|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),การต่อสู้เพื่อการปลดปล่อย,ประเทศพม่า |
Author |
Toru Ohno |
Title |
History of the Karen Struggles for Independence in Burma (Part 2) |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาญี่ปุ่น |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดสยามสมาคม |
Total Pages |
23 |
Year |
2513 |
Source |
東南アジア研究 วิจัยเอเชียอาคเนย์ vol. 7 no. 4 |
Abstract |
ประวัติศาสตร์การต่อสู้และความขัดแย้งภายในของกองกำลังกะเหรี่ยง KNDO ตั้งแต่ปี 1950 จนกระทั่งพ่ายแพ้ต่อกองกำลังของทหารพม่า |
|
Focus |
ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของชนชาติกะเหรี่ยงกลุ่มต่าง ๆ ในประเทศพม่า |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในประเทศพม่า |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
ประวัติศาสตร์การสู้รบเพื่อเอกราชของกะเหรี่ยง ในปลายเดือนมกราคม ปี ค.ศ.1949 กระเหรี่ยง KNDO ได้ระดมกำลังทหารภายใต้การนำของ โซ บาอุจี สาเหตุที่กลุ่มกะเหรี่ยงนี้ลุกขึ้นมาต่อสู้คือ กะเหรี่ยงต้องเลือกว่าจะอยู่รอความพ่ายแพ้หรือจะต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของตนเอง การสู้รบครั้งนี้เริ่มต้นที่เมืองอินเสน (Insein) ซึ่งรัฐบาลพม่าก็ได้ส่งกำลังเข้าปราบปรามทั้งทางบกและทางอากาศ การสู้รบครั้งนี้ยืดเยื้อถึง 4 เดือนทั้งที่มีการคาดการณ์ว่ากะเหรี่ยงจะต้านกำลังทหารพม่าได้ไม่เกิน 2 อาทิตย์ เนื่อง จากกองกำลังของกะเหรี่ยงมีเพียงกลุ่มนักศึกษา แรงงาน คนเฒ่าคนแก่และผู้หญิง อย่างไรก็ตาม กองกำลังกะเหรี่ยงก็ยังไม่มียุทธศาสตร์ทางการรบที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ การสู้รบจึงจบด้วยความพ่ายแพ้ของกองกำลังกะเหรี่ยงในที่สุด (หน้า 546-547) ต่อมามีการประกาศจัดตั้งรัฐกะเหรี่ยงขึ้นในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1949 ทว่าแม้จะมีการจัดตั้งเขตปกครองตนเองแล้วการต่อสู้ในเมืองอินเสนก็ยังไม่ยุติ ผลพวงจากการต่อสู้ที่อินเสนทำให้กะเหรี่ยงในภาคกลางของประเทศลุกขึ้นมาต่อสู้ด้วย ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์เมือง Yameediin, Meitera ได้ถูกกลุ่มกะเหรี่ยงยึด และในวันที่ 13 มีนาคม เมือง Mandaree ก็ได้ถูกยึดอีก เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้รัฐบาลพม่าต้องประกาศเรื่องการปลดอาวุธผู้ต่อต้านในเมืองอินเสน และจะไม่เอาผิดกับผู้ที่กลับใจยอมยกธงยอมแพ้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดยอมแพ้แม้แต่ผู้เดียว (หน้า 548-551) รัฐบาลทหารพม่าได้ใช้วิธีทางการฑูตโดยมีอังกฤษ ปากีสถานและอินเดียร่วมกันขอให้กะเหรี่ยงพักรบ โซบันจีได้เดินทางมาย่างกุ้งเพื่อตกลงทางการทูต แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นข้อตกลงที่รัฐบาลเสนอกลับเป็นเพียงข้อตกลงให้กะเหรี่ยงยอมแพ้ โดยรัฐบาลจะไม่ยอมให้สิทธิหรือให้สิ่งที่คนกะเหรี่ยงต้องการจนกว่ากะเหรี่ยง จะยอมตกลงตามสัญญาพักรบที่ทางรัฐบาลเป็นผู้เขียนขึ้น ในวันสุดท้ายของการลงนามโซบันจีได้เสนอเงื่อนไขให้พักรบโดยต้องถือว่าทั้งสองฝ่ายเป็นรัฐที่มีฐานะเท่าเทียมกัน แต่เงื่อนไขนี้ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ การรบจึงเปิดฉากขึ้นอีกครั้งในครั้งนี้ฝ่ายกะเหรี่ยงเป็นฝ่ายล่าถอยออกจากเมืองอินเสนและพ่ายแพ้ไปในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม สาเหตุของการพ่ายแพ้นั้นเกิดจากความผิดพลาดของฝ่ายกะเหรี่ยง ประการแรกคือ ความล้มเหลวในการเจรจาหารือกับอังกฤษในการสร้างรัฐกะเหรี่ยง และสองคือทหารกะเหรี่ยงไม่ได้ใช้ยุทธศาสตร์ในการยึดเมืองหลวงย่างกุ้งในช่วงที่ยึดเมืองอินเสนได้ นอกจากนี้ จุดด้อยอีกข้อของกะเหรี่ยงคือ กะเหรี่ยงไม่มีการกระจายหลักการในการรบระหว่างกัน ต่างจากฝ่ายทหารพม่า ที่อูนุมีการประชาสัมพันธ์หลักการในการรบเป็นอย่างดี (หน้า 552-555) เมื่อพ่ายแพ้ที่อินเสนภายในกองกำลังกะเหรี่ยงก็มีความคิดแตกออกเป็นสองแนวคือ ฝ่ายโซบันจีต้องการให้ยอมรับความพ่ายแพ้และอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ส่วนฝ่ายโซฮันทาทัม หรือ มันบาซัม เห็นว่าควรจะรบต่อไป อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤศจิกายนฝ่ายกะเหรี่ยงก็ถูกทหารรัฐบาลเข้ายึด ในปี ค.ศ.1950 ฝ่ายกะเหรี่ยงพ่ายแพ้ต่อทหารพม่าและถูกยึดเมือง Taunguu ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ Coturee ของรัฐกะเหรี่ยง และในปีนั้นโซบันจีก็ถูกทหารพม่ายิงตายในป่าดิบชื้น ภายหลังการตายของโซบันจีทำให้กองกำลังกะเหรี่ยงประสบปัญหาอย่างรุนแรง KNDO ขาดผู้นำและผู้วางแผนที่สำคัญไป วิธีการต่อสู้เคลื่อนไหวของ KNDO จึงเปลี่ยนรูปแบบไปเป็นแบบกองโจรที่กระจายตัวในป่าดิบชื้น (หน้า 555-559) ต่อมาในปี ค.ศ.1953 กะเหรี่ยงได้เข้าร่วมกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ซึ่งมีแนวคิดในการต่อสู้แตกต่างกัน เนื่องจากกะเหรี่ยงเริ่มต้นการต่อสู้แบบชาติพันธุ์นิยม อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ.1956 KNDO ก็ได้ก่อตั้งฝ่ายชาติพันธุ์ประชาธิปไตยเพื่อการต่อสู้ หรือ MABANYATA โดยความร่วมมือระหว่าง MNDO ของม้ง และพรรคคอมมิวนิสต์พม่า ทว่าเหตุการณ์การสู้รบก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงฝ่ายกองกำลังกะเหรี่ยงลดกำลังลงไปเรื่อยๆ มีทหารจำนวนมากที่ท้อแท้หมดหวังและถอนตัวออกไป ความเรรวนในกองกำลังทำให้ภายในกลุ่มมีการแตกแยกกันเอง โดยในปี 1963 Man Bazan ได้แยกตัวออกมาตั้งพรรคการต่อสู้เพื่อชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโดยยึดบริเวณตะวันตกของ Coturee เป็นฐาน ขณะที่ฝ่าย ฮันทาทัมก็ก่อตั้ง KRC หรือฝ่ายที่ต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์และมีฐานอยู่ที่ทางเหนือของ Coturee (หน้า 559-564) |
|
|