สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,ประวัติศาสตร์,สังคม,วัฒนธรรม,เวียดนาม
Author เกิ่มจ่อง
Title คนไทในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม
Document Type หนังสือ Original Language of Text ภาษาเวียดนาม
Ethnic Identity ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ห้องสมุดสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, ฮานอย Total Pages 596 Year 2521
Source จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สังคมศาสตร์
Abstract

เนื้อหากล่าวถึงกลุ่มชาติพันธุ์ไทในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม ครอบคลุมประเด็นทางประวัติศาสตร์ ระบบการปกครองแบบจารีต ศาสนาและความเชื่อ ศิลปะและวรรณกรรม การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมในช่วงสมัยอาณานิคมฝรั่งเศสและสมัยอุดมการณ์พรรคคอมมิวนิสต์จนถึงปี ค.ศ. 1975

Focus

ลักษณะสังคม ระบบการปกครอง วัฒนธรรมต่างๆ ในด้าน ศาสนา ศิลปะ วรรณกรรม ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทในเวียดนามตั้งแต่อดีตซึ่งแสดงถึงลักษณะสังคมและวัฒนธรรมในแบบจารีต การเปลี่ยนแปลงภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส และการเปลี่ยนแปลงภายใต้ขบวนการปฏิวัติสังคมนิยม จนถึงปี ค.ศ. 1975

Theoretical Issues

ผู้เขียนไม่ได้เสนอกรอบทฤษฎีใดๆ ไว้อย่างชัดเจน งานศึกษาชิ้นนี้ได้นำเสนอภายใต้แนวทางของการเขียนงานแบบชาติพันธุ์วรรณนาในกรอบประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และขบวนการสร้างชาติเวียดนาม ซึ่งเป็นที่นิยมของการเขียนงานชาติพันธุ์วรรณนาของนักวิชาการเวียดนามในช่วงหลังการปฏิวัติ ค.ศ. 1954

Ethnic Group in the Focus

ผู้เขียนเรียกกลุ่มที่ศึกษาว่ากลุ่มชาติพันธุ์ไท (Thai) ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มหลัก 2 กลุ่มคือ กลุ่มไทดำ (Thai Den) และกลุ่มไทขาว (Thai Trang) แต่เนื้อหาเน้นที่กลุ่มไทดำ

Language and Linguistic Affiliations

ผู้เขียนจัดให้กลุ่มที่ศึกษาอยู่ใน "ตระกูลภาษาไท" หรือเรียกได้อีกว่ากลุ่ม "ไต-ไท" ตามระบบการจำแนกโดยแผนกการศึกษาเขตปกครองตนเองภาคตะวันตกเฉียงเหนือใช้ในระหว่างปี ค.ศ. 1956-1964 และการจำแนกของกรรมการสภาสังคมศาสตร์เวียดนามในปี ค.ศ. 1971 นอกจากนี้ ยังได้เสนอว่ากลุ่มไท ในเวียดนามมีอักษรของตนเองใช้ตั้งแต่ก่อนคริสตวรรษที่ 11 โดยอ้างจากเนื้อความในเอกสาร "ความโตเมือง" ของเมืองลอและเมืองหม้วย (หน้า 14, 18-21)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ผู้เขียนแยกเสนอประวัติศาสตร์ของกลุ่มไทขาวและไทดำว่ามีที่มาแตกต่างกันจากการตีความเอกสารท้องถิ่น (ความโตเมือง) ว่า ไทขาวอพยพจากทางตอนใต้ของจีนเข้ามาตั้งถิ่นฐานแถบเมืองไล เมืองแต เป็นแห่งแรกในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9-10 ส่วนไทดำอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานแถบเมืองลอ ลุ่มแม่น้ำดำและลุ่มแม่น้ำม้า ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 11-12 (หน้า 39) ในส่วนที่อ้างอิงจากเอกสารประวัติศาสตร์เวียดนาม กล่าวถึงกลุ่มที่เรียกว่า "งึวโหง" และ "อ้ายลาว" นำของมาบรรณาการใน ปี ค.ศ. 1067 ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนไทกับราชสำนักเวียดนามมีมาตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 11 (หน้า 16)

Settlement Pattern

เขตพื้นที่ตั้งถิ่นฐานของคนไทมักเป็นที่ลุ่มตามแนวลำห้วยต่าง ๆ ที่ไหลไปรวมกับลำน้ำใหญ่และกลายเป็นแม่น้ำในบริเวณหุบเขาของภาคตะวันตกเฉียงเหนือ แม่น้ำสำคัญในแถบนี้คือ แม่น้ำดำและแม่น้ำม้า พื้นที่ราบลุ่มน้ำที่มีขนาดใหญ่จะมีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น เช่น ตัวเลขประชากรปี ค.ศ. 1971 ชี้ว่าทุ่งราบเมืองเติ๊กมีประชากรมากกว่า 40 คน/ตารางกิโลเมตร ส่วนที่ราบเมืองเซินลาซึ่งมีขนาดเล็กกว่ามีประชากรเพียงประมาณ 20 คน/ตารางกิโลเมตร (หน้า 79)

Demography

ผู้เขียนแสดงตัวเลขจำนวนประชากรโดยประมาณของกลุ่มที่ทางการเวียดนามจำแนกเป็น "ไท" ว่ามีมากกว่า 360,000 คน (ตามตัวเลขสถิติประชากรในปี ค.ศ.1973, หน้า 13)

Economy

ลักษณะการตั้งถิ่นฐานของคนไท ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนามตามที่ราบในหุบเขาซึ่งมีลำน้ำไหลผ่าน ทำให้เอื้อต่อระบบการเพาะปลูกแบบนาลุ่ม ข้าวจึงเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญควบคู่ไปกับระบบน้ำในการเพาะปลูก ดังมีคำกล่าวว่า "ข้าวน้ำนั่งเหนือ เงินคำนั่งใต้" (หน้า 91) ระบบการเพาะปลูกในเขตที่ราบในหุบเขานี้อาศัยน้ำจากน้ำฝนและน้ำจากลำน้ำ มีการทำระบบชลประทานขนาดเล็กเรียกว่า "เหมือง ฝาย หลาย ลิน" (หน้า 97-103) ผลผลิตข้าวสามารถทำได้ตั้งแต่ 1,800-2,100 กิโลกรัม/1 เฮกตา (ตัวเลขซึ่งผู้เขียนประมาณจาก "นาเมือง" ของเจ้าเมืองม่วก) นอกจากการทำนาลุ่มแล้วยังมีการทำไร่ในบริเวณที่ลาดซึ่งมีสัดส่วนพื้นที่มากกว่านาลุ่ม ดังเช่นสถิติปี ค.ศ. 1972 มีพื้นที่นาลุ่มประมาณ 30,000 เฮกตา แต่มีพื้นที่ทำไร่สูงถึง 78,000 เฮกตา ที่ไร่เหล่านี้ใช้เพาะปลูกพืชหลายชนิด เช่น ข้าวโพด ฝ้าย มัน รวมทั้งข้าวไร่ด้วย การ "เก็บผัก หาปลา ล่าสัตว์" ก็เป็นวิธีในการแสวงหาผลผลิตที่มีอยู่จากธรรมชาติอีกวิธีหนึ่ง ในการแลกเปลี่ยนมีการใช้ทั้งระบบเงินตราและการแลกเปลี่ยนสิ่งของ ตลาดเป็นสถานที่สำคัญในการนำสิ่งของมาแลกเปลี่ยนและจำหน่าย

Social Organization

ผู้เขียนแบ่งโครงสร้างชนชั้นทางสังคมออกเป็น 2 ชนชั้นหลักคือ ชนชั้นผู้ปกครองและชนชั้นใต้ปกครอง 1).ชนชั้นผู้ปกครอง ประกอบด้วย ตระกูลผู้ปกครองเมืองต่าง ๆ เช่น ตระกูลคำ บากคำ ฮว่าง แดว (หรือเดียว หรือ ตาว) สา(หรือกาคำ หรือวีคำ) และตระกูลเลือง ผู้ประกอบพิธีกรรมให้แก่ชุมชน 2).ชนชั้นใต้ปกครอง ประกอบด้วยสามกลุ่มย่อยคือ ชาวนาทั่วไป ชาวนาที่ทำหน้าที่พิเศษให้กับชนชั้นผู้ปกครอง (มีชื่อเรียกว่า กวง, ยก และไป้ปั่ว) และกลุ่มทาสหรือเรียกว่า "คนเฮือน" โครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนที่มีหน่วยการปกครองแบบ บ้าน-เมือง ภายใต้โครงสร้างชนชั้นและการปกครองในระบบนี้ ผูกขาดหน้าที่ตามสายตระกูลโดยนับจากญาติฝ่ายชายเป็นหลัก นอกจากนี้ยังสัมพันธ์กับระบบการผลิตข้าวและที่นา กลุ่มคนไทมีระบบที่นากำหนดประเภทตามหน้าที่ของชนชั้นด้วย เช่น นาประเภทต่าง ๆ ของผู้ปกครอง ดังนั้นชนชั้นใต้ปกครองบางกลุ่มนอกจากจะต้องทำนาในที่ดินมรดกตามสายตระกูลของตนแล้วยังมีหน้าที่พิเศษในที่นาของชนชั้นปกครองด้วย

Political Organization

ระบบเครือข่ายทางการเมืองในระดับที่สูงที่สุดได้พัฒนาจากระบบเมืองมาสู่เมืองหลักหรือเรียกว่า "เจิวเมือง" อาณาบริเวณในเขตปกครองของคนไทในแถบนี้ประกอบด้วยเมืองหลัก 16 เมืองเรียกว่า "สิบหกเจิวไท" ภายใต้เครือข่ายของเมืองหลักเหล่านี้ยังไม่สามารถมีเมืองใดขึ้นมามีอำนาจเป็นศูนย์กลางการปกครองทั้งหมดได แต่จะมีเมืองหลักของแต่ละตระกูลที่เป็นใหญ่ในแต่ละเขต เช่น ในช่วงปลายคริสตศตวรรษที่ 14 มีเมืองหลักคือ เมืองหม้วยของตระกูลคำ เมืองไลของตระกูลแดว เมืองสางของตระกูลสา เป็นต้น แต่เมื่อเปลี่ยนช่วงสมัยของการครองอำนาจ เมืองหลักเหล่านี้อาจลดบทบาทลงและมีเมืองอื่นขึ้นมามีฐานะสำคัญกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองรองกับเมืองหลักที่เป็นศูนย์กลางในแต่ละเขตขึ้นกับอำนาจของเจ้าเมืองหลักในช่วงเวลานั้นๆ หากเจ้าเมืองหลักอ่อนแอ บรรดาเมืองอื่น ๆ ก็จะไปพึ่งพากับเมืองที่มีอำนาจมากกว่า เจ้าเมืองที่มีอำนาจมากมักสร้างความสัมพันธ์กับรัฐที่มีอำนาจเหนือกว่าที่อยู่รายรอบ เช่น เวียดนาม และล้านช้าง โดยอาศัยการส่งบรรณาการและจะได้รับความคุ้มครองรวมทั้งความช่วยเหลือทางการทหารในเวลาสงคราม

Belief System

คนไทมีระบบความเชื่อว่าบนโลกนี้ประกอบด้วยองค์ประกอบพื้นฐานของสองส่วนหลักคือ ส่วนของสิ่งที่มีชีวิต และส่วนของผี - ส่วนของสิ่งมีชีวิต ได้แก่ มนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายต่างต้องมี "ขวัญ" เป็นสิ่งกำกับการมีชีวิต หากขวัญแยกตัวหนีออกไป ขวัญจะกลายเป็นผีขวัญ และสิ่งมีชีวิตจะกลายเป็นผี - ส่วนของผี ประกอบด้วยผีหลายชนิด นอกจากผีขวัญซึ่งเป็นองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตแล้ว ยังมีผีประเภทต่างๆ เช่น ผีเฮือน ผีบ้าน ผีเมือง ผีธรรมชาติ ผีที่ใหญ่ที่สุดเรียกว่าผีแถนซึ่งอยู่บริเวณที่เรียกว่า เมืองฟ้า ในด้านการประกอบพิธีกรรมผู้เขียนไม่ได้ให้รายละเอียดของพิธีกรรมต่าง ๆ มากนัก กล่าวไว้ทั่วไปว่า พิธีบูชาผีเมือง หรือ "เสนเมือง" มักจะจัดขึ้นในบริเวณที่เป็นศูนย์กลางของชุมชนที่เรียกว่า "เชียง" พิธีนี้ทำขึ้นตามความเชื่อที่ว่า เมืองก็มีขวัญกำกับต้องดูแลขวัญของเมืองให้เป็นปกติ เพื่อให้ประชาชนสามารถทำนาได้ผลดี ผู้ประกอบพิธีเสนเมืองเรียกว่า "มอ, จาง" ส่วนพิธีกรรมบูชากลุ่มผีแถนเรียกว่า พิธี "เสนคืนฟ้าหรือเสนเมือแถน"

Education and Socialization

ไม่ได้ระบุรายละเอียด

Health and Medicine

ผู้เขียนกล่าวถึงความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและการรักษาว่า ผีเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลในการทำให้คนเจ็บไข้และตายได้ (หน้า 394-395) และกล่าวเพียงสั้น ๆ ว่ามีคนที่รู้วิธีปฏิบัติกับผี (หน้า 400-401) แต่ไม่ได้มีรายละเอียดถึงพิธีกรรมในการรักษาโรค

Art and Crafts (including Clothing Costume)

มีคำกล่าวถึงพื้นฐานการสร้างสรรค์งานศิลปะและงานฝีมือของกลุ่มคนไทไว้ว่า "หญิงฮู้เฮ็ดฝ้าย ชายฮู้สานแห" โดยทั่วไปการสร้างสรรค์งานได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ ลวดลายบางอย่างมาจากความเชื่อ เช่น ลายตัวเงือก ตัวลิง มักปรากฏในงานทอผ้า ส่วนงานสลักไม้ประดับหลังคาที่เรียกว่า "เขากูด" ก็มีที่มาของความหมายหลายประการ ทั้งจากเขาสัตว์ และพืชบางชนิด ผู้เขียนได้จัดให้การแสดงและการร้องเพลงอยู่ในประเภทของศิลปะ ซึ่งได้แก่ -การแสดงรำฟ้อน ผู้เขียนได้เสนอว่า ในปี ค.ศ. 1968 คณะวิจัยการแสดงฝ่ายวัฒนธรรมเขตปกครองตนเองภาคตะวันตกเฉียงเหนือได้รวบรวมไว้ว่าการแสดงพื้นเมืองของชนเผ่าไทมีจำนวน 36 ชนิด -เพลงพื้นเมือง เรียกว่า "ขับ" บทร้องเรียกว่า "ความขับ" ซึ่งมีหลายประเภท เช่น "ขับหมอ-ขับมด" ใช้ในพิธีกรรม, "ขับสือ" เป็นการขับเล่าเรื่อง, "ขับบ่าวสาว" เป็นการขับละเล่นระหว่างชาย-หญิง

Folklore

ผู้เขียนกล่าวไว้ว่ากลุ่มคนไทเป็นชนชาติส่วนน้อยที่มีภาษาและวรรณกรรมของตนเอง ซึ่งแบ่งได้เป็นวรรณกรรมบอกเล่า วรรณกรรมคำสอน และวรรณคดี เช่น เจืองหาน นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งประเภทวรรณกรรมตามเนื้อหา ได้แก่ 1).วรรณกรรมเนื้อหาประวัติศาสตร์และสังคม เช่น ความโตเมือง ความไตปู้เศิก ความแพงเมือง 2).วรรณกรรมเนื้อหาจารีตปฏิบัติ เช่น ความสอนคน 3).วรรณกรรมเนื้อหาศาสนาความเชื่อ เช่น บทเรียกขวัญ บทตามขวัญ บทส่งผีขึ้นฟ้า วรรณกรรมท้องถิ่นของกลุ่มไทยังได้รับอิทธิพลจากสังคมรอบข้าง เช่น ลาฮา ขมุ เวียดนาม จีน และลาว

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ผู้เขียนแบ่งกลุ่มคนไทออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มไทดำและกลุ่มไทขาว โดยอาศัยเกณฑ์ความต่างของประวัติการเคลื่อนย้ายเข้ามายังพื้นที่ต่างๆ ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนามเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม แม้ผู้เขียนจะใช้เกณฑ์ประวัติการเคลื่อนย้ายถิ่นของแต่ละกลุ่ม แต่ผู้เขียนยังไม่ได้จำแนกกลุ่มไทขาวตอนบนและไทขาวตอนเหนือที่มีประวัติการเคลื่อนย้ายถิ่นแตกต่างกันให้เป็นคนละกลุ่มกันตามเกณฑ์ที่ผู้เขียนตั้งไว้แต่ต้น และยังคงเรียกทั้งสองกลุ่มนี้ว่าเป็นไทขาวเหมือนกัน (หน้า 25-63) เพราะฉะนั้นเกณฑ์การพิจารณาเพื่อจำแนกกลุ่มระหว่างไทดำและไทขาวโดยอาศัยประวัติการเคลื่อนย้ายถิ่นตามผู้เขียนจึงยังไม่เพียงพอ และต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม

Social Cultural and Identity Change

ผู้เขียนนำเสนอการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมไทในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม ในช่วงอิทธิพลระบบอาณานิคมฝรั่ง (ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19) และหลังการปลดปล่อยประเทศ (ค.ศ.1954) ภายใต้อิทธิพลของระบบอาณานิคมฝรั่งเศส ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองท้องถิ่นกับราชสำนักเวียดนามสิ้นสุดลง ระบบการปกครองแบบจารีตของคนไทหรือที่เรียกว่า "ระบบเพี้ยท้าว" ดำเนินไปภายใต้การควบคุมของฝรั่งเศส ประชาชนทั่วไปต้องอยู่ภายใต้ทั้งอำนาจของเพี้ยท้าวและอำนาจของฝรั่งเศส ซึ่งนับวันก็สร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านมากขึ้น เป็นผลให้ประชาชนในท้องถิ่นพยายามลุกขึ้นต่อสู้กับผู้ปกครองทั้งสองระบบนี้ โดยอาศัยแนวทางอุดมการณ์แห่งการปลดปล่อยประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ซึ่งเริ่มเข้ามามีบทบาทในท้องถิ่นโดยเฉพาะที่เซินลาในราวปี ค.ศ.1932 เป็นต้นมา หลังการปลดปล่อยประเทศปี ค.ศ. 1954 เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายด้านภายใต้ศูนย์กลางนโยบายการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เช่น การเร่งสร้างเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร การเปลี่ยนแปลงระบบที่จากที่นาในสังกัดระบบเพี้ยท้าว มาสู่การปันที่นาแก่ประชาชน การพัฒนาระบบสาธารณสุขและระบบโรงเรียนในท้องถิ่น การพัฒนาระบบอักษรไทในท้องถิ่นให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน การรวบรวมเอกสารวรรณกรรม และการยกระดับการแสดงในท้องถิ่น ในประเด็นนี้ผู้เขียนไม่ได้แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงทางอัตตลักษณ์ชาติพันธุ์

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนที่แสดงเขตการตั้งถิ่นฐานของแต่ละกลุ่ม (หน้า 27)

Text Analyst พิเชฐ สายพันธ์ Date of Report 25 ก.ย. 2567
TAG ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ, ประวัติศาสตร์, สังคม, วัฒนธรรม, เวียดนาม, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง