|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,ประวัติศาสตร์,สังคม,วัฒนธรรม,เวียดนาม |
Author |
เกิ่มจ่อง |
Title |
คนไทในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาเวียดนาม |
Ethnic Identity |
ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, ฮานอย |
Total Pages |
596 |
Year |
2521 |
Source |
จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สังคมศาสตร์ |
Abstract |
เนื้อหากล่าวถึงกลุ่มชาติพันธุ์ไทในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม ครอบคลุมประเด็นทางประวัติศาสตร์ ระบบการปกครองแบบจารีต ศาสนาและความเชื่อ ศิลปะและวรรณกรรม การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมในช่วงสมัยอาณานิคมฝรั่งเศสและสมัยอุดมการณ์พรรคคอมมิวนิสต์จนถึงปี ค.ศ. 1975 |
|
Focus |
ลักษณะสังคม ระบบการปกครอง วัฒนธรรมต่างๆ ในด้าน ศาสนา ศิลปะ วรรณกรรม ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทในเวียดนามตั้งแต่อดีตซึ่งแสดงถึงลักษณะสังคมและวัฒนธรรมในแบบจารีต การเปลี่ยนแปลงภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส และการเปลี่ยนแปลงภายใต้ขบวนการปฏิวัติสังคมนิยม จนถึงปี ค.ศ. 1975 |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนไม่ได้เสนอกรอบทฤษฎีใดๆ ไว้อย่างชัดเจน งานศึกษาชิ้นนี้ได้นำเสนอภายใต้แนวทางของการเขียนงานแบบชาติพันธุ์วรรณนาในกรอบประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และขบวนการสร้างชาติเวียดนาม ซึ่งเป็นที่นิยมของการเขียนงานชาติพันธุ์วรรณนาของนักวิชาการเวียดนามในช่วงหลังการปฏิวัติ ค.ศ. 1954 |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้เขียนเรียกกลุ่มที่ศึกษาว่ากลุ่มชาติพันธุ์ไท (Thai) ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มหลัก 2 กลุ่มคือ กลุ่มไทดำ (Thai Den) และกลุ่มไทขาว (Thai Trang) แต่เนื้อหาเน้นที่กลุ่มไทดำ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ผู้เขียนจัดให้กลุ่มที่ศึกษาอยู่ใน "ตระกูลภาษาไท" หรือเรียกได้อีกว่ากลุ่ม "ไต-ไท" ตามระบบการจำแนกโดยแผนกการศึกษาเขตปกครองตนเองภาคตะวันตกเฉียงเหนือใช้ในระหว่างปี ค.ศ. 1956-1964 และการจำแนกของกรรมการสภาสังคมศาสตร์เวียดนามในปี ค.ศ. 1971 นอกจากนี้ ยังได้เสนอว่ากลุ่มไท ในเวียดนามมีอักษรของตนเองใช้ตั้งแต่ก่อนคริสตวรรษที่ 11 โดยอ้างจากเนื้อความในเอกสาร "ความโตเมือง" ของเมืองลอและเมืองหม้วย (หน้า 14, 18-21) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ผู้เขียนแยกเสนอประวัติศาสตร์ของกลุ่มไทขาวและไทดำว่ามีที่มาแตกต่างกันจากการตีความเอกสารท้องถิ่น (ความโตเมือง) ว่า ไทขาวอพยพจากทางตอนใต้ของจีนเข้ามาตั้งถิ่นฐานแถบเมืองไล เมืองแต เป็นแห่งแรกในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9-10 ส่วนไทดำอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานแถบเมืองลอ ลุ่มแม่น้ำดำและลุ่มแม่น้ำม้า ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 11-12 (หน้า 39) ในส่วนที่อ้างอิงจากเอกสารประวัติศาสตร์เวียดนาม กล่าวถึงกลุ่มที่เรียกว่า "งึวโหง" และ "อ้ายลาว" นำของมาบรรณาการใน ปี ค.ศ. 1067 ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนไทกับราชสำนักเวียดนามมีมาตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 11 (หน้า 16) |
|
Settlement Pattern |
เขตพื้นที่ตั้งถิ่นฐานของคนไทมักเป็นที่ลุ่มตามแนวลำห้วยต่าง ๆ ที่ไหลไปรวมกับลำน้ำใหญ่และกลายเป็นแม่น้ำในบริเวณหุบเขาของภาคตะวันตกเฉียงเหนือ แม่น้ำสำคัญในแถบนี้คือ แม่น้ำดำและแม่น้ำม้า พื้นที่ราบลุ่มน้ำที่มีขนาดใหญ่จะมีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น เช่น ตัวเลขประชากรปี ค.ศ. 1971 ชี้ว่าทุ่งราบเมืองเติ๊กมีประชากรมากกว่า 40 คน/ตารางกิโลเมตร ส่วนที่ราบเมืองเซินลาซึ่งมีขนาดเล็กกว่ามีประชากรเพียงประมาณ 20 คน/ตารางกิโลเมตร (หน้า 79) |
|
Demography |
ผู้เขียนแสดงตัวเลขจำนวนประชากรโดยประมาณของกลุ่มที่ทางการเวียดนามจำแนกเป็น "ไท" ว่ามีมากกว่า 360,000 คน (ตามตัวเลขสถิติประชากรในปี ค.ศ.1973, หน้า 13) |
|
Economy |
ลักษณะการตั้งถิ่นฐานของคนไท ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนามตามที่ราบในหุบเขาซึ่งมีลำน้ำไหลผ่าน ทำให้เอื้อต่อระบบการเพาะปลูกแบบนาลุ่ม ข้าวจึงเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญควบคู่ไปกับระบบน้ำในการเพาะปลูก ดังมีคำกล่าวว่า "ข้าวน้ำนั่งเหนือ เงินคำนั่งใต้" (หน้า 91) ระบบการเพาะปลูกในเขตที่ราบในหุบเขานี้อาศัยน้ำจากน้ำฝนและน้ำจากลำน้ำ มีการทำระบบชลประทานขนาดเล็กเรียกว่า "เหมือง ฝาย หลาย ลิน" (หน้า 97-103) ผลผลิตข้าวสามารถทำได้ตั้งแต่ 1,800-2,100 กิโลกรัม/1 เฮกตา (ตัวเลขซึ่งผู้เขียนประมาณจาก "นาเมือง" ของเจ้าเมืองม่วก) นอกจากการทำนาลุ่มแล้วยังมีการทำไร่ในบริเวณที่ลาดซึ่งมีสัดส่วนพื้นที่มากกว่านาลุ่ม ดังเช่นสถิติปี ค.ศ. 1972 มีพื้นที่นาลุ่มประมาณ 30,000 เฮกตา แต่มีพื้นที่ทำไร่สูงถึง 78,000 เฮกตา ที่ไร่เหล่านี้ใช้เพาะปลูกพืชหลายชนิด เช่น ข้าวโพด ฝ้าย มัน รวมทั้งข้าวไร่ด้วย การ "เก็บผัก หาปลา ล่าสัตว์" ก็เป็นวิธีในการแสวงหาผลผลิตที่มีอยู่จากธรรมชาติอีกวิธีหนึ่ง ในการแลกเปลี่ยนมีการใช้ทั้งระบบเงินตราและการแลกเปลี่ยนสิ่งของ ตลาดเป็นสถานที่สำคัญในการนำสิ่งของมาแลกเปลี่ยนและจำหน่าย |
|
Social Organization |
ผู้เขียนแบ่งโครงสร้างชนชั้นทางสังคมออกเป็น 2 ชนชั้นหลักคือ ชนชั้นผู้ปกครองและชนชั้นใต้ปกครอง 1).ชนชั้นผู้ปกครอง ประกอบด้วย ตระกูลผู้ปกครองเมืองต่าง ๆ เช่น ตระกูลคำ บากคำ ฮว่าง แดว (หรือเดียว หรือ ตาว) สา(หรือกาคำ หรือวีคำ) และตระกูลเลือง ผู้ประกอบพิธีกรรมให้แก่ชุมชน 2).ชนชั้นใต้ปกครอง ประกอบด้วยสามกลุ่มย่อยคือ ชาวนาทั่วไป ชาวนาที่ทำหน้าที่พิเศษให้กับชนชั้นผู้ปกครอง (มีชื่อเรียกว่า กวง, ยก และไป้ปั่ว) และกลุ่มทาสหรือเรียกว่า "คนเฮือน" โครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนที่มีหน่วยการปกครองแบบ บ้าน-เมือง ภายใต้โครงสร้างชนชั้นและการปกครองในระบบนี้ ผูกขาดหน้าที่ตามสายตระกูลโดยนับจากญาติฝ่ายชายเป็นหลัก นอกจากนี้ยังสัมพันธ์กับระบบการผลิตข้าวและที่นา กลุ่มคนไทมีระบบที่นากำหนดประเภทตามหน้าที่ของชนชั้นด้วย เช่น นาประเภทต่าง ๆ ของผู้ปกครอง ดังนั้นชนชั้นใต้ปกครองบางกลุ่มนอกจากจะต้องทำนาในที่ดินมรดกตามสายตระกูลของตนแล้วยังมีหน้าที่พิเศษในที่นาของชนชั้นปกครองด้วย |
|
Political Organization |
ระบบเครือข่ายทางการเมืองในระดับที่สูงที่สุดได้พัฒนาจากระบบเมืองมาสู่เมืองหลักหรือเรียกว่า "เจิวเมือง" อาณาบริเวณในเขตปกครองของคนไทในแถบนี้ประกอบด้วยเมืองหลัก 16 เมืองเรียกว่า "สิบหกเจิวไท" ภายใต้เครือข่ายของเมืองหลักเหล่านี้ยังไม่สามารถมีเมืองใดขึ้นมามีอำนาจเป็นศูนย์กลางการปกครองทั้งหมดได แต่จะมีเมืองหลักของแต่ละตระกูลที่เป็นใหญ่ในแต่ละเขต เช่น ในช่วงปลายคริสตศตวรรษที่ 14 มีเมืองหลักคือ เมืองหม้วยของตระกูลคำ เมืองไลของตระกูลแดว เมืองสางของตระกูลสา เป็นต้น แต่เมื่อเปลี่ยนช่วงสมัยของการครองอำนาจ เมืองหลักเหล่านี้อาจลดบทบาทลงและมีเมืองอื่นขึ้นมามีฐานะสำคัญกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองรองกับเมืองหลักที่เป็นศูนย์กลางในแต่ละเขตขึ้นกับอำนาจของเจ้าเมืองหลักในช่วงเวลานั้นๆ หากเจ้าเมืองหลักอ่อนแอ บรรดาเมืองอื่น ๆ ก็จะไปพึ่งพากับเมืองที่มีอำนาจมากกว่า เจ้าเมืองที่มีอำนาจมากมักสร้างความสัมพันธ์กับรัฐที่มีอำนาจเหนือกว่าที่อยู่รายรอบ เช่น เวียดนาม และล้านช้าง โดยอาศัยการส่งบรรณาการและจะได้รับความคุ้มครองรวมทั้งความช่วยเหลือทางการทหารในเวลาสงคราม |
|
Belief System |
คนไทมีระบบความเชื่อว่าบนโลกนี้ประกอบด้วยองค์ประกอบพื้นฐานของสองส่วนหลักคือ ส่วนของสิ่งที่มีชีวิต และส่วนของผี - ส่วนของสิ่งมีชีวิต ได้แก่ มนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายต่างต้องมี "ขวัญ" เป็นสิ่งกำกับการมีชีวิต หากขวัญแยกตัวหนีออกไป ขวัญจะกลายเป็นผีขวัญ และสิ่งมีชีวิตจะกลายเป็นผี - ส่วนของผี ประกอบด้วยผีหลายชนิด นอกจากผีขวัญซึ่งเป็นองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตแล้ว ยังมีผีประเภทต่างๆ เช่น ผีเฮือน ผีบ้าน ผีเมือง ผีธรรมชาติ ผีที่ใหญ่ที่สุดเรียกว่าผีแถนซึ่งอยู่บริเวณที่เรียกว่า เมืองฟ้า ในด้านการประกอบพิธีกรรมผู้เขียนไม่ได้ให้รายละเอียดของพิธีกรรมต่าง ๆ มากนัก กล่าวไว้ทั่วไปว่า พิธีบูชาผีเมือง หรือ "เสนเมือง" มักจะจัดขึ้นในบริเวณที่เป็นศูนย์กลางของชุมชนที่เรียกว่า "เชียง" พิธีนี้ทำขึ้นตามความเชื่อที่ว่า เมืองก็มีขวัญกำกับต้องดูแลขวัญของเมืองให้เป็นปกติ เพื่อให้ประชาชนสามารถทำนาได้ผลดี ผู้ประกอบพิธีเสนเมืองเรียกว่า "มอ, จาง" ส่วนพิธีกรรมบูชากลุ่มผีแถนเรียกว่า พิธี "เสนคืนฟ้าหรือเสนเมือแถน" |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
ผู้เขียนกล่าวถึงความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและการรักษาว่า ผีเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลในการทำให้คนเจ็บไข้และตายได้ (หน้า 394-395) และกล่าวเพียงสั้น ๆ ว่ามีคนที่รู้วิธีปฏิบัติกับผี (หน้า 400-401) แต่ไม่ได้มีรายละเอียดถึงพิธีกรรมในการรักษาโรค |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
มีคำกล่าวถึงพื้นฐานการสร้างสรรค์งานศิลปะและงานฝีมือของกลุ่มคนไทไว้ว่า "หญิงฮู้เฮ็ดฝ้าย ชายฮู้สานแห" โดยทั่วไปการสร้างสรรค์งานได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ ลวดลายบางอย่างมาจากความเชื่อ เช่น ลายตัวเงือก ตัวลิง มักปรากฏในงานทอผ้า ส่วนงานสลักไม้ประดับหลังคาที่เรียกว่า "เขากูด" ก็มีที่มาของความหมายหลายประการ ทั้งจากเขาสัตว์ และพืชบางชนิด ผู้เขียนได้จัดให้การแสดงและการร้องเพลงอยู่ในประเภทของศิลปะ ซึ่งได้แก่ -การแสดงรำฟ้อน ผู้เขียนได้เสนอว่า ในปี ค.ศ. 1968 คณะวิจัยการแสดงฝ่ายวัฒนธรรมเขตปกครองตนเองภาคตะวันตกเฉียงเหนือได้รวบรวมไว้ว่าการแสดงพื้นเมืองของชนเผ่าไทมีจำนวน 36 ชนิด -เพลงพื้นเมือง เรียกว่า "ขับ" บทร้องเรียกว่า "ความขับ" ซึ่งมีหลายประเภท เช่น "ขับหมอ-ขับมด" ใช้ในพิธีกรรม, "ขับสือ" เป็นการขับเล่าเรื่อง, "ขับบ่าวสาว" เป็นการขับละเล่นระหว่างชาย-หญิง |
|
Folklore |
ผู้เขียนกล่าวไว้ว่ากลุ่มคนไทเป็นชนชาติส่วนน้อยที่มีภาษาและวรรณกรรมของตนเอง ซึ่งแบ่งได้เป็นวรรณกรรมบอกเล่า วรรณกรรมคำสอน และวรรณคดี เช่น เจืองหาน นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งประเภทวรรณกรรมตามเนื้อหา ได้แก่ 1).วรรณกรรมเนื้อหาประวัติศาสตร์และสังคม เช่น ความโตเมือง ความไตปู้เศิก ความแพงเมือง 2).วรรณกรรมเนื้อหาจารีตปฏิบัติ เช่น ความสอนคน 3).วรรณกรรมเนื้อหาศาสนาความเชื่อ เช่น บทเรียกขวัญ บทตามขวัญ บทส่งผีขึ้นฟ้า วรรณกรรมท้องถิ่นของกลุ่มไทยังได้รับอิทธิพลจากสังคมรอบข้าง เช่น ลาฮา ขมุ เวียดนาม จีน และลาว |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ผู้เขียนแบ่งกลุ่มคนไทออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มไทดำและกลุ่มไทขาว โดยอาศัยเกณฑ์ความต่างของประวัติการเคลื่อนย้ายเข้ามายังพื้นที่ต่างๆ ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนามเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม แม้ผู้เขียนจะใช้เกณฑ์ประวัติการเคลื่อนย้ายถิ่นของแต่ละกลุ่ม แต่ผู้เขียนยังไม่ได้จำแนกกลุ่มไทขาวตอนบนและไทขาวตอนเหนือที่มีประวัติการเคลื่อนย้ายถิ่นแตกต่างกันให้เป็นคนละกลุ่มกันตามเกณฑ์ที่ผู้เขียนตั้งไว้แต่ต้น และยังคงเรียกทั้งสองกลุ่มนี้ว่าเป็นไทขาวเหมือนกัน (หน้า 25-63) เพราะฉะนั้นเกณฑ์การพิจารณาเพื่อจำแนกกลุ่มระหว่างไทดำและไทขาวโดยอาศัยประวัติการเคลื่อนย้ายถิ่นตามผู้เขียนจึงยังไม่เพียงพอ และต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผู้เขียนนำเสนอการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมไทในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม ในช่วงอิทธิพลระบบอาณานิคมฝรั่ง (ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19) และหลังการปลดปล่อยประเทศ (ค.ศ.1954) ภายใต้อิทธิพลของระบบอาณานิคมฝรั่งเศส ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองท้องถิ่นกับราชสำนักเวียดนามสิ้นสุดลง ระบบการปกครองแบบจารีตของคนไทหรือที่เรียกว่า "ระบบเพี้ยท้าว" ดำเนินไปภายใต้การควบคุมของฝรั่งเศส ประชาชนทั่วไปต้องอยู่ภายใต้ทั้งอำนาจของเพี้ยท้าวและอำนาจของฝรั่งเศส ซึ่งนับวันก็สร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านมากขึ้น เป็นผลให้ประชาชนในท้องถิ่นพยายามลุกขึ้นต่อสู้กับผู้ปกครองทั้งสองระบบนี้ โดยอาศัยแนวทางอุดมการณ์แห่งการปลดปล่อยประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ซึ่งเริ่มเข้ามามีบทบาทในท้องถิ่นโดยเฉพาะที่เซินลาในราวปี ค.ศ.1932 เป็นต้นมา หลังการปลดปล่อยประเทศปี ค.ศ. 1954 เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายด้านภายใต้ศูนย์กลางนโยบายการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เช่น การเร่งสร้างเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร การเปลี่ยนแปลงระบบที่จากที่นาในสังกัดระบบเพี้ยท้าว มาสู่การปันที่นาแก่ประชาชน การพัฒนาระบบสาธารณสุขและระบบโรงเรียนในท้องถิ่น การพัฒนาระบบอักษรไทในท้องถิ่นให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน การรวบรวมเอกสารวรรณกรรม และการยกระดับการแสดงในท้องถิ่น ในประเด็นนี้ผู้เขียนไม่ได้แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงทางอัตตลักษณ์ชาติพันธุ์ |
|
Map/Illustration |
แผนที่แสดงเขตการตั้งถิ่นฐานของแต่ละกลุ่ม (หน้า 27) |
|
|