สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,วัฒนธรรม,หล่าวกาย,เวียดนาม
Author เจิ่นหือว์เซิน
Title วัฒนธรรมม้ง
Document Type หนังสือ Original Language of Text ภาษาเวียดนาม
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
แผนกวัฒนธรรมและแถลงข่าวจังหวัดหล่าวกาย Total Pages 260 Year 2539
Source จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Van hao dan toc
Abstract

เนื้อหาหลักกล่าวถึงประเด็นทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ที่ตั้งถิ่นฐานในจังหวัดหล่าวกาย ภาคเหนือของประเทศเวียดนาม โดยแสดงลักษณะวัฒนธรรมจารีตตามแบบประเพณีดั้งเดิม วัฒนธรรมทางความเชื่อ ภาษา วรรณกรรม ศิลปะ การแต่งกาย ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมกับชนกลุ่มต่างๆ และปัญหาทาง วัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ นอกจากนี้ ผู้เขียนยังได้ให้ข้อมูลแวดล้อม ที่เป็นพื้นฐานทางด้าน ประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ และสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งในเวียดนามด้วย

Focus

วัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งในจังหวัดหล่าวกาย ภาคเหนือของประเทศเวียดนาม รวมทั้งข้อมูลพื้นฐานทางประวัติศาสตร์, เศรษฐกิจและสังคม

Theoretical Issues

ผู้ศึกษาไม่ได้เสนอว่างานศึกษาชิ้นนี้ใช้แนวคิดทางทฤษฎีใดอย่างชัดเจน เนื้อหาที่ปรากฎเป็นการเสนอลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมในด้านต่างๆ ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งในเขตจังหวัดหล่าวกาย ในส่วนที่เป็นแนวคิดต่อการนำเสนอเนื้อหาเหล่านี้คือเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ซึ่งเกิดขึ้นจากการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมจากกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ใกล้ชิดกัน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่ได้รับผลมาจากกลุ่มชาวเวียดนาม ซึ่งมีพลังมาจากอิทธิพลทางด้านชาตินิยม ในขณะที่กลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ เช่น "ไต", ปู้ลา, เย้า ซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับม้งกว่านั้น ม้งยังคงแสดงความแตกต่างทางวัฒนธรรมให้ปรากฏในด้านต่าง ๆ เพื่อแสดงขอบเขตหรืออัตลักษณ์ของกลุ่มตน เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวไม่ได้มีพลังต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมและวัฒนธรรมมากเท่ากับเวียดนาม ตามแนวทางการเขียนงานชาติพันธุ์วรรณนาของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งในเขตจังหวัดหล่าวกาย

Ethnic Group in the Focus

ผู้เขียนศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่ตั้งถิ่นฐานในจังหวัดหล่าวกาย โดยจำแนกออกได้เป็น 4 กลุ่มย่อยคือ 1) ม้งฮวาหรือม้งเหล่ง (Hmong hoa or Hmong lenh) เป็นกลุ่มที่มีจำนวนประชากรม้งมากที่สุดถึง 70% ของจังหวัดหล่าวกาย ตั้งถิ่นฐานในอำเภอบั๊กห่า อำเภอเมืองเคือง อำเภอซาปา อำเภอบ่าวถัง และอำเภอบ่าวเอียน 2) ม้งดำหรือม้งดู๋ (Hmong den or Hmong du) ตั้งถิ่นฐานกระจายในอำเภอบ้าดซ้าด และอำเภอซาปา 3) ม้งน้ำเงินหรือม้งจั๋ว (Hmong xanh or Hmong chua) ตั้งถิ่นฐานรวมกันที่ ตำบลเนิ่มแส อำเภอวันบ่าน 4) ม้งขาวหรือม้งดื๋อ (Hmong trang or Hmong du) ตั้งถิ่นฐานกระจายในเขตอำเภอบั๊กห่า อำเภอบ้าดซ้าด อำเภอวันบ่าน และอำเภอซาปา

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาของม้งจัดอยู่ในตระกูลม้ง-เย้า แม้ว่าม้งจะใช้ภาษาม้งร่วมกันแต่ก็มีความแตกต่างในการใช้ภาษาบางประการระหว่างม้งกลุ่มต่าง ๆ เช่น การออกเสียงของพยัญชนะต้นสำหรับใช้เป็นเสียงนำมีตั้งแต่ 51-57 เสียงนำ ม้งขาวมี 57 เสียงนำ ม้งดำมี 55 เสียงนำ ในด้านระดับเสียง ม้งน้ำเงินมีระดับเสียงถึง 8 ระดับ ส่วนม้งดำและม้งขาวมี 7 ระดับ เป็นต้น โครงสร้างภาษาของม้ง มีรูปประโยคเรียงลำดับตาม ประธาน กริยา และกรรม เช่น ประโยค "Laul nox siez" หมายถึง ฉันกินข้าว แต่คำขยายหรือคำวิเศษณ์จะวางไว้ด้านหลังคำนามที่ต้องการขยายความ เช่น ประโยค "Viex Nangk dris" หมายถึง ชายแดนเวียดนาม ลักษณะพิเศษอีกประการหนึ่งของภาษาม้งคือ การใช้คำซ้ำ ในกรณีของคำวิเศษณ์ ทำให้เกิดความหมาย "ที่สุด" เช่น คำว่า "jong" หมายถึง สวย หากใช้ว่า "jong jong" จะหมายถึง สวยที่สุด ในกรณีของคำนาม ทำให้เกิดความหมาย "ทั้งหมด" เช่น คำว่า "joal" หมายถึง หมู่บ้าน หากใช้ว่า "joal joal" จะหมายถึง (บรรดา) หมู่บ้านทั้งหมด ลักษณะสำคัญอีกประการหนึ่งของภาษาม้งคือ มีแต่ภาษาพูด ไม่มีภาษาเขียน ดังนั้นการถ่ายทอดภาษาและวัฒนธรรมของม้งใช้วิธีถ่ายทอดผ่านการบอกเล่า

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ประวัติการเคลื่อนย้ายของกลุ่มม้งในเขตจังหวัดหล่าวกาย มีมานานกว่า 200 ปี โดยแบ่งเป็นการเคลื่อนย้ายใหญ่ 3 ครั้งคือ 1) ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ม้งจากมณฑลกวี๋เจิว ประเทศจีน ได้อพยพผ่านยูนนานเข้ามายังเขตหล่าวกาย เนื่องจากสาเหตุของการต่อต้านระบบศักดินาในจีน ในครั้งนั้นผู้นำม้งชื่อ ฮว่าง สิน เสิน (Hoang Sin Dan) ได้นำม้งจำนวน 80 ครัวเรือนประกอบด้วยตระกูล ฮว่าง หว่าง หลู่ เจิ๋น สุ่ง และหวู เข้ามาตั้งถิ่นฐานในเขต ซีมากาย (Si Ma Cai) ของอำเภอบั๊กห่า ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดหล่าวกายติดกับเขตชายแดนจีน จากนั้นมาอีก 3 ชั่วอายุคน หลี ถ่าง ปัว (Ly Thang Pua) ได้นำม้ง 30 ครัวเรือนขยายออกไปตั้งบ้านเรือนในเขตอำเภอซาปา 2) กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 (1840-1869) เกิดเหตุการณ์กบฎไต้ผิง (Thai Binh thien quoc) ในตอนใต้ของจีน ทำให้ม้งอพยพเข้ามาในเขตหล่าวกายกว่าหมื่นคน แบ่งเป็น 3 กลุ่มย่อยคือ 2.1) กลุ่มแรกนำโดย แส่ว โก ฝิ่น (Seo Co Phin) เข้ามายังเขตเมืองเคือง 2.2) กลุ่มที่สองนำโดย หลุ่ง จุง (Lung Chung) เข้ามายังบ้านเหลิ่ว 2.3) กลุ่มที่สามโดยผู้นำตระกูลฮว่าง เข้ามาตั้งถิ่นฐานในเขต ซีมากาย อำเภอบั๊กห่า บริเวณเดียวกับกลุ่มม้งที่อพยพเข้ามาครั้งแรกตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 เขตซีมากายในอำเภอบั๊กห่า จึงกลายเป็นเขตที่ตั้งถิ่นฐานของม้งกลุ่มใหญ่ที่สุด ดังนั้น ในเวลาต่อมา ม้งในเขตนี้จึงได้ขยายตัวออกไปตั้งถิ่นฐานตามแหล่งต่าง ๆ คือ 2.3.1) สายแรกย้ายไปยัง แทงฝู(Thanh Phu), ลาวจ่าย(Lao Chai) เขตซาปา 2.3.2) สายที่สองโดยผู้นำตระกูลม้า (Ma) และตระกูลหว่าง (Vang) ไปยัง ลุงจ่าย (Lung Chai) ซานส่าโห่ (San Sa Ho) เขตซาปา 2.3.3) สายที่สามข้ามเขตซาปา ผ่านอำเภอทานเอวียน (Than Uyen) ถึงอำเภอหมู่กังจ่าย (Mu Cang Chai) และอำภอวันบ่าน(Van Ban) ในกลุ่มนี้ประกอบด้วยม้งน้ำเงิน ซึ่งตั้งถิ่นฐานรวมกันเฉพาะในตำบลเนิ่มแส อำภอวันบ่าน 3) ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นการเคลื่อนย้ายของม้งเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเขตอำเภอบ้าดซ้าด อำเภอบ่าวถัง อำเภอบ่าวเอียน และในเขตอำเภอทานเอวียน จังหวัดหล่าวกาย

Settlement Pattern

ม้งในจังหวัดหล่าวกายตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตที่สูง ซึ่งมีระดับความสูงประมาณ 700-1800 เมตร แบบแผนการตั้งบ้านเรือนมักขึ้นกับพื้นที่ทำไร่เป็นหลัก หากพื้นที่ป่าสำหรับทำไร่ในบริเวณใกล้เคียงกับชุมชนหมดลง ม้งจะพากันย้ายถิ่นฐานเพื่อตั้งบ้านเรือนใหม่ ดังนั้น จึงพบว่าสถิติของการย้ายถิ่นของม้งจะสูงมากและเกิดขึ้นตลอดเวลา นอกจากนี้ ยังเห็นได้ว่า ชุมชนม้งแต่ละชุมชนจะมีขนาดเล็กเนื่องจากข้อจำกัดด้านสภาพแวดล้อม

Demography

ประชากรม้งในจังหวัดหล่าวกาย ตามตัวเลขสถิติประชากรปี ค.ศ.1989 มีจำนวน 99,105 คน คิดเป็นสัดส่วน 21.72% ของประชากรทั้งหมด จัดเป็นกลุ่มใหญ่อันดับที่สองรองจากประชากรกลุ่มเวียดในจังหวัดหล่าวกาย ในจำนวนประชากรม้งในจังหวัดหล่าวกายนี้ เกือบครึ่งหนึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตอำเภอบั๊กห่าคือมีจำนวนถึง 40,506 คน ที่เหลือนอกจากนั้นกระจายอยู่ตามอำเภอต่าง ๆ ทั่วทุกอำเภอของจังหวัดหล่าวกาย

Economy

ระบบเศรษฐกิจของม้งในจังหวัดหล่าวกายยังใช้แบบแผนเศรษฐกิจแบบจารีต คือการทำไร่บนที่สูง เนื่องจากม้งมักตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตภูเขาสูง พืชไร่สำคัญคือ ข้าวโพด และข้าวไร่ การทำไร่ของม้งอาศัยการถางพื้นที่ป่า ทำให้เกิดการทำลายป่า ดังตัวอย่างเช่น ในช่วงปี 1977-1987 พื้นที่ป่าของเขตฮว่างเลียนเซิน(ชื่อเดิมของพื้นที่จังหวัดหล่าวกาย) ถูกทำลายไป 37,779 เฮกตา ในระยะแรกของการทำไร่พื้นที่ไร่มักจะตั้งอยู่ใกล้กับบริเวณที่ตั้งเรือน แต่ระบบการทำไร่ชนิดนี้มีความจำเป็นต้องย้ายพื้นที่ในแต่ละปี ดังนั้น เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ม้งจำเป็นต้องออกไปทำไร่ซึ่งอยู่ห่างไกลจากที่ตั้งครัวเรือนถึง 15-20 กิโลเมตร มิฉะนั้นต้องย้ายที่ตั้งถิ่นฐานเพื่อหาพื้นที่ป่าสำหรับทำไร่ จึงพบว่า สถิติของการเคลื่อนย้ายประชากรในบริเวณที่ตั้งถิ่นฐานของม้งเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ นอกจากพืชไร่ที่ปลูกในระบบจารีตแล้ว ปัจจุบันม้งได้รับการส่งเสริมให้ปลูกพืชเศรษฐกิจจากรัฐบาล คือ ต้นลูกพรุน แต่ยังไม่สามารถกระจายไปได้มาก เนื่องจากการทำไร่ลูกพรุนต้องอาศัยความรู้ใหม่ในการดูแลรักษา เทคโนโลยีในการเพาะปลูก ซึ่งแตกต่างจากความรู้และเทคโนโลยีเดิมที่ม้งเคยทำพืชไร่ดั้งเดิมของตนเอง สัตว์ที่มีค่าทางเศรษฐกิจที่ม้งเลี้ยง ได้แก่ ไก่ หมู วัว ควาย และม้า สัตว์เหล่านี้ถูกนำมาเป็นอาหารและใช้แรงงาน นอกจากนี้ยังมีค่าสำหรับเลือกใช้ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ด้วย สถานที่ในการค้าขายแลกเปลี่ยนของม้งคือตลาดนัด ซึ่งเป็นระบบตลาดแบบจารีตของม้ง ตลาดนัดม้งจะเกิดขึ้นในระยะรัศมีประมาณ 17-20 กิโลเมตรต่อหนึ่งตลาดนัด ตลาดนัดขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงจะเกิดขึ้นทุก ๆ 5 วัน เช่น ตลาดฟาลองอำเภอเมืองเคือง ตลาดน่านโก่อำเภอบั๊กห่า และตลาดซีมากายที่ตำบลซีมากาย (ปัจจุบันเป็นอำเภอ) ตลาดนัดม้งไม่เป็นเพียงแค่สถานที่ซื้อขายสินค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นที่สำหรับม้งมาพบปะ เที่ยว และสนุกสนานกัน ในส่วนสินค้าที่นิยมนำมาแลกเปลี่ยนนั้น ได้แก่ ข้าวโพด ผัก ไก่ ผ้าย้อม เกลือ และน้ำมัน

Social Organization

ม้งมีความเชื่อว่า ตนมีบรรพบุรุษร่วมกันคือ "ปู่เซิว" (Pu dau) แม้ปัจจุบันจะมีการเรียกชื่อตระกูลแตกต่างกันไปเป็นจำนวนมากก็ตาม แต่ม้งถือว่าพวกตนเป็นพี่น้องร่วมกัน ดังนั้น ปัจจัยพื้นฐานความสัมพันธ์ทางสังคมจึงมาจากระบบสายตระกูล ม้งในจังหวัดหล่าวกายมีชื่อของตระกูลมากกว่า 30 ชื่อ ชื่อต่าง ๆ มีความหมายที่น่าสนใจ เป็นตัวอย่างดังนี้ 1) ชื่อตระกูลที่นำมาจากชื่อสัตว์ เช่น ตระกูลสุ่ง (Sung - หมี) ตระกูลเหิ่ว (Hau - ลิง) ตระกูลโหล่ (Lo - ลา) ตระกูลม้า (Ma - ม้า) ตระกูลส่าง (Giang - แพะ) ตระกูลหลุ่ง (Lung - มังกร) เป็นต้น 2) ชื่อตระกูลที่มาจากคำเรียกสี เช่น ตระกูลฮว่าง (Hoang - สีเหลืองทอง) ตระกูลหลู่ (Lu - สีเขียว) ตระกูลหุ่ง (Hung - สีแดง) 3) ชื่อตระกูลที่มาจากชื่อต้นไม้ เช่น ตระกูลท่าว (Thao - ต้นดอกท้อ) ตระกูลหลี (Ly - ต้นลูกพรุน) 4) ชื่อตระกูลที่มาจากชื่อเรียกสิ่งของ เช่น ตระกูลกือ (Cu - กลองสำริด) ตระกูลแถ่น (Then -ตะกร้า) นอกจากนี้ยังมีอีกหลายชื่อตระกูลที่ยังไม่สามารถทราบที่มาและความหมายของชื่อ เช่น หมั่ว (Mua) เจิว (Chau) ฝ่าง (Phang) เติ่น (Tan) จ๋าง (Trang) หะง์ (Hang) เป็นต้น ในแต่ละตระกูลจะมีข้อห้ามต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน ทั้งข้อห้ามในการกินอาหาร ข้อห้ามในแบบแผนปฏิบัติ และข้อปฏิบัติทางพิธีกรรมที่แสดงความแตกต่างกันในแต่ละตระกูล เช่น ตระกูลส่างห้ามกินหัวใจ ตระกูลหว่าห้ามนำพริกไปกินข้าวขณะไปทำไร่ ตระกูลม้าต้องแบ่งเนื้อควายจำนวน 19 ถ้วย ในพิธีเซ่นผีควาย เป็นต้น (รายละเอียดดูในหน้า 28-29) แบบแผนทางสังคมอีกประการหนึ่งที่มาจากพื้นฐานของสายตระกูล คือการห้ามแต่งงานระหว่างผู้ที่ใช้ชื่อตระกูลเดียวกัน และมีข้อสังเกตว่า บรรพบุรุษต้นกำเนิดในแต่ละสายตระกูลจะได้รับการนับถือและระลึกถึงเสมอในการปฏิบัติพิธีกรรม โดยเฉพาะพิธีบูชาบรรพบุรุษ แต่ม้งไม่มีใครที่เป็นใหญ่ที่สุดที่เป็นผู้นำของทุกตระกูล

Political Organization

ผู้ศึกษาไม่ได้เสนอประเด็นทางด้านการจัดองค์การทางการเมืองโดยตรง แต่ได้เสนอข้อมูลบางประการที่น่าสนใจต่อการนำมาพิจารณาถึงพื้นฐานการจัดองค์การทางการเมืองของม้ง นั่นคือ ผู้ศึกษาได้ให้ข้อมูลว่า ม้งไม่มีผู้นำรวมของกลุ่มชาติพันธุ์ แม้จะตั้งถิ่นฐานภายในเขตจังหวัดหล่าวกายด้วยกันก็ตาม ผู้นำของม้งเป็นผู้นำของแต่ละสายตระกูล เห็นได้จากประวัติการเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในจังหวัดหล่าวกายก็เกิดจากการนำของผู้นำในตระกูลเป็นหลัก นอกจากนี้ ยังเห็นได้จากการประกอบพิธีกรรมต่างๆ จำเป็นต้องอาศัยการอ้างอิงถึงหรือการให้ผู้อาวุโสประจำตระกูลเป็นหลักในพิธี ดังนั้น กฏและระเบียบในการควบคุมคนในสังคมจึงเกิดจากกฎเกณฑ์ในสายตระกูลและครอบครัว โดยมีระบบความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษเป็นกลไกในการควบคุมคนในสังคม และมีข้อน่าสังเกตว่า อำนาจของความเป็นผู้นำส่วนหนึ่งเกิดขึ้นมาจากอำนาจของความศักดิ์สิทธิ์ในฐานะผู้ประกอบพิธีกรรม ทำให้เกิดความคิดในการสถาปนาตนเองเป็นผู้นำในระดับที่กว้างขวางขึ้น ดังเช่นผู้นำในการลุกขึ้นมาต่อต้านและเป็นใหญ่ทางการเมืองของบรรดาผู้ประกอบพิธีกรรมในช่วงทศวรรษที่ 30-50 ซึ่งสามารถอ้างฐานะของอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่ตนมีอยู่เรียกตนเองว่าเป็นกษัตริย์ของม้งได้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

Belief System

ระบบความเชื่อและพิธีกรรมของม้งมีพื้นฐานอยู่ที่ความเชื่อในการบูชาบรรพบุรุษและความเชื่อในเรื่องผี ซึ่งผู้เขียนได้ให้รายละเอียดและประเด็นที่สำคัญดังนี้ 1) ความเชื่อในการบูชาบรรพบุรุษ ม้งจะจัดพิธีบูชาบรรพบุรุษขึ้นร่วมกับเทศกาล "เต๊ด" หรือตรุษปีใหม่ โดยจัดพิธีที่หิ้งผีบรรพบุรุษซึ่งมีอยู่ในแต่ละครัวเรือนแล้ว ยกเว้นสำหรับตระกูลหวู่ ตระกูลเหลิ่ว ตระกูลหว่า ที่อำเภอบ่าวเอียน จะต้องตั้งหิ้งบูชาขึ้นมาใหม่ บรรพบุรุษที่บูชาเป็นสายบิดานับย้อนผู้ที่เสียชีวิตแล้วขึ้นไป 3 รุ่น ในกรณีนี้ผู้เขียนได้แสดงความแตกต่างของการนับย้อนผีบรรพบุรุษในพิธีบูชาบรรพบุรุษของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ตั้งถิ่นฐานใกล้เคียงกัน 4 กลุ่มคือ กลุ่มขาง (อำเภอทานเอวียน) บูชาเฉพาะพ่อแม่ที่เสียชีวิต กลุ่มผู้ลา (อำเภอเอียนถัง) บูชาเฉพาะผีบิดาและพี่น้องร่วมบิดา กลุ่ม "ไต" (อำเภอบ่าวถัง) บูชาย้อนขึ้นไปสี่รุ่น และกลุ่มเย้า (อำเภอบ่าวถัง) บูชาย้อนขึ้นไป 9 รุ่น เป็นต้น พิธีบูชาผีบรรพบุรุษ เป็นพิธีที่เชิญบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วให้กลับมาร่วมงาน "เต๊ด" กับลูกหลาน และช่วยลูกหลานทำมาหากิน ม้งเชื่อว่าหากไม่ทำพิธีนี้ให้ดี บรรดาผีบรรพบุรุษทั้งหลายจะกลับมาทำร้ายและทำให้ลูกหลานเจ็บป่วย ในทางตรงข้ามหากทำพิธีอย่างดีแล้วผีบรรพบุรุษก็จะคอยช่วยเหลือลูกหลานในการทำมาหากิน ในระหว่างที่ทำพิธีผู้อาวุโสในตระกูลจะเล่าถึงภารกิจของบรรพบุรุษที่เคยทำในอดีต รวมทั้งข้อห้ามที่มีอยู่ในแต่ละตระกูลให้ลูกหลานปฏิบัติ 2. ความเชื่อเรื่องวิญญาณ ม้งมีความเชื่อว่าสรรพสิ่งประกอบด้วยรูปร่างและวิญญาณแสดงถึงการมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ ต้นไม้ใหญ่ ต้นข้าว ก้อนหินใหญ่ ตลอดจนสัตว์ใหญ่ เช่น เสือ เป็นต้น สำหรับมนุษย์แล้ว ร่างกายประกอบด้วยวิญญาณ 3 ส่วน อยู่ที่ ศีรษะ สะดือ และอก หากวิญญาณของแต่ละแห่งไม่ได้อยู่ในร่างกาย จะทำให้เจ็บป่วย ต้องทำพิธีเรียกกลับมา หากวิญญาณทั้งสามนี้ออกจากร่างกายทั้งหมดและไม่สามารถเรียกกลับมาได้ คน ๆ นั้นจะเสียชีวิต วิญญาณที่อยู่ตรงศีรษะจะบินขึ้นฟ้าไปอยู่กับบรรพบุรุษ วิญญาณที่สะดือจะกลับและอาจทำร้ายคนอื่นได้ ดังนั้น ในวันที่ 13 หลังจากการตาย ม้งต้องทำพิธีไล่วิญญาณสะดือไม่ให้กลับมาทำร้ายคนอื่น ส่วนวิญญาณที่อกจะไปอยู่ในผู้หญิงที่กำลังมีท้องอ่อนหรือไปอยู่ร่วมกับสิ่งของชนิดอื่น 3. ผู้ประกอบพิธีกรรม (หมอ-คนทรง) ในอดีตม้งมีบุคคลที่สามารถประกอบพิธีกรรมสำหรับติดต่อเรียกขวัญกลับคืนร่าง รักษาโรค และทำพิธีติดต่อกับผีประเภทต่าง ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก เช่นในปี 1938 เขตอำเภอบั๊กห่าตะวันออกมีผู้สามารถประกอบพิธีดังกล่าวจำนวนถึง 788 คนใน 38 หมู่บ้าน (หน้า 56) ผู้เขียนได้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า การเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมนี้มีส่วนทำให้เกิดความพยายามตั้งตัวเป็นกษัตริย์ของม้งได้ เนื่องจากม้งเชื่อว่าผู้นำแบบกษัตริย์ต้องมีความสามารถในการติดต่อผีและเป็นร่างทรงได้ด้วย ซึ่งปรากฏผู้นำแบบดังกล่าวในปี ค.ศ. 1918, 1938 และ 1953 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

Education and Socialization

ไม่มีรายละเอียดชัดเจน

Health and Medicine

ม้งเชื่อในเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บว่าเกิดจากวิญญาณส่วนหนึ่งออกจากร่างกาย และจากการทำร้ายของผี ดังนั้นในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ จึงจำเป็นต้องหาผู้ที่ติดต่อกับผีได้ โดยอาศัยการประกอบพิธีกรรมซึ่งได้แก่หมอผีและคนทรง หมอผีและคนทรงเหล่านี้เป็นผู้ที่มีอำนาจติดต่อกับผีและโลกของผีได้ แต่ในการทำพิธีรักษาต่าง ๆ บรรดาผู้ประกอบพิธีเหล่านี้จะต้องทำพิธีชนิดหนึ่งก่อน เรียกว่า พิธี "ด๋าเหน็ง" (Da nenh) เพื่อเป็นการรับอำนาจในการประกอบพิธีกรรมของตนได้ และในการปฏิบัติพิธีแต่ละครั้งจำเป็นต้องรำลึกและมีเครื่องบูชาถึงครูหมอของตนด้วย

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ผู้เขียนได้เสนองานศิลปะพื้นบ้านของม้งในด้าน เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับร่างกาย และงานตัดแต่งกระดาษ 1) เครื่องแต่งกาย เครื่องแต่งกายที่จัดว่าเป็นงานศิลปะ เป็นเครื่องแต่งกายของผู้หญิง ซึ่งประกอบด้วย ผ้าโพกศีรษะ ผ้าปิดหน้าอก กระโปรง ผ้าคลุมกระโปรง ผ้าคาดหลัง ผ้าพันขา งานเย็บผ้านี้เป็นงานผีมือของ ผู้หญิงม้งซึ่งจะได้รับการถ่ายทอดจากมารดา ยาย พี่สาว ตั้งแต่อายุได้ 9-10 ขวบ มีคำกล่าวของม้งว่า "โตขึ้นลูกสาวตามแม่หัดเย็บผ้า โตขึ้นลูกชายตามพ่อไปทำไร่" (หน้า 141) หรือ "หลังบ้านผู้หญิงนั่งเย็บผ้า หน้าบ้านผู้ชายเล่นปี่เล่นแคน" (หน้า 142) งาน เทคนิคที่เกี่ยวข้องกับงานเย็บผ้าคือการวาดลายผ้าและการเย็บปะลายผ้าจากผ้าชิ้นเล็ก ๆ นอกจากนี้ ม้งยังมีเทคนิคการทำผ้าแบบบาติกคือเขียนลายด้วยขี้ผึ้งแล้วย้อมสี งานประดับอื่นๆ บนผ้ามักใช้ลูกปัด และเงิน ลวดลายที่นิยมใช้ เช่น ลายเกือกม้า ลายตีนไก่ ลายดอกตะวัน ลายดอกท้อ ลายตัวกบ เป็นต้น สีพื้นฐานมี 5 สีคือ สีน้ำงิน-ดำ สีน้ำเงิน สีแดง สีเหลือง สีขาว 2) งานเครื่องประดับร่างกาย ม้งนิยมใช้เครื่องเงินสำหรับทำเครื่องประดับซึ่งเป็นลักษณะแบบดั้งเดิม แต่ปัจจุบันเริ่มมีการใช้ทองชุบด้วย เครื่องประดับของม้ง ได้แก่ ตุ้มหู วงคล้องคอ กำไล แหวน และสายห้อยกุญแจ 3) งานตัดแต่งกระดาษ งานประดับกระดาษนิยมทำกันในเทศกาลเต๊ด กระดาษที่ตัดมักทำเป็นรูปตัวอักษรมงคล ลายก้นหอย ลายตะขอ และลายแม่ไก่ โดยเฉพาะลายแม่ไก่เป็นที่นิยมกันมากโดยจะทำติดที่ให้กับเทพประจำประตูบ้าน เพราะม้งเชื่อว่า ไก่เป็นสัตว์ที่เรียกตะวันให้ขึ้นมาในเวลาเช้า ส่วนลวดลายต่าง ๆ จะติดไว้ที่เสาบ้าน และหลังหิ้งบูชาบรรพบุรุษ

Folklore

ผู้เขียนได้ศึกษาวรรณกรรมพื้นบ้านของม้งหลายประเภท ได้แก่ เทพนิทาน นิทานปรัมปรา นิทานเรื่องเล่า เพลงพื้นบ้าน สุภาษิตและคำพังเพย วรรณกรรมเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็น ความคิด ความเชื่อ ต่างๆ ของม้ง ดังต่อไปนี้ 1) เทพนิทาน ม้งมีเทพนิทานต้นกำเนิดประเภทต่าง ๆ ในด้านธรรมชาติ มนุษย์ และสรรพสิ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นความคิดในด้านจักรวาลทัศน์ ซึ่งม้งเชื่อว่าในจักรวาลนี้ประกอบด้วย 3 ชั้น คือ ชั้นบนฟ้า เป็นที่อยู่ของบรรดาบรรพบุรุษ ชั้นพื้นดินเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ และชั้นใต้ดินเป็นที่อยู่ของแดนนรก เทพนิทานด้นกำเนิดของม้งจะมีโครงเรื่องที่ประกอบด้วย น้ำท่วม ผู้ชาย+ผู้หญิง และเผ่าพันธุ์มนุษย์ 2) นิทานปรัมปราและนิทานเรื่องเล่า ม้งมีนิทานจำนวนมาก เคยมีผู้ศึกษาไว้พบว่ามีนิทานที่เล่าสู่กันฟังแพร่หลายในหมู่ม้งนี้ถึง 129 เรื่อง นิทานเหล่านี้กล่าวถึงสัตว์ต่างๆ ว่าเหตุใดจึงมีลักษณะเช่นนั้น เช่น ทำไมแมวปีนต้นไม้เก่ง เป็นต้น หรือกล่าวถึงอำนาจอิทธิฤทธิ์ของผู้กล้าหาญ (ประเภทนี้ผู้ศึกษากล่าวว่าเป็นที่นิยมในหมู่ม้งมาก) เช่น เรื่องเจเหิว (Che Hau) เป็นเรื่องสี่พี่น้องผู้กล้าหาญ หรือนิทานสอนใจ เช่น เรื่อง "แม่ตาบอด" เป็นเรื่องแม่ตาบอดเลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ ออกไปค้าขายรร่ำรวยแต่กลับลืมแม่ เป็นต้น 3) สุภาษิตและคำพังเพย เป็นวรรณกรรมที่สะท้อนภาพสังคมของม้งในด้านต่าง ๆ เช่น ชีวิตในครอบครัว เครือญาติวงศ์วาน การค้าขาย ความสัมพันธ์ของสมาชิกในสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างชาย-หญิง คนแก่-เด็ก มนุษย์-ธรรมชาติ กิจกรรมการผลิตในสังคม 4) เพลงพื้นบ้าน ม้งในจังหวัดหล่าวกายมีเพลงพื้นบ้านจำนวน 187 เพลง แบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ คือ เพลงโต้ (ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดถึง 140 บท) เพลงโศกร้องคร่ำครวญเวลามีคนตาย และเพลงสอนลูกในบ้าน

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ผู้ศึกษาไม่ได้เน้นอธิบายในประเด็นเรื่องอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์โดยตรง แต่ผู้ศึกษาได้ให้ข้อมูลบางประการเกี่ยวกับลักษณะทางวัฒนธรรมที่แตกต่างทั้งระหว่างม้งกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่อยู่แวดล้อม เช่น ความแตกต่างในแบบแผนการประกอบพิธีบูชาบรรพบุรุษระหว่างกลุ่มม้ง กับ เย้า, "ไต", ปู้ลา (ตารางหน้า 49/คำอธิบายในข้อ 21) หรือความแตกต่างระหว่างกลุ่มม้งย่อย ๆ ด้วยกันเอง เช่น ความแตกต่างในด้านการลักษณะการใช้ภาษา ข้อห้ามประจำตระกูล เป็นต้น ความแตกต่างเหล่านี้พอช่วยชี้ให้เห็นลักษณะที่เป็นอัตลักษณ์ประจำกลุ่ม และกำหนดขอบเขตบางประการระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ รวมทั้งระหว่างกลุ่มย่อยในกลุ่มชาติพันธุ์ม้งด้วยกันเอง

Social Cultural and Identity Change

ผู้ศึกษาอธิบายถึงลักษณะความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของม้ง ซึ่งเกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนกับวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่อยู่แวดล้อมและทำให้วัฒนธรรมดั้งเดิมเปลี่ยนไปเป็น "วัฒนธรรมใหม่" ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1960 เป็นต้นมา ยกตัวอย่างเช่น การให้ความสำคัญต่อบุคคลที่เป็นตัวแทนของชาติและสัญลักษณ์ของชาติปรากฏในพิธีกรรมดั้งเดิมของม้ง เช่น ในพิธีแต่งงานหรือพิธีศพ จำเป็นต้องมีตัวแทนของรัฐบาลในฐานะบุคคลสำคัญในพิธี หรือในพิธี "เกิ่วต่าว" ซึ่งจะต้องมีเสาไม้ผูกผ้าแดงเป็นสัญลักษณ์ ภายหลังก็ปรากฏว่าใช้ธงชาติสีแดงแทนผ้าแดงแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ผู้ศึกษาก็ได้มีความเห็นว่า ลักษณะของการเปลี่ยนแปลงทำให้วัฒนธรรมดั้งเดิมได้รับการพัฒนาขึ้นให้ทันสมัย และได้เสนอว่า วัฒนธรรมใหม่นี้ควรให้ดำเนินไปอย่างสัมพันธ์กับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศด้วย ในด้านประเด็นของการเปลี่ยนแปลงทางอัตลักษณ์ ผู้ศึกษาไม่ได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์อย่างไร

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ตาราง ความแตกต่างในแบบแผนการประกอบพิธีบูชาบรรพบุรุษระหว่างกลุ่มม้ง กับ เย้า, "ไต", ปู้ลา หน้า 49

Text Analyst พิเชฐ สายพันธ์ Date of Report 25 ก.ย. 2567
TAG ม้ง, วัฒนธรรม, หล่าวกาย, เวียดนาม, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง