|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไทดำ,ตำนาน,ประวัติศาสตร์,จารีตประเพณี,เดียนเบียน,เวียดนาม |
Author |
ดั่งเงียมหว่าน |
Title |
เอกสารทางประวัติศาสตร์และสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ไท |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาเวียดนาม |
Ethnic Identity |
ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, ฮานอย |
Total Pages |
493 |
Year |
2540 |
Source |
จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สังคมศาสตร์, ฮานอย |
Abstract |
มีเนื้อหาเน้นในด้านประวัติศาสตร์ของกลุ่มไทดำในเวียดนาม โดยอาศัยข้อมูลจาก "ความโตเมือง" ซึ่งเป็นวรรณกรรมจารีตในท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังอธิบายถึงจารีตประเพณีท้องถิ่นที่เรียกว่า "ฮีตบ้านคองเมือง" และระบบการปกครองของไทดำ พร้อมตัวอย่างจารีตประเพณีของเมืองหม้วย |
|
Focus |
ประวัติศาสตร์และจารีตประเพณีของกลุ่มชาติพันธุ์ไทดำในภาคเหนือของเวียดนาม |
|
Theoretical Issues |
เอกสารชิ้นนี้มีลักษณะการเรียบเรียงในเชิงประวัติศาสตร์นิพนธ์ของกลุ่มไทดำ โดยอาศัยข้อมูลจากเอกสารประวัติศาสตร์ในท้องถิ่นที่เรียกว่า "ความโตเมือง" จาก 6 เมืองมาเปรียบเทียบกัน พร้อมกับข้อมูลจารีตประเพณี ดังนั้นจึงเป็นเอกสารเพื่อการนำเสนอข้อมูลของกลุ่มชาติพันธุ์ไทในเวียดนาม ซึ่งอยู่ในแนวทางการเขียนงานประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ที่อิงกับมโนทัศน์ "วัฒนธรรม (อันดีงาม)" เพื่อเชิดชู สนับสนุน กลุ่มชาติพันธุ์ในฐานะที่เป็นแนวร่วมหนึ่งของขบวนการสร้างชาติและสร้างวัฒนธรรมแห่งชาติเวียดนาม (หน้า 9) |
|
Ethnic Group in the Focus |
คณะผู้เขียนเรียกกลุ่มที่ศึกษาว่ากลุ่มชาติพันธุ์ไท ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มหลัก 2 กลุ่ม คือ กลุ่มไทดำ และกลุ่มไทขาว ในภาษาเวียดนาม ใช้คำว่า "Thai" สำหรับเรียกชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ไทโดยรวม ใช้คำว่า "Thai Den" สำหรับเรียกชื่อกลุ่มไทดำ และใช้คำว่า "Thai Trang" สำหรับเรียกชื่อกลุ่มไทขาว |
|
Language and Linguistic Affiliations |
คณะผู้เขียนจัดให้ภาษาไทดำเป็นสาขาหนึ่งของกลุ่มภาษา "ไต-ไท" (Tay-Thai) ตามการจำแนกกลุ่มตระกูลภาษาของนักวิชาการเวียดนามในเวลานั้น (1977) ดังนั้น ในหนังสือเล่มนี้ กลุ่มภาษา "ไต-ไท" ได้ถูกจัดให้อยู่กับกลุ่มตระกูลภาษาเอเชียใต้ ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มภาษาเวียด-เหมื่อง กลุ่มภาษามอญ-ขแม กลุ่มภาษาแม้ว-เย้า กลุ่มภาษากะได และกลุ่มภาษาไต-ไท ซึ่งต่างจากการจำแนกตระกูลภาษาของนักวิชาการเวียดนามในปัจจุบันที่ได้จัดกลุ่มภาษาไต -ไท แยกออกเป็นตระกูลภาษาหนึ่งโดยเฉพาะ |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
คณะผู้เขียนอาศัยเนื้อความใน "ความโตเมือง" ซึ่งเป็นเอกสารประวัติศาสตร์ในท้องถิ่นเป็นหลัก นำเสนอว่ามีกลุ่มคนไทตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณภาคตะวันตกเฉียงเหนือมานานแล้วตั้งแต่ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 11 โดยอ้างอิงจากพงศาวดารได่เหวียดสื่อกี๋ตว่านทือซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่บันทึกโดยชาวเวียดนาม กล่าวถึงกลุ่มคนไทที่เรียกว่า "งึวโหง" ( Nguu Hong) ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนามในศตวรรษที่ 11 ว่าเป็นพวกที่มีอักษรเขียนคล้ายกับ "อ้ายลาว" ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้ภาษาตระกูลไทเช่นเดียวกัน คณะผู้เขียนมีความเห็นว่า บริเวณภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนามประกอบด้วยกลุ่มคนไทหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีประวัติการเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่แตกต่างกัน กลุ่มที่เป็นบรรพบุรุษของพวกไทดำในปัจจุบันมาจากสายการอพยพของผู้นำที่มีชื่อว่า "ขุนลานเจือง" ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 13 โดยเริ่มต้นเข้ามาเป็นผู้ปกครองในเมืองลอ เมืองลา เมืองหม้วย เมืองม่วก เมืองวาด เมืองแถง เมืองควาย เมืองทาน และมีไทดำอีกกลุ่มหนึ่งเคลื่อนย้ายต่อผ่านเข้าไปในดินแดนลาวลงไปยังเขตแทงหัวและเหงะอานในเวียดนามปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังมีสายการอพยพของผู้นำที่ชื่อว่า "เจ้าหล้ายอดจอมคำ" ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 14 อีกสายหนึ่งจากลาวเข้ามาเป็นผู้ปกครองในเมืองสาง ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ก็มีการอพยพเข้ามาของคนไทสายตระกูล "ห่ากง" จากบริเวณเมืองบั๊กห่าซึ่งอยู่ภาคเหนือใกล้ชายแดนจีนในปัจจุบันลงมายังเมืองสาง และบางส่วนอพยพเลยเข้าไปยังเมืองข่องในเขตแทงหัว ในส่วนของบริเวณเมืองไล ซึ่งเป็นเขตของไทขาว คณะผู้เขียนได้กล่าวถึงข้อมูลใน ความโตเมือง ว่า เมื่อขุนลานเจืองเข้ามายังเมืองแถง ในเวลานั้นมีคนไทปกครองเมืองไลอยู่แล้ว หากพิจารณาจากเนื้อความในตำนานแสดงว่า แถบเมืองไลมีการตั้งถิ่นฐานของชุมชนคนไทมาก่อนคริสต์ศตวรรษที่ ๑๓ อันเป็นช่วงเวลาที่อิทธิพลของกลุ่มไทดำนำโดยขุนลานเจืองจะเคลื่อนย้ายเข้ามา |
|
Settlement Pattern |
กลุ่มชาติพันธุ์ไท มักตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณหุบเขาที่มีแม่น้ำหรือลำห้วยไหลผ่าน มีที่ราบเพียงพอสำหรับการเพาะปลูก โดยเฉพาะการทำนาลุ่ม |
|
Demography |
คณะผู้เขียนได้ให้ตัวเลขทางประชากรโดยประมาณ โดยกล่าวว่ากลุ่มชาติพันธุ์ไทที่จัดอยู่ในกลุ่มภาษาไต-ไท ตั้งถิ่นฐานส่วนใหญ่ในบริเวณภาคตะวันตกของประเทศเวียดนามมีจำนวนมากกว่า 6 แสนคน (1977 - หน้า 23) |
|
Economy |
ระบบการผลิตที่สำคัญคือการทำนา ที่นาในชุมชนจะถูกแบ่งจากที่นาของต้นตระกูลที่ตั้งถิ่นฐานในชุมชนเป็นครั้งแรก หากแบ่งประเภทนาตามลักษณะพื้นที่สามารถแบ่งได้เป็นนาลุ่มและนาไร่ นาหลักคือนาลุ่ม ซึ่งเป็นนาที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มมีน้ำท่วมขัง ส่วนนาไร่เป็นนาที่อยู่ตามที่ลาดชัน นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งประเภทของนาตามกลุ่มชนชั้นสังคมได้แก่ 1. นาของผู้ปกครอง เรียกว่า "นาเมือง" ซึ่งอาศัยชาวบ้านเป็นผู้ทำให้ 2. นาของชาวบ้านทั่วไป ได้รับนาที่ถูกแบ่งปันตามสายตระกูล |
|
Social Organization |
โครงสร้างชนชั้นในสังคมประกอบด้วย 2 ชนชั้นหลักได้แก่ชนชั้นปกครองและชนชั้นใต้ปกครอง - ชนชั้นปกครองเรียกโดยรวมว่า "เพี้ยต่าว" ประกอบด้วย เจ้าเมือง เจ้าบ้านและสมาชิกในสายตระกูล และบรรดาผู้ที่ทำหน้าที่ช่วยกิจการด้านต่าง ๆ ของเจ้าเมือง เจ้าบ้านในแต่ละหมู่บ้าน - ชนชั้นใต้ปกครอง ประกอบด้วย 1. "ไป้" คือชาวบ้านทั่วไปของแต่ละชุมชน มีหน้าที่ทำงานให้กับกลุ่มชนชั้นปกครองเมื่อมีงานส่วนกลางเข้ามา และทำหน้าที่ป้องกันหมู่บ้านในยามศึกสงคราม 2. "กวงยก" คือชาวบ้านที่แลกฐานะความเป็น "ไป้" ของตนเองเพื่อทำงานให้กับบรรดาชนชั้นปกครอง ส่วนมากมักจะเป็นชาวบ้านที่มาจากหมู่บ้านอื่นหรือมาจากตระกูลอื่นย้ายเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อตั้งถิ่นฐานใหม่ 3. "คนเฮือน" มีฐานะเหมือนทาส เนื่องจากต้องทำงานแลกอิสรภาพของตนเองเพื่อชดใช้หนี้สิน สามารถเป็นอิสระได้เมื่อนายทาสอนุญาต |
|
Political Organization |
ลักษณะทั่วไปของระบบการปกครองของกลุ่มชาติพันธุ์ไทในเวียดนาม เป็นระบบความสัมพันธ์ทางการเมืองในระดับ บ้าน-เมือง ซึ่งแต่ละช่วงสมัยก็จะมีผู้ปกครองที่มีอำนาจในแต่ละเมืองขึ้นมาเป็นใหญ่ แต่ไม่เคยมีเมืองใดเป็นศูนย์กลางของระบบการเมืองและการปกครองของกลุ่มชาติพันธุ์ไท ในบริเวณนี้ได้ต่อเนื่องยาวนานอย่างชัดเจน ดังนั้น ระบบการปกครองของกลุ่มชาติพันธุ์ไทในเวียดนามจึงแบ่งเป็นเขต ๆ ซึ่งประกอบด้วยหลายเมืองย่อยและเมืองศูนย์กลาง ผู้เป็นใหญ่ของแต่ละเขตเดิมเรียกว่า "ปู่เจ้า" คนไทยังไม่มีคำเรียกชื่อเขตปกครองขนาดใหญ่นี้ แต่ราชสำนักเวียดนามในสมัยราชวงศ์เล (ราวคริสตวรรษที่ 15) เรียกว่า "เจิว" และเรียกชื่อผู้ปกครองเจิว หรือ "ปู่เจ้า" ว่า "จีเจิว" หากเวลานั้น "ปู่เจ้า" ครองอยู่ ณ เมืองใด เมืองนั้นก็ถือว่าเป็นเมืองใหญ่ที่มีอำนาจมากที่สุดในช่วงเวลานั้น เช่น เมืองหม้วยในสมัยของปู่เจ้าตาเงิน ก็ถือว่ามีอำนาจมากที่สุดในราวช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14-15 รอบ ๆ เมืองใหญ่ที่มีผู้ปกครองระดับ "ปู่เจ้า" หรือ "จีเจิว" จะปกครองเมืองบริวาร เมืองเหล่านี้เรียกโดยทั่วไปว่า "เมือง" หรือเรียกเฉพาะว่า "เมืองหางเจิว" เพื่อให้ทราบฐานะของเมืองนั้นว่าเป็นเมืองบริวารของเมืองใหญ่กว่า ผู้ปกครองของเมืองหางเจิวมีตำแหน่งเรียกว่า "อันญา" แต่ละเมืองจะประกอบด้วยหมู่บ้าน ซึ่งเรียกทั่วไปว่า "บ้าน" สมาชิกในหมู่บ้านประกอบด้วยแต่ละตระกูล และแต่ละครัวเรือน ทุกคนมีสิทธิทำมาหากินของตนเอง เว้นแต่หากได้ของป่าที่สำคัญ เช่น ขาสัตว์ เขาสัตว์ หนังเสือ น้ำผึ้ง ต้องนำไปให้เจ้าเมืองของตน คณะผู้เขียนได้ให้รายละเอียดระบบการปกครองแบบจารีตของไทดำ โดยอาศัยตัวอย่างจารีตการปกครองของเมืองหม้วย (หน้า 354-366) |
|
Belief System |
คณะผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึงระบบความเชื่อโดยตรง แต่กล่าวถึงจารีตต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิต และกฏของบ้านเมือง เรียกว่า "ฮีตบ้านคองเมือง" (หน้า 268-341) และกล่าวถึงผู้ปฏิบัติพิธีกรรมอย่างสั้น ๆ เช่น "องหมอ" "องปู่เจ้า" พิธีกรรมของชุมชนเช่น "เสนบ้าน" "เสนเมือง" และพิธีกรรมในส่วนบุคคล เช่น "เสนเฮือน" "ปาดตง" "เสนผีคืนเสื้อ" "เสนแก้เคราะห์" เป็นต้น (หน้า 381-389) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
วรรณกรรมท้องถิ่นที่สำคัญที่ได้รับการกล่าวถึงในการศึกษาครั้งนี้คือ "ความโตเมือง" ซึ่งเป็นวรรณกรรมจารีตที่มีเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ของแต่ละท้องถิ่น โดยเริ่มจากสมัยตำนานเชิงประวัติ มาสู่สมัยประวัติศาสตร์ โดยมีเนื้อหาเปรียบเทียบเหตุการณ์ที่เกิดร่วมกับช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ของลาวและเวียดนาม คณะผู้เขียนได้อ้างอิงเอกสาร "ความโตเมือง" 6 ฉบับจากเมืองต่างๆ คือ เมืองหม้วย เมืองควาย เมืองแถง เมืองแจง เมืองม่วก และจากอำเภอวันเจิ๋น โดยนำมาเรียบเรียงเนื้อความและมีเชิงอรรถเปรียบเทียบกัน |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
คณะผู้เขียนชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมมากกว่าด้านอื่น ที่เห็นได้ชัดเจนคือการเปลี่ยนแปลงในช่วงอาณานิคมฝรั่งเศส และการเปลี่ยนแปลงภายหลังการปฏิวัติปี ค.ศ. 1945 การเปลี่ยนแปลงทางสังคมในช่วงอาณานิคมฝรั่งเศสมีผลกระทบโดยตรงต่อระบบการปกครองแบบจารีตของคนไท กลุ่มชาวบ้านที่เรียกว่า "ไป้" ถูกเกณฑ์ไปทำงานให้กับฝรั่งเศสอย่างน้อย ๓ เดือนต่อปี ทำให้กลุ่ม "ไป้" ต้องเปลี่ยนสถานภาพของตนไปเป็น "กวงยก" หรือยอมเป็น "คนเฮือน" เพื่อทำงานให้กับบรรดาชนชั้นปกครองหรือ "เพี้ยต่าว" ที่ยังเป็นคนไท หรืออพยพหนีไปยังที่อื่น การเปลี่ยนแปลงภายหลังการปฏิวัติปี ค.ศ. 1945 ระบบการปกครองท้องถิ่นของคนไทถูกเปลี่ยนเข้าสู่ระบบสังคมนิยม |
|
|