|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ภาพลักษณ์ทางชาติพันธุ์,เชียงใหม่ |
Author |
Yoko Hayami |
Title |
Who Are They/We the Kare? – Negotiating Ethnic Imagery between Self and Other |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
20 |
Year |
2548 |
Source |
บทความเสนอในการประชุม Thai Studies วันที่ 3-6 เมษายน 2005 ที่ Northern-Illinois USA. |
Abstract |
วาทกรรมของการกล่าวถึง ชนกลุ่มน้อยบนพื้นที่สูงเป็น คนอื่น (Others) เกิดขึ้นมานานกว่า 200 ปี ภายใต้สถานการณ์ทาง การเมืองจากอาณาจักร และรัฐประเทศสมัยใหม่ การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของกลุ่มชนบนพื้นที่สูง "Hill tribes" ส่งผลการเปลี่ยนแปลงนัยยะในการทำความเข้าใจวัฒนธรรมชนบนพื้นที่สูง ทั้งจากการที่กลุ่มชาติพันธุ์อื่นได้ให้คำจัดกัดความสร้าง วาทกรรม หลากหลายให้เกิดขึ้นและจากแนวทางซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง "Others" เข้ามามีส่วนร่วมในวาทกรรมเหล่านี้ (หน้า 1) จากกรณีกะเหรี่ยง หมู่บ้าน M ซึ่งอาศัยอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ รัฐได้โฆษณาและสนับสนุนโครงการท่องเที่ยวในเชิงอนุรักษ์ระบบนิเวศและการเข้ามาส่วนร่วมของชุมชน "การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ" แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากผู้คนในชุมชนมากนัก มีเพียงชาวบ้านไม่ถึงครึ่งที่เข้าร่วมกับกิจกรรมนี้ กลุ่มคนที่ไม่ยอมรับเนื่องจากพวกเขาไม่ต้องการสนับสนุนสิ่งที่รัฐพยายามโฆษณา แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธการให้ความร่วมมือกับผู้ประสานงานที่เป็นคนในหมู่บ้าน สำหรับกลุ่มผู้ที่ยอมรับใช้โครงการนี้เป็นการนำเสนอข่าวสารเกี่ยวกับความเป็นกะเหรี่ยงที่หลุดออกจากภาพของการเป็นชาวเขา "rustic hill tribes" ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่รัฐพยายามโฆษณา จากวาทกรรมเกี่ยวกับความเป็นกะเหรี่ยงที่ถูกจำกัดความโดยคนอื่นมากว่าร้อยปี เช่น กะเหรี่ยงเป็นผู้รักสงบ รักช้าง รักธรรมชาติ และอาศัยอยู่ในป่า ฯลฯ ได้ถูกนำมาใช้และนำเสนอภาพโดยกลุ่มกะเหรี่ยงเองภายใต้สถานการณ์การจัดโครงการท่องเที่ยงเชิงอนุรักษ์ระบบนิเวศ "Eco Tourism" ที่เกิดจากการสนับสนุนของภาครัฐ แนวทางในการเปลี่ยนมาให้การสนับสนุนวัฒนธรรมและเข้าไปมีส่วนร่วมในกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ วาทกรรมนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐไทย แม้ว่าจะเป็นจุดมุ่งหมายจากรัฐแต่ได้แสดงนัยถึงเสียงและแนวคิดของกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มน้อยได้ถูกรับรู้และแพร่ขยายมากขึ้น ดังที่ Hinton กล่าวถึง รูปแบบที่กลุ่มชาติพันธุ์จะนิยามตนเองได้ขยายไกลไปจากเหตุผลทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม (หน้า 18-19) |
|
Focus |
ศึกษาวาทกรรมเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงทั้งจากมุมมองของกลุ่มชาติพันธุ์อื่นและจากการหยิบยกความหมายในวาทกรรมเหล่านั้นมานิยามตนเองของกะเหรี่ยง กรณีศึกษาหมู่บ้านกะเหรี่ยง M ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ ผ่านสถานการณ์ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ |
|
Theoretical Issues |
Hinton อ้างถึงลักษณะและรูปแบบของกลุ่มชาติพันธุ์อาจจะมีความสัมพันธ์ขยายไปไกลกว่าเหตุผล การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งเป็นเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่อาจจะละเลยได้ (Hinton 1983: 158) ในพม่า Hinton อ้างถึงผลจากความขัดแย้งอันยาวนาน และเหตุการณ์ที่อังกฤษในฐานะเจ้าอาณานิคมพม่าแบ่งกลุ่มชาติพันธุ์ออกเป็นรัฐในแต่ละพื้นที่ หลังจากการได้รับอิสรภาพของพม่าได้นำไปสู่ความขัดแย้งภายใน แม้ประเทศไทยไม่มีประสบการณ์ความขัดแย้งในลักษณะนี้ เนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงเป็นประชากรกลุ่มน้อย และความคิดในการเป็นสังคมสมัยใหม่ตามแบบยุโรปยังไม่ได้มีผลกับพวกเขามากนัก ทั้งสองฝั่งชายแดนมีเหตุการณ์และประสบการณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มน้อยที่แตกต่างกัน แม้กระนั้นก็ตามการพยายามเข้าใจกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง ควรเรียนรู้ทั้งจากกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงและกลุ่มผู้ปกครองทั้งในพม่าและในประเทศไทย ความแตกต่างตามช่วงเวลาในประวัติศาสตร์อาจจะมีมากขณะที่เกิดการรวมพื้นที่ (ช่วงศตวรรษที่ 19 ในพม่า ช่วงยุคอาณานิคมและช่วงศตวรรษที่ 20 ในประเทศไทยในช่วงเวลาของการพัฒนาไปสู่การเป็นรัฐชาติแบบสมัยใหม่) นัยทางการเมืองเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยอาจจะไม่ได้ไปอยู่ในในการต่อสู้รุนแรงแต่ก็ไม่ได้หมายถึงมีสัญญะน้อยกว่า (หน้า 1) วาทกรรมการกล่าวถึง ชนกลุ่มน้อยบนพื้นที่สูงให้เป็น คนอื่น (Others) เกิดขึ้นมานานกว่า 200 ปี ภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองจากอาณาจักร รัฐอาณานิคม ความขัดแย้งทั้งภายในและภายนอก การเป็นสังคมสมัยใหม่และโลกาภิวัติทั้งในประเทศไทยและพม่าในประเทศไทยการเปลี่ยนแปลงสถานภาพของกลุ่มชนบนพื้นที่สูง "Hill tribes" เกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงสัญญะในความเข้าใจวัฒนธรรมและการนำเสนอกลุ่มชนบนพื้นที่สูง "Others" รวมถึงในแนวทางซึ่งกลุ่มคนบนพื้นที่สูง "Others" เข้ามามีส่วนร่วมในวาทกรรมเหล่านี้ (หน้า 1) ปัจจุบันกะเหรี่ยงในประเทศไทยจะเป็นที่รู้จักกันในนาม "ปกากะญอ" (Pga K'nyau) ซึ่งเป็นชื่อที่กะเหรี่ยงสะกอเรียกตัวเอง เป็นชื่อเรียกที่สอดคล้องกับความหมายที่ว่าเป็น "ผู้อยู่อาศัยในป่า" ในทศวรรษของ 1990 ซึ่งมีความสนใจจากสื่อต่างๆ เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับข้อถกเถียงเรื่องวัฒนธรรมกะเหรี่ยงในฐานะที่อนุรักษ์ป่าไม้ ทำให้มีการใช้คำปกากะญอมากขึ้นกว่าคำเรียกชื่อเก่าไม่ว่าจะเป็น "ยาง" หรือ "กะเหรี่ยง" นี่เป็นวาทกรรมที่เกิดขึ้นจากกลุ่มองค์กรอิสระ NGOs และหัวหน้าหมู่บ้านกะเหรี่ยงกับกลุ่มชนที่อาศัยบนพื้นที่ราบในความพยายามให้กลุ่มชนบนพื้นที่สูงสามารถดำรงวิถีชีวิตในแบบของพวกเขาในพื้นที่ป่าได้อย่างถูกต้อง ในกระบวนการของวาทกรรมที่เกี่ยวกับลักษณะของชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้นเป็นชั้น ๆ มากว่า 200 ปี ได้ถูกหยิบยกขึ้นโดยกลุ่มกะเหรี่ยงเองเพื่อการนำเสนอตัวตนของพวกเขา หากเราเริ่มมองชุมชนกะเหรี่ยงในลักษณะที่มีความแตกต่าง ความหลากหลายในการดำรงวิถีชีวิต เศรษฐกิจ สถานการณ์นิเวศวิทยา และปฏิเสธความหมายที่เป็นทางเดียว ก็จะเห็นชุมชนกะเหรี่ยงในลักษณะเฉพาะของแต่ละชุมชนมากขึ้น (หน้า 1-2) ประเด็นคำถามเกี่ยวกับพัฒนาการของวาทกรรมความเป็นกะเหรี่ยง จึงมีความสำคัญต่อการเข้าใจ ซึ่งวิจัยพบว่าการสร้าง วาทกรรมอาจเกิดจากทั้งสองฝ่าย ในตอนแรกรัฐอาจเป็นผู้สร้างวาทกรรม แต่ภายหลังทศวรรษ 1990 กะเหรี่ยงก็สร้างตัวตน ขึ้นเองผ่านโครงการท่องเที่ยวเชิงระบบนิเวศ (หน้า 9) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงหมู่บ้าน M ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
หมู่บ้านตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1947 บรรพบุรุษของพวกเขาอพยพมาจากพม่าในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ในช่วงเริ่มต้นของการตั้งถิ่นฐานพวกเขาจ่ายภาษีให้กับละว้า (Lawa) และได้รับการยอมรับจากเมืองเชียงใหม่โดยการจ่ายภาษีเป็นช้างให้ทำการตั้งถิ่นฐานและทำการเพาะปลูกในพื้นที่ (หน้า 12) |
|
Economy |
ในอดีตกระเหรี่ยงทำไร่หมุนเวียน ถางพื้นที่ป่าเพื่อทำการเพาะปลูกต่อมามีการเปลี่ยนแปลงเมื่อโครงการหลวงเข้ามาสนับสนุนให้ปลูกพืชเศรษฐกิจ ปัจจุบัน หมู่บ้านไม่ได้ทำไร่หมุนเวียนอีกต่อไปเปลี่ยนเป็นทำนาและทำการเพาะปลูก กาแฟ สตรอเบอรี่ ยาสูบ และผักผลไม้อื่นๆ (หน้า 12) |
|
Political Organization |
การกล่าวถึง ชนกลุ่มน้อยบนพื้นที่สูงเป็น คนอื่น (Others) เกิดขึ้นมานานกว่า 200 ปี ภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองจากอาณาจักร รัฐอาณานิคม ความขัดแย้งทั้งภายในและภายนอก การเป็นสังคมสมัยใหม่และโลกาภิวัตน์ทั้งในประเทศไทยและพม่า (หน้า 1) ในหมู่บ้านกะเหรี่ยงปัญหาความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับรัฐ หรืออุทยานแห่งชาติมักเกิดจากวาทกรรมที่กล่าวถึงกลุ่มชนบนพื้นที่ สูงเป็นผู้ทำลายป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ จากการทำไร่หมุนเวียนและการเข้ามาล่าสัตว์หาของป่า รัฐได้หาแนวทางในการแก้ปัญหาโดยการสนับสนุนการดำรงวิถีชีวิตแบบใหม่ด้วยการจัดโครงการพัฒนาต่างๆ รวมถึงโครงการการท่องเที่ยวในเชิงอนุรักษ์ระบบนิเวศขึ้น ในขณะเดียวกันหมู่บ้านได้ใช้โครงการนี้เป็นการนำเสนออัตลักษณ์ของกะเหรี่ยง วิถีการดำรงชีวิตทั้งในแบบดั้งเดิมและแบบปัจจุบันต่อกลุ่มคนภายนอกเพื่อโต้แย้งวาทกรรมดังกล่าว (หน้า17-18) |
|
Education and Socialization |
โรงเรียนสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1972 (หน้า 12) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
วาทกรรมเกี่ยวกับกะเหรี่ยง วาทกรรมของการกล่าวถึง ชนกลุ่มน้อยบนพื้นที่สูงเป็น คนอื่น (Others) เกิดขึ้นมานานกว่า 200 ปี ภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองจากอาณาจักร รัฐอาณานิคม จนถึงสังคมสมัยใหม่ทั้งในประเทศไทยและพม่าในประเทศไทย สยามสมาคมได้สำรวจเผ่าพันธุ์ต่างๆ ในท้องถิ่นห่างไกลในทศวรรษ 1920 คำที่ใช้เรียกกลุ่มที่อยู่ตามเขา และป่า คือ "คนป่า" หรือ "ชาวป่า" ซึ่งครอบคลุมกลุ่มหลายกลุ่ม ในความหมายนี้ "ยาง" ก็เป็น "คนป่า" ซึ่งนับว่าเจริญกว่าพวก "ข่า" (หน้า 4) การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของกลุ่มชนบนพื้นที่สูง "Hill tribes" เกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงนัยในการทำความเข้าใจวัฒนธรรมและการนำเสนอกลุ่มชนบนพื้นที่สูง "Others" รวมถึงในแนวทางซึ่งกลุ่มคนบนพื้นที่สูง "Others" เข้ามามีส่วนร่วมในวาทกรรมเหล่านี้ (หน้า 1) จากการตรวจสอบวาทกรรมเกี่ยวกับกะเหรี่ยงพบดังต่อไปนี้ - ในช่วงเริ่มแรกกะเหรี่ยงเป็นที่รู้จักในชื่อ ยาง และแบ่งเป็น ยางดอย ยางน้ำ ตามสถานที่อยู่อาศัย และมีการแบ่งตามสีเครื่องแต่งกายเป็น yang suai kaban, ยางขาว "yang khaaw" ในกลุ่มยาง ยางน้ำสะอาด ชอบอาบน้ำ ยางดอย มีลักษณะสกปรกไม่ชอบอาบน้ำ อพยพเคลื่อนย้ายเสมอและไม่ต้อนรับคนภายนอก ยางขาวใจดี มีน้ำใจ ต้อนรับคนภายนอก และเป็นกลุ่มที่รักธรรมชาติ และพวกเขาเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างเคร่งครัดจะไม่รวมกับชาวพื้นราบ มีผู้อาวุโสเป็นผู้นำ กะเหรี่ยงถูกรู้จักในฐานะของผู้รักธรรมชาติมากว่าครึ่งศตวรรษก่อนที่จะมีวาทกรรมเกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่าไม้และสภาพแวดล้อม ซึ่งกะเหรี่ยงได้รับรู้เรื่องเหล่านี้และนำมาโต้แย้งว่าพวกเขาอาศัยอยู่กับธรรมชาติมายาวนานและวิถีชีวิตของพวกเขาไม่ได้ทำลายป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ - คำว่า "ชาวเขา" ใช้อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1950 เป็นการเปลี่ยนจาการใช้คำว่า "ชาวป่า" มาเป็น "ชาวเขา" และในปี ค.ศ. 1963 พบคำว่ากะเหรี่ยงใช้สำหรับยาง ในงานวิจัยด้านมานุษยวิทยาใช้คำว่าชาวเขาในช่วงปี ค.ศ. 1970-1980 ชาวเขาเป็นคำที่รวมเอากลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงเข้าไว้ด้วยกัน โดยที่ไม่สนใจลักษณะเฉพาะทางวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่ม ซึ่งเป็นเหตุผลให้เกิดการโต้แย้งในงานมานุษยวิทยาในช่วงหลังที่นักมานุษยวิทยามักจะสนใจอธิบาย และนำเสนอกลุ่มชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มในคำของพวกเขาเอง การอธิบายที่มีสีสันของนักมานุษยวิทยาสอดคล้องกับความต้องการด้านการท่องเที่ยวที่กำลังได้รับความนิยม ในช่วงปี ค.ศ. 1980 โปส์การ์ดของชาวเขาในเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่มีสีสัน ปรากฏตามถนนร้านค้าในเชียงใหม่ และจากการพิมพ์หนังสือของ Elaine Lewis ในปี ค.ศ.1984 ภาพเครื่องแต่งกายสวยงาม เครื่องมือเครื่องใช้ และการนำเสนอกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงเป็นกลุ่มที่รักสงบ สุภาพ ใจดี อบอุ่น ไม่เคยรู้สึกไม่ดีกับผู้อื่น และเป็นกลุ่มที่มีความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศวิทยา การเพาะปลูก และการหาสมุนไพรจากป่าที่สืบทอดจากบรรพบุรุษจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่งมายาวนาน - วาทกรรมเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงมากกว่า 200 ปีแสดงให้เห็นว่ากลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในช่วงตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 เป็นต้นมา งานวิจัยและการนำเสนอความรู้ของกะเหรี่ยงในการจัดการป่าในฐานะผู้อยู่อาศัยในป่าเพื่อโต้แย้งเกี่ยวกับวาทกรรมของรัฐที่กล่าวถึงกลุ่มชนบนพื้นที่สูงเป็นเป็นผู้ทำลายป่า และเริ่มมีกลุ่มกะเหรี่ยงออกมานำเสนอวิถีชีวิตของตนเองตั้งแต่ช่วงระเวลานี้เป็นต้นมา สำหรับหมู่บ้าน M ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุทยามแห่งชาติดอยอินทนนท์ จ. เชียงใหม่ ได้เสนอภาพลักษณ์และวิถีชีวิตของชุมชนผ่านบริบทของการจัดการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ระบบนิเวศ (หน้า 2-10) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดเกิดขึ้นในหมู่บ้านกะเหรี่ยง M เกิดขึ้นจากการที่รัฐเข้ามาพัฒนาโครงการการต่าง ๆ ในพื้นที่สูง สร้างถนน ระบบชลประทาน และนำกลุ่มพ่อค้าม้งและพ่อค้าคนเมืองเข้ามามากขึ้น ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตตามประเพณีดั้งเดิมการทำไร่หมุนเวียนและการล่าสัตว์ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป เนื่องจากความขัดแย้งในเรื่องการใช้พื้นที่ป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติกับรัฐ ปัจจุบัน ชาวบ้านหันมาทำการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น กาแฟ ยาสูบ สตอรเบอรี่และพืชผักผลไม้ต่าง ๆ (หน้า 12-13) |
|
Other Issues |
การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ระบบนิเวศ (Ecotourism) โครงการการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ระบบนิเวศได้รับการสนับสนุนจากรัฐผ่านอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ในปี ค.ศ.1999 โดย มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สนับสนุนรายได้เข้าสู่หมู่บ้าน 2) ลดปัญหาการเข้าไปใช้ป่าอย่างผิดกฎหมาย โดยเฉพาะปัญหาเรื่องที่ดินและการล่าสัตว์ 3) นำเสนอความรู้ภูมิปัญญาของกะเหรี่ยงที่ถูกเข้าใจผิดจากคนภายนอก 4) สร้างความรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติทั้งในกลุ่มกะเหรี่ยงและกลุ่มคนภายนอก หมู่บ้านที่เป็นเป้าหมายหลักคือหมู่บ้าน M ซึ่งเป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงที่อยู่ใกล้ถนนทางเข้าอุทยานด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ กลุ่มคนที่สนใจเป็นกลุ่มผู้ชายที่แต่งงานแล้วแต่อายุไม่มากนัก คือ S เป็นชายหนุ่มที่มีการศึกษาและไดัรับการสนับสนุนจากตำบล และ C เป็นเพื่อนร่วมทำธุรกิจกับ S แต่กลุ่มผู้อาวุโสและหมอผีผู้ประกอบพิธีกรรมในหมู่บ้านและมีความรู้เรื่องสมุนไพรจากป่าไม่ต้องการเข้ามาเกี่ยวข้องกับโครงการนี้ อย่างไรก็ตาม โครงการเริ่มต้นเมื่อสมาชิกประมาณ 13 คน ประกอบไปด้วยหัวหน้าหมู่บ้าน 4 หมู่บ้าน เจ้าหน้าที่ประจำตำบล และมีชาวบ้านเข้าร่วมเพียงเล็กน้อย S กล่าวว่า ชาวบ้านไม่สนใจโครงการเนื่องจากมีความขัดแย้งกับกลุ่มเจ้าหน้าที่ป่าไม้ของรัฐพวกเขาต่างระแวงกันทั้งสองฝ่าย เมื่อเริ่มจัดโครงการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ระบบนิเวศได้มีการสร้างถนน บังกะโล และ S เลือกให้ L พรานป่ามาเป็นไกด์ เนื่องจากความชำนาญเกี่ยวกับพื้นที่และความรู้ของเขาได้นำมาใช้ในงานใหม่หลังจากที่ไม่สามารถล่าสัตว์ได้อีก การลงทุนใช้เงินประมาณ 400,000 บาท จากรายได้ตลอด 4 ปีเหลือหนี้สินอีกเพียง 80,000 บาท S กล่าวว่าหลังจากที่ปลดหนี้ทั้งหมดจะเริ่มแบ่งกำไรซึ่งอาจจะทำให้ชาวบ้านอื่น ๆ สนใจเข้าร่วมมากขึ้น นอกจากนี้ S สร้างพิพิธภัณฑ์เป็นบ้านไม้อยู่ใกล้กับบ้านของเขา ภายในมีสิ่งของเครื่องใช้ในการล่าสัตว์ จับปลา ของเหล่านี้ไม่ได้มาจากหมู่บ้าน S กล่าวว่าชาวบ้านไม่เข้าใจว่าสิ่งของของพวกเขามีคุณค่าในการจัดแสดง และพวกเขาอายที่นำสิ่งของมาให้ สิ่งของส่วนใหญ่นำมาจากหมู่บ้านอื่น เมื่อนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ S ภูมิใจที่จะนำเสนอวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมของเขา รวมถึง S ได้จัดพื้นที่ในพิพิธภัณฑ์เป็นร้านกาแฟให้นักท่องเที่ยวนั่งดื่ม และกล่าวว่า เป็นกาแฟที่เพาะปลูกในหมู่บ้านผลิตด้วยกรรมวิธีตามธรรมชาติไม่ใช้สารเคมี เมื่อนักท่องเที่ยวมาถึงหัวหน้าหมู่บ้านจะกล่าวต้อนรับ เขามักพูดว่า "ชาวไทยคิดว่าพวกเราเป็นชาวเขาที่ทำลายป่าไม้ เขาขอร้องให้นักท่องเที่ยวและผู้มาเยือนเดินชมหมู่บ้านและวิถีชีวิตของกะเหรี่ยงซึ่งไม่ได้ทำลายป่าดังที่กลุ่มคนภายนอกคิด" นอกจากนี้พวกเขายังนิยมให้นักท่องเที่ยวดูรูปสภาพป่าในอดีตที่มีการทำไร่หมุนเวียนและปลูกฝิ่น กับสภาพปัจจุบันที่ไม่ได้ทำการเพาะปลูกแล้วซึ่งมีหญ้าขึ้นแทนพื้นที่เหล่านั้น นอกจากนี้ C ผู้ร่วมโครงการได้จัดหนังสือเกี่ยวกับเรื่องเล่า นิทานของกะเหรี่ยงเกี่ยวกับนกชนิดต่าง ๆ เขากล่าวว่า ค่อนข้างได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ดูนกและกลุ่มผู้รักธรรมชาติ ทั้งการจัดทำพิพิธภัณฑ์และการทำหนังสือเรื่องเล่า นิทานเกี่ยวกับนกของกะเหรี่ยง แสดงให้เห็นว่าชาวบ้านตอบรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาหาวิถีชีวิตชนบทของกลุ่มคนอื่น (Others) พิพิธภัณฑ์ในเมืองแสดงภาพกลุ่มคนบนพื้นที่สูง "ชาวเขา" เป็นเหมือนการแสดงอำนาจรัฐ แต่การนำเสนอของหมู่บ้าน M เป็นการเสนอภาพของวิถีชีวิตดั้งเดิมจากวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ในพิพิธภัณฑ์หรือจากเรื่องเล่า นิทานดั้งเดิมในหนังสือนก และหมู่บ้านยังนำเสนอระบบเศรษฐกิจและกิจกรรมปัจจุบันของหมู่บ้านต่อนักท่องเที่ยวและผู้มาเยี่ยมเยือน ซึ่งเป็นการนำเสนอภาพที่ซับซ้อนมากกว่าเกี่ยวกับวิถีชีวิตบนพื้นที่สูง และเป็นการนำเสนอภาพในกรอบที่แตกต่างไปจากกรอบแนวคิดของกลุ่มคนภายนอก ทั้งพิพิธภัณฑ์และหนังสือเรื่องเล่า นิทานนกของกะเหรี่ยงเป็นรูปแบบพื้นฐานบางส่วนของวัฒนธรรมกะเหรี่ยงที่ถูกนำเสนอสำหรับกลุ่มคนอื่น (Others) การสร้างอัตลักษณ์และสำนึกของการเป็นกะเหรี่ยงได้เกิดขึ้นจากการรวมวัฒนธรรมดั้งเดิมเข้ากับการสร้างสิ่งใหม่ที่กะเหรี่ยงได้รับรู้จากสายตาของกลุ่มคนอื่นเข้าด้วยกัน (หน้า 10-18) |
|
|