สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ภาพลักษณ์ทางชาติพันธุ์,เชียงใหม่
Author Yoko Hayami
Title Who Are They/We the Kare? – Negotiating Ethnic Imagery between Self and Other
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษวิทยาสิรินธร Total Pages 20 Year 2548
Source บทความเสนอในการประชุม Thai Studies วันที่ 3-6 เมษายน 2005 ที่ Northern-Illinois USA.
Abstract

วาทกรรมของการกล่าวถึง ชนกลุ่มน้อยบนพื้นที่สูงเป็น คนอื่น (Others) เกิดขึ้นมานานกว่า 200 ปี ภายใต้สถานการณ์ทาง การเมืองจากอาณาจักร และรัฐประเทศสมัยใหม่ การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของกลุ่มชนบนพื้นที่สูง "Hill tribes" ส่งผลการเปลี่ยนแปลงนัยยะในการทำความเข้าใจวัฒนธรรมชนบนพื้นที่สูง ทั้งจากการที่กลุ่มชาติพันธุ์อื่นได้ให้คำจัดกัดความสร้าง วาทกรรม หลากหลายให้เกิดขึ้นและจากแนวทางซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง "Others" เข้ามามีส่วนร่วมในวาทกรรมเหล่านี้ (หน้า 1) จากกรณีกะเหรี่ยง หมู่บ้าน M ซึ่งอาศัยอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ รัฐได้โฆษณาและสนับสนุนโครงการท่องเที่ยวในเชิงอนุรักษ์ระบบนิเวศและการเข้ามาส่วนร่วมของชุมชน "การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ" แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากผู้คนในชุมชนมากนัก มีเพียงชาวบ้านไม่ถึงครึ่งที่เข้าร่วมกับกิจกรรมนี้ กลุ่มคนที่ไม่ยอมรับเนื่องจากพวกเขาไม่ต้องการสนับสนุนสิ่งที่รัฐพยายามโฆษณา แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธการให้ความร่วมมือกับผู้ประสานงานที่เป็นคนในหมู่บ้าน สำหรับกลุ่มผู้ที่ยอมรับใช้โครงการนี้เป็นการนำเสนอข่าวสารเกี่ยวกับความเป็นกะเหรี่ยงที่หลุดออกจากภาพของการเป็นชาวเขา "rustic hill tribes" ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่รัฐพยายามโฆษณา จากวาทกรรมเกี่ยวกับความเป็นกะเหรี่ยงที่ถูกจำกัดความโดยคนอื่นมากว่าร้อยปี เช่น กะเหรี่ยงเป็นผู้รักสงบ รักช้าง รักธรรมชาติ และอาศัยอยู่ในป่า ฯลฯ ได้ถูกนำมาใช้และนำเสนอภาพโดยกลุ่มกะเหรี่ยงเองภายใต้สถานการณ์การจัดโครงการท่องเที่ยงเชิงอนุรักษ์ระบบนิเวศ "Eco Tourism" ที่เกิดจากการสนับสนุนของภาครัฐ แนวทางในการเปลี่ยนมาให้การสนับสนุนวัฒนธรรมและเข้าไปมีส่วนร่วมในกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ วาทกรรมนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐไทย แม้ว่าจะเป็นจุดมุ่งหมายจากรัฐแต่ได้แสดงนัยถึงเสียงและแนวคิดของกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มน้อยได้ถูกรับรู้และแพร่ขยายมากขึ้น ดังที่ Hinton กล่าวถึง รูปแบบที่กลุ่มชาติพันธุ์จะนิยามตนเองได้ขยายไกลไปจากเหตุผลทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม (หน้า 18-19)

Focus

ศึกษาวาทกรรมเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงทั้งจากมุมมองของกลุ่มชาติพันธุ์อื่นและจากการหยิบยกความหมายในวาทกรรมเหล่านั้นมานิยามตนเองของกะเหรี่ยง กรณีศึกษาหมู่บ้านกะเหรี่ยง M ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ ผ่านสถานการณ์ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ

Theoretical Issues

Hinton อ้างถึงลักษณะและรูปแบบของกลุ่มชาติพันธุ์อาจจะมีความสัมพันธ์ขยายไปไกลกว่าเหตุผล การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งเป็นเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่อาจจะละเลยได้ (Hinton 1983: 158) ในพม่า Hinton อ้างถึงผลจากความขัดแย้งอันยาวนาน และเหตุการณ์ที่อังกฤษในฐานะเจ้าอาณานิคมพม่าแบ่งกลุ่มชาติพันธุ์ออกเป็นรัฐในแต่ละพื้นที่ หลังจากการได้รับอิสรภาพของพม่าได้นำไปสู่ความขัดแย้งภายใน แม้ประเทศไทยไม่มีประสบการณ์ความขัดแย้งในลักษณะนี้ เนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงเป็นประชากรกลุ่มน้อย และความคิดในการเป็นสังคมสมัยใหม่ตามแบบยุโรปยังไม่ได้มีผลกับพวกเขามากนัก ทั้งสองฝั่งชายแดนมีเหตุการณ์และประสบการณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มน้อยที่แตกต่างกัน แม้กระนั้นก็ตามการพยายามเข้าใจกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง ควรเรียนรู้ทั้งจากกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงและกลุ่มผู้ปกครองทั้งในพม่าและในประเทศไทย ความแตกต่างตามช่วงเวลาในประวัติศาสตร์อาจจะมีมากขณะที่เกิดการรวมพื้นที่ (ช่วงศตวรรษที่ 19 ในพม่า ช่วงยุคอาณานิคมและช่วงศตวรรษที่ 20 ในประเทศไทยในช่วงเวลาของการพัฒนาไปสู่การเป็นรัฐชาติแบบสมัยใหม่) นัยทางการเมืองเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยอาจจะไม่ได้ไปอยู่ในในการต่อสู้รุนแรงแต่ก็ไม่ได้หมายถึงมีสัญญะน้อยกว่า (หน้า 1) วาทกรรมการกล่าวถึง ชนกลุ่มน้อยบนพื้นที่สูงให้เป็น คนอื่น (Others) เกิดขึ้นมานานกว่า 200 ปี ภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองจากอาณาจักร รัฐอาณานิคม ความขัดแย้งทั้งภายในและภายนอก การเป็นสังคมสมัยใหม่และโลกาภิวัติทั้งในประเทศไทยและพม่าในประเทศไทยการเปลี่ยนแปลงสถานภาพของกลุ่มชนบนพื้นที่สูง "Hill tribes" เกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงสัญญะในความเข้าใจวัฒนธรรมและการนำเสนอกลุ่มชนบนพื้นที่สูง "Others" รวมถึงในแนวทางซึ่งกลุ่มคนบนพื้นที่สูง "Others" เข้ามามีส่วนร่วมในวาทกรรมเหล่านี้ (หน้า 1) ปัจจุบันกะเหรี่ยงในประเทศไทยจะเป็นที่รู้จักกันในนาม "ปกากะญอ" (Pga K'nyau) ซึ่งเป็นชื่อที่กะเหรี่ยงสะกอเรียกตัวเอง เป็นชื่อเรียกที่สอดคล้องกับความหมายที่ว่าเป็น "ผู้อยู่อาศัยในป่า" ในทศวรรษของ 1990 ซึ่งมีความสนใจจากสื่อต่างๆ เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับข้อถกเถียงเรื่องวัฒนธรรมกะเหรี่ยงในฐานะที่อนุรักษ์ป่าไม้ ทำให้มีการใช้คำปกากะญอมากขึ้นกว่าคำเรียกชื่อเก่าไม่ว่าจะเป็น "ยาง" หรือ "กะเหรี่ยง" นี่เป็นวาทกรรมที่เกิดขึ้นจากกลุ่มองค์กรอิสระ NGOs และหัวหน้าหมู่บ้านกะเหรี่ยงกับกลุ่มชนที่อาศัยบนพื้นที่ราบในความพยายามให้กลุ่มชนบนพื้นที่สูงสามารถดำรงวิถีชีวิตในแบบของพวกเขาในพื้นที่ป่าได้อย่างถูกต้อง ในกระบวนการของวาทกรรมที่เกี่ยวกับลักษณะของชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้นเป็นชั้น ๆ มากว่า 200 ปี ได้ถูกหยิบยกขึ้นโดยกลุ่มกะเหรี่ยงเองเพื่อการนำเสนอตัวตนของพวกเขา หากเราเริ่มมองชุมชนกะเหรี่ยงในลักษณะที่มีความแตกต่าง ความหลากหลายในการดำรงวิถีชีวิต เศรษฐกิจ สถานการณ์นิเวศวิทยา และปฏิเสธความหมายที่เป็นทางเดียว ก็จะเห็นชุมชนกะเหรี่ยงในลักษณะเฉพาะของแต่ละชุมชนมากขึ้น (หน้า 1-2) ประเด็นคำถามเกี่ยวกับพัฒนาการของวาทกรรมความเป็นกะเหรี่ยง จึงมีความสำคัญต่อการเข้าใจ ซึ่งวิจัยพบว่าการสร้าง วาทกรรมอาจเกิดจากทั้งสองฝ่าย ในตอนแรกรัฐอาจเป็นผู้สร้างวาทกรรม แต่ภายหลังทศวรรษ 1990 กะเหรี่ยงก็สร้างตัวตน ขึ้นเองผ่านโครงการท่องเที่ยวเชิงระบบนิเวศ (หน้า 9)

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยงหมู่บ้าน M ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ค.ศ. 2003

History of the Group and Community

หมู่บ้านตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1947 บรรพบุรุษของพวกเขาอพยพมาจากพม่าในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ในช่วงเริ่มต้นของการตั้งถิ่นฐานพวกเขาจ่ายภาษีให้กับละว้า (Lawa) และได้รับการยอมรับจากเมืองเชียงใหม่โดยการจ่ายภาษีเป็นช้างให้ทำการตั้งถิ่นฐานและทำการเพาะปลูกในพื้นที่ (หน้า 12)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

ในอดีตกระเหรี่ยงทำไร่หมุนเวียน ถางพื้นที่ป่าเพื่อทำการเพาะปลูกต่อมามีการเปลี่ยนแปลงเมื่อโครงการหลวงเข้ามาสนับสนุนให้ปลูกพืชเศรษฐกิจ ปัจจุบัน หมู่บ้านไม่ได้ทำไร่หมุนเวียนอีกต่อไปเปลี่ยนเป็นทำนาและทำการเพาะปลูก กาแฟ สตรอเบอรี่ ยาสูบ และผักผลไม้อื่นๆ (หน้า 12)

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

การกล่าวถึง ชนกลุ่มน้อยบนพื้นที่สูงเป็น คนอื่น (Others) เกิดขึ้นมานานกว่า 200 ปี ภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองจากอาณาจักร รัฐอาณานิคม ความขัดแย้งทั้งภายในและภายนอก การเป็นสังคมสมัยใหม่และโลกาภิวัตน์ทั้งในประเทศไทยและพม่า (หน้า 1) ในหมู่บ้านกะเหรี่ยงปัญหาความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับรัฐ หรืออุทยานแห่งชาติมักเกิดจากวาทกรรมที่กล่าวถึงกลุ่มชนบนพื้นที่ สูงเป็นผู้ทำลายป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ จากการทำไร่หมุนเวียนและการเข้ามาล่าสัตว์หาของป่า รัฐได้หาแนวทางในการแก้ปัญหาโดยการสนับสนุนการดำรงวิถีชีวิตแบบใหม่ด้วยการจัดโครงการพัฒนาต่างๆ รวมถึงโครงการการท่องเที่ยวในเชิงอนุรักษ์ระบบนิเวศขึ้น ในขณะเดียวกันหมู่บ้านได้ใช้โครงการนี้เป็นการนำเสนออัตลักษณ์ของกะเหรี่ยง วิถีการดำรงชีวิตทั้งในแบบดั้งเดิมและแบบปัจจุบันต่อกลุ่มคนภายนอกเพื่อโต้แย้งวาทกรรมดังกล่าว (หน้า17-18)

Belief System

ไม่มีข้อมูล

Education and Socialization

โรงเรียนสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1972 (หน้า 12)

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

วาทกรรมเกี่ยวกับกะเหรี่ยง วาทกรรมของการกล่าวถึง ชนกลุ่มน้อยบนพื้นที่สูงเป็น คนอื่น (Others) เกิดขึ้นมานานกว่า 200 ปี ภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองจากอาณาจักร รัฐอาณานิคม จนถึงสังคมสมัยใหม่ทั้งในประเทศไทยและพม่าในประเทศไทย สยามสมาคมได้สำรวจเผ่าพันธุ์ต่างๆ ในท้องถิ่นห่างไกลในทศวรรษ 1920 คำที่ใช้เรียกกลุ่มที่อยู่ตามเขา และป่า คือ "คนป่า" หรือ "ชาวป่า" ซึ่งครอบคลุมกลุ่มหลายกลุ่ม ในความหมายนี้ "ยาง" ก็เป็น "คนป่า" ซึ่งนับว่าเจริญกว่าพวก "ข่า" (หน้า 4) การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของกลุ่มชนบนพื้นที่สูง "Hill tribes" เกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงนัยในการทำความเข้าใจวัฒนธรรมและการนำเสนอกลุ่มชนบนพื้นที่สูง "Others" รวมถึงในแนวทางซึ่งกลุ่มคนบนพื้นที่สูง "Others" เข้ามามีส่วนร่วมในวาทกรรมเหล่านี้ (หน้า 1) จากการตรวจสอบวาทกรรมเกี่ยวกับกะเหรี่ยงพบดังต่อไปนี้ - ในช่วงเริ่มแรกกะเหรี่ยงเป็นที่รู้จักในชื่อ ยาง และแบ่งเป็น ยางดอย ยางน้ำ ตามสถานที่อยู่อาศัย และมีการแบ่งตามสีเครื่องแต่งกายเป็น yang suai kaban, ยางขาว "yang khaaw" ในกลุ่มยาง ยางน้ำสะอาด ชอบอาบน้ำ ยางดอย มีลักษณะสกปรกไม่ชอบอาบน้ำ อพยพเคลื่อนย้ายเสมอและไม่ต้อนรับคนภายนอก ยางขาวใจดี มีน้ำใจ ต้อนรับคนภายนอก และเป็นกลุ่มที่รักธรรมชาติ และพวกเขาเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างเคร่งครัดจะไม่รวมกับชาวพื้นราบ มีผู้อาวุโสเป็นผู้นำ กะเหรี่ยงถูกรู้จักในฐานะของผู้รักธรรมชาติมากว่าครึ่งศตวรรษก่อนที่จะมีวาทกรรมเกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่าไม้และสภาพแวดล้อม ซึ่งกะเหรี่ยงได้รับรู้เรื่องเหล่านี้และนำมาโต้แย้งว่าพวกเขาอาศัยอยู่กับธรรมชาติมายาวนานและวิถีชีวิตของพวกเขาไม่ได้ทำลายป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ - คำว่า "ชาวเขา" ใช้อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1950 เป็นการเปลี่ยนจาการใช้คำว่า "ชาวป่า" มาเป็น "ชาวเขา" และในปี ค.ศ. 1963 พบคำว่ากะเหรี่ยงใช้สำหรับยาง ในงานวิจัยด้านมานุษยวิทยาใช้คำว่าชาวเขาในช่วงปี ค.ศ. 1970-1980 ชาวเขาเป็นคำที่รวมเอากลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงเข้าไว้ด้วยกัน โดยที่ไม่สนใจลักษณะเฉพาะทางวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่ม ซึ่งเป็นเหตุผลให้เกิดการโต้แย้งในงานมานุษยวิทยาในช่วงหลังที่นักมานุษยวิทยามักจะสนใจอธิบาย และนำเสนอกลุ่มชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มในคำของพวกเขาเอง การอธิบายที่มีสีสันของนักมานุษยวิทยาสอดคล้องกับความต้องการด้านการท่องเที่ยวที่กำลังได้รับความนิยม ในช่วงปี ค.ศ. 1980 โปส์การ์ดของชาวเขาในเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่มีสีสัน ปรากฏตามถนนร้านค้าในเชียงใหม่ และจากการพิมพ์หนังสือของ Elaine Lewis ในปี ค.ศ.1984 ภาพเครื่องแต่งกายสวยงาม เครื่องมือเครื่องใช้ และการนำเสนอกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงเป็นกลุ่มที่รักสงบ สุภาพ ใจดี อบอุ่น ไม่เคยรู้สึกไม่ดีกับผู้อื่น และเป็นกลุ่มที่มีความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศวิทยา การเพาะปลูก และการหาสมุนไพรจากป่าที่สืบทอดจากบรรพบุรุษจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่งมายาวนาน - วาทกรรมเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงมากกว่า 200 ปีแสดงให้เห็นว่ากลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในช่วงตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 เป็นต้นมา งานวิจัยและการนำเสนอความรู้ของกะเหรี่ยงในการจัดการป่าในฐานะผู้อยู่อาศัยในป่าเพื่อโต้แย้งเกี่ยวกับวาทกรรมของรัฐที่กล่าวถึงกลุ่มชนบนพื้นที่สูงเป็นเป็นผู้ทำลายป่า และเริ่มมีกลุ่มกะเหรี่ยงออกมานำเสนอวิถีชีวิตของตนเองตั้งแต่ช่วงระเวลานี้เป็นต้นมา สำหรับหมู่บ้าน M ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุทยามแห่งชาติดอยอินทนนท์ จ. เชียงใหม่ ได้เสนอภาพลักษณ์และวิถีชีวิตของชุมชนผ่านบริบทของการจัดการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ระบบนิเวศ (หน้า 2-10)

Social Cultural and Identity Change

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดเกิดขึ้นในหมู่บ้านกะเหรี่ยง M เกิดขึ้นจากการที่รัฐเข้ามาพัฒนาโครงการการต่าง ๆ ในพื้นที่สูง สร้างถนน ระบบชลประทาน และนำกลุ่มพ่อค้าม้งและพ่อค้าคนเมืองเข้ามามากขึ้น ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตตามประเพณีดั้งเดิมการทำไร่หมุนเวียนและการล่าสัตว์ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป เนื่องจากความขัดแย้งในเรื่องการใช้พื้นที่ป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติกับรัฐ ปัจจุบัน ชาวบ้านหันมาทำการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น กาแฟ ยาสูบ สตอรเบอรี่และพืชผักผลไม้ต่าง ๆ (หน้า 12-13)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ระบบนิเวศ (Ecotourism) โครงการการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ระบบนิเวศได้รับการสนับสนุนจากรัฐผ่านอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ในปี ค.ศ.1999 โดย มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สนับสนุนรายได้เข้าสู่หมู่บ้าน 2) ลดปัญหาการเข้าไปใช้ป่าอย่างผิดกฎหมาย โดยเฉพาะปัญหาเรื่องที่ดินและการล่าสัตว์ 3) นำเสนอความรู้ภูมิปัญญาของกะเหรี่ยงที่ถูกเข้าใจผิดจากคนภายนอก 4) สร้างความรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติทั้งในกลุ่มกะเหรี่ยงและกลุ่มคนภายนอก หมู่บ้านที่เป็นเป้าหมายหลักคือหมู่บ้าน M ซึ่งเป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงที่อยู่ใกล้ถนนทางเข้าอุทยานด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ กลุ่มคนที่สนใจเป็นกลุ่มผู้ชายที่แต่งงานแล้วแต่อายุไม่มากนัก คือ S เป็นชายหนุ่มที่มีการศึกษาและไดัรับการสนับสนุนจากตำบล และ C เป็นเพื่อนร่วมทำธุรกิจกับ S แต่กลุ่มผู้อาวุโสและหมอผีผู้ประกอบพิธีกรรมในหมู่บ้านและมีความรู้เรื่องสมุนไพรจากป่าไม่ต้องการเข้ามาเกี่ยวข้องกับโครงการนี้ อย่างไรก็ตาม โครงการเริ่มต้นเมื่อสมาชิกประมาณ 13 คน ประกอบไปด้วยหัวหน้าหมู่บ้าน 4 หมู่บ้าน เจ้าหน้าที่ประจำตำบล และมีชาวบ้านเข้าร่วมเพียงเล็กน้อย S กล่าวว่า ชาวบ้านไม่สนใจโครงการเนื่องจากมีความขัดแย้งกับกลุ่มเจ้าหน้าที่ป่าไม้ของรัฐพวกเขาต่างระแวงกันทั้งสองฝ่าย เมื่อเริ่มจัดโครงการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ระบบนิเวศได้มีการสร้างถนน บังกะโล และ S เลือกให้ L พรานป่ามาเป็นไกด์ เนื่องจากความชำนาญเกี่ยวกับพื้นที่และความรู้ของเขาได้นำมาใช้ในงานใหม่หลังจากที่ไม่สามารถล่าสัตว์ได้อีก การลงทุนใช้เงินประมาณ 400,000 บาท จากรายได้ตลอด 4 ปีเหลือหนี้สินอีกเพียง 80,000 บาท S กล่าวว่าหลังจากที่ปลดหนี้ทั้งหมดจะเริ่มแบ่งกำไรซึ่งอาจจะทำให้ชาวบ้านอื่น ๆ สนใจเข้าร่วมมากขึ้น นอกจากนี้ S สร้างพิพิธภัณฑ์เป็นบ้านไม้อยู่ใกล้กับบ้านของเขา ภายในมีสิ่งของเครื่องใช้ในการล่าสัตว์ จับปลา ของเหล่านี้ไม่ได้มาจากหมู่บ้าน S กล่าวว่าชาวบ้านไม่เข้าใจว่าสิ่งของของพวกเขามีคุณค่าในการจัดแสดง และพวกเขาอายที่นำสิ่งของมาให้ สิ่งของส่วนใหญ่นำมาจากหมู่บ้านอื่น เมื่อนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ S ภูมิใจที่จะนำเสนอวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมของเขา รวมถึง S ได้จัดพื้นที่ในพิพิธภัณฑ์เป็นร้านกาแฟให้นักท่องเที่ยวนั่งดื่ม และกล่าวว่า เป็นกาแฟที่เพาะปลูกในหมู่บ้านผลิตด้วยกรรมวิธีตามธรรมชาติไม่ใช้สารเคมี เมื่อนักท่องเที่ยวมาถึงหัวหน้าหมู่บ้านจะกล่าวต้อนรับ เขามักพูดว่า "ชาวไทยคิดว่าพวกเราเป็นชาวเขาที่ทำลายป่าไม้ เขาขอร้องให้นักท่องเที่ยวและผู้มาเยือนเดินชมหมู่บ้านและวิถีชีวิตของกะเหรี่ยงซึ่งไม่ได้ทำลายป่าดังที่กลุ่มคนภายนอกคิด" นอกจากนี้พวกเขายังนิยมให้นักท่องเที่ยวดูรูปสภาพป่าในอดีตที่มีการทำไร่หมุนเวียนและปลูกฝิ่น กับสภาพปัจจุบันที่ไม่ได้ทำการเพาะปลูกแล้วซึ่งมีหญ้าขึ้นแทนพื้นที่เหล่านั้น นอกจากนี้ C ผู้ร่วมโครงการได้จัดหนังสือเกี่ยวกับเรื่องเล่า นิทานของกะเหรี่ยงเกี่ยวกับนกชนิดต่าง ๆ เขากล่าวว่า ค่อนข้างได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ดูนกและกลุ่มผู้รักธรรมชาติ ทั้งการจัดทำพิพิธภัณฑ์และการทำหนังสือเรื่องเล่า นิทานเกี่ยวกับนกของกะเหรี่ยง แสดงให้เห็นว่าชาวบ้านตอบรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาหาวิถีชีวิตชนบทของกลุ่มคนอื่น (Others) พิพิธภัณฑ์ในเมืองแสดงภาพกลุ่มคนบนพื้นที่สูง "ชาวเขา" เป็นเหมือนการแสดงอำนาจรัฐ แต่การนำเสนอของหมู่บ้าน M เป็นการเสนอภาพของวิถีชีวิตดั้งเดิมจากวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ในพิพิธภัณฑ์หรือจากเรื่องเล่า นิทานดั้งเดิมในหนังสือนก และหมู่บ้านยังนำเสนอระบบเศรษฐกิจและกิจกรรมปัจจุบันของหมู่บ้านต่อนักท่องเที่ยวและผู้มาเยี่ยมเยือน ซึ่งเป็นการนำเสนอภาพที่ซับซ้อนมากกว่าเกี่ยวกับวิถีชีวิตบนพื้นที่สูง และเป็นการนำเสนอภาพในกรอบที่แตกต่างไปจากกรอบแนวคิดของกลุ่มคนภายนอก ทั้งพิพิธภัณฑ์และหนังสือเรื่องเล่า นิทานนกของกะเหรี่ยงเป็นรูปแบบพื้นฐานบางส่วนของวัฒนธรรมกะเหรี่ยงที่ถูกนำเสนอสำหรับกลุ่มคนอื่น (Others) การสร้างอัตลักษณ์และสำนึกของการเป็นกะเหรี่ยงได้เกิดขึ้นจากการรวมวัฒนธรรมดั้งเดิมเข้ากับการสร้างสิ่งใหม่ที่กะเหรี่ยงได้รับรู้จากสายตาของกลุ่มคนอื่นเข้าด้วยกัน (หน้า 10-18)

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst ชัชฎาวรรณ แก้วทะพยา Date of Report 25 ก.ย. 2567
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), ภาพลักษณ์ทางชาติพันธุ์, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง