|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,ลาหู่ ลาฮู, ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง, ลีซู,ชาติพันธุ์,แผนพัฒนา,การทำเกษตรกรรม,ภาคเหนือ |
Author |
Anthony R. Walker, Syed Jamal Jaafar |
Title |
The Zonal Approach to Agricultural Development in North Thailand |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ลีซู, ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, ม้ง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดกลางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
7 |
Year |
2518 |
Source |
Farmer in the Hills : Upland Peoples of North Thailand, Anthony R. Walker (Editor), p.205-200. จัดพิมพ์โดย The School of Comparative Social Sciences, พิมพ์ที่ Universiti Sains Malaysia |
Abstract |
พรรณนาถึงการดำเนินการตามแผนพัฒนาเป็นเขตพื้นที่ ที่รัฐบาลนำมาใช้พัฒนาหมู่บ้านชาติพันธุ์บนที่สูงในภาคเหนือของไทย (The Highland Zonal Development Plan) เพื่อเปลี่ยนวิถีการผลิตแบบดั้งเดิมที่ทำไร่เลื่อนลอยตัดต้นไม้แล้วเผาและการปลูกฝิ่น ให้หันมาทำการเพาะปลูกโดยใช้ระบบชลประทาน และปลูกป่าขึ้นใหม่ (หลังจากตัดต้นไม้ไปแล้ว) เพื่อให้เกิดป่าถาวรที่สามารถเก็บผลผลิตจากป่ามาใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งให้ความรู้ทั้งด้านการศึกษา การแพทย์ สาธารณสุข ปศุสัตว์ การเพาะปลูก การบริหารจัดการ ฯลฯ ซึ่งเป็นแผนพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานทางความคิดแนวใหม่ คือประชากรบนเขาต้องได้ รับการฝึกสอน (taught) ไม่ใช่ด้วยการบีบบังคับ (forced) และยังต้องมีการสาธิตภาคปฏิบัติของวิธีการใหม่ ๆ ให้เห็นเป็นรูปธรรมอีกด้วย |
|
Focus |
นำเสนอการดำเนินการตามแผนพัฒนาแบบเขตพื้นที่ของรัฐที่ใช้กับชาติพันธุ์บนเขาในภาคเหนือของไทย (The Highland Zonal Development Plan) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้เขียนกล่าวถึงแผนพัฒนาชาวเขาบนที่สูงทางภาคเหนือของไทยโดยรวม แต่ได้กล่าวระบุถึงชาติพันธุ์ในพื้นที่โครงการที่ดำเนินการตามแผนพัฒนาบนที่สูงจำนวน 5 พื้นที่คือ โครงการแรกที่แม่แสล็บ อำเภอแม่จัน เป็นพื้นที่ของอาข่า พื้นที่โครงการที่สอง เริ่มที่ Huai Ma Ta Mau ในอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงราย ส่วนใหญ่เป็นม้ง พื้นที่โครงการที่สามที่ Doi Musoe อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก เป็นพื้นที่ซึ่งมีหมู่บ้านชาติพันธุ์หลายชาติพันธุ์อยู่คละกัน ได้แก่ ลาหู่ ม้ง ลีซอ และมีกำหนดจะดำเนินการอีกสองโครงการที่ Mae Chang ในอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน และที่ Huai Pang Pao ในอำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ สองพื้นที่นี้เป็นถิ่นที่อยู่ของหมู่บ้านกะเหรี่ยง (หน้า 211) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ประชากรบนเขาในภาคเหนือของไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่การเติบโตของธรรมชาติไม่สมดุลกับการเพิ่มขึ้นของประชากร ประกอบกับความไม่มั่นคงทางการเมืองของประเทศเพื่อนบ้านทำให้ชาวเขาจำนวนมากมายอพยพเข้าอาศัยอยู่บนพื้นที่สูงของประเทศไทย ในขณะเดียวกันก็เกิดการขยายตัวของประชากรในพื้นราบ (valley) ของไทย ทำให้เกิดการขาดแคลนที่ดินทำกิน ฉะนั้น ชาวนาพื้นราบจำนวนมากจึงเคลื่อนย้ายขึ้นไปบนเขา ซึ่งซ้ำเติมการขาดแคลนที่ดินทำกินบนที่สูง และส่งผลต่อชาวเขาที่ทำไร่เลื่อนลอยตัดต้นไม้แล้วเผาตามจารีตให้ต้องใช้ที่ดินที่มีอยู่จำกัดซ้ำและถี่จนเสื่อมโทรม ฉะนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายระบบนิเวศ วิธีการทำไร่แบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผาของชาวไร่บนเขา จำเป็นต้องลดความถี่ของการใช้ที่ดินเพาะปลูกลง ด้วยการเพาะปลูกครั้งหรือสองครั้งแล้วปล่อยที่ดินให้ว่าง (fallow) ยาวนานประมาณ 10 ปีหรือมากกว่านั้น เพื่อให้ที่ดินเกิดการฟื้นตัวและไม่ถูกทำลาย อย่างไรก็ตาม ผลจากการขาดแคลนที่ดินทำให้การปล่อยที่ดินให้ว่างเพื่อการฟื้นฟูในช่วงเวลายาวนานเป็นไปไม่ได้ ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติบนที่สูงทางเหนือของไทยเสื่อมโทรม เกิดเป็นทุ่งหญ้า savanna ขนาดใหญ่บนพื้นดินซึ่งเคยเป็นผืนป่าอุดมสมบูรณ์ ศูนย์วิจัยชาติพันธุ์ของไทยในจังหวัดเชียงใหม่ (Thai Tribal Research Centre in Chiang Mai) ได้จัดทำแผนพัฒนาบนที่สูงขึ้นเพื่อรับมือต่อสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติดังกล่าว (The Highland Zonal Development Plan - หน้า 211) (หน้า 205) - พื้นที่โครงการแรก เริ่มที่แม่แสล็บ (Mae Slaep) อำเภอแม่จัน (Mae Chan) ในปี ค.ศ.1972 พื้นที่นี้มีอาข่าอาศัยอยู่ 7 หมู่บ้าน ประชากร 800 คน - พื้นที่ที่สองและสาม อีกสองโครงการเริ่มต้นในปี ค.ศ.1973 ที่ Huai Ma Ta Mau ในอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงรายแห่งหนึ่ง เป็นพื้นที่ที่ม้งจำนวนมากอาศัยอยู่ อีกพื้นที่ทำโครงการที่ Doi Musoe อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก เป็นพื้นที่ซึ่งมีหมู่บ้านชาติพันธุ์หลายชาติพันธุ์อยู่คละกัน ได้แก่ ลาหู่ ม้ง ลีซอ - พื้นที่ต่อไป มีกำหนดการจะดำเนินการอีกสองโครงการที่ Mae Chang ในอำเภอแม่เสรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน และที่ Huai Pang Pao ในอำเภอพร้าว (Prao) จังหวัดเชียงใหม่ สองพื้นที่นี้เป็นถิ่นที่อยู่ของหมู่บ้านกะเหรี่ยง (หน้า 211) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
การวางแผนพัฒนาบนพื้นที่สูง : ฐานทางความคิดและแผนพัฒนา (Zonal Development : The Philosophy and the Plan) ข้อเสนอ 2 ข้อแรกที่สำคัญซึ่งเป็นฐานทางความคิดของผู้วางแผน คือ 1.ผลผลิต (outputs) ที่สำคัญที่สุดของบนเขาในภาคเหนือของไทยคือผลผลิตจากป่าและน้ำชลประทาน ไม่ใช่การผลิตทางการเกษตร 2.การดำรงอยู่ของชุมชนบนที่สูง (highland communities) จะต้องทำให้มีเสถียรภาพ (stabilized) อยู่บนที่สูง (uplands) มากกว่าการย้ายไปถิ่นที่อยู่ใหม่ในพื้นราบ (valleys) ซึ่งมีความแออัดอยู่แล้ว ผู้วางแผนยืนยันว่าจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่บนที่สูงจะต้องทำให้มีเสถียรภาพเสียก่อนที่ การพัฒนาระยะยาวใดๆ จะเริ่มต้นขึ้น ปัญหาที่ควรพิจารณา นอกเหนือจากปัญหาทรัพยากรที่ครอบคลุมการทำลายป่าและแหล่งแม่น้ำแล้ว มีปัจจัยอื่น ๆ อีก เช่น สวัสดิการบนที่สูงโดยเฉพาะในภาคส่วนด้านการแพทย์และการศึกษา มีปัญหาการปลูกฝิ่นและการเสพยาเสพติด และบางพื้นที่มีปัญหาการก่อการร้าย ดังนั้นความพยายามในการหาหนทางแก้ไขปัญหาควรพิจารณาพร้อม ๆ กันไป โดยประการแรก คือสำรวจพื้นที่สูงทางเหนืออย่างละเอียด แล้ววางแผนการใช้พื้นที่ที่จะพัฒนา (development zones) โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของการศึกษาปริมาณพื้นที่ (land capacity) เขตพื้นที่พัฒนาซึ่งมักประกอบด้วย แม่น้ำบนที่สูงและแอ่งน้ำรวม วิธีแบ่งเขตจะพึ่งพาระบบนิเวศมากกว่ามุ่งเป้าไปที่หมู่บ้านใดหมู่บ้านหนึ่งเดี่ยวๆ หรือชาติพันธุ์เฉพาะกลุ่ม ดังนั้น จุดประสงค์เบื้องต้นของโครงการในแต่ละเขตพื้นที่พัฒนาคือการทำให้จำนวนประชากรบนที่สูงนั้นๆ หยุดนิ่ง และควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างประชากรกับที่ดิน ที่ดินในแต่ละเขตพื้นที่พัฒนาจะได้รับการแบ่งสรรให้ตามวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันตามสมรรถนะทางธรรมชาติ คือ "ผืนดินที่มีความลาดชัน 45 องศาขึ้นไป" จะได้รับการประกาศให้เป็นป่าสงวนที่ได้รับการอนุรักษ์ หรือปลูกป่าใหม่หลังจากมีการโค่นต้นไม้ "ผืนดินที่มีความลาดชันต่ำ" จะทำเป็นขั้นบันไดและอยู่ร่วมกับพื้นที่ราบซึ่งจะสร้างรากฐานเบื้องต้นของการปลูกข้าวนาน้ำชลประทาน (irrigated rice) ส่วน "พื้นที่ที่ความลาดชันระดับกลาง (ระหว่าง 20 องศาถึง 45 องศา)" ใช้ปลูกธัญพืชและป่าที่ใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน มีที่ดินบางผืนในประเภทนี้ถูกแบ่งสรรให้แก่ชาวเขา (Hillman) ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่พัฒนา ที่เหลือจะใช้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจ (commercial) ผืนใหญ่ภายใต้การจัดการของรัฐบาล เงื่อนไขของการแก้ปัญหา ประการแรกประชาชนในเขตพัฒนาจะต้องเลิกใช้วิธีเพาะปลูกแบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผา (slash-and-burn) และต้องได้รับการสอนวิธีการทำการเกษตรแบบยั่งยืน ต้องให้ความรู้ใหม่แก่ชาวเขาคือการทำการเกษตรที่ไม่ทำลายทรัพยากร ผู้วางแผนคำนึงถึงความจำเป็นของชาวเขาที่ต้องใช้เงินสดเพื่อซื้อสิ่งของใช้จำเป็น ซึ่งเดิมได้เงินจากการปลูกฝิ่น จึงต้องแนะนำพืชเศรษฐกิจอื่นและต้องจัดทำโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินและการตลาดให้ (financial and marketing infrastructure) อีกทั้งสร้างความเข้มแข็งให้แก่องค์กรชุมชน สุดท้ายประเด็นสำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายคือการอนุญาตให้ชาวเขามีสิทธิในที่ดินอย่างถาวร (หน้า 205-206) บุคลากรของโครงการ : บุคลากรของโครงการประกอบด้วยคณะทำงานด้านพัฒนาและคณะทำงานด้านเทคนิค - คณะทำงานด้านพัฒนา บุคลากรทำงานพัฒนา (development personnel) ผู้วางแผนเขตพื้นที่พัฒนาคาดว่าแต่ละเขตพื้นที่พัฒนาจำเป็นต้องได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญที่ประจำอยู่ในทีมพัฒนาเป็นเวลา 10 ปี และภาคส่วนต่าง ๆ ในโครงการจะดำเนินไปพร้อม ๆ กัน ขั้นตอนการดำเนินการ ขั้นแรกคัดเลือกชาวเขาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่โครงการ ฝึกอบรมโดยให้ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้เชี่ยวชาญในคณะทำงานพัฒนา หัวหน้าของแต่ละคณะทำงานพัฒนา สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาการเกษตร สังคม หรือสหกรณ์ศาสตร์ (cooperative science) หัวหน้ามีหน้าที่เป็นที่ปรึกษากิจกรรมทุกด้านของทีมงาน และมีความรับผิดชอบพิเศษต่อการสร้างหรือรักษาความสัมพันธ์ในการติดต่อประสานงานระหว่างคนท้องถิ่น (local people) ในพื้นที่เขตพัฒนาของหัวหน้าเองกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดำเนินการอยู่ในพื้นที่โครงการ หัวหน้าคณะทำงานมีผู้ช่วย 2 คน คนหนึ่งสำหรับงานขยายการเกษตร อีกคนหนึ่งช่วยงานด้านการรวบรวมชาวไร่บนเขา (hill farmer) ให้เข้ามาอยู่ในสังคมสหกรณ์ (cooperative societies) และสร้างช่องทางการตลาดสำหรับผลิตผลส่วนเกินจากการยังชีพ รองหัวหน้าแต่ละคนจะมีเพื่อนร่วมงานเป็นคนท้องถิ่นซึ่งในที่สุดจะสามารถเข้ารับผิดชอบหน้าที่แทนรองหัวหน้าได้ สมาชิกอื่นๆ ของคณะทำงานรวมทั้งคนงานเกษตรกรรมบนที่สูง (highland) ทำงานร่วมกับทีมรองหัวหน้าด้านการเกษตรทำร่วมกันตั้งแต่เริ่มนำวิธีการทำการเกษตรแบบใหม่มาใช้ ทีมงานรองหัวหน้า จะมีเพื่อนร่วมงานที่เป็นคนท้องถิ่น 3 คน ทีมงานจะรวมถึง three teachers-cum-medic ทีมงานนี้จะจัดให้มีบริการสถานีอนามัยพื้นฐาน (basic dispensary) ในพื้นที่โครงการ สอนหลักสูตรสามัญ (regular courses) และสุขอนามัยพื้นฐานในโรงเรียนของโครงการ มีบทบาทในโครงการวางแผนครอบครัว teacher-medic แต่ละคนจะฝึกเพื่อนร่วมงานท้องถิ่น 1 คน สุดท้ายแต่ละทีมจะรวมคนขับรถจี๊ป 1 คน คนขับรถแทร็คเตอร์ 1 คน และผู้ช่วยคนขับรถแทร็คเตอร์ท้องถิ่น 1 คน (หน้า 207) - คณะทำงานด้านเทคนิค (technical team) สองปีแรกของอายุโครงการพัฒนาต่างๆ คณะทำงานด้านเทคนิคจะได้รับมอบหมายให้เข้าไปในพื้นที่โครงการนอกเหนือจากคณะทำงานพัฒนา (development team) คณะทำงานด้านเทคนิคจะได้รับภาระหน้าที่ earth - moving และงานก่อสร้าง หัวหน้าคณะทำงานด้านเทคนิคจะต้องจบการศึกษาจากโรงเรียนฝึกอาชีพ (vocational train school) หรือมีประสบการณ์จากการปฏิบัติเท่าเทียมกัน หัวหน้าคณะทำงานด้านเทคนิคจะต้องรับผิดชอบการสำรวจ แล้วให้คำปรึกษาการก่อสร้างถนนสายย่อยของพื้นที่โครงการ ปรับพื้นที่ขั้นบันไดสำหรับการปลูกข้าวนาน้ำชลประทาน (irrigated rice) เขื่อน และระบบชลประทาน หัวหน้าคณะทำงานด้านเทคนิคมีช่างเทคนิค 1 คนเป็นผู้ช่วยในเรื่องการบำรุงรักษาเครื่องมือของคณะทำงานด้านเทคนิค และมีบทบาทในฐานะหัวหน้าคนงานของทุกงานก่อสร้าง สมาชิกอื่นๆ ของคณะทำงานด้านเทคนิคคือคนขับรถตักดิน 2 คน (หน้า 208) ขั้นตอนการพัฒนา (Development Procedures) งานแรก ของคณะทำงานพัฒนาคือการจัดตั้งคณะกรรมการหมู่บ้าน (village committee) ในพื้นที่โครงการ ในบางพื้นที่ทุกหมู่บ้านจะมีคณะกรรมการของตัวเอง ในขณะที่อีกบางพื้นที่หลายๆ หมู่บ้านจะจัดเข้าไปอยู่ในขอบเขตการควบคุมของคณะกรรมการชุดหนึ่ง แต่ละคณะกรรมการหมู่บ้านจะประกอบด้วยหัวหน้าหมู่บ้านตามจารีต ผู้ประกอบพิธีกรรมอาวุโส (ซึ่งมักจะมีอำนาจในชุมชนบนเขาเสมอ) และหากรัฐบาลแต่งตั้งตัวแทนของรัฐบาลเป็นหัวหน้านอกเหนือจากผู้นำตามจารีต เขาก็จะได้เป็นกรรมการในคณะกรรมการของหมู่บ้านโดยอัตโนมัติ กรรมการนอกจากนี้จะรวมถึงหัวหน้าครอบครัวจำนวนมากเท่าที่จะสามารถปฏิบัติงานได้ ในปีที่ 3 ของโครงการคณะกรรมการหมู่บ้านจะถูกสร้างองค์ประกอบขึ้นมาใหม่เป็นสังคมสหกรณ์ (cooperative society) จากระยะเริ่มต้น คณะทำงานพัฒนาที่ประจำอยู่ (resident development team) จะทำงานให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดกับคณะกรรมการหมู่บ้าน เพื่อที่จะยกระดับสมรรถนะของผู้เข้าร่วมโครงการให้สามารถดำเนินกิจกรรมของตนต่อไปได้เมื่อคณะทำงานพัฒนาถอนตัวออกไปแล้ว เมื่อคณะกรรมการหมู่บ้านก่อตั้งขึ้น งานด้านเทคนิคเป็นหน้าที่ของคณะทำงานด้านเทคนิค ส่วนคณะทำงานด้านพัฒนาทำหน้าที่สร้างความร่วมมือและรวบรวมแรงงานชาวไร่บนเขา งานก่อสร้าง นาน้ำชลประทานและระบบส่งน้ำมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างขึ้นภายในฤดูแล้ง เนื่องจากหากสร้างไม่ทันในฤดูแล้ง เมื่อฝนในฤดูมรสุมมาถึงงานก่อสร้างที่เริ่มต้นไว้อาจถูกน้ำท่วมทำลายได้ การสร้างเขื่อนตลิ่งและท่อส่งน้ำชลประทานจำเป็นต้องใช้แรงงานที่ทำด้วยมือ (manual) ขณะที่การทำผืนดินที่นาขั้นบันไดสามารถใช้รถตักดิน (bulldozer) ได้ รถตักดินสามารถใช้ได้ตลอดช่วงหน้าร้อนแล้งจัด แต่งานที่ใช้แรงคนจะต้องรอจนกว่าฝนแรกทำให้ผืนดินนิ่มก่อน ซึ่งจะทำให้งานช้าลง ดังนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่คณะทำงานพัฒนาต้องระดมแรงงานจำนวนมากเพื่อทำให้เสร็จตามกำหนด โดยอุดมคติแรงงานควรเป็นชาวเขาในท้องถิ่น แต่มีปัญหาคือขณะที่มีความจำเป็นต้องใช้แรงงานชาวเขาเพื่องานพัฒนา แต่เป็นช่วงเวลาที่ชาวเขาต้องปลูกข้าว ไม่สามารถวางมือจากงานในไร่ ฉะนั้นคณะทำงานด้านพัฒนาจะต้องจ้างแรงงานจากภายนอกสำหรับทำงานพัฒนาพื้นฐาน โครงการสาธิต ขณะที่งานปรับผืนดินขั้นบันไดกำลังดำเนินอยู่ สมาชิกคณะทำงานจะจัดทำโครงการสาธิตและให้คำปรึกษาการสร้างเรือนอนุบาลต้นกล้า ซึ่งจะตั้งอยู่ใกล้กับโรงเรียนของหมู่บ้านเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้เด็ก ๆ ได้ใกล้ชิดและสามารถทำความเข้าใจกับวิธีการใหม่ เรือนอนุบาลต้นกล้านี้จะเป็นสถานที่ที่คณะทำงานจะสาธิตวิธีการเกี่ยวกับการเพาะปลูกแบบผสมผสานโดยใช้น้ำชลประทาน (irrigated multi - cropping) การปลูกพืชขั้นบันไดอาศัยน้ำฝน (rain - fed terrace cropping) และการปลูกพืชเศรษฐกิจ (tree cash - cropping) นอกจากนี้ยังมีการสาธิต การปลูกไม้ล้มลุกประเภทถั่วและไม้เลื้อยเพื่อช่วยฟื้นฟูดินให้อุดมสมบูรณ์ สาธิตการพัฒนาวิธีการเพาะเลี้ยงหมู และสร้างบ่อพันธุ์ปลาสาธิต (หน้า 208, 209) สิทธิในที่ดิน แต่ละครัวเรือนในพื้นที่โครงการที่ได้รับที่ดินพื้นที่เพาะปลูกโดยใช้น้ำชลประทาน จะได้รับหนังสือสำคัญของโครงการรับรองการเข้าครอบครองที่ดิน (project certificate of occupancy) การรักษาใบรับรองการเข้าครอบครองเพื่อใช้พื้นที่ครัวเรือนจะต้องจ่ายค่าเช่าเป็นรายปี เพื่อให้รัฐบาลได้ต้นทุนที่ใช้ไปในการพัฒนาระยะเริ่มต้นเคืนกลับมา ... ใบรับรองการครอบครองพอที่จะสืบทอดได้เฉพาะชาวเขาที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์เท่านั้น บุคคลที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์คือ 1.จะต้องเป็นชาวเขาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่โครงการ หรือเป็นผู้อพยพที่ได้รับอนุญาตและไม่มีที่ดินอยู่บนพื้นราบ ไม่มีความคิดต่อต้านรัฐบาล 2.จะไม่ให้ใบรับรองสิทธิการใช้ที่ดินแก่สมาชิกของครัวเรือนที่เกี่ยวพันกับการเพาะปลูกแบบตัดต้นไม้แล้วเผา (รวมทั้งการปลูกฝิ่นด้วย) ไม่ว่าจะอยู่ภายในหรือภายนอกอาณาเขตพื้นที่โครงการ รวมถึงผู้ที่ติดยาเสพติดที่ปฏิเสธการเข้าบำบัดรักษา และ 3.ใบรับรองสิทธิ์นี้สามารถถูกเพิกถอนได้ หากสมาชิกของครัวเรือนที่ถือใบรับรองสิทธ์เริ่มต้นกลับไปเพาะปลูกแบบตัดต้นไม้แล้วเผาอีก ... ผู้วางแผน (the planner) แนะนำว่า เมื่อครบ 10 ปีของการพัฒนา ใบรับรองสิทธิครอบครองที่ดินโครงการทุกใบจะถูกเปลี่ยนเป็น "การรับรองทางกฎหมายในที่ดินที่เช่า (leasehold) ซึ่งดำเนินการโดยอำเภอ" ชาวไร่บนเขาจ่ายภาษีที่ดินให้กับหน่วยงานในอำเภอด้วยช่องทางเดียวกับชาวพื้นราบ (หน้า 209) ... เมื่อดำเนินโครงการได้ 3 ปี คาดหวังว่าที่ดินชลประทาน (irrigable land) ทุกผืนของโครงการจะปลูกข้าวนาน้ำ (wet rice) งานก่อสร้างทุกงานของโครงการและถนนที่จะเข้าถึงจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ คณะทำงานด้านเทคนิคจะถอนตัวออกไป และจะได้รับมอบหมายให้เริ่มต้นโครงการใหม่ ณ ที่แห่งใหม่ ในระหว่างนี้ คณะทำงานพัฒนาจะเอาใจใส่ดำเนินการเรื่องไร่สำหรับเพาะปลูกและการปลูกป่า ... จากปีที่ 3 ถึงปีที่ 9 ของการดำเนินโครงการ คณะทำงานพัฒนาจะทำงานเพื่อฟื้นฟูป่าให้ดีขึ้นและปลูกป่าใหม่ในเขตป่าไม้หลังการตัดโค่นต้นไม้ (reafforestation) ... ในปีที่ 10 ของโครงการ คณะทำงานพัฒนาจะเริ่มต้นส่งมอบภารกิจให้กับคณะทำงานที่เป็นคนท้องถิ่น และส่งต่อความรับผิดชอบให้หน่วยงานปกครองของท้องถิ่น งานการศึกษาให้ความรู้ทั้งหมดจะส่งมอบให้กับหน่วยบริหารของจังหวัด : กิจกรรมด้านการแพทย์ส่งต่อให้กับคณะทำงานที่เป็นคนท้องถิ่น (local counterparts) ซึ่งจะดำเนินงานต่อไปภายใต้การให้คำปรึกษาของสาธารณสุขระดับอำเภอ การจัดการด้านป่าจะส่งให้กับกรมป่าไม้ เป็นต้น ... เมื่อสิ้นสุดปีที่ 10 คณะทำงานพัฒนาจะถอนตัวออกจากพื้นที่โครงการและจะได้รับการมอบหมายงานใหม่ ชุมชนชาวเขาซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้เพาะปลูกแบบทำไร่เลื่อนลอยและเกี่ยวข้องกับโครงสร้างการปกครองของรัฐในระดับท้องถิ่นน้อยมาก จะกลายเป็นชาวไร่บนที่สูงซึ่งอยู่ติดที่ สามารถยังชีพและหารายได้ที่จำเป็นต้องใช้จ่ายได้ด้วยตนเอง สามารถบริหารจัดการกิจกรรมทางสังคมและทางเศรษฐกิจของตนได้ ภายใต้คำปรึกษาของรัฐบาลไทยเหมือนกับชาวนาพื้นราบของไทยทั้งประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจและการบูรณาการชาติจะประสบความสำเร็จไปพร้อมกัน (หน้า 210) |
|
Text Analyst |
บุญสม ชีรวณิชย์กุล |
Date of Report |
04 ต.ค. 2567 |
TAG |
ม้ง, ลาหู่, ลาฮู, ปกาเกอะญอ, จกอ, คานยอ, กะเหรี่ยง, ลีซู, ชาติพันธุ์, แผนพัฒนา, การทำเกษตรกรรม, ภาคเหนือ, |
Translator |
- |
|