|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ป่า,กาญจนบุรี |
Author |
Reiner Buergin |
Title |
Contested Heritages: Disputes on People, Forests, and a World Heritage Site in Globalizing Thailand |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มนุษย์วิทยาสิรินธร |
Total Pages |
27 |
Year |
2544 |
Source |
Thomas Krings, Gerhard Oesten, Stefan Seitz (edit), Socio-Economics of Forest Use in the Tropics and Subtropics, จัดพิมพ์โดย คณะทำงานการใช้ป่าในทางสังคม-เศรษฐกิจในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน มหาวิทยาลัย Freiburg |
Abstract |
ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่กระบวนการโลกาภิวัตน์ทางการเมืองและวัฒนธรรม ในสมัยรัชกาลที่ 5 โลกาภิวัตน์ทางการเมืองประการแรกคือ การทำให้ทุกที่อยู่ภายในอาณาเขตดินแดนและการสร้างรัฐชาติตามแบบตะวันตก ขณะที่โลกาภิวัตน์ทางวัฒนธรรมมุ่งเน้นไปที่ การรับเอาแนวความคิดตะวันตกในเรื่องความเป็นเหตุเป็นผล (rationality) ความทันสมัย (modernity) และการพัฒนา (development) และการทำให้ป่าไม้ของไทยมีคุณค่าในฐานะ "ทรัพยากรธรรมชาติ" คือบทบาทสำคัญในกระบวนการขั้นแรกของโลกาภิวัตน์ การเปลี่ยนแปลงแนวคิดทางนโยบายป่าไม้ของไทยจากทรัพยากรธรรมชาติในฐานะ "สินค้า" มาสู่ "การอนุรักษ์" นั้นพบว่า เกิดจากปัจจัยสำคัญคือ การพัฒนาประเทศและลัทธิอนุรักษ์นิยม ซึ่งมาจากการพัฒนาระดับสากล แนวความคิดอนุรักษ์ธรรมชาติเข้ามาในประเทศไทยราวกลางศตวรรษที่ 20 ในบริบทของการสร้างชาติ (nationalization) ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ การประกาศเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรและห้วยขาแข้งเป็นมรดกทางธรรมชาติที่สำคัญของโลกในปี พ.ศ.2534 คือเครื่องมือสากลที่สร้างขึ้นเพื่ออนุรักษ์ "ทรัพยากรธรรมชาติ" (natural resources) ขณะที่กลุ่มชาติพันธุ์ชายขอบที่อาศัยอยู่ในเขตป่าเขา ซึ่งดำรงชีพด้วยการทำไร่หมุนเวียน กลายเป็นมายาภาพของการทำลายป่าในเวลาต่อมา ภายใต้บริบทของการสร้างรัฐชาติและการก้าวสู่ความทันสมัยของไทย กลุ่มชนชาติพันธุ์หลากหลายวัฒนธรรมกลุ่มต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อนุรักษ์ รวมถึงกะเหรี่ยงในป่าทุ่งใหญ่ฯ ถูกรวมเข้าไปในนิยามของ "ชาวเขา" ที่บุกรุกทำลายป่า (ทำไร่เลื่อนลอย) ทั้ง ๆ ที่คนเหล่านั้นดำรงชีพด้วยวิถีดั้งเดิมที่ยั่งยืนด้วยการทำไร่หมุนเวียน งานศึกษาในบทความนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า แนวคิดอนุรักษ์นิยมใหม่มีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับการพัฒนาประเทศสู่ความทันสมัย ซึ่งแยกมนุษย์และธรรมชาติออกจากกันอย่างเด็ดขาด แนวคิดดังกล่าวแตกต่างจาก แนวคิดและค่านิยมของกลุ่มชาติพันธุ์ในท้องถิ่นอย่างชุมชนกะเหรี่ยงในป่าทุ่งใหญ่อย่างตรงกันข้าม คนเหล่านั้นมองว่ามนุษย์สามารถอยู่อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ ทั้งนี้เพราะ ธรรมชาติในความหมายของพวกเขาเป็นบ้านและพื้นที่แห่งชีวิต กรณีศึกษานี้ยังสะท้อนให้เห็นว่า กระบวนการทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมของโลกาภิวัตน์ในศตวรรษที่ 20 นี้ ล้วนเป็นผลลัพธ์จากความพยายามเข้าไปกำหนดกรอบคิดทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นจากระดับสากลมากขึ้น ส่งผลให้กระบวนการทางประวัติศาสตร์ของสังคมมีความซับซ้อนมากขึ้น |
|
Focus |
ในบทความนี้ ผู้เขียนได้เน้นการศึกษาปรากฎการณ์ของ "พื้นที่อนุรักษ์" (protected area) และการส่งเสริม "มรดกโลก" ในบริบทของลัทธิอนุรักษ์นิยมระหว่างประเทศ และข้อโต้เถียงระดับประเทศเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติและความทันสมัย ตลอดจนอุดมการณ์ที่ไปด้วยกันไม่ได้ระหว่างคนและป่า เข้าครอบงำนโยบายการอนุรักษ์ในประเทศไทยอย่างไร ตลอดจนสาวลึกไปถึงรากเหง้าทางอุดมการณ์ของลัทธิอนุรักษ์นิยม โดยเฉพาะในกรอบความคิดทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับ "ความทันสมัย" และ "ลัทธิอนุรักษ์นิยม" ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงนโยบายป่าไม้และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากความแตกต่างทางผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มทางสังคมและสถาบันที่มีมากขึ้น |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนใช้แนวทฤษฎีเกี่ยวกับนิเวศวิทยาการเมือง เพื่ออธิบาย "ลัทธิอนุรักษ์นิยม" (conservationism) ที่ปรากฏขึ้นในบริบทของ "ความทันสมัย" (modernization) และเข้ามาจัดระเบียบและทดแทนการบุกรุกธรรมชาติโดยมนุษย์ กรอบคิดทางวัฒนธรรมของลัทธิอนุรักษ์นิยมนี้ นำไปสู่ข้อถกเถียง 2 ประการ คือ ความเข้าใจและการกำหนดนโยบายที่ผิดพลาดต่อสถานการณ์ท้องถิ่นในพื้นที่มรดกโลกของประเทศไทย โดยเฉพาะกับ "ประชาชนท้องถิ่น" ที่อาศัยอยู่ใน "มรดกโลก" และอีกประการหนึ่งคือ การแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง ผู้เขียนได้วิพากษ์ว่า แนวคิดและโครงการของ "ความทันสมัย" กลายเป็นแฟชั่นที่แพร่หลายในยุค "โลกาภิวัตน์" ที่มีการพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ซึ่งนำไปสู่ความซับซ้อนทางสังคมมากขึ้น ด้วยการสร้างความสัมพันธ์ข้ามประเทศและนานาประเทศ, สถาบันและเครือข่ายที่นำไปสู่การรวมการเติบโตและการพึ่งพาของโลกเข้าด้วยกัน ซึ่งรวมไปถึงเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และกระบวนการทางวัฒนธรรม และ "ความทันสมัย" ถูกทำให้เข้าใจว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการโลกาภิวัตน์ โดยเฉพาะ การนิยามทิศทาง ความหมาย และวัตถุประสงค์ในทางวัฒนธรรม |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ชุมชนกะเหรี่ยงในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร มีประชากรราว 3,000 คน ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรและห้วยขาแข้ง ได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติในปี พ.ศ.2534 ป่าทั้งสองแห่งมีพื้นที่รวมกันราว 6,200 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ติดกับชายแดนพม่า และถือเป็นผืนป่าสำคัญของป่าตะวันตกที่มีป่าอุดมสมบูรณ์ที่สุดของประเทศไทย ซึ่งมีพื้นที่ราว 18,700 ตารางกิโลเมตร (น.2, 21) ชุมชนกะเหรี่ยงในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ ตั้งถิ่นฐานมาหลายร้อยปี พวกเขาได้รับสิทธิในการตั้งถิ่นฐานจากเจ้าเมืองกาญจนบุรี ในศตวรรษที่ 19 เจ้าเมืองได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ในรัชกาลที่ 3 ขนานนามว่า พระศรีสุวรรณคีรี เมืองนี้มีความสำคัญต่อกษัตริย์สยาม ในฐานะหน้าด่านของเขตแดนด้านตะวันตกติดกับพม่า ในศตวรรษที่ 20 เมื่อรัฐชาติไทยสมัยใหม่ถูกสถาปนาขึ้น พวกเขาถูกทำให้ปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งในนโยบายระดับชาติ ว่าเป็นผู้บุกรุกและอพยพเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย โดยเฉพาะในสายตาของนักอนุรักษ์ส่วนใหญ่มองว่าการดำรงอยู่ของกะเหรี่ยงในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรคุกคามต่อผืนป่า ปัจจุบัน ชุมชนกะเหรี่ยงยังคงทำไร่หมุนเวียน กะเหรี่ยงไม่ล่าสัตว์ พวกเขากินเจตามความเชื่อทางศาสนา รายได้มาจากการขายพริก ยาสูบ ผลไม้จากสวน ไร่หมุนเวียนจะทิ้งไว้ 5-15 ปี (หรือมากกว่านั้น) ในความเข้าใจของคนกะเหรี่ยงในทุ่งใหญ่ที่มีต่อพวกเขาเอง พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของผืนป่า ซึ่งมีความซับซ้อนและเป็นสังคมที่ประกอบด้วยชีวิตของพืช สัตว์ มนุษย์ และจิตวิญญาณ ในมุมมองสมัยใหม่ กฎเกณฑ์และความดั้งเดิมของชุมชนอาจหมายถึง องค์ความรู้ทางนิเวศวิทยา ในกฎเกณฑ์และจารีตประเพณี และวิถีชีวิต ถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง องค์ความรู้มากมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของคนกะเหรี่ยงถูกเก็บและรักษาไว้กับวิถีชีวิต "องค์ความรู้ทางนิเวศ" "ชีวิตจริง" และ "จินตนาการ" ทางประวัติศาสตร์ของคนกะเหรี่ยงในทุ่งใหญ่คือ หัวใจแห่งอัตลักษณ์และวิถีทางที่พวกเขามองเห็นตัวเอง แต่ในสายตาของโลกข้างนอก โดยเฉพาะในโลกของคนไทย มองต่างออกไปอย่างมาก ความสัมพันธ์ของคนกะเหรี่ยงกับโลกข้างนอกมีความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ไม่น้อยไปกว่าในบริบทของกระบวนการโลกาภิวัตน์และความทันสมัย คนกะเหรี่ยงปกครองตนเองมาจนกระทั่งเข้าสู่ศตวรรษ 1960 (พ.ศ.2503) การขยายตัวทางเศรษฐกิจและการเมือง ไปยังเมืองรอบนอกในนามของ "ความทันสมัย" "การพัฒนา" และ "ความมั่นคงของชาติ" การเข้าไปของสถาบันไทยใน "พื้นที่อาศัย" ของคนกะเหรี่ยง ได้เปลี่ยนแปลงลักษณะทางสังคม การเมือง และองค์กรศาสนาของสังคมกะเหรี่ยงอย่างมาก แต่องค์กรทางครอบครัวส่วนใหญ่ยังคงเดิม จนกระทั่งปลายทศวรรษ 1980 ถึงต้นทศวรรษ 1990 (พ.ศ.2523-2533) ระหว่างครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ประชากรในทุ่งใหญ่มีเพียงเล็กน้อย จาก ค.ศ.1970-1990 ประชากรมีประมาณ 3,000 คน การเพิ่มขึ้นมาจากการอพยพของกะเหรี่ยงข้างเคียงที่ถูกน้ำท่วมจากเขื่อน พวกที่หนีสงครามพม่าและการปราบปราม มีเกษตรกรไทยถือครองที่ดินคิดเป็นร้อยละ 1 ของประชากรทั้งหมด อาจเป็นเพราะพื้นที่อยู่ห่างไกลและเป็นพื้นที่อนุรักษ์ การดำรงชีพหรือการใช้ที่ดินของคนกะเหรี่ยงไม่เป็นปัญหาในบริบทของระบบการใช้ที่ดินแบบดั้งเดิม (ไร่หมุนเวียน) "ไร่เหล่า" จะทิ้งไว้ 10 ปี พื้นที่การเกษตรในเขตรักษาพันธุ์ฯ รวมไร่เหล่า มีประมาณร้อยละ 1 ของพื้นที่เขตรักษาพันธุ์ฯ ช่วงเริ่มต้นของทศวรรษ 1990 (พ.ศ.2533) กรมป่าไม้พยายามอพยพคนกะเหรี่ยงออกจากป่าทุ่งใหญ่ฯ กรมป่าไม้ ห้ามใช้พื้นที่ไร่เหล่าที่ทิ้งไว้มากกว่า 3 ปี เพื่อลดความเสี่ยงต่อพื้นที่ป่า ทำให้ผลผลิตข้าวลดลง ชุมชนถูกควบคุมโดยกรมป่าไม้และกองทัพ หลายครอบครัวประสบปัญหาการยังชีพเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 1990 (พ.ศ.2533-2543) ในปัจจุบัน กรมป่าไม้และกองทัพวางนโยบายการอพยพด้วยการชักชวนชุมชนกะเหรี่ยงให้อพยพโดยสมัครใจ การใช้มาตรการกีดกัน และลัทธิเหยียดทางชาติพันธุ์ พร้อมกับการทำให้ชุมชนกะเหรี่ยงอยู่ด้วยความหวาดกลัว |
|
Economy |
ทำไร่หมุนเวียน ปลูกข้าว และพืชอื่น ๆ |
|
Belief System |
ในบทความชิ้นนี้ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับศาสนา พิธีกรรม ความเชื่อ แต่เขียนไว้สั้น ๆ ในเรื่องความเชื่อของคนกะเหรี่ยงที่มีต่อธรรมชาติ พวกเขาเชื่อว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของผืนป่าที่มีความซับซ้อน และเป็นสังคมที่ประกอบด้วยชีวิตของพืช สัตว์ มนุษย์ และจิตวิญญาณ (น. 22) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กะเหรี่ยงเป็นชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งที่ถูกนิยามว่าเป็น "ชาวเขา" คำว่า ชาวเขา เริ่มใช้กันมาตั้งแต่ทศวรรรษ 1950 (พ.ศ.2593) เป็นชื่อตระกูลที่ไม่ใช่กลุ่มคนไทยหลายกลุ่มรวมกัน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงทางภาคเหนือและตะวันตกของไทย นิยามความหมายของชาวเขามีลักษณะลบในแง่ของ การทำลายป่า ปลูกฝิ่น ผู้ก่อการร้ายต่างชาติอันตราย มายาคตินี้มีต้นกำเนิดจากกลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่ทำไร่เลื่อนลอย ปลูกฝิ่นและบางส่วนเกี่ยวข้องกับคอมมิวนิสต์ ในไม่ช้ากลุ่มต่างๆ ก็ถูกตีตราว่าเป็น "ชาวเขา" ความหมายของคำว่า "ชาวเขา" มีความสัมพันธ์กับความหมายของคำว่า "ชาวป่า" ที่ใช้เรียกกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มน้อยที่ไม่ใช่คนไทยมาก่อนจะมีการใช้คำว่า "ชาวเขา" ในบริบททางภาษาและวัฒนธรรมของหลายชาติพันธุ์ กลุ่มชาติพันธุ์ไทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ "ป่า" หมายถึง ป่าไม้ ป่ารกชัฏ ป่าเถื่อน ตรงข้ามกับคำว่า "เมือง" หมายถึง "อารยะ" หรือ "ดินแดนมนุษย์" บ่อยครั้งที่ขั้วของ "อารยะ" เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไท ขณะที่ ป่าหรือป่ารกชัฏ เป็นขั้วของกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มน้อย ภายใต้บริบทของการสร้างรัฐชาติสยาม บรรดาขุนนางในเมืองได้ผสานความรับรู้เกี่ยวกับเมืองหรืออารยะเข้าแนวความคิดตะวันตกในแง่ของ "ความทันสมัย" และ "การพัฒนา" ในวัฒนธรรมคนเมืองของไทยนิยามคำว่า "ชาวกรุง" ว่าหมายถึง คนในเมือง และมีภาพของความเป็นชาติ เป็นวิทยาศาสตร์ และเศรษฐกิจแบบตะวันตก กลายเป็นรูปแบบของการเข้าสู่ความทันสมัย และ "การพัฒนาประเทศ" ส่วนวัฒนธรรมชนบทก็เป็น ชาวบ้านนอก หรือ ชาวบ้าน ซึ่งมีการพัฒนาล้าหลัง ลักษณะทางสังคมของชาวเขา ถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างชาติ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 อัตลักษณ์ของชาติและการนิยามความเป็นไทย เชื่อมโยงกับลักษณะทางวัฒนธรรมที่แน่นอน โดยเฉพาะศาสนาพุทธแบบไทย ภาษา และการมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ถิ่นฐานที่ตั้งของชาวเขา และวิถีชีวิตของพวกเขาได้ถูกกีดกันออกไปจากรัฐชาติไทย อีกทั้งยังเป็นภัยคุกคามต่อสวัสดิภาพของชาติ ด้วยการทำลายป่าไม้ของชาติ กลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายวัฒนธรรมกลุ่มต่าง ๆ ถูกรวมเข้าไปในนิยามของ "ชาวเขา" คนเหล่านั้นไม่เคยเกี่ยวข้องกับธุรกิจฝิ่นหรือคอมมิวนิสต์ พวกเขาดำรงชีพในรูปแบบดั้งเดิมที่ยั่งยืนด้วยการทำเกษตรไร่หมุนเวียน เช่น กะเหรี่ยง ซึ่งมีจำนวนครึ่งหนึ่งของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่บนที่สูง รูปแบบการดำรงชีพดั้งเดิมดังกล่าวต้องสูญหายไป เนื่องจากการเข้ามาควบคุมของรัฐและนโยบายการพัฒนาของประเทศและระหว่างประเทศ นโยบายของรัฐที่มีต่อชาติพันธุ์กลุ่มน้อย นับตั้งแต่ทศวรรษ 1950 ถึงปัจจุบัน (พ.ศ.2493-ปัจจุบัน) มุ่งเน้น 3 ปัญหาสำคัญ คือ การปลูกฝิ่น ความมั่นคงของชาติ (การต่อต้านคอมมิวนิสต์) และป่าเสื่อมโทรม (การทำไร่เลื่อนลอย) ปัจจุบันพื้นที่ป่าส่วนใหญ่ของไทยเหลืออยู่ทางภาคเหนือและตะวันตก ซึ่งเป็นถิ่นฐานของชาวเขา นอกจากนั้น ป่าเสื่อมโทรมกลายเป็นประเด็นสาธารณะ และการอนุรักษ์ป่ากลายเป็นนโยบายหลักต่อชาวเขา และกองทัพเข้ามามีบทบาทหลักในนโยบายเกี่ยวกับชาวเขา ในส่วนของกรมป่าไม้ ชาวเขา กลายมาเป็น "กลุ่มปัญหา" หลักเกี่ยวกับ ป่าเสื่อมโทรม ในนโยบายป่าไม้แห่งชาติ พ.ศ.2528 ชาวเขาคือ "ปัญหาการทำลายป่า" ในระดับท้องถิ่น การขยายตัวของชาวนาไทยไปยังที่สูง การขยายตัวของพืชเศรษฐกิจในกลุ่มชาวเขาบางกลุ่ม การสนับสนุนโดยโครงการลดการปลูกฝิ่นระดับชาติและนานาชาติ ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนไทยและชาวเขาเพิ่มมากขึ้นในระหว่างทศวรรษ 1980 (พ.ศ.2523-2533) โดยเฉพาะเรื่องที่ดิน ป่าไม้ และน้ำ เริ่มต้นทศวรรษ 1990 (พ.ศ.2533) ความขัดแย้งเหนือทรัพยากรในเชิงสิ่งแวดล้อม ปรากฎเป็นประเด็นระดับชาติภายใต้บริบทของข้อถกเถียงเกี่ยวกับ ร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน NGOs เขียวเข้ม สนับสนุนกลุ่มชาวนาไทย "ทันสมัย" ผลักดันชาวเขาย้ายลงมาจากพื้นที่ต้นน้ำ เพราะชาวเขาเป็นผู้ทำลายป่าต้นน้ำของชาติ พวกเขากลายเป็นผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ที่ถูกประกาศให้เป็น "ต้นน้ำ" และ "พื้นที่อนุรักษ์" ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มี "ความอ่อนไหวทางนิเวศวิทยา" ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมีลักษณะทางชาติพันธุ์มากขึ้นเรื่อย ๆ นโยบายของรัฐมุ่งไปสู่การกีดกันทางการเมือง สังคม และขอบเขตดินแดน (ชาวเขา 240,000 คน จาก 840,000 คน ได้รับสัญชาติไทยส่วนที่เหลือถือบัตรฟ้าหรือ ทร.13 ห้ามโยกย้ายข้ามอำเภอ) นโยบายใหม่เกี่ยวกับชาวเขาในบริบทของความขัดแย้งทางสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1980 (พ.ศ.2523) ต่อต้นทศวรรษ 1990 (พ.ศ.2533) มุ่งไปสู่การอพยพหมู่บ้านชาวเขา และการห้ามใช้ที่ดินแบบดั้งเดิม ตั้งแต่ปี พ.ศ.2541 และกดดันต่อกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มน้อยบนพื้นที่สูงเริ่มปะทุขึ้นอีกครั้ง ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการจับกุมอย่างเด็ดขาด อพยพแบบบังคับ ข่มขู่และใช้ความรุนแรง กรมป่าไม้ร่วมมือกับกองทัพปกป้องผืนป่า โดยกรมป่าไม้จะดูแลพื้นที่ป่าสงวนที่มีเกษตรกรไทยอาศัยอยู่ และกองทัพดูแลในพื้นที่ที่มีชาติพันธุ์กลุ่มน้อยที่ไม่ใช่ "คนไทย" อาศัยอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่อนุรักษ์และต้นน้ำลำธาร เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ เป็นพื้นที่นำร่องนโยบายใหม่ และข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว ในฐานะที่เป็นแกนกลางของผืนป่าตะวันตก อันเป็นผืนป่าที่สำคัญที่สุดในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ของโลก |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
"ลัทธิอนุรักษ์นิยม" หมายถึง ความพยายามที่จะปกป้อง "ธรรมชาติ" (nature) ซึ่งก่อนหน้านั้น นิยามของธรรมชาตินั้นหมายถึง "ที่อื่น" (the other), ตรงข้ามกับความเสื่อมโทรมและการทำลาย ลัทธิอนุรักษ์นิยมถูกใช้เป็นเหตุผลสำหรับการจัดการทรัพยากรหรือสิทธิที่ผูกติดกับสิทธิของ "ธรรมชาติ" (น.2) |
|
|