้กับคณะทำงานที่เป็นคนท้องถิ่น (local counterparts) ซึ่งจะดำเนินงานต่อไปภายใต้การให้คำปรึกษาของสาธารณสุขระดับอำเภอ การจัดการด้านป่าจะส่งให้กับกรมป่าไม้ เป็นต้น ... เมื่อสิ้นสุดปีที่ 10 คณะทำงานพัฒนาจะถอนตัวออกจากพื้นที่โครงการและจะได้รับการมอบหมายงานใหม่ ชุมชนชาวเขาซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้เพาะปลูกแบบทำไร่เลื่อนลอยและเกี่ยวข้องกับโครงสร้างการปกครองของรัฐในระดับท้องถิ่นน้อยมาก จะกลายเป็นชาวไร่บนที่สูงซึ่งอยู่ติดที่ สามารถยังชีพและหารายได้ที่จำเป็นต้องใช้จ่ายได้ด้วยตนเอง สามารถบริหารจัดการกิจกรรมทางสังคมและทางเศรษฐกิจของตนได้ ภายใต้คำปรึกษาของรัฐบาลไทยเหมือนกับชาวนาพื้นราบของไทยทั้งประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจและการบูรณาการชาติจะประสบความสำเร็จไปพร้อมกัน (หน้า 210)

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst บุญสม ชีรวณิชย์กุล Date of Report 04 ต.ค. 2567
TAG ม้ง, ลาหู่, ลาฮู, ปกาเกอะญอ, จกอ, คานยอ, กะเหรี่ยง, ลีซู, ชาติพันธุ์, แผนพัฒนา, การทำเกษตรกรรม, ภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง