สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ไทดำ,วรรณกรรมท้องถิ่น,เวียดนาม
Author Phan Đăng Nhật, Nguyễn Ngọc Tuấn
Title Chương Han sử thi Thái
Document Type หนังสือ Original Language of Text ภาษาเวียดนาม
Ethnic Identity ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ห้องสมุดสถาบันชาติพันธุ์วิทยา ฮานอย, ห้องสมุดสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ฮานอย Total Pages 335 Year 2546
Source สำนักพิมพ์ Khoa hoc xa hoi : Ha Noi
Abstract

เอกสารเล่มนี้เป็นการรวมบทวิเคราะห์วรรณกรรมเจืองหานซึ่งปรากฏแพร่หลายในกลุ่มชาติพันธุ์ "ไท" ที่อาศัยอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม โดยพยายามรวบรวมสำนวนของวรรณกรรมเจืองหานที่ได้รับการบันทึกด้วยอักษรไทโบราณหลายสำนวนมาทำการวิเคราะห์ในเชิงคุณค่าทางวรรณกรรมท้องถิ่น และภาพสะท้อนทางประวัติศาสตร์สังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ "ไท" ในเวียดนาม นอกจากนี้ยังพยายามที่จะเสนอบทวิเคราะห์เปรียบเทียบกับนักวิชาการชาติอื่น ๆ ที่เคยทำการวิเคราะห์วรรณกรรมเรื่องนี้ เช่น นักวิชาการจากตะวันตก และ ลาว

Focus

เสนอและวิเคราะห์มหากาพย์เรื่อง "เจืองหาน" ซึ่งเป็นวรรณกรรมท้องถิ่นที่สำคัญของกลุ่มคน "ไท" ในเวียดนาม และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Theoretical Issues

ไม่มีประเด็นทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ เป็นการรวบรวมบทวิเคราะห์วรรณกรรมเจืองหานในแนวคิดต่าง ๆ เช่น แนวประวัติศาสตร์กลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งกล่าวถึงการเชื่อมโยงที่มาทางประวัติศาสตร์ของกลุ่มชาติพันธุ์ "ไท" (Thai) และ "ไต" (Tay) ในเวียดนามตั้ง แต่ต้นคริสต์ศตวรรษ (หน้า 32) รวมไปจนถึงการอ้างอิงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในท้องถิ่นที่ถูกเรียกชื่อว่าเป็น "ศึกเจือง" อันเป็นลักษณะของการลุกขึ้นมาต่อต้านอำนาจจากคนในท้องถิ่นที่เกิดขึ้นหลายครั้ง ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 (หน้า 302) แนววิเคราะห์ด้านการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมได้เสนอถึงความสัมพันธ์ของวรรณกรรมเจืองหานและวรรณกรรมท้าวฮุ่งท้าว เจือง ซึ่งมีเนื้อหาเดียวกันและแพร่หลายในบริเวณภาคเหนือของเวียดนามตลอดจนถึงประเทศลาวและประเทศไทย นอกจาก นั้น ยังแพร่เข้าไปในหมู่ชนขมุอีกด้วย (หน้า 296) และยังมีแนวการวิเคราะห์โดยการแยกแยะโครงเรื่องหลักและโครงเรื่องย่อย ของ วรรณกรรมเจืองหาน

Ethnic Group in the Focus

คณะผู้ศึกษาได้เสนอกลุ่มชาติพันธุ์หลักที่เกี่ยวข้องในวรรณกรรมเจืองหาน ว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ "ไท" ในเวียดนาม ไทในลาว และไทยในประเทศไทย แต่ได้เน้นความสำคัญของกลุ่มชาติพันธุ์ "ไท" ในเวียดนามเป็นหลัก นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงกลุ่มขมุ และ "ไต" ในเวียดนามในฐานะที่ได้รับอิทธิพลทางวรรณกรรมเรื่องนี้ด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่า เนื้อความในวรรณกรรมเจืองหานไม่ได้กล่าวถึงการจำแนกกลุ่มคนไทออกเป็น ไทดำ ไทขาว ตามที่รับรู้กันในช่วงหลัง แต่วรรณกรรมแสดงความเป็นชาติพันธุ์ดังกล่าวว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน โดยอาศัยการอ้างอิงบรรพบุรุษที่เป็นผู้นำร่วมกันคือ "เจืองหาน" นอกจากนี้ ยังปรากฏชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่ไม่ใช่กลุ่ม "ไท" ได้แก่ คนหาต (Hat) คนแมน (Men) คนแกว (Keo) อยู่ด้วย

Language and Linguistic Affiliations

ผู้ศึกษาไม่ได้กล่าวถึงประเด็นทางภาษาศาสตร์โดยเฉพาะ ดังนั้นจึงไม่ได้อธิบายถึงกลุ่มตระกูลภาษาในการศึกษาครั้งนี้ อย่างไรก็ตามเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า เจืองหานเป็นวรรณกรรมที่แพร่หลายในกลุ่มชาติพันธุ์ "ไท" ในเวียดนาม และได้รับการบันทึกเป็นอักษรไทที่ใช้ในบริเวณภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม ดังนั้นจึงทำให้เข้าใจได้ว่า ข้อมูลเบื้องต้นของวรรณกรรมเจืองหานที่ผู้ศึกษานำมาวิเคราะห์นี้จัดอยู่ในกลุ่มภาษาตระกูลไท

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ผู้ศึกษาได้อาศัยเอกสารอื่นประกอบการวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์ในวรรณกรรมเจืองหาน ของกลุ่มชาติพันธุ์ "ไท" ในเวียดนามจากเอกสารท้องถิ่น เช่น ความไทปู้เศิก ความโต้เมือง รวมถึงข้อเสนอทางประวัติศาสตร์จากงานศึกษาเรื่อง "ข้อมูลทางประวัติศาสตร์และสังคมกลุ่มชาติพันธุ์ "ไท" " โดย ดั่ง เงียม หว่าน (1977) และเรื่อง "คน "ไท" ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม" ของ เกิ่มจ่อง (1978) เป็นแนวทางสำคัญประกอบกับการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์จากวรรณกรรมเจืองหานเล่มนี้ โดยกล่าวว่า มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่เวียดนามเรียกว่า "ไท" (Thai) และ "ไต" (Tay) อาศัยแถบตอนเหนือของเวียดนามมาตั้งแต่ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 1 แล้ว หากแต่ในระยะเวลานั้นมีจำนวนไม่มาก จนกระทั่งราวคริสต์ศตวรรษที่ 10 จึงได้มีการเคลื่อนย้ายของกลุ่ม "ไท" เข้ามายังบริเวณภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม ซึ่งบริเวณนี้เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชนที่ใช้ภาษามอญ-ขแมร์มาก่อน ดังปรากฏในคำบอกเล่าที่กล่าวต่อๆ กันมาของกลุ่มคน "ไท" ว่า ในเวลานั้นมี "555 พวกส่า" อยู่มาก่อนแล้ว(หน้า 32) เอกสารต่าง ๆ ได้กล่าวถึงการเคลื่อนย้ายของกลุ่ม "ไท" เข้ามายังเวียดนามว่า เข้ามาทางเมืองลอ ภายใต้การนำของ "ลานเจือง" จากนั้นเคลื่อนไปทางตะวันตกผ่านเมืองลา เมืองควาย ไปยังเมืองแถง หรือเดียนเบียนฟูปัจจุบัน พัฒนาการของชุมชนได้ขยายและเติบโตขึ้นจนคนไทมีคำกล่าวว่า "ดินไทเฮามีสิบหกเจิวแต่หลัง" ซึ่งหมายถึงมีเมืองสำคัญของคน "ไท" ในบริเวณนี้ถึงสิบหกเมือง ซึ่งได้แก่ เมืองลอ เมืองเตี๋ยน เมืองเติ๊ก เมืองสาง เมืองวาด เมืองมวก เมืองลา เมืองหม้วย เมืองแถง เมืองไล เมืองตุง เมืองฮว่าง เมืองเตียง เมืองเชียงแขม เมืองชุบ เมืองมี ผู้ศึกษาได้วิเคราะห์ว่า การเคลื่อนย้ายของคน "ไท" เข้ามายังดินแดนที่มีชนกลุ่มมอญ-ขแมร์ตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อนแล้ว ทำให้เกิดการสู้รบระหว่างเผ่า อีกทั้งการขยายตัวของบรรดาเมืองสำคัญต่าง ๆ ของคน "ไท" เองทำให้เกิดการสู้รบกันเองภายในระหว่างกลุ่มคน "ไท" ด้วยกัน ซึ่งเหตุการณ์สงครามเหล่านี้ได้ปรากฏและสะท้อนให้เห็นในเรื่องราวของวรรณกรรมเจืองหาน ทั้งนี้ผู้ศึกษาได้ชี้ให้เห็นถึงความหมายทางสังคมของคำว่า "เจืองหาน" ว่า มิได้หมายถึงเพียงแค่ตัวแทนของวีรบุรุษที่มีอิทธิพลเข้มแข็งที่สุดของเมืองใดเมืองหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นภาพลักษณ์ของผู้นำในระดับต่าง ๆ ของชุมชนที่มีบทบาทในการทำสงครามต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยของการออกเสาะแสวงหาบ้านเมือง จนกระทั่งถึงสมัยของการขยายตัวของบรรดาเมืองใหญ่

Settlement Pattern

กลุ่ม "ไท" ที่กล่าวถึงในวรรณกรรมเจืองหานเป็นกลุ่มที่เคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานตามเขตภูเขา ในบริเวณภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนามปัจจุบัน ซึ่งแต่เดิมเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลมอญ-ขแมร์มาก่อน จากนั้นกลุ่ม "ไท" ได้ขยายเขตการตั้งถิ่นฐานครอบคลุมตั้งแต่เมืองลอทางฝั่งตะวันออก ไปจนถึงเมืองแถงที่อยู่ทางฝั่งตะวันตก

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

ไม่มีข้อมูล

Social Organization

เนื้อหาในวรรณกรรมเจืองหานไม่ได้เน้นที่จะแสดงลักษณะทางชนชั้นสังคมโดยตรง อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่ปรากฏในวรรณกรรม ได้แสดงให้เห็นถึงโครงสร้างชนชั้นในสังคมอย่างคร่าว ๆ ว่าประกอบด้วย 2 ชนชั้นหลัก ได้แก่ ชนชั้นผู้ปกครอง และชนชั้นใต้ปกครอง โดยที่ผู้ที่มีฐานะในกลุ่มชนชั้นผู้ปกครองจะมีคำนำหน้าว่า "ต่าว" (Tao)

Political Organization

วรรณกรรมเจืองหานไม่ได้กล่าวถึงระบบความสัมพันธ์ทางการเมืองของกลุ่มคน "ไท" อย่างละเอียด แต่ก็ได้แสดงให้เห็นภาพของความเคลื่อนไหวของผู้นำที่มีชื่อในวรรณกรรมว่า "เจืองหาน" ว่าเป็นผู้นำที่พยายามรวบรวมหน่วยการปกครองในบริเวณภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของระบบความสัมพันธ์ของชุมชนในระดับที่เรียกว่า "บ้านกับเมือง" โดยที่ในแต่ละเมืองจะประกอบด้วยหมู่บ้านหลายหมู่บ้านรวมกัน และเมืองแต่ละเมืองก็ไม่ได้มีขนาดที่เท่ากัน บางเมืองมีขนาดใหญ่ บางเมืองมีขนาดเล็ก ในระหว่างเมืองต่างๆ ต่างก็มีฐานะเป็นอิสระต่อกันในทางการปกครอง แต่มีความสัมพันธ์ในเชิงเครือญาติ ไม่มีเมืองใดที่ขึ้นมาเป็นศูนย์กลางทางอำนาจเหนือบรรดาเมืองต่างๆ ทั้งหมด แต่เมื่อมาถึงยุคของเจืองหาน ได้มีวีรบุรุษผู้ที่ทำสงครามระหว่างฟ้ากับมนุษย์ และทำสงครามระหว่างเมืองต่าง ๆ เพื่อรวบรวมให้อยู่ภายใต้หน่วยการปกครองเดียวกัน

Belief System

วรรณกรรมเจืองหานได้สะท้อนความเชื่อเรื่องผีและระบบจักรวาลของคน "ไท" ในเวียดนาม โดยเฉพาะเนื้อหาในส่วนแรกที่กล่าวถึงการสู้รบระหว่างกองทัพของเจืองและกองทัพของกลุ่มผีฟ้า และสถานภาพของเจืองก็คือ ลูกของแถนตนหนึ่ง แต่เป็นตัวแทนของกองทัพมนุษย์ที่อยู่บนพื้นดิน ดังนั้นเนื้อหาจึงแสดงให้เห็นการแบ่งจักรวาลเบื้องต้นในความเชื่อของกลุ่มคน "ไท" ว่า ประกอบด้วยส่วนที่เป็นพื้นโลก ซึ่งเป็นดินแดนของมนุษย์ และส่วนที่อยู่ที่อยู่บนท้องฟ้าเรียกว่า "เมืองฟ้า" ซึ่งเป็นที่อยู่ของแถนจำนวน 11 ตน หลังจากการรบครั้งแรกระหว่างมนุษย์กับเมืองฟ้า เจืองก็ได้เป็นผู้นำในการสร้างสังคมบนโลกมนุษย์ต่อมา

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ผู้ศึกษาได้แสดงให้เห็นว่า วรรณกรรมเจืองหานมีความสำคัญในฐานะของวรรณกรรมท้องถิ่นที่มีพัฒนาการมาจากวรรณกรรมบอกเล่า และต่อมาได้รับการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร คุณค่าที่สำคัญประการหนึ่งเมือมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์คือ การแสดงถึงการดำรงอยู่ของการใช้อักษรไทชุดหนึ่งในบริเวณภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม ในการรวบรวมตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ได้ใช้เอกสารเก่าที่บันทึกด้วยอักษรไทไว้เป็นต้นเค้าในการรวบรวมและวิเคราะห์ รวมทั้งตีพิมพ์ออกมาจากต้นฉบับของ ลอวันเซา (Lo Van Sau) บ้านนาม ตำบลเชียงจุง อำเภอมายเซิน (เมืองม่วก) จังหวัดเซินลา, คำบาว (Cam Bao) เจ้าหน้าที่แผนกวัฒนธรรมภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ลอวันอุย (Lo Van Ui) บ้านเพียงเหงื่อ ตำบลเชียงโสม จังหวัดเซินลา และสำนวนฉบับอื่นๆ ที่ใช้ประกอบซึ่งปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่ห้องวรรณศิลป์ แผนกวัฒนธรรมภาคตะวันตกเฉียงเหนือ นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวถึงคุณค่าของวรรณกรรมเจืองหาน ที่ถูกนำมาเล่นเป็นบทร้อง หรือที่เรียกว่า "ขับ" ซึ่งเป็นลักษณะอย่างหนึ่งของการละเล่นพื้นบ้าน ที่มีอยู่ในท้องถิ่นภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ผู้ศึกษาได้พยายามวิเคราะห์ว่า วรรณกรรมเจืองหานสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของบรรดากลุ่มคน "ไท" ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนามในยุคแรกเริ่ม เมื่อคน "ไท" เคลื่อนย้ายเข้ามาอยู่ในบริเวณดังกล่าวและเริ่มตั้งถิ่นฐานเป็นหน่วยปกครองระดับเมือง สงครามที่เกิดขึ้นในวรรณกรรมแสดงให้เห็นความเป็นอิสระของเมืองต่างๆ การต่อสู้ในระหว่างกลุ่มคน "ไท" ด้วยกันและการต่อสู้ระหว่างกลุ่มคน "ไท" กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อนในบริเวณนี้ ความพยายามรวบรวมอำนาจการปกครองของบริเวณดังกล่าว เกิดขึ้นโดยผู้นำที่มีชื่อว่า "เจืองหาน"

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Text Analyst พิเชฐ สายพันธ์ Date of Report 25 ก.ย. 2567
TAG ไทดำ, วรรณกรรมท้องถิ่น, เวียดนาม, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง