สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาหู่,ประวัติ,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,เศรษฐกิจ,สังคม- การเมือง,วิถีการผลิต,นโยบายของรัฐ,ภาคเหนือ
Author Anthony R. Walker
Title 1. The Lahu People : An Introduction. (111-126) 2. Ban Luang : A Lahu Nyi Village. (127-137) 3. Sheh - kaw Shi - nyi : A Lahu Nyi Agricultural Festival. (139-148) 4. The Lahu Na (Black Lahu) Christian Community at Huai Tadt : Some Notes. (149-155)
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดกลางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 45 Year 2518
Source Farmer in the Hills : Upland Peoples of North Thailand, Anthony R. Walker (Editor), p.111-155. จัดพิมพ์โดย The School of Comparative Social Sciences, พิมพ์ที่ Universiti Sains Malaysia Press.
Abstract

มีเนื้อหาครอบคลุมวัฒนธรรม ความเชื่อ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ของชาติพันธุ์ลาหู่ในภาพรวม โดยเน้นที่ลาหู่แดง (Lahu Nyi) และพรรณนาถึงสภาพหมู่บ้านและวิถีชีวิตของลาหู่แดง (Lahu Nyi) บ้านหลวง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย และ ลาหู่ดำ (Lahu Na) Ban Huai Tadt จังหวัดเชียงใหม่ โดยเน้นพิธีกรรมสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตรของลาหู่แดงบ้านหลวง และโครงสร้างทางการเมืองและเศรษฐกิจของบ้าน Huai Tadt

Focus

เสนอภาพวัฒนธรรม - ความเชื่อ เศรษฐกิจ - สังคม - การเมือง ของลาหู่ในภาพรวม และของหมู่บ้านลาหู่บ้านหลวง (Ban Luang) อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย และ Ban Huai Tadt จังหวัดเชียงใหม่

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ลาหู่เรียกตัวเองว่า "ลาหู่" (Lahu) ชาวจีนรู้จักในชื่อว่า "Lo-hei" อาศัยอยู่ในยูนนาน ชาวฉานทั้งที่อยู่ในจีนและพม่าเรียกลาหู่ว่า "มูเซอ" (Mussur) และ "Kwi" แต่ชื่อ "Kwi" ใช้เรียกสาขาหนึ่งของลาหู่เท่านั้น คือ ลาหู่เหลืองหรือลาหู่ Shi ส่วนทางเหนือของไทยเรียกตามชาวฉานว่า "มูเซอ" หมายถึง "นักล่า" (hunter) ซึ่งเป็นชื่อที่ลาหู่ยอมรับด้วยความยินดี (หน้า 111-112) ลาหู่แบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยมากกว่า 20 กลุ่ม ผู้เขียนกล่าวถึง 5 กลุ่ม ได้แก่ Lahu Na (ลาหู่ดำ), Lahu Shi (ลาหู่เหลือง), Lahu Nyi (ลาหู่แดง), Lahu Hpu (ลาหู่ขาว), และ Lahu Sheh Leh (ไม่ทราบความหมาย) โดยไม่สามารถบอกได้ว่ากลุ่มย่อยเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และเหตุใดบางกลุ่มจึงใช้ชื่อเรียกเป็นสี (หน้า 112)

Language and Linguistic Affiliations

ลาหู่พูดภาษาในกลุ่มภาษา Tibeto-Burman ภาษาลาหู่เป็นสมาชิกของ Loloish สาขาของ Lolo - Burmese กลุ่มย่อยของตระกูล Tibeto-Buman ภาษา Loloish อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับภาษาลาหู่ คือภาษาลีซอ อาข่า และภาษา Woni ในบางพื้นที่ภาษาลาหู่จะใช้กันเป็นภาษาที่สองอย่างกว้างขวางในหมู่ชาวเขา เช่น ที่อำเภอแม่จัน (Mae Chan) ภาษาลาหู่ใช้เป็นสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างอาข่าและเย้า ภาษาลาหู่ไม่มีภาษาเขียน หมอสอนศาสนาคริสต์ในพม่าพัฒนาอักษรโรมันให้เป็นภาษาเขียนลาหู่เมื่อต้นศตวรรษที่ 20 (หน้า 112-113)

Study Period (Data Collection)

เมษายน - พฤษภาคม ค.ศ. 1973 (ผู้เขียนอยู่ที่บ้านหลวงเดือนเมษายน ปี ค.ศ.1973 เป็นเวลาสามสัปดาห์)

History of the Group and Community

ประวัติศาสตร์ของลาหู่รู้กันน้อยมาก อาจมีความเชื่อมโยงกับต้นกำเนิดที่ธิเบต และใช้ภาษาอยู่ในกลุ่มภาษา Loloish ร่วมกับชาวธิเบตระหว่างคริสตศตวรรษที่ 18 และ 19 ผู้นำนักบวชลาหู่เป็นกบฏต่อต้านการปกครองของจีน จีนส่งทหารเข้าไป ใช้วิธีปกครองโดยอ้อม ตั้งผู้นำลาหู่ปกครองแทน ผู้นำลาหู่ยอมศิโรราบและรับเอาอารยธรรมจีนมาด้วยความเต็มใจ แต่ลาหู่จำนวนมากไม่ยอมรับ ต่อมารัฐบาลจีนตัดสินใจที่จะปกครองลาหู่โดยตรงในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของยูนนาน ลาหู่บางส่วนจึงอพยพออกจากตอนใต้ของยูนนานเข้าสู่พม่า ลาว และในทางเหนือของไทย เมื่อลาหู่เริ่มเข้ามาในอาณาเขตของไทยในระยะแรก ไม่เป็นที่รู้จัก แต่เมื่อทศวรรษสุดท้ายของคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีชุมชนลาหู่จำนวนมากอาศัยอยู่บนภูเขาทางภาคเหนือของประเทศไทย อยู่ภายใต้การปกครองอย่างเป็นทางการของเจ้าหน้าที่รัฐบาล ปี ค.ศ.1953 รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนจัดตั้งเมืองปกครองตนเองของลาหู่ในอำเภอ Lan-ts'ang ของยูนนาน แม้ว่ารัฐบาลจีนยังไม่ให้อำนาจปกครองทั้งหมด แต่ลาหู่มีบทบาทสำคัญในการปกครองเมืองนี้ ส่วนในพม่าและลาวความไม่สงบของการเมืองภายในทำให้ลาหู่ยากลำบากมากเช่นเดียวกับชาวเขาอื่น ๆ ที่ตกอยู่ในระหว่างความขัดแย้งกองทหารรัฐบาลกับกลุ่มพลังเพื่อการปลดปล่อยประเทศ ด้วยเสถียรภาพและความสงบทางการเมืองของไทย ประกอบกับภูเขาทางตอนเหนือของไทยมีที่ดินที่ใช้เพาะปลูกได้ดี ทำให้ลาหู่ในพม่าและลาวจำนวนมากสนใจประเทศไทย (หน้า 113-114) บ้านหลวง เป็นหมู่บ้านลาหู่แดง (Lahu Nyi) ตั้งมากว่า 15 ปีแล้ว (น่าจะอพยพมาจากรัฐฉานของพม่า เนื่องจากผู้เขียนพรรณนาว่า บ้านหลวงเป็นหมู่บ้านสำคัญ (senior community) ของหมู่บ้านรอบ ๆ หัวหน้าหมู่บ้านบ้านหลวงเป็นผู้ตัดสินสุดท้ายในกรณีพิพาทของพื้นที่นี้ทั้งหมด เพราะหัวหน้าหมู่บ้านบ้านหลวงยังคงเป็นที่เคารพนับถือของหมู่บ้านรอบ ๆ เนื่องจากหัวหน้าหมู่บ้านบ้านหลวงเป็น hpa - ya ซึ่งเป็นสถานภาพของคนฉานรุ่นเก่าที่ได้รับการแต่งตั้งโดยเจ้าฟ้ารัฐฉาน - หน้า 127 - Text Analyst) (หน้า 127) บ้าน Huai Tadt หมู่บ้านคริสเตียนลาหู่ดำ (Lahu Na) บ้าน Huai Tadt มาจากประเทศพม่าสู่ประเทศไทยปี ค.ศ.1954 เหตุผลของการอพยพเกิดจากความไม่สงบทางการเมืองภายในพม่า ลาหู่ถูกดึงเข้าไปอยู่ระหว่างการสู้รบของพม่าและกองทัพก๊กมินตั๋ง กองทัพก๊กมินตั๋งบางส่วนใช้หมู่บ้านลาหู่เป็นที่หลบภัยจากกองทัพพม่าและมีลาหู่รุ่นหนุ่มบางส่วนร่วมกับก๊กมินตั๋งต่อต้านการปกครองของพม่า ลาหู่บางคนที่ร่วมกับก๊กมินตั๋งอพยพจากพม่าไปอยู่ไต้หวันในปี ค.ศ.1953 และปี ค.ศ.1954 บางส่วนอพยพเข้าไทยที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และขอความช่วยเหลือจากลูกชายของหมอสอนศาสนาคริสต์แบ็บติสท์รุ่นบุกเบิกซึ่งเป็นคนอเมริกัน ที่เคยเปลี่ยนศาสนาให้กับรุ่นปู่ย่าของลาหู่กลุ่มนี้ เขาช่วยเหลือโดยแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนชาวไทยที่ทำธุรกิจไร่ชาบนเขาเชียงดาว ซึ่งกำลังมองหาแรงงานในไร่ชาขนาดใหญ่ เจ้าของไร่ชาจีงรับลาหู่ไปสร้างหมู่บ้านบนเนื้อที่ของบริษัทที่ Huai Tadt และทำไร่บริเวณซึ่งเคยเป็นของม้งน้ำเงินที่เพิ่งย้ายออกไป (หน้า 152)

Settlement Pattern

บ้านลาหู่ยกใต้ถุนสูง ส่วนใหญ่ทำด้วยไม้ไผ่ ใช้ไม้เฉพาะส่วนจำเป็นที่เป็นหลักค้ำบ้าน หลังคามุงจาก หญ้าหรือใบไม้ รอบ ๆ และใต้ถุนบ้านใช้เลี้ยงสัตว์หลายชนิด แต่เฉพาะม้า สัตว์ปีกและหมู มีกั้นเป็นโรงเลี้ยงอย่างถาวร สิ่งปลูกสร้างนอกเหนือจากที่อยู่อาศัยมีน้อยมาก บางครัวเรือนสร้างยุ้งฉางใกล้ ๆ กับบ้าน (หน้า 115) บ้านหลวง (map 4 หน้า 128) หมู่บ้านลาหู่แดง (Lahu Nyi) การสร้างบ้านมีความเปลี่ยนแปลงน้อยมาก โครงสร้างหลักเป็นไม้ ผนังและพื้นใช้ไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยหญ้า (cogon grass) หรือใบไม้ บ้านทุกหลังจะมีระเบียงหรือเฉลียงทำด้วยแผ่นไม้ บนนั้นจะสร้างเพิงเล็กๆ ไว้ 2 หลัง สำหรับเก็บน้ำของครัวเรือนและเก็บฟืน บันไดขึ้นบ้านอยู่ที่เฉลียง ประตูหลักของบ้านเข้าทางเฉลียง ที่บ้านหลวงมีบ้านจำนวนมากหลังคามุงด้วยสังกะสี บ้านลาหู่ไม่มีหน้าต่าง แสงสว่างและควันไฟลอดผ่านทางช่องผนังไม้ไผ่ ภายในบ้าน (Fig.4 หน้า 130) มีคานไม้พาดผ่านกลางบ้าน (Central Floor Beam) เตาไฟอาจถูกสร้างไว้ด้านใดด้านหนึ่งของคานกลางพื้นบ้าน เหนือเตาไฟข้างกำแพงมีเชือกห้อยลงมาจากบนคานมีที่แขวนขนาดใหญ่ใช้แขวนพริกเพื่ออังไฟให้แห้งและเพื่อเก็บรักษา ด้านตรงข้ามเตาไฟจะกลายเป็นฝั่งหัวหน้าครัวเรือน ซึ่งเป็นห้องนอนเล็กๆ และมีแท่นบูชา Yeh ne หรือหิ้งผีบ้านผีเรือน ที่อยู่บนเสาเดี่ยวสูงประมาณ 1.5 เมตร บนแท่นวางชามกระเบื้องเคลือบแบบจีนสองใบ ใบหนึ่งใส่ข้าวสุกอีกใบใส่น้ำเป็นเครื่องบูชา ห้องนอนจะแยกออกจากห้องหลักที่วางเตาไฟ กั้นด้วยผนังไม้ไผ่ซีก นอกจากห้องของหัวหน้าครัวเรือนกับภรรยาแล้ว อาจเพิ่มห้องของลูกๆ ที่แต่งงานแล้ว ซี่งอาจมีเตาไฟต่างหากและรับประทานอาหารแยกออกไปเป็นครอบครัว บางครัวเรือนสร้างฉางข้าวไว้ใกล้ๆ บ้าน (หน้า 129-131) บ้าน Huai Tadt เป็นลาหู่ดำ (Lahu Na) แบบบ้านส่วนใหญ่สร้างเหมือนบ้านลาหู่ทั่วไป บ้านยกใต้ถุนสูง สร้างด้วยไม้เป็นโครงสร้างหลัก ใช้ไม้ไผ่เป็นพื้นและผนัง หลังคามุงด้วย cogon grass บ้านจะสร้างอยู่สองด้านของถนนรูปวงกลมล้อมรอบหมู่บ้าน (map 5 หน้า 150) ถนนถูกสร้างขึ้นเป็นผลจากแผนการพัฒนาของนิคมเชียงดาวที่จะฟื้นฟูบ้าน Huai Tadt มีบ้านไม้สักอยู่หนึ่งหรือสองหลังสร้างแบบบ้านคนพื้นราบ (หน้า 149)

Demography

ลาหู่ : มีในจีน (มณฑลยูนนาน) 180,000 คน (Moseley 1966) พม่า 80,000 คน (Lewis 1970) ลาว 5,000 คน (Lewis 1970) ในไทยมี 16,000 คน (United Nations 1967) (หน้า 111) บ้านหลวง เมษายน ปี ค.ศ.1973 มีที่อยู่อาศัย 29 หลังคาเรือน มีประชากร 212 คน เฉลี่ย 7 คนต่อครัวเรือน (หน้า 127) บ้าน Huai Tadt มีประชากร 188 คน 28 ครัวเรือน เฉลี่ย 6.7 คนต่อบ้าน โดยมีสองครัวเรือนที่อาศัยอย่างถาวรอยู่ที่ไร่ของตนที่ห่างออกไปจากบ้าน Huai Tadt เดินด้วยเท้าประมาณ 1 ชั่วโมง (หน้า 149)

Economy

ในชุมชนลาหู่ Nyi และ Sheh Leh ครัวเรือนเป็นหน่วยเศรษฐกิจพื้นฐาน ลาหู่เป็นพวกที่เพาะปลูกแบบ ไร่เลื่อนลอย จะย้ายหมู่บ้านทุกๆ 2-3 ปี เมื่อความอุดมสมบูรณ์ของผืนดินรอบ ๆ หมู่บ้านถูกใช้จนหมด กลายเป็นดินเสื่อมโทรม ลาหู่ปลูกข้าวไร่ เป็นพืชยังชีพหลัก โดยมีพืชเสริมอื่นๆ เช่น ข้าวสาลีและข้าวโพด และลาหู่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกับการปลูกฝิ่น ?ลาหู่ Nyi ทางเหนือของไทยใช้เวลาส่วนใหญ่กับผลผลิตหลัก 3 ชนิด คือ ข้าว พริก (chilli pepers) และฝิ่น มีการปลูกพืชเสริมอื่นๆ ด้วยเช่นกัน พริก (chillies) และฝิ่น เป็นพืชเศรษฐกิจ ขายให้คนพื้นราบ วงจรการเพาะปลูก ใช้เวลา 14 เดือน เริ่มต้นมกราคมและสิ้นสุดเมื่อเก็บรวบรวมยางฝิ่นในเดือนกุมภาพันธ์ของปีถัดไป เริ่มตั้งแต่ตัดและเผาต้นไม้ ขุดเจาะและเพาะปลูกบนลาดผาสูง ดูแลและกำจัดวัชพืช เก็บเกี่ยวและขนย้ายพืชผลอันหนักอึ้งเดินทางไกลบนเส้นทางเล็กๆ ในป่ากับครัวเรือน ระหว่างหมู่บ้านที่ติดกันมีการกันอาณาเขตอย่างหยาบๆ สำหรับการเพาะปลูกของแต่ละชุมชน แต่ไม่มีความพยายามที่จะขีดเส้นอาณาเขตที่แน่ชัดแบบที่กะเหรี่ยงนิยมทำ ในหมู่บ้านลาหู่ Nyi สิทธิในไร่ จะถูกสงวนรักษาไว้ในระหว่างการเพาะปลูกและปล่อยไร่ให้ว่างเพื่อการฟื้นฟู ?ในช่วงเวลาสมัยใหม่ ในยูนนานตอนใต้รัฐบาลจีนและในไทยรัฐบาลพยายามที่จะเปลี่ยนการทำไร่แบบไร่เลื่อนลอยตามจารีตเป็นแบบใช้น้ำชลประทาน ในอนาคตชุมชนลาหู่จะมีมากยิ่งขึ้นและจะหันไปใช้เทคโนโลยีการปลูกข้าวแบบใช้น้ำชลประทาน ? ลาหู่มีการค้าขายกับชาวพื้นราบ การซื้อขายสินค้าใช้ทั้งเงินสดและการแลกเปลี่ยนสินค้า เช่น พริก ฝิ่น ผัก และของป่า เป็นต้น (หน้า 121-122) บ้านหลวง ชาวบ้านหลวงทำไร่เลื่อนลอยตามจารีต ปลูกข้าวไร่เพื่อยังชีพ ปลูกฝิ่นเพื่อขายและใช้เอง ลาหู่ไม่สนใจทำการเพาะปลูกที่มีเสถียรภาพ จึงต้องบุกเบิกที่ดินไกลออกไปเรื่อยๆ ต้องใช้เวลาเดินทางจากที่พักไปไร่มากกว่าครึ่งวัน ใช้ที่ดินที่ชาวเขาอื่นๆ ทิ้งแล้ว ชาเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของชาวบ้านหลวง แต่ชาวบ้านหลวงไม่สามารถพึ่งพาการค้าชาอย่างเดียว บางทีในอนาคตอันใกล้ชาวบ้านหลวงจะต้องเปลี่ยนการเกษตรตามจารีต เพราะชาวบ้านหลวงตระหนักว่าไม่มีที่อื่นให้ไปอีกแล้ว ? ครัวเรือนส่วนใหญ่เลี้ยงสัตว์ปีก ม้าเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งซึ่งกลางคืนจะผูกไว้ใต้ถุนบ้าน แต่หมูและวัวปล่อยให้เดินไปมารอบ ๆ หมู่บ้านตามอิสระ (หน้า 127, 129) บ้าน Huai Tadt เริ่มตั้งหมู่บ้านในที่ดินของบริษัทไร่ชา โดยมีเงื่อนไขไม่ให้ตัดต้นไม้และเผาทำไร่ในอาณาบริเวณของไร่ชา และไม่ให้ไฟลามเข้าสู่ไร่ชาของบริษัท ในขณะเดียวกัน ลาหู่จะยินดีจัดหาแรงงานสำหรับไร่ชา ซึ่งจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินค่าจ้าง อย่างไรก็ตาม การทำงานตามตารางเวลาในไร่ชาแทรกแซงเวลาที่จะทำไร่ของลาหู่ ประกอบกับมีความตึงเครียดทางความสัมพันธ์ระหว่างลาหู่และเพื่อนร่วมงานคนไทยหรือแม้แต่ผู้จัดการไร่ชาด้วย ดังนั้นข้อตกลงเรื่องจัดหาแรงงานจึงค่อย ๆ เลือนๆ ไป และการทำงานเพื่อค่าจ้างไม่ใช่ส่วนสำคัญของฐานะทางเศรษฐกิจของบ้าน Huai Tadt อีกแล้ว ภายในหมู่บ้านแม้ทำไร่ไม่ได้ แต่บริษัทชายินยอมให้ทำสวนกาแฟและสวนผลไม้ขนาดเล็ก ปัจจุบันบ้าน Huai Tadt เป็นชุมชนที่เจริญมั่งคั่งอย่างสมเหตุสมผล จากการประสานกันระหว่างการทำไร่แบบโค่นถางต้นไม้และเผากับระบบการเกษตรแบบมีเสถียรภาพ (หน้า 153) ระบบถือครองที่ดิน ที่บ้าน Huai Tadt ซับซ้อนด้วยความจริงที่ว่า หมู่บ้านและอาณาบริเวณของไร่ บางส่วนเข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่ประกาศเป็นอาณาบริเวณของนิคมดอยเชียงดาวในปี ค.ศ.1961 ไร่ชาก็เข้าไปอยู่ในอาณาบริเวณของนิคมด้วย โดยบริษัทได้สิทธิ์เช่า 50 ปี ผลคือบ้าน Huai Tadt สวนกาแฟและสวนผลไม้บางส่วนอยู่บนเนื้อที่ของบริษัทชา แต่ไร่ที่ใช้เพาะปลูกอยู่ภายนอกทั้งหมด ขณะเดียวกันตัวหมู่บ้านและไร่จำนวนมากอยู่ในเนื้อที่ของนิคมด้วย (หน้า 153) การทำไร่ (swidden) ชาวบ้าน Huai Tadt เป็นชาวไร่โค่นถางต้นไม้และเผาแบบบุกเบิก (pioneer swiddener) ในปี ค.ศ.1969 บ้าน Huai Tadt มีการทำไร่ทั้งสิ้น 30 ผืนไร่ ทุกผืนอยู่สูงประมาณ 650-1,000 เมตร ลาหู่บ้าน Huai Tadt นิยมทำไร่อยู่บนเนินเขาที่ไม่ลาดชัน หุบหินปูนและสันเขารูปเกือกม้าระหว่างยอดเนินใกล้กันสองเนิน ไร่ 14 ผืนตัดต้นไม้แล้วเผาในป่าสมบูรณ์ (climax forest) ที่เหลืออีก 16 ผืนถากถางจาก "fairly open secondary growth forest" ไร่ประเภทแรกจะเพาะปลูกได้ดี 2 ปีและไม่มีการเจริญเติบโตของวัชพืช ส่วนไร่อีกประเภทจะได้ผลดีเพียงหนึ่งฤดูกาล (หน้า 153-154) การเพาะปลูก บ้าน Huai Tadt เป็นชุมชน คริสเตียนไม่ปลูกฝิ่น ปลูกข้าวเป็นหลัก ปลูกพืชเสริม เช่น ข้าวโพด พริก ผัก ถั่ว กาแฟ เป็นต้น ในปี ค.ศ.1969 ข้าวเกือบทั้งหมดเป็นข้าวไร่ พริกจะปลูกในพื้นที่แยกต่างหากจากไร่ข้าว เป็นพื้นที่เฉพาะสำหรับปลูกพริกอย่างเดียว ส่วนพืชเสริมอื่น ๆ กระจายปลูกแซมกับข้าว เมื่อไม่ได้ปลูกฝิ่นแล้ว บ้าน Huai Tadt มีพืชเศรษฐกิจใหม่คือ พริกและกาแฟ (มี 12 ครัวเรือนเป็นเจ้าของต้นกาแฟที่กำลังจะเก็บผลผลิตได้ และอีก 6 ครัวเรือนมีสวนผลไม้ที่ผลยังไม่สุก และเกือบทั้งหมดแสดงออกถึงความสนใจพืชถาวรนี้ ซึ่งเป็นนิมิตที่ดีสำหรับการเปลี่ยนแปลงทัศนคติต่อการใช้ที่ดินของชาวไร่แบบโค่นถางต้นไม้และเผาแบบบุกเบิก แหล่งรายได้อื่น บางครัวเรือนมีรายได้จากการขายย่ามผ้า กิจการเลี้ยงสัตว์เช่นวัวมีความสำคัญมากขึ้น มีการซื้อขายวัวกันเป็นจำนวนมากๆ การซื้อวัวจำนวนมากมาขายในราคาสูงตามความต้องการวัวที่เกิดขึ้น เป็นแนวคิดที่ไม่ใช่จารีตเดิม ซึ่งเลี้ยงสัตว์ไว้เพื่อยังชีพและประกอบพิธีกรรมเป็นส่วนใหญ่ บ้าน Huai Tadt กำลังอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนผ่านจากการทำไร่ตามจารีตไปสู่เศรษฐกิจระบบการเกษตรสมัยใหม่ และขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านนี้ประสบความสำเร็จอย่างกว้างขวาง ด้วยความพยายามของตัวลาหู่ในหมู่บ้านเองมากกว่าด้วยการบูรณาการของนักพัฒนาและแผนพัฒนาจากภายนอก ลาหู่ตามจารีตตอบสนองต่อแรงกดดันเรื่องที่ดินด้วยการอพยพ แต่ลาหู่ที่บ้าน Huai Tadt ตระหนักดีถึงข้อเท็จจริงใหม่ของชีวิตบนที่สูงทางเหนือของไทย ว่าไม่มีทางเลือกอีกแล้วนอกจากการเปลี่ยนแปลงโดยทำให้ระบบการเกษตรมีเสถียรภาพ (หน้า 154-155)

Social Organization

ลาหู่ที่อยู่ทางตอนใต้ของยูนนานและรัฐฉานในพม่าส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในชุมชนหมู่บ้านที่รวมตัวกันอย่างหลวม ๆ โดยทั่วไป สังคมหมู่บ้านลาหู่ไม่มีลักษณะเป็นวงศ์ตระกูล การสืบเชื้อสายหรือการรวมกลุ่มอื่น ๆ ที่อยู่บนพื้นฐานของหลักการสืบตระกูล ลาหู่มีสำนึกในเรื่องพี่น้อง แต่วงศ์ตระกูลไม่ได้รวมตัวกันอย่างเป็นเอกภาพ ในหมู่ลาหู่ Nyi มีข้อห้ามการแต่งงานกันในผู้สืบวงศ์ตระกูลภายในสามชั่วอายุคน เครือญาติเป็นผู้ตัดสินใจการสืบมรดกและมีอิทธิพลต่อความใกล้ชิดของความสัมพันธ์ของคนในครัวเรือนกับคนภายนอกครัวเรือน ไม่มีกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดสำหรับความสัมพันธ์ทางเครือญาติ บางครั้งความเป็นเพื่อนก็อาจ เป็นความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกว่าความเป็นญาติ หน่วยสังคมพื้นฐานในสังคมหมู่บ้านลาหู่เป็นครัวเรือนที่เป็นอิสระ จากข้อมูลล่าสุดของชุมชนลาหู่ Nyi และลาหู่ Sheh Leh ในประเทศไทย ครัวเรือนส่วนใหญ่ประกอบด้วยสมาชิก 2-3 รุ่น คือ สามี ภรรยา ลูกๆ และบางครั้งก็มีลูกเขยหรือลูกสะใภ้และหลาน ๆ เพราะชุมชนลาหู่เกือบทั้งหมดที่มีบันทึกไว้ มีครัวเรือนที่ประกอบด้วยคนสามรุ่นอยู่จำนวนมาก โดยเป็นครัวเรือนซึ่งลูกสาวที่แต่งงานแล้วสามีมาอยู่ในบ้านฝ่ายหญิง (uxorilocal) ขนาดของครัวเรือนเฉลี่ยมีจำนวนมากกว่า 7 คนอยู่ในช่วงระหว่าง 2-21 คนในกรณีของลาหู่ Nyi และ 2-19 คนในกรณีของลาหู่ Sheh Leh แต่ละครัวเรือนมีชายซึ่งมักมีอายุมากที่สุดเป็นหัวหน้าครัวเรือนและเป็นผู้นำ เรียกว่า Yeh sheh-hpa หากหัวหน้าครัวเรือนตายลง ภรรยาของหัวหน้าครัวเรือนซึ่งเป็นนายหญิงของบ้าน (Yeh sheh-ma) ยังได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าของครัวเรือน แต่อำนาจที่แท้จริงเป็นของสมาชิกชายที่อาวุโส ซึ่งมักจะเป็นบุตรเขย ครัวเรือนเป็นหน่วยเศรษฐกิจพื้นฐานของสังคมด้วย ไร่ข้าว ปศุสัตว์ ผลผลิตการเกษตร และเครื่องประดับมีค่า หัวหน้าครัวเรือนเป็นผู้กุมไว้ในนามของครัวเรือนโดยรวม นอกจากนี้ ความรับผิดชอบด้านเศรษฐกิจ พิธีกรรม และผลประโยชน์ยังถูกกระจายไปในหมู่ครัวเรือนมากกว่าในหมู่บุคคล แต่ละครัวเรือนให้และรับอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่คำนึงถึงขนาดของครัวเรือน (หน้า 115-116) บ้านหลวง ไม่มีข้อมูลชัดเจน ผู้เขียนพรรณนาถึงรูปแบบของบ้านกล่าวไว้ว่า เตาไฟ (fireplace) เป็นศูนย์กลางทางสังคมของบ้าน ครอบครัวและเพื่อน ๆ มักจะอยู่ร่วมกันที่เตาไฟในตอนเย็น แขกจะนั่งบนพื้นอยู่ด้านหนึ่งของเตาไฟ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็น "ฝั่งของแขก" (guest's side) ? ลูกเล็กๆ จะนอนกับพ่อแม่จนอายุ 5-6 ขวบ และเริ่มแยกไปนอนกับพี่ชายหรือพี่สาวแยกชายหญิง เด็กชายจะอยู่ด้านหนึ่งของเตาไฟ ส่วนเด็กหญิงจะอยู่อีกด้าน แต่ไม่มีด้านเฉพาะสำหรับเพศใดเพศหนึ่ง (หน้า 131) วิถีชีวิตประจำวัน ตื่น 6 นาฬิกาเช้า ผู้ชายเข้าป่าตัดฟืน โดยมีกฎกติกาว่าคนที่ดีจะไม่ขโมยไม้จากต้นไม้ที่คนอื่นโค่นล้มไว้ หากเกิดขึ้นจะทำให้เสียความรู้สึกต่อกันและบางครั้งอาจถูกหัวหน้าหมู่บ้านปรับ ส่วนหญิงลาหู่เอากระบอกไม้ไผ่ใส่ตะกร้าไปตักน้ำจากแหล่งน้ำของหมู่บ้าน ขณะที่รอรองน้ำก็ซุบซิบนินทากันไปด้วย หลังจากนั้นก็เลี้ยงหมูเลี้ยงวัว อาหารสัตว์ต้มจากรำข้าวและข้าวโพดหรือหยวกกล้วยแล้วแต่ฤดู ลูกสาวจะช่วยแม่ ส่วนลูกชายจะตามพ่อไปเก็บฟืน เลี้ยงสัตว์เสร็จทำอาหารเช้า รับประทานอาหารเช้าระหว่าง 7.30-8.30 น. หลังจากนั้นฝ่ายหญิงเตรียมอาหารหมูสำหรับตอนเย็น จากนั้นเตรียมตัวไปไร่ ลูกชายลูกเขยตามหัวหน้าครัวเรือนไปด้วย พกปืนไปสำหรับยิงนกและสัตว์ไว้เป็นอาหารเย็น หญิงลาหู่ไม่พกอาวุธแต่จะแบกข้าวสารและอาหารไปปรุงที่ไร่สำหรับอาหารกลางวัน ส่วนเด็กจะขี่วัวเข้าป่าปล่อยให้กินหญ้า แล้วกลับบ้านตอนบ่าย ทารกจะถูกแบกไว้บนหลังของพ่อแม่หรือพี่ๆ เด็กที่อายุ 5 ขวบหรือมากกว่าจะไปไร่หรืออยู่ที่บ้านดูแลน้องๆ ที่ตัวโตเกินกว่าจะแบกหลังแต่ก็เด็กเกินกว่าจะเดินไปไร่ ประมาณ 10 นาฬิกาหมู่บ้านจะเหลือแต่คนแก่ เด็ก และคนติดฝิ่น งานในไร่จะทำถึงเย็นบางส่วนเดินทางกลับหมู่บ้านแต่บางส่วนอาจตัดสินใจนอนที่ไร่ เมื่อกลับถึงหมู่บ้านหญิงลาหู่จะเลี้ยงหมูและสัตว์เลี้ยง ไปรองน้ำนำกลับบ้าน ต้มอาหารหมูสำหรับตอนเช้ารุ่งขึ้น และทำอาหารมื้อเย็นสำหรับครอบครัว ฝ่ายชายจะไปหาฟืนในป่าหรือยิงนก เด็กๆ วิ่งเล่นรอบๆ หมู่บ้าน หลังอาหารค่ำเป็นเวลาแวะเยี่ยมเยือนเพื่อน ประมาณ 22 นาฬิกาบางคนออกล่าสัตว์เช่นกวางเป็นต้น ส่วนหนุ่มสาวจะออกไปพบปะกันในเวลากลางคืน ส่วนบ้าน Huai Tadt ไม่มีข้อมูลชัดเจน

Political Organization

หัวหน้าหมู่บ้านลาหู่ : หัวหน้าครัวเรือนทั้งหลายยอมรับการเป็นผู้นำของหัวหน้าคนหนึ่งในหมู่หัวหน้าครัวเรือนด้วยกันในฐานะที่เป็น hk'a sheh-hpa เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ในหมู่ลาหู่ Nyi และ Sheh Leh ตำแหน่งหัวหน้าเป็นตำแหน่งมาจากการเลือกตั้ง หัวหน้าหมู่บ้านทำหน้าที่รักษากฎหมายและระเบียบภายในชุมชน โดยมีสภาผู้อาวุโสที่ไม่เป็นทางการเป็นผู้ช่วยเหลือหัวหน้าในการปกครองหมู่บ้าน และความรับผิดชอบในการตัดสินคดี หัวหน้าหมู่บ้านจะไม่ตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ ที่มีผลกระทบต่อชุมชนโดยรวม โดยปราศจากการปรึกษาหารือสภาผู้อาวุโสก่อน (หน้า 116) ความเป็นสมาชิกสภาผู้อาวุโส จะไม่เป็นทางการ สมาชิกทั้งหมดมักจะเป็นหัวหน้าครัวเรือน แต่ไม่ใช่หัวหน้าครัวเรือนทุกคนที่จะได้เป็นสมาชิกสภาผู้อาวุโส จากประสบการณ์ของผู้เขียน หัวหน้าหมู่บ้านไม่ค่อยขอคำปรึกษาจากผู้ชายที่อ่อนวัยกว่า (หน้า 116) นักบวชของหมู่บ้าน หากหมู่บ้านมีนักบวช (priest) เสียงของนักบวชสำคัญสูงสุดในเรื่องราวทางศาสนา และเป็นอันดับสองรองจากหัวหน้าในเรื่องราวทางโลก หลักการนี้เป็นข้อเท็จจริงในหมู่บ้านคริสเตียนด้วย บาทหลวงในหมู่บ้าน (village pastor ส่วนใหญ่เป็น Baptist) มักจะมีการศึกษามากกว่าหัวหน้าหมู่บ้าน และมักจะเป็นตัวแทนของคนในหมู่บ้านติดต่อกับโลกภายนอกมากกว่าหัวหน้า การรวมตัวของหมู่บ้านลาหู่ ครัวเรือนอิสระที่ยอมรับอำนาจปกครองของหัวหน้าและนักบวชคนหนึ่งคนใดโดยเฉพาะอาจจะรวมอยู่ด้วยกัน อย่างไรก็ตาม หมู่บ้านลาหู่อาจแยกออกเวลาใดก็ได้ เมื่อครัวเรือนหนึ่งหรือหลายครัวเรือนย้ายไปอยู่ ณ ที่แห่งใหม่ นักมานุษยวิทยาตั้งข้อสังเกตถึงความโน้มเอียงที่จะแตกแยกออกจากกันของชุมชนหมู่บ้านลาหู่ว่าง่ายกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ไม่มีความผูกพันที่ยาวนานถาวร (เช่นเดียวกับที่อาจจะเกิดขึ้นจากการสืบทอดทางสายเลือด หรือเกิดจากการเสริมทางพิธีกรรม) ที่จะผูกมัดครัวเรือนลาหู่เข้าเป็นหมู่บ้านหนึ่งได้ยาวนานกว่าอีกหมู่บ้านหนึ่ง หากครัวเรือนหนึ่งวิวาทกับบรรดาเพื่อนบ้าน ถ้าไม่เลือกที่จะแยกออกไปเองก็จะถูกขับไล่ออกไป การตัดสินใจที่สำคัญที่เกิดขึ้นจากหัวหน้าหมู่บ้านหรือผู้อาวุโส ครัวเรือนที่ไม่ปฏิบัติตามก็ต้องออกไป และนี่เป็นปัจจัยสำคัญของความสามัคคีพร้อมเพรียงกันในหมู่บ้าน (หน้า 117) หัวหน้าหมู่บ้านที่มีความอาวุโสของหมู่บ้านหนึ่ง อาจเป็นที่ยอมรับของหมู่บ้านอื่นอีก 2-3 หมู่บ้านหรืออาจมากกว่าร้อยหมู่บ้าน ในกรณีนี้อาณาเขตของอำนาจทางการเมืองของหัวหน้าหมู่บ้านผู้อาวุโสจะครอบคลุมหมู่บ้านอื่นในอาณาบริเวณนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ชุมชนลาหู่ยอมรับกัน เมื่อชุมชนลาหู่ย้ายเข้าไปในพื้นที่ใหม่ ทั้งในอดีตจนปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะปฏิบัติตามโครงสร้างอำนาจที่มีอยู่ทั้งบนเขาและบนพื้นราบ และผู้นำบนเขาที่มีอิทธิพลมักได้รับการยอมรับทั้งจากหมู่บ้านใกล้เคียงและจากผู้ปกครองบนพื้นราบด้วยทั้งในจีน พม่า ลาว และไทย ส่งผลให้เกิดโครงสร้างการเมืองในลักษณะหลายรูปแบบในกลุ่มหมู่บ้านบนเขา ในบางพื้นที่หัวหน้าลาหู่มีอำนาจปกครองครอบคลุมกลุ่มหมู่บ้านลาหู่และหมู่บ้านใกล้ๆ ที่ไม่ใช่ลาหู่ ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้าลาหู่และอำนาจปกครองของท้องถิ่นบนพื้นราบจะแปรผันตามเวลาและสถานที่ เช่น ในประเทศจีนผู้นำลาหู่ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลจักรพรรดิ์จีน และปัจจุบันรัฐบาลคอมมิวนิสต์ในตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลยูนนานให้ลาหู่มีบทบาทสำคัญในการปกครองตนเอง เป็นต้น เมื่อลาหู่อพยพเข้าพม่า ลาว และไทยชุมชนลาหู่ยังคงรักษาการปกครองตนเองเอาไว้ในระดับสูง แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความสัมพันธ์กับอำนาจปกครองจากพื้นราบในพื้นที่ใหม่ที่เข้าไปตั้งถิ่นฐาน (หน้า117-118) บ้านหลวง เป็นชุมชนอาวุโส (Senior Community) หัวหน้าชุมชนของบ้านหลวงเป็นผู้ชี้ขาดสุดท้ายในข้อพิพาททั้งหมดตลอดพื้นที่ ชาวบ้านยังคงให้ความนับถือหัวหน้าบ้านหลวง เพราะเป็น hpa-ya ซึ่งเป็นฐานะของคนฉานรุ่นเก่า ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยเจ้าฟ้ารัฐฉานให้เป็นผู้นำท้องถิ่นควบคุมหมู่บ้านจำนวนมาก (หน้า 127) บ้าน Huai Tadt : เป็นชุมชนคริสเตียน ปัจจุบันรวมเข้ากับการปกครองส่วนภูมิภาคของไทย แต่บ้าน Huai Tadt มีสถานการณ์ที่ซับซ้อน บ้าน Huai Tadt มีหัวหน้าหมู่บ้านของตัวเอง แต่ไม่ได้รับการแต่งตั้งจากทางการ เนื่องจาก บ้าน Huai Tadt อยู่ภายใต้การดูแลของหัวหน้าหมู่บ้าน Hill Thai ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากรัฐอย่างเป็นทางการให้ดูแลบ้าน Huai Tadt ด้วย ในขณะเดียวกัน บ้าน Huai Tadt อยู่ค่อนข้างใกล้กับสำนักงานใหญ่นิคมเชียงดาว ชาวบ้าน Huai Tadt จึงอยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจการตัดสินข้อพิพาทของผู้อำนวยการนิคมเชียงดาว ผู้อำนวยการนิคมเชียงดาวมักเป็นผู้ไกล่เกลี่ยการทะเลาะกันระหว่างลาหู่บ้าน Huai Tadt และคนไทย หมู่บ้านใกล้เคียงมากกว่าหัวหน้าหมู่บ้านคนไทยที่มีอำนาจเป็นทางการ ในอีกด้านหนึ่งบ้าน Huai Tadt เช่าที่ดินของบริษัทไร่ชาเป็นที่ตั้งหมู่บ้าน ชาวบ้าน Huai Tadt จึงตกอยู่ในภาวะกึ่ง-การเมือง (semi-political nature) กับทั้งบริษัทชา และกับเจ้าหน้าที่นิคมดอยเชียงดาว หากเกิดกรณีพิพาทและผู้จัดการไร่ชารู้สึกว่าเรื่องราวไม่เหมาะสมกับฐานะของเขาหรือคู่กรณีไม่ยินยอมให้เขาตัดสิน กรณีพิพาทก็จะกลายเป็นภาระของที่ปรึกษาของนิคมดอยเชียงดาว หรือสุดท้าย เรื่องเล็ก ๆ จะถูกโยนไปให้หัวหน้าหมู่บ้านชาติพันธุ์และหัวหน้าหมู่บ้านคนไทยแก้ไขปัญหา แต่มักจะไม่ประสบผลในการจัดการ เนื่องจากหัวหน้าของแต่ละฝ่ายจะเข้าข้างลูกบ้านของตน ?และด้วยตัวของบ้าน Huai Tadt เอง โครงสร้างอำนาจ (authority structure) ถูกทำให้ซับซ้อนมากขึ้นจากอำนาจจำนวนมากที่บาทหลวงมีอยู่ ภายในชุมชนลาหู่ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นผู้มีหน้าที่ทำพิธีกรรมที่เป็นคริสเตียนหรือผู้มีหน้าที่ทำพิธีกรรมตามจารีตประเพณีจะมีอิทธิพลควบคุมชุมชนผ่านพิธีกรรมทางศาสนา และบาทหลวงมักจะมีอำนาจทางการเมืองเหนือหัวหน้าหมู่บ้าน เนื่องจากบาทหลวงมักมีการศึกษามากกว่า มีการติดต่อสัมพันธ์กับสำนักงานใหญ่ของหมอสอนศาสนาที่เข้าถึงหมอสอนศาสนาชาวต่างประเทศ จึงสามารถเป็นตัวแทนแก้ต่างให้ชาวบ้านทั้งภายในและภายนอกหมู่บ้านลาหู่ (หน้า 152-153)

Belief System

แนวความคิดและการปฏิบัติด้านศาสนาของลาหู่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากจารีตประเพณีที่มีรูปแบบต่างๆ ที่มีแหล่งกำเนิดมาจากพื้นราบมากว่าศตวรรษ แต่ระดับการเปิดรับลัทธิศาสนาผันแปรไปตามสถานที่และเวลา ดังนั้น ชุมชนลาหู่จึงมีความเชื่อและการปฏิบัติที่กว้างขวางมาก จึงเป็นการยากที่จะแยกระบบศาสนาที่เป็นลักษณะทั่วไปของลาหู่ ลาหู่ส่วนใหญ่ยอมรับการมีอยู่ของผีจำนวนมากในสามลักษณะ คือ ผีที่ดี ผีที่เป็นกลางๆ และผีร้าย ผีจำนวนมากถูกผูกโยงเข้ากับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ภูเขา น้ำ ฟ้าแลบ ฯลฯ ผีจำนวนหนึ่งมีหน้าที่ปกป้องชาวบ้าน ปศุสัตว์และสิ่งที่ชาวบ้านครอบครองอยู่ ในกลุ่มนี้ที่สำคัญที่สุดคือ ผีบ้านผีเรือน (House Spirit) และ ผีเจ้าที่ (Spirit of the immediate locality) ผีบางประเภทเป็นวิญญาณของคนที่ตายอย่างไม่ปกติ (หรือตายไม่ดีวิญญาณผู้ตายจะกลายเป็นผีร้าย "malicious spirit" หน้า 119) ลาหู่ให้ความสำคัญต่อสิ่งเหนือธรรมชาติสูงสุดสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า "G'ui - sha" G'ui - sha เป็นทั้งสิ่งสูงสุดของสิ่งเหนือธรรมชาติทั้งมวลและเป็นเทพเจ้าผู้สร้างสิ่งมีชีวิต ความคิดแนวนี้พบในกลุ่มคนที่พูดภาษา Tibeto-Burmese เช่น ลาหู่ อาข่า และคะฉิ่น (Kachin) แนวความคิดลักษณะสำคัญที่แยกระหว่าง G'ui-sha และผีสะท้อนอยู่ในองค์กรทางพิธีกรรมหมู่บ้านลาหู่ (หน้า 118) ผู้เชี่ยวชาญทางศาสนา (religious specialists) มีงานศึกษาลาหู่ Na ในรัฐฉาน หมู่บ้านลาหู่ขนาดใหญ่มักจะมีผู้เชี่ยวชาญทางศาสนา 3 คน คือ 1.นักบวช (priest, paw-hku) 2.ผู้พยากรณ์หรือหมอผี (seer or shaman, maw-pa) 3.หมอยา (medicine man, sheh-hpa) บุคคลที่สำคัญที่สุดคือนักบวช ภารกิจหลักของนักบวชคือเป็นผู้นำชาวบ้านในการบูชา G'ui - sha ที่วัดของหมู่บ้าน (Temple) สำคัญอันดับสองคือ ผู้พยากรณ์ (seer) เป็นผู้ที่ถูกอำนาจลึกลับเข้าสิงหรือครอบงำ ทำให้สามารถมองเห็นผี ฉะนั้น ผู้พยากรณ์จะสามารถบอกได้ว่าผู้ที่มาปรึกษาถูกผีอะไรทำให้เดือดร้อน สุดท้ายคือหมอยา ผู้ซึ่งมักรักษาด้วยวิธีเหนือธรรมชาติ ทั้งอาการป่วยที่เกิดโดยธรรมชาติและที่เกิดจากการกระทำของผี หมู่บ้านที่เล็กกว่าบทบาทของนักบวชและผู้พยากรณ์มักจะเป็นคน ๆ เดียวกัน แต่นักบวชจะไม่ยอมรับภารกิจที่เป็นบทบาทของหมอยา สำหรับลาหู่ Nyi จะแยกอย่างชัดเจนระหว่างการบูชาเซ่นไหว้ G'ui-sha และการเซ่นไหว้ผีต่างๆ (ne) บุคคลสำคัญที่ทำพิธีกรรมของลาหู่ Nyi และลาหู่ Na คือ นักบวชของหมู่บ้าน (paw-hku, to-bo-pa, village priest) ภารกิจคือเป็นคนกลางคอยไกล่เกลี่ยระหว่างชาวบ้านกับ G'ui-sha และเป็นผู้ทำพิธีที่เกี่ยวข้องกับวัดของหมู่บ้าน (village temple, haw -yeh) โดยมีเจ้าหน้าที่วัดกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งให้ความช่วยเหลือ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิญญาณ (spirit specialist) อาจจะเหมือนกับหมอยา (sheh-hpa) เป็นผู้ที่ชาวบ้านให้ทำพิธีเซ่นไหว้หรือเข้าทรงผี บทบาทจะได้รับความนับถือน้อยกว่านักบวชของหมู่บ้าน ในหมู่บ้าน Nyi อาจจะมี ผู้เชี่ยวชาญทางพิธีกรรม (ritual specialist) มีบทบาทสอดคล้องกับผู้พยากรณ์หรือหมอผี (seer or shaman) ที่เชื่อกันว่าจะถูกประทับทรงหรือเข้าครอบงำโดย G'ui sha ซึ่งจะทำให้ร้องไห้และสั่นเทิ้มไปทั้งตัว แต่ผู้เขียนไม่ได้คิดว่าบุคคลที่อยู่ในภวังค์ถอดวิญญาณ (soul) ของตนเดินทางไปยังสวรรค์ (ซึ่งเป็นแนวคิดธรรมดาทั่วไปของม้งและเย้า) และไม่ใช่ G'ui sha เข้าไปในร่างของบุคคลนั้นจริงๆ ผู้เชี่ยวชาญทางพิธีกรรมที่อยู่ในภวังค์จะกลายเป็นปากหรือทูตผู้ถ่ายทอดประกาศิตของ G'ui sha และถ่ายทอดคำสั่งของ G'ui sha สู่ชุมชน ส่วนในหมู่บ้านลาหู่ Sheh Leh มีผู้ประกอบพิธีทางศาสนาสำคัญอยู่ 2 ประเภท คือ นักบวช (priest) และหมอผี (spirit-doctor) โดยนักบวชมีฐานะเหนือกว่า ในหมู่บ้านลาหู่ Shih Leh ใช้ลานวงกลมสำหรับเต้นรำที่ล้อมรั้วไว้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมแทนวัด (temple) ? สำหรับลาหู่ Shi ผู้เขียนไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลทางศาสนา (หน้า 119) Holy man หรือ prophet มีความเชื่อหนึ่งที่มีลักษณะพิเศษจำเพาะที่น่าสนใจ คือ ปรากฏการณ์ของผู้ที่เป็นเสมือนรูปเงาของพระเจ้า มีอิทธิพลเหนือขอบเขตหมู่บ้านและขยายกระจายออกไปในหมู่ลาหู่และครอบคลุมเหนืออาณาเขตอื่นๆ กว้างขวางออกไป คือมีผู้อ้างตัวเป็นพระเจ้าหรือผู้พยากรณ์ที่มีอำนาจพิเศษและได้รับความเคารพนับถือจากผู้นำทางศาสนา และมักจะขยายขอบเขตอิทธิพลไปสู่การเมือง กลายเป็นผู้รวบรวมผนึกชุมชนหมู่บ้านลาหู่ (หน้า 121) ศาสนาคริสต์ La hu Na หรือลาหู่ดำในประเทศไทยทุกคนเป็นคริสเตียนซึ่งมาจากพม่า (หน้า 114) ความเชื่อและงานพิธีกรรม ลาหู่เชื่อว่าร่างกายของคนเรามีวิญญาณที่เป็นคู่อยู่ด้วย (spiritual counterpart) หรือ วิญญาณ (soul, aw-ha) ซึ่งบางเวลาก็เป็นเอกภาพบางเวลาก็เป็นพหุภาพ (plurality) อาการป่วยหากไม่ปรากฏสาเหตุตามธรรมชาติ มักเข้าใจกันว่าเป็นผลมาจากการบาดเจ็บของวิญญาณ (soul) หรือ วิญญาณสูญหายไป การรักษาอาจเกี่ยวข้องกับการทำให้วิญญาณหวนระลึกได้แล้วกลับมา หรือทำพิธีเซ่นไหว้ผี (spirit) ทำให้ผีพอใจ เนื่องจากเชื่อว่าผีกระทำต่อวิญญาณ (soul) ของคน เมื่อเกิดการตายที่เป็นปกติ ชาวบ้านจะบอกว่า วิญญาณของผู้ตายเดินทางไปยังดินแดนของคนตาย หลังจากนั้นวิญญาณของผู้ตายอาจจะเกิดใหม่เป็นมนุษย์อีก แต่หากตายอย่างไม่เป็นปกติธรรมชาติ หรือตายแบบไม่ดี วิญญาณผู้ตายจะกลายเป็นผีร้าย (malicious spirit) การประกอบพิธีกรรมจะเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดตามภูมิภาคที่อาศัยอยู่ ไม่ว่าลาหู่จะพูดถึง G'ui sha หรือผีหรือไม่ก็ตาม แต่ลาหู่จะให้ความสำคัญกับสุขภาพ ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์อันดีระหว่างมนุษย์กับสิ่งเหนือธรรมชาติ พิธีกรรมสำคัญๆ ถูกรวมเข้ากับขั้นตอนสำคัญของการทำการเกษตรประจำปี พิธีที่สำคัญที่สุด คือ พิธี "Eating of the New Rice" ลาหู่ Na และ Nyi จะสักการะบูชา G'ui-she ที่ศาสนสถานของหมู่บ้านทุกข้างขึ้นพระจันทร์เต็มดวง ลาหู่ Sheh Leh เซ่นไหว้เจ้าที่ (Spirit of the Locality) ทุก 12 วัน 1 ครั้ง ในหมู่ลาหู่ Nyi พิธีกรรมตามเวลาปฏิทิน (calendrical rite) (คือ เทศกาลเดือนข้างขึ้นพระจันทร์เต็มดวง (the new and full moon) จะมีทุกเดือนและเทศกาลปีใหม่) และเทศกาลทางการเกษตร โดยเน้นที่ความสอดคล้องกลมกลืนของสังคมและศาสนา ทุกครัวเรือนร่วมกันกำหนดพิธีกรรมทางศาสนาตามสิ่งเหนือธรรมชาติที่แต่ละครัวเรือนเคารพและที่ทุกครัวเรือนนับถือ พิธีกรรมส่วนใหญ่ในครัวเรือนหรือบุคคลโน้มไปทางเรื่องของความเจริญรุ่งเรือง สุขภาพที่ดี หรือพิธีขับไล่เสนียด มีพิธีกรรมน้อยมากที่เป็นเครื่องหมายของการก้าวผ่านชีวิตของลาหู่ เช่น การเกิด การตั้งชื่อ การเปลี่ยนผ่านสู่วัยสาว เป็นต้น การเซ่นไหว้บรรพบุรูษ จะกระทำเป็นประจำสม่ำเสมอในหมู่ลาหู่ Nyi โดยการสร้างกระท่อมเล็ก ๆ ภายนอกหมู่บ้าน ที่ซึ่งผีบรรพบุรุษจะได้รับอาหารและสิ่งของผ่านพิธีกรรมเซ่นไหว้ (หน้า 120) บ้านหลวง วัด (Temple) หรือ haw-yeh เป็นศูนย์รวมพิธีกรรมเดือนละ 2 ครั้ง เป็นเทศกาลจันทรคติวันพระจันทร์ข้างขึ้นเต็มดวง (Lunar festivals, new and full moon) วัดสร้างบนพื้น ล้อมรั้วด้วยเสาไม้ รอบ ๆ อาคารวัดมีไม้ไผ่สูงยอดผูกด้วยชิ้นผ้าสีขาวหรือเหลือง ลาหู่เรียก "hto-pa" ทำเลียนแบบธงซึ่งอยู่รอบ ๆ วัด G'ui-sha บนสวรรค์ ธงนี้มีความเชื่อต่างกันไป บ้างเชื่อว่าเป็นธงศักดิ์สิทธิ์แสดงถึงความดีและพลังอำนาจทั้งหมดของ G'ui-she ต่อสู้กับผีร้ายให้ออกไปจากหมู่บ้าน บ้างก็เชื่อว่าผ้าโบกสะบัดในสายลมให้ชาวบ้านมีสุขภาพดีและเจริญรุ่งเรือง ลานด้านหน้าของวัดมีเสาไม้ที่ลอกเปลือกออกแกะสลักหยาบ ๆ จำนวนมากเรียก kaw-mo-taweh เลียนแบบเสาหินสีขาว kaw-mo-taweh ของ G'ui-sha บนสวรรค์ เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตที่ยืนยาวและทำลายไม่ได้ บ้างก็เชื่อว่าเสานี้มอบให้ G'ui-sha เพื่อสกัดวิญญาณของคนที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ออกจากร่างไปท่องเที่ยวยังดินแดนแห่งความตายให้กลับคืนร่าง ทางเข้าวัดมีประตูเดี่ยวซึ่งเปิดออกด้านหน้าลานวัด วัดมีห้องเดียว ภายในอาคารวัดผนังด้านหลังฝั่งขวาเป็นแท่นสำหรับชาวบ้านนั่งระหว่างพิธี พื้นที่เหลือคลุมด้วยไม้ไผ่ผ่าซีกและเป็นพื้นที่สำหรับประกอบพิธีเต้นรำ บนคานใต้หลังคาแขวนด้วยผ้าสีขาวและเหลืองยาวห้อยลงมา แขวนร่วมกับผ้าที่ใช้ทำพิธีจำนวนมากเรียกว่า "umbrellas" (hpa-mi-mo) ใช้เป็นเครื่องบูชา G'ui-sha แต่ umbrellas ภายในวัดมีบัลลังก์จำลองของ G'ui-sha บนสวรรค์ คล้ายแท่นบูชาสามชั้น (three-tiered altar) สร้างไว้บนยกพื้นพิงหลังกำแพง และมีแท่นบูชาสำหรับผีบ้านผีเรือน (House Spirit altar) ตั้งบนยกพื้นมุมขวาสุดของห้อง ซึ่งจะพบในทุกบ้านอยู่อาศัย ลักษณะเป็นชิ้นไม้เล็ก ๆ วางบนเสา แท่นบูชานี้สำหรับ G'ui-fu เป็นผีคุ้มครองหมู่บ้านและปศุสัตว์ บนแท่นบูชาเป็นชามกระเบื้องเคลือบแบบจีน ซึ่งนักบวชอาวุโสจะบูชาด้วยข้าวและน้ำในวันเทศกาล Lunar และตะกร้าไม้ไผ่สาน 1 ใบที่เรียกว่า "hpeu-k'o เป็นเครื่องบูชา นอกจากนี้ ยังมีกลอง ฆ้อง และฉิ่งฉาบ ใช้ร่วมกันในพิธีเต้นรำ เฉพาะฆ้องจะใช้โดดๆ เมื่อนักบวชอาวุโสสวดอธิษฐานวิงวอนในวัด ด้านซ้ายของบัลลังก์มีภาชนะไม้เล็กๆ สำหรับใส่น้ำเพื่อให้นกที่เป็นดินเผาดื่ม นกดินเผานี้เป็นสัญลักษณ์เพื่อให้อายุยืนของลาหู่ในหมู่บ้าน ด้านซ้ายและขวาของบัลลังก์ G'ui-sha วางวัตถุทางพิธีไว้หลากชนิด ซึ่งบางส่วนจะนำเครื่องบูชาที่ใช้ในพิธีวันเทศกาล Lunar ทุกครึ่งเดือนมาใช้ใหม่ เครื่องบูชาด้านขวาของบัลลังก์ G'ui-sha เพื่อช่วยขอพรจาก G'ui-sha เครื่องบูชาด้านซ้ายช่วยชะล้างบาปหรือโทษของชาวบ้าน เครื่องบูชาถาวรไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย เช่น ไม้พันสำลีมัดเป็นกำวางไว้ทั้งซ้ายและขวาของบัลลังก์ ม้าตั่งเล็กๆ (small bench) วางไว้ด้านซ้ายสำหรับวางถ้วยไม้ไผ่ (custom cup) มีถ้วยไม้ไผ่ใบที่ 2 วางไว้ใต้แท่นบูชาของ G'ui-fu ที่อยู่ทางมุมขวาของห้อง ใช้ใส่น้ำในวันพิธี Lunar festival เป็นต้น (หน้า 132-133) ในวันเทศกาลจันทรคติ (Lunar festival days) ซึ่งเชื่อมโยงกับวันข้างขึ้นพระจันทร์เต็มดวง (new and full moon) จะมีพิธีกรรมจัดในวัดเดือนละ 2 ครั้ง บูชาด้วยข้าว น้ำ และตะกร้าไม้ไผ่สาน 1 ใบ มีการแขวนผ้าจำนวนมากที่เรียกว่า "umbrellas" ใช้บูชา G'ui-sha เป็นสัญลักษณ์ของความจงรักภักดีต่อ G'ui-sha ของชาวฉาน แต่สำหรับลาหู่แล้วเห็นเป็นขนบประเพณี มีวัตถุทางพิธีหลายอย่าง (Fig.6 หน้า 134) ถูกจัดไว้บนบัลลังก์หรือแท่นบูชา บนแท่นบูชาชั้นกลางมีเครื่องบูชาของหัวหน้าหมู่บ้าน นักบวชอาวุโสและผู้ทำพิธีอีกคนเรียกว่า "hpeu-k'o วางไว้ 3 อันแทนดอกไม้บูชา กลางแท่นบูชาชั้นกลางวางเชิงเทียน ด้านหลังเชิงเทียนวางมัดไม้ไผ่พันสำลีไว้ 2 มัด เรียกว่า "Li-tsuh" เพื่อชำระล้างบาปของชาวบ้าน เครื่องบูชาทางพิธีกรรมอื่นๆ ที่พบในวัดตลอดเวลา จะมีการเปลี่ยนใหม่โดยชาวบ้านในวันเทศกาล Lunar แต่ละครั้ง รวมทั้ง ha-pui (หิน) ใช้เป็นสัญลักษณ์แทนความปรารถนาให้ชีวิตแข็งแรงและยืนยาวเหมือนก้อนหิน mi-co วัตถุรูปกรวยกลมประดิษฐ์จากดินสีแดง ใช้เป็นสัญลักษณ์แทนความหวังของชาวบ้านผู้บริจาค ที่ปรารถนาให้สมาชิกทุกคนในครอบครัวมีชีวิตที่สุขสบายอย่างไม่สิ้นสุดและไม่มีเสื่อมสลายเหมือนกับโลก และ kaw-mo-taweh (รูปจำลองของเสาไม้ที่อยู่นอกวัด และชิ้นไม้ธรรมดาที่ลอกเปลือกออก) มีความสำคัญเหมือนเสาต้นใหญ่ด้านนอกวัด hto-hi และ kuti (Fig.6 หน้า 134) ทำด้วยไม้ไผ่ ไม่สามารถอธิบายความหมายเชิงสัญลักษณ์ของ hto-hi ได้ แต่จากความหมายของตัวหนังสือคือ "custom flag" ส่วน kuti กล่าวกันว่าแทนดอกไม้เหมือนดังที่ชาวพุทธนำไปถวายวัด (หน้า 133-135) พิธีกรรม Sheh-kaw Shi-Nyi (A Lahu Nyi Agriculture Festival) เป็นพิธีกรรมสำคัญของเทศกาลเพาะปลูกของลาหู่ Nyi ผู้เขียนได้สังเกตการณ์พิธีนี้ที่บ้านหลวง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ซึ่งมักตรงกับวันพระจันทร์เต็มดวงใกล้ๆ วันสงกรานต์ เป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการเผาต้นไม้ที่ถูกตัดโค่นเพื่อเตรียมไร่ (swidden) โดยปกติลาหู่ Nyi ประกอบเฉพาะพิธี Shi-nyi (วันแห่งการอำนวยพรหรือความดี - blessing or merit) 2 ครั้งต่อเดือนในวันข้างขึ้นคืนพระจันทร์เต็มดวง ลาหู่ผนวกพิธี Shi-nyi รวมเข้ากับเทศกาล Sheh-kew Shi-nyi โดยพิธี Sheh-kew Shi-nyi เริ่มขึ้น 2 วันก่อนวันพระจันทร์เต็มดวง (ในปี ค.ศ. 1973 ที่ผู้เขียนไปบ้านหลวงวันพระจันทร์เต็มดวงตรงกับวันที่ 17 เมษายน พิธี Sheh-kaw จะเริ่มวันที่ 15 เมษายนตอนเย็น-หน้า 139 -ส่วนวันสงกรานต์ปกติจะเป็นวันที่ 13 เมษายน - Text Analyst) - วันแรกของพิธี กลุ่มผู้หญิง ทำพิธีแลกน้ำและรดน้ำ (water exchange and hand washing) la-shaw-ma ภรรยาของ la-sha-pa (เป็นผู้ช่วยทางพิธีกรรมในวัดของหมู่บ้าน) เป็นผู้นำพิธี เริ่มพิธีเวลาพลบค่ำ อันดับแรกทำที่บ้านหัวหน้าหมู่บ้าน จากนั้นไปทำที่วัดของหมู่บ้าน หญิงลาหู่ที่เป็นตัวแทนของแต่ละครัวเรือนไปถึงสถานที่ทำพิธีพร้อมกับน้ำในกระบอก la-shaw-ma จะนำกระบอกเปล่าไปด้วย แล้วนำน้ำทุกกระบอกมาผสมกัน หลังจากนั้นจะทำพิธีรดน้ำที่มือ โดยเริ่มต้นที่หญิงที่มีอายุน้อยที่สุดรินน้ำลงที่มือของ la-shaw-ma และ la-shaw-ma รินน้ำที่มือของหญิงสาว ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ตามลำดับอายุจนสุดท้ายสิ้นสุดที่หญิงที่มีสถานภาพสูงสุด คือการรดน้ำกันระหว่าง la-shaw-ma และภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้าน จากนั้นหญิงแต่ละคนเติมน้ำในกระบอกแล้วไปทำพิธี "แลกน้ำและรดน้ำ" ต่อที่วัด แต่ละคนรินน้ำที่เสาธงทุกด้านและที่เสาศักดิ์สิทธิ์ภายนอกอาคารวัด จากนั้นรดน้ำที่เครื่องประกอบพิธีภายในวัด จากนั้นไปรวมตัวกันนอกประตูวัด la-shaw-ma ทำพิธีผสมน้ำและรดน้ำให้กันเหมือนที่ทำที่บ้านหัวหน้าหมู่บ้าน แต่บุคคลอาวุโสสูงสุดที่ la-shaw-ma ทำพิธีรดน้ำด้วยคือภรรยาของนักบวชอาวุโส พื้นฐานความหมายเชิงสัญลักษณ์ของ "พิธีแลกน้ำ" น้ำเป็นตัวแทนของการชำระล้าง "การรดน้ำ" เป็นการชำระล้างบาปของผู้เข้าร่วมและสมาชิกในครัวเรือนของผู้เข้าร่วมพิธี ใช้เพื่อการทำให้บริสุทธิ์ การผสมน้ำจากทุกครัวเรือนหมายถึงความเป็นเอกภาพของชุมชนหมู่บ้าน การเริ่มต้นรดน้ำที่หญิงสาวอายุน้อยที่สุดก่อน เพราะคนที่อายุน้อยที่สุดมีบาปสะสมน้อยที่สุด แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าเหตุใดผู้ทำพิธีจึงเป็นเฉพาะผู้หญิง และการทำหน้าที่ของ la-shaw-ma เป็นตัวแทนของคนทั้งชุมชนมากกว่าความเป็นปัจเจก (หน้า 139-140) - บูชา G'ui - fu บรรดาผู้หญิงจะนำข้าวสารและเทียนขี้ผึ้งมอบให้นักบวชอาวุโส ซึ่งจะเป็นผู้นำสิ่งเหล่านี้ทำพิธีบูชา ณ แท่นบูชาของ G'ui - fu ผีคุ้มครองของหมู่บ้าน ข้าวสารที่เป็นผลผลิตของทุกครัวเรือนผสมกันเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความเป็นเอกภาพของหมู่บ้านในการทำพิธีบูชาผีคุ้มครองหมู่บ้าน หลังจากนั้น ภรรยาของนักบวชจะนำข้าวสารนั้นไปหุง และนำข้าวสุกเล็กน้อยไปบูชาไว้ที่แท่นบูชาเดิมในตอนเช้าและเย็นทุกวันตลอดเทศกาล ระหว่างบูชานักบวชจะสวดอ้อนวอนขอให้ปกป้องชีวิตของสมาชิกในหมู่บ้านและให้มีโชคในการทำไร่มีผลผลิตเหลือกินเหลือใช้ - พิธีตั้งเสาศักดิ์สิทธิ์ (kaw-mo-taweh) ในพิธีนี้ นักบวชจะให้คำปรึกษาการเตรียมและตั้งเสาศักดิ์สิทธิ์ต้นใหม่ไว้หน้าลานวัด วางไม้ไผ่ที่เล็กกว่าจำนวนมากไว้ข้างๆ เสา ต้นไผ่ประดับใบและธงกระดาษ ทุกครัวเรือนมอบเทียนขี้ผึ้งเป็นของบูชา ข้าวพอง (puffed rice) จานหนึ่งผสมกับเมล็ดทราย (grains of sand) และ เมล็ดข้าว วางไว้ที่ฐานเสาศักดิ์สิทธิ์แต่ละต้นและเสาธงรอบวัด ประมาณ 19.00 น. หัวหน้าหมู่บ้านและนักบวชอาวุโสรวบรวมเทียนขี้ผึ้งที่ชาวบ้านมอบให้และจุดเทียนกำหนึ่งนั่งยองๆ ตรงเสาต้นใหม่ สวดอ้อนวอนขอให้ชุมชนสุขภาพดีและเจริญรุ่งเรือง ตอนเริ่มต้นและสิ้นสุดการสวดอ้อนวอน จะมีการตีฆ้องและทุกคนที่ยืนอยู่บนลานวัดพร้อมข้าว (raw rice) กำมือหนึ่งจะโปรยเมล็ดข้าวไปในอากาศ การวางเมล็ดทรายและข้าวพองไว้ที่ฐานเสาธงและเสาศักดิ์สิทธิ์มีความหมายว่าบาปจำนวนมากจะออกจากตัวไป เมล็ดข้าวโปรยไปในอากาศเป็นการบูชาถวายให้ G'ui-sha ด้วยความหวังว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดจะมอบผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์ให้ ช่วงค่ำในวัดมีการเต้นรำสักการะ G'ui-sha เต้นทั้งผู้ชายผู้หญิง โดยผู้หญิงเต้นอยู่รอบใน ผู้ชายอยู่รอบนอก ผู้เป่าแคนน้ำเต้า (gourd flute) มักเป็นผู้นำการเต้น หากในวงเต้นรำมีแต่ผู้หญิงจะนำการเต้นโดยผู้เป่าแคนน้ำเต้าผู้หญิง (หน้า 140-141) - วันถัดไปกิจกรรมทางพิธีกรรมดังที่กล่าวข้างต้นจะเริ่มขึ้นใหม่ เริ่มต้นด้วยก่อนอาหารเช้านักบวชอาวุโสจะนำข้าวสุก น้ำและเทียนขี้ผึ้งไปที่วัดวางไว้บนแท่นบูชา G'ui-fu จุดเทียน ตึฆ้อง และถวายเครื่องบูชาแด่ผีคุ้มครองหมู่บ้าน แล้วสวดอ้อนวอนให้คนในหมู่บ้านได้รับความปลอดภัย โชคดี และให้ได้รับการปกป้องคุ้มครอง ในขณะเดียวกัน หัวหน้าแต่ละครัวเรือนจะเซ่นไหว้ในทำนองเดียวกันต่อผีบ้านผีเรือน (House Spirit) ของตนเอง หัวหน้าครัวเรือนจะสวดอ้อนวอนหรือไม่ขึ้นกับว่าเขารู้หนังสือหรือไม่ คำสวดอ้อนวอนมีเนื้อหาเหมือนกับที่นักบวชสวดอ้อนวอน G'ui-fu หลังอาหารเช้าผู้หญิงจะประกอบพิธีกรรมน้ำ (water rite) เหมือนที่ทำเมื่อพลบค่ำเมื่อวาน ส่วนในครัวเรือนใช้เวลาตลอดเช้าเพื่อเตรียมของบูชา เช่น หินก้อนเล็ก (ha-pui) วัตถุดินเผาสีแดงรูปกรวย (mi-co) รูปจำลองของเสาศักดิ์สิทธิ์ (kaw-mo-taweh) และวัตถุประดิษฐ์จากไม้ไผ่สองสิ่ง ku-ti และ hto-hi หลังจากนั้นสมาชิกคนหนึ่งของครัวเรือนจะนำเครื่องบูชาเหล่านั้นไปยังวัด ตอนเย็นนักบวชอาวุโสจะบูชา G'ui-fu และหัวหน้าครัวเรือนจะบูชาผีบ้านอีกครั้งเหมือนตอนเช้า ก่อนพลบค่ำเล็กน้อย ผู้หญิงจะทำพิธีรดน้ำอีกครั้งเหมือนเมื่อวาน ต่อจากนั้นนักบวชบูชา G'ui-sha ด้วยเครื่องบูชาที่กล่าวมาข้างต้นและอ้อนวอนขอให้ G'ui-sha ขจัดความตาย ความเจ็บป่วย ความยากจน และชำระล้างบาปทั้งหมดของคนในหมู่บ้าน ให้ทุกคนมีความสุข ทำไร่มีอาหารและน้ำบริบูรณ์ พิธีสิ้นสุดที่การเต้นรำในวัด ระยะเวลาขึ้นอยู่กับความเร่าร้อนของผู้เต้น ซึ่งอาจมีการเต้นรำไปจนตลอดคืน สิ้นสุดตอนเช้ามืด (หน้า 142-143) - วันที่สามเป็นวันพิธีหลักของ Shaw-kaw แต่พิธีกรรมจะเหมือนกับวันก่อนหน้า นอกจากแต่ละครัวเรือนจะเตรียมอาหารกลางวันประกอบด้วยข้าวและกับข้าวที่เป็นมังสวิรัติส่งไปที่วัด นักบวชและหัวหน้าหมู่บ้านจุดเทียนขี้ผึ้งและสวดอ้อนวอนต่อ G'ui-sha เพื่อความมั่งคั่งเจริญรุ่งเรืองของชุมชนหมู่บ้าน ต่อจากนั้นชาวบ้านจะรับประทานอาหารที่วัด หลังจากนั้นผู้อ่อนอาวุโสจะขอให้ผู้อาวุโสกว่าผูกข้อมือให้ด้วยด้าย เป็นสัญลักษณ์ของการอำนวยพรจากผู้อาวุโสกว่าต่อผู้อ่อนอาวุโส ส่วนที่เหลือของพิธีกรรมกลางวันปฏิบัติตามที่ได้พรรณนามาแล้วข้างต้น สิ้นสุดที่การเต้นรำในวัด - นอกจากกิจกรรมพิธีกรรมข้างต้นแล้ว วันเทศกาล Lunar ทั้งสองวัน (เหมือนทุก Shi-nyi) ถือเป็นวันพักงาน ห้ามเพาะปลูก ห้ามทำงานในไร่ ไม่ล่าสัตว์ในป่า ไม่ฆ่าสัตว์เลี้ยง ทำได้แต่งานเล็กๆ น้อยๆ และชาวบ้านควรรับประทานอาหารมังสวิรัติ และเป็นวันที่ลาหู่มีกิจกรรมชุมชนร่วมกัน เนื่องจากชีวิตในแต่ละวันของสังคมลาหู่เน้นหนักไปทางครัวเรือนของตนเท่านั้น พิธี Sheh-kaw Shi-nyi จะสิ้นสุดเมื่อชาวบ้านหลวงสร้าง "ศาลา" (sha-la) ไว้บนทางเดินหลักที่เข้าหมู่บ้าน วัตถุประสงค์เพื่อให้ได้รับความดีบุญกุศล การสร้างศาลาที่พักคนเดินทางมักจะทำหลังวันเทศกาล Lunar ที่สำคัญๆ (great lunar festival ) ในปี ค.ศ.1973 นี้ ตรงกับวันที่ 18 เมษายน (หน้า 143-144) พิธีสร้างศาลา (sha-la te-ve) เริ่มต้นหลังอาหารเช้า ผู้ชายจากครัวเรือนละ 1 คน เดินทางไป ณ ที่ก่อสร้างซึ่งหัวหน้าหมู่บ้านได้เลือกไว้แล้ว โดยนำฆ้อง กลอง ฉิ่งฉาบไปด้วย และระหว่างเดินทางจะตีฆ้องไปด้วย ผู้หญิงอยู่บ้านเตรียมอาหารกลางวัน เพื่อนำไปรับประทานกันที่ศาลาใหม่ ศาลาสร้างด้วยไม้ไผ่ และมีหลังคายื่นออกไปบนทางเดิน แต่ละด้านของศาลาตั้งเสาพิธีไว้คู่หนึ่ง (เหมือนกับเสาที่อยู่ด้านนอกวัดของหมู่บ้าน แต่เล็กกว่า) และแท่นบูชาซึ่งประกอบด้วยเสาไม้ที่มีไม้ไผ่สานวางอยู่ข้างบน และมีเสาไม้ไผ่ประดับด้วยไม้ไผ่ผ่าซีกทำเป็นรูปตะขาบห้อยย้อยลงมา ตะขาบตามความเชื่อรวมอยู่ในกลุ่มพวกผี ในที่นี้บูชาถวายแด่ผีภูเขา (Hill Spirit) ความหมายเชิงสัญลักษณ์ของเสาพิธี (ritual posts) มักจะบูชาถวาย G'ui-sha แต่ในที่นี้บูชาให้แก่ผี (spirit) เสาทั้งสองและแท่นบูชาประดับด้วยก้านไม้ไผ่ติดธงกระดาษห้อยยาวลงมา แต่ตัวศาลา (sha-la) บูชาถวาย G'ui- ha มากกว่าบูชาผี เนื่องจากติดด้วยธงกระดาษสีขาวและเหลือง ซึ่งเป็นสีของสิ่งเหนือธรรมชาติสูงสุดคือ G'ui-sha สิ่งที่ผูกติดกับเสาศาลาคือกระบอกไม้ไผ่ผ่าครึ่งลักษณะคล้ายเป็นจานใส่อาหารเป็นเครื่องบูชาแด่ G'ui-sha เมื่อทำสิ่งต่างๆ เสร็จแล้วหญิงทุกคนนำข้าวสุกและแกงใส่ไว้ในจานไม้ไผ่ผ่าครึ่งภายในศาลาและที่แท่นบูชาผี ที่แท่นบูชาผีจะมีพริกแห้ง ยาสูบ และเกลือ ทุกครัวเรือนนำเทียนขี้ผึ้งเสียบไว้ที่เครื่องบูชาแต่ละอย่าง หัวหน้าหมู่บ้านและนักบวชจุดเทียนที่เหลือที่แท่นบูชาสองแท่นแต่ละด้านของศาลา นั่งยองๆ ประจำคนละแท่น และสวดอ้อนวอนเจ้าป่าเจ้าเขา (Local Hill Spirit) ขอให้ประทานสิ่งดีงาม ปกป้องผลผลิต ปลอดภัยขณะเดินทางและระหว่างทำงานในไร่ แคล้วคลาดจากโชคร้าย และชำระล้างบาปทั้ง 9 อย่างออกจากทุกคน รวมถึงสัตว์เลี้ยงและอุปกรณ์ใช้งานต่างๆ แล้วเคลื่อนย้ายไปที่ศาลาที่สร้างใหม่ทั้งสองคนจุดเทียนเล่มใหม่ บูชาถวายศาลาให้แก่ G'ui-sha สวดอ้อนวอนและชาวบ้านทุกคนโปรยเมล็ดข้าวและสวดอ้อนวอนอีกครั้ง หลังสวดอ้อนวอนรับประทานอาหารร่วมกัน จากนั้นชาวบ้านจะผูกข้อมือด้วยด้ายอำนวยพรให้แก่กัน เพื่อยืนยันความมีเอกภาพในหมู่บ้าน เสร็จพิธีประมาณบ่ายสามโมงทุกคนเดินทางกลับบ้าน เทศกาล Sheh-kaw ก็สิ้นสุดลง พิธี Sheh-kaw Shi-nyi และการสร้างศาลาแห่งความดี (merit hut) แสดงถึงการผสานพิธีกรรมของของลาหู่กับแนวคิดและการปฏิบัติบนพื้นฐานทางพุทธศาสนา ที่ยืมมาจากชาวพื้นราบ วันเทศกาล Lunar วันข้างขึ้นพระจันทร์เต็มดวงเป็นวันหยุดพักและหลีกเลี่ยงชีวิตที่ว้าวุ่นได้มาจากชาวพุทธที่เดือนหนึ่งจะมีวันพระ 4 วัน คนไทยทางเหนือเรียกว่า "วันศีล" (percept days) (หน้า 145-147) (ชื่อ Sheh-kaw Shi-nyi ส่วนหนึ่งเป็นภาษาลาหู่และส่วนหนึ่งมาจากทางเหนือของไทยและฉาน Shi-nyi คำว่า "Shi" มาจากภาษาลาหู่ aw-shi แปลว่า "อำนวยพร, ความดี" (blessing, merit) และคำว่า "nyi" หมายถึง "วัน" ซึ่งเป็นคนละความหมายกับคำว่า nyi ที่แปลว่า "แดง" ออกเสียงต่างกัน ดังนั้นคำว่า Shi - nyi จึงหมายถึง "วันแห่งการอำนวยพร หรือวันแห่งความดี" ส่วนคำว่า Sheh - kaw มาจากภาษาเหนือของไทย (และฉาน) "Sheh" หมายถึง "ทราย" (sand) คำว่า "kaw" หมายถึง "ก่อเป็นกอง" และเมื่อรวมคำทั้งหมดมีความหมายสัมพันธ์กับพิธี "ก่อกองทราย" ที่ลานวัดในพิธีทางพุทธศาสนาที่ชาวเหนือบนพื้นราบปฏิบัติกัน - หน้า139) บ้าน Huai Tadt เป็นชุมชนลาหู่ดำ (Lahu Na) เป็นชุมชนคริสเตียน มีโบสถ์คริสเตียนประจำหมู่บ้านหนึ่งหลัง (bon-yeh) มีบาทหลวง (sa-la-pa) เป็นลาหู่ สอนเด็กอ่านและเขียนหนังสือตัวเขียนอักษรโรมันที่พัฒนาให้เป็นตัวเขียนในภาษาลาหู่ โดยหมอสอนศาสนาคริสต์แบ็พตีสท์อเมริกันในพม่า ชุมชนนี้เป็นคริสเตียนตั้งแต่เมื่ออยู่ในพม่า (หน้า152)

Education and Socialization

บ้าน Huai Tadt เป็นหมู่บ้านลาหู่ดำ (Lahu Na) เป็นชุมชนคริสเตียน มีการศึกษาดีกว่าและคุ้นเคยกับโลกภายนอกมากกว่าลาหู่ส่วนใหญ่อื่นๆ ในหมู่บ้านมีโบสถ์หนึ่งหลัง (bon-yeh) ใช้เป็นโรงเรียนพอ ๆ กับใช้เป็นสถานที่ทำกิจกรรมทางศาสนา บาทหลวง (sa-la-pa) เป็นลาหู่ สอนให้เด็กๆ อ่านและเขียนหนังสือตัวเขียนอักษรไรมัน ที่พัฒนาให้เป็นตัวเขียนในภาษาลาหู่โดยหมอสอนศาสนาคริสต์แบ็บตีสท์ชาวอเมริกันในพม่า สอนภาษาไทยเด็กๆ ได้รับการศึกษาระดับประถมในโรงเรียนไทยใกล้โรงงานชาที่อยู่ใกล้ๆ (หน้า 149, 151)

Health and Medicine

มีตำแหน่งหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญทางศาสนาสามคนเรียกว่า "หมอยา" (a medicine man, sheh-hpa) มักรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีเหนือธรรมชาติกับอาการป่วยทั้งที่เกิดโดยธรรมชาติและที่เกิดจากการกระทำของผี (หน้า 119) ลาหู่มักเข้าใจว่าอาการป่วยหากไม่ปรากฏสาเหตุทางธรรมชาติ เป็นผลมาจากการบาดเจ็บของวิญญาณ (soul) หรือวิญญาณสูญหายไป การรักษาจะเกี่ยวข้องกับการทำให้วิญญาณ (soul) หวนระลึกได้แล้วกลับมา หรือทำพิธีเซ่นไหว้ผี (spirit) ทำให้ผีพอใจ ซึ่งลาหู่เชื่อว่าผีกระทำต่อวิญญาณ (soul) ของคน (หน้า 120) ผู้เขียนพรรณนาไว้ว่า หมู่บ้านลาหู่ทุกหมู่บ้านที่ผู้เขียนเข้าไปเยือน มีคณะควบคุมโรคมาลาเรียของกรมอนามัยเข้าไปเยี่ยมเยือนเป็นปกติ (หน้า122) ชายลาหู่บ้านหลวงปลูกฝิ่นเพื่อขายและใช้เสพเอง ในหมู่บ้านมีผู้ติดฝิ่นในสัดส่วนที่สูง (หน้า 127)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ในประเทศไทย - ชายลาหู่ มักจะสวมกางเกงแบบหลวมต่ำกว่าเข่าและเป้าหย่อน รัดด้วยเข็มขัดสายหนังหรือเข็มขัดเงิน มีผ้าสวมคลุมขาท่อนล่าง เสื้อผ้าฝ้ายสีดำตามจารีตสวมเป็นเสื้อตัวบนหรือเสื้อตัวนอก ซึ่งลาหู่ Sheh Leh ยังคงสวมอยู่ (แต่ในหมู่ลาหู่ Nyi และ Na เปลี่ยนไปใส่เสื้อเชิ้ตแบบยุโรป) สวมหมวกผ้าสีดำและสีน้ำเงินตามแบบเก่า มีการเปลี่ยนแปลงไปใช้ผ้าราคาถูก หรือใส่หมวกพลาสติกแบบชาวยุโรป ผู้ชายนิยมสวมกำไลข้อมือทำด้วยเงิน และบางครั้งติดเหรียญเงินรูปีไว้บนสาบเสื้อด้านหน้าจากคอถึงเอว ชายที่แก่กว่ามักเจาะหู ชายแก่และวัยกลางคนมักสักไว้ตามแขน หลัง หน้าอก และขา ด้วยความเชื่อว่าจะปกป้องผู้ชายจากอันตรายทั้งปวง ทั้งทางโลกและทางไสยศาสตร์ - หญิงลาหู่ แต่งตัวแตกต่างกันไปในแต่ละลาหู่เผ่าย่อย และแตกต่างตามประเทศที่อาศัยอยู่ ในประเทศไทย ลาหู่ Na ทุกคนเป็นคริสเตียนซึ่งมาจากพม่า หญิงลาหู่เหล่านี้ในปัจจุบันไม่ค่อยสวมชุดตามจารีตประเพณี แต่นิยมสวมเสื้อและโสร่ง การผูกโสร่งเหมือนแบบในไทยหรือพม่า ชุดลาหู่สีดำตามประเพณีที่หญิงลาหู่บางคนสวมใส่ในโอกาสสำคัญ ๆ เช่น งานแต่งงาน งานคริสต์มาส งานปีใหม่ลาหู่ เป็นต้น เครื่องแต่งตัวจะประกอบด้วย กางเกงยาวถึงข้อเท้าแบบเป้าหย่อน (baggy) และเสื้อตัวนอกยาวถึงข้อเท้า ผ่าข้างขึ้นมาถึงระดับเอวติดกระดุมเงินเป็นแถว และเย็บประดับด้วยแถบผ้าสีตกแต่งเครื่องแต่งกาย หญิงลาหู่มักใส่ชุดแบบจีนที่เรียกว่า "cheongsam" ติดกระดุมไว้ที่บ่าขวา - ส่วนหญิงลาหู่ Sheh Leh สวมเสื้อกางเกงเช่นเดียวกัน แต่เสื้อตัวนอกติดกระดุมเงินระหว่างอก สำหรับหญิง ลาหู่ Nyi สวมโสร่งคลุมด้วยเสื้อเอวกว้าง ติดสาบเสื้อด้านหน้าตรงกลางด้วยขอเกี่ยวรูปทรงกลมขนาดใหญ่ทำด้วยโลหะเงิน เย็บแถบสีแดงติดไว้สองด้าน - ลาหู่ Shi ใส่เสื้อและสวมผ้าถุงเช่นกันเป็นปกติทุกวัน แต่เมื่อมีงานพิธีในโอกาสต่างๆ จะใส่กางเกงและเสื้อคลุมตัวนอกอย่างยาวใกล้เคียงเหมือนกับชุดของลีซอ - หญิงลาหู่ทุกเผ่าย่อยจะสวมปลอกขาช่วงล่างที่มีสีสัน ในงานพิธีสำคัญเป็นพิเศษ หญิงลาหู่ที่ยังไม่แต่งงานจะสวมเครื่องประดับเงินจำนวนมากเท่าที่ครัวเรือนของตน จะมีฐานะสนับสนุนได้ และตกแต่งเสื้อหรือเสื้อคลุมตัวนอกด้วยกระดุมเงินและเหรียญเงินรูปีเก่า แม้แต่เมื่อขณะทำงานในไร่หญิงลาหู่ในครัวเรือนที่มั่งคั่งจะสวมใส่ตุ้มหูเงิน ห่วงคอเงิน กำไลและแหวนเงินรวมทั้งเข็มขัดที่ทำด้วยเหรียญโละเงินด้วย ส่วนเด็กใส่แบบย่อส่วนลงมาจากของผู้ใหญ่ เด็กชายหญิงที่เล็กมากไม่ค่อยสวมเครื่องแต่งกายท่อนล่าง ทารกจะห่อด้วยผ้าเก่าแต่สวมเสื้อคลุมตัวนอกขนาดเล็กและหมวก (skullcap) ที่เย็บปักอย่างสวยงาม (หน้า 114-115)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูลชัดเจน (ผู้เขียนได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงด้านวิถีการผลิต และทัศนคติบางประการอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการขาดแคลนที่ดินหรือผืนป่าที่จะใช้ทำไร่แบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผาเคลื่อนย้ายไปเรื่อยๆ ตามจารีตของชาวเขา และการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากการนับถือศาสนาคริสต์ ตัวอย่างเช่น ลาหู่บ้าน Huai Tadt เป็นชุมชนคริสเตียนละทิ้งชุดลาหู่ตามจารีต ผู้หญิงนิยมใส่เสื้อและสวมผ้าถุง ส่วนผู้ชายใส่กางเกงขายาวและเสื้อเชิร์ท (หน้า 149) และโดยทั่วไปมิชชั่นนารีคริสเตียนห้ามลาหู่ที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ไม่ให้ปลูกฝิ่น (หน้า 121) ลาหู่บ้าน Huai Tadt คล้ายกับชุมชนชาวพื้นราบมากกว่าชุมชนลาหู่อื่นๆ บนภูเขา และลาหู่ที่อยู่ใกล้เคียงซึ่งไม่ใช่คริสเตียนมักไม่ยอมรับว่าลาหู่บ้าน Huai Tadt เป็นลาหู่ที่แท้จริง (หน้า 151) บ้าน Huai Tadt กำลังอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนผ่านจากการทำไร่แบบโค่นต้นไม้แล้วเผาตามจารีต หันไปสู่เศรษฐกิจระบบการเกษตรสมัยใหม่ (หน้า 155) - Text Analyst)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

1. แผนที่ : 1.1 หมู่บ้านลาหู่แดง บ้านหลวง (หน้า 128) 1.2 หมู่บ้านลาหู่ดำ Ban Huai Tadt (หน้า 150) 2. แผนผังและภาพลายเส้น : 2.1 ภายในบ้านลาหู่ Nyi (หน้า 130) 2.2 ภายในวัดลาหู่ Nyi (หน้า 130) 2.3 เครื่องบูชาในพิธีกรรมของลาหู่ Nyi (หน้า 134) 3. รูปภาพ : หลังหน้า 126 : 3.1 บ้านหลวงหมู่บ้านลาหู่ Nyi (13a) 3.2 Ban Mae Kho หมู่บ้านลาหู่ Nyi (13b) 3.3 หญิงลาหู่ Nyi เลี้ยงหมู (14a) 3.4 หญิงลาหู่ Nyi อาบน้ำ (14b) 3.5 ชายลาหู่ Nyi โค่นต้นไม้ (15a) 3.6 ลาหู่ Nyi นวดข้าว (15b) 3.7 ผู้เชี่ยวชาญลาหู่ Nyi เซ่นไหว้วิญญาณน้ำ (16a) 3.8 Lahu Nyi House Spirit altar (16b), หลังหน้า 148 : 3.9 วัดในหมู่บ้านลาหู่ Nyi (17a) 3.10 ลาหู่ Nyi สร้างศาลา (17b) 3.11 หมู่บ้านลาหู่ Sheh Leh (18a) 3.12 หญิงลาหู่ Sheh Leh ตักน้ำ (18b) 3.13 เครื่องแต่งกายหญิงลาหู่ Na (19a) 3.14 หญิงลาหู่ Na เล่นแผ่นเสียงเพลงสวดคริสต์ (19b) 3.15 ลาหู่ Na ออกจากโบสถ์ (20a) 3.16 หญิงลาหู่ Na ทอผ้า (20b)

Text Analyst บุญสม ชีรวณิชย์กุล Date of Report 25 ก.ย. 2567
TAG ลาหู่, ประวัติ, วัฒนธรรม, ความเชื่อ, เศรษฐกิจ, สังคม- การเมือง, วิถีการผลิต, นโยบายของรัฐ, ภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง