|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),หัตถกรรมทอผ้า,ส่งเสริมการผลิต,การตลาด,ลำพูน |
Author |
มาลี ศรีศฤงคาร |
Title |
การวิเคราะห์เชิงเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยงานหัตถกรรมชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง : ศึกษากรณีทอผ้า ณ หมู่บ้านพระบาทห้วยต้ม จังหวัดลำพูน |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Total Pages |
116 |
Year |
2530 |
Source |
สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
จากปัญหาของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงหมู่บ้านพระบาทห้วยต้มคือ ปัญหาความยากจน มีรายได้ครัวเรือนต่ำ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพได้ตระหนักและเล็งเห็นปัญหานี้จึงหาแนวทางที่จะทำให้ชาวบ้านมีรายได้สูงขึ้นภายในกรอบวิถีการดำรงชีวิตของเขาที่เป็นอยู่ สถาบันฯ จึงใช้งานผลิตภัณฑ์ทอผ้าด้วยมือที่เรียกว่า "ผ้าซิ่นเปลือกไม้" ซึ่งสถาบันฯ ได้ช่วยเหลือในด้านวัตถุดิบและการตลาด วัตถุประสงค์หลักของการศึกษานี้เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของสินค้าหัตถกรรมดังกล่าวในการยกระดับรายได้ครัวเรือนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงหมู่บ้านพระบาทห้วยต้ม โดยเน้นปัญหาการผลิต การตลาด และผลตอบแทนของชาวเขาผู้ผลิต ผลการศึกษาพบว่าในระยะแรกของการส่งเสริมการผลิต ชาวเขาผู้ผลิตได้ผลตอบแทนอยู่ในระดับสูง ต่อมาเมื่อสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพถอนตัวไป ความต้องการผลิตภัณฑ์ก็ลดต่ำลงไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับกำลังการผลิตที่สามารถ ผลิตได้ ทำให้รายได้ครัวเรือนต่อเดือนของชาวเขาจากการทอผ้าลดลงด้วย สาเหตุของการลดลงในความต้องการซื้อเพราะว่า ขาดผู้ทำหน้าที่การตลาดและส่งเสริมการตลาด ปัญหาคุณภาพสินค้าตกต่ำ ปัญหาการออกแบบไม่ตรงกับรสนิยมผู้บริโภค รวมทั้งปัญหาการแข่งขันจากสินค้าคู่แข่งขัน โครงสร้างอุตสาหกรรมทอผ้าของหมู่บ้านไม่สอดคล้องกับหลักการผลิตในเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้โครงสร้างการกำหนดราคาของผลิตภัณฑ์ ผู้ผลิตเป็นผู้เสียเปรียบ ราคาส่วนใหญ่จะถูกกำหนดโดยพ่อค้าคนกลางในเมือง การแก้ปัญหาที่เป็นข้อเสนอแนะทางนโยบายเพื่อช่วยเหลือชาวเขาจึงควรที่จะจูงใจให้การสนับสนุนองค์การเอกชนที่มีความรู้ความชำนาญและประสบการณ์ในการผลิต การตลาด และการจัดการทางด้านนี้เข้ามาลงทุนผลิตผ้าทอกะเหรี่ยงโดยอาศัยแรงงานจากชาวเขาในหมู่บ้าน |
|
Focus |
มุ่งศึกษาความเป็นไปได้ของสินค้าหัตถกรรมด้านการทอผ้า ในการยกระดับรายได้ครัวเรือนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงหมู่บ้านพระบาทต้ม โดยเน้นปัญหาการผลิต การตลาด และผลตอบแทนของชาวเขาผู้ผลิต |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงเป็นชาวเขาที่อยู่ในตระกูลภาษาจีน-ธิเบต เช่น เดียวกับเผ่ามูเซอ ลีซอ และอีก้อ กะเหรี่ยงยังไม่เคยมีการรวมตัวกัน เป็นชาติกะเหรี่ยงเลย นักภาษาศาสตร์ได้แบ่งกะเหรี่ยงออกเป็น 4 กลุ่ม คือ กะเหรี่ยงสะกอ, กะเหรี่ยงโปว์, กะเหรี่ยงคะยา, และกะเหรี่ยงตองสู, (หน้า 121-122) สำหรับกะเหรี่ยงในงานวิจัยชิ้นนี้คือ กะเหรี่ยงโปว์และสะกอที่อยู่ในหมู่บ้านพระบาทห้วยต้ม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน (หน้า 42) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กะเหรี่ยงเป็นชาวเขาที่อยู่ในตระกูลภาษาจีน-ธิเบต (หน้า 121) จากการสำรวจของศูนย์วิจัยชาวเขาเมื่อปี พ.ศ. 2522 เกี่ยวกับความสามารถในการใช้ภาษาไทย ของชาวเขาในหมู่บ้านพระบาทห้วยต้มนี้พบว่า ชาวเขาในหมู่บ้านทั้งหมดที่มีอายุ 7 ปีขึ้นไป จำนวน 2,433 คน จะสามารถพูดภาษาไทยได้ 889 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 36.54 ผู้ชายพูดภาษาไทยได้ร้อยละ 56.23 ในกลุ่มของผู้ชาย และผู้หญิงพูดภาษาไทยได้ร้อยละ 16.50 ในกลุ่มผู้หญิง ในหมู่บ้านมีผู้อ่านและเขียนภาษาไทยได้ร้อยละ 7.17 ของประชากรทั้งหมด ส่วนภาษากะเหรี่ยงมีผู้อ่านออกเขียนได้ร้อยละ 5.71 และจากการสำรวจจำนวนผู้ไม่รู้หนังสือของจังหวัดลำพูนเฉพาะผู้เรียนไม่จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และมีอายุ 14 ปีขึ้นไป เมื่อเดือนกรกฎาคม 2526 พบว่าในหมู่บ้านพระบาทห้วยต้มมีจำนวนผู้ไม่รู้หนังสือคือ อ่านเขียนภาษาไทยไม่ได้เลยอยู่จำนวน 491 คน คิดเป็นร้อยละ 15.98 ของประชากรทั้งหมด (หน้า 47) |
|
Study Period (Data Collection) |
ใช้ข้อมูลในปี พ.ศ. 2527-2528 เป็นพื้นฐานในการศึกษา (หน้า 18) |
|
History of the Group and Community |
กะเหรี่ยงในประเทศไทย เคยอาศัยอยู่ในบริเวณต้นน้ำสาละวิน ประเทศพม่า และได้อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในบริเวณทิศตะวันตกเฉียงเหนือของไทย แถบจังหวัดชายแดนไทย - พม่า การอพยพในระยะแรกเป็นการอพยพตามธรรมชาติ แต่ต่อมาในศตวรรษที่ 24 จึงเป็นการอพยพมากันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากกะเหรี่ยงเกิดความขัดแย้งทางการเมืองกับรัฐบาลพม่า อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานว่ากะเหรี่ยงได้อาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานอย่างน้อย 250 ปีมาแล้ว ตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยอาศัยอยู่ในเขตจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี ต่อมาได้กระจายอยู่ทั่วไปถึง 25 จังหวัด ที่จังหวัดเชียงใหม่มีมากที่สุด ในปัจจุบันกะเหรี่ยงที่อพยพเข้ามาในช่วงแรกๆ มีการผสมกลมกลืนทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมกับคนไทยพื้นราบเกือบทั้งหมดแล้ว ส่วนกะเหรี่ยงที่อพยพเข้ามาในระยะ 50 ปีมานี้ ยังคงลักษณะสังคมเผ่าของตนอยู่ตามเดิม (หน้า 121) สำหรับชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในจังหวัดลำพูนนั้น เป็นกะเหรี่ยงที่ตั้งรกรากอยู่ในจังหวัดลำพูนมานานกว่า 100 ปีแล้ว อย่างไรก็ตาม หมู่บ้านพระบาทห้วยต้ม อำเภอลี้ เป็นหมู่บ้านตั้งใหม่เมื่อปี พ.ศ.2514 กะเหรี่ยงที่อยู่ในหมู่บ้านนี้เป็นกลุ่มที่อพยพมาจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดตาก (หน้า 28) |
|
Demography |
ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านพระบาทห้วยต้ม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เป็นชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงสะกอและกะเหรี่ยงโปว์โดยกะเหรี่ยงสะกอมีมากที่สุดคือประมาณร้อยละ 75 ของประชากรทั้งหมด (หน้า 42) อย่างไรก็ตาม หมู่บ้านพระบาทห้วยต้มมีประชากรทั้งหมด 653 ครัวเรือน 3,470 คน ประกอบด้วยประชากรกลุ่มอายุ 0-6 ปี วัยก่อนเรียน 696 คน กลุ่มอายุ 7-14 ปี วัยเรียนภาคบังคับ 533 คน กลุ่มอายุ 15-59 ปี วัยแรงงาน 2,051 คน และกลุ่มที่มากกว่า 60 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นคนวัยนอกการทำงาน 190 คน ในจำนวนประชากรกลุ่มต่างๆ นี้ ประชากรกลุ่มวัยแรงงานเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ที่สุด มีถึงร้อยละ 59.10 ของจำนวนประชากรทั้งหมด (หน้า 9) |
|
Economy |
ก่อนปี พ.ศ. 2528 ชาวเขาในหมู่บ้านพระบาทห้วยต้มส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม ส่วนอาชีพรองที่ทำรายได้เป็นตัวเงินสูงสุด คือ อาชีพรับจ้างและการประกอบอุตสาหกรรมในครัวเรือน ภายหลังเมื่อราชการได้สั่งปิดป่าในปี พ.ศ.2528 ห้ามเข้าไปทำกินในเขตป่าสงวนและเขตอุทยานแห่งชาติแม่ปิง และทำให้กะเหรี่ยงมีพื้นที่ทำกินและรายได้จากการเกษตรลดน้อยลง กะเหรี่ยงจึงหันไปทำงานรับจ้างทั้งในและนอกหมู่บ้านมากขึ้นซึ่งต่อมาอาชีพรับจ้างนี้จะสร้างรายได้ให้กับกะเหรี่ยงมากถึงร้อยละ 42.12 ของรายได้ทั้งหมด ขณะที่รายได้จากภาคเกษตรกรรมมีเพียงร้อยละ 18.98 ของรายได้ทั้งหมดเท่านั้น (ตัวเลขในปี พ.ศ. 2528) อย่างไรก็ตาม งานรับจ้างประเภทต่างๆ ที่กะเหรี่ยงทำในหมู่บ้านของตน ได้แก่ งานรับจ้างสกัดศิลาแลง ทอผ้า ปลูกป่า ขุดดิน ฟันไร่ และทำงานในวัด ส่วนงานรับจ้างที่ทำนอกหมู่บ้าน ได้แก่ เป็นแรงงานทุกประเภทที่มีผู้จ้างโดยคิดอัตราค่าแรงวันละ 25-30 บาท ค้าขาย ตั้งร้านซ่อมจักรยาน ทำประมง และขับรถโดยสาร |
|
Social Organization |
ลักษณะทางสังคม : โดยทั่วไปแล้วกะเหรี่ยงจะตั้งบ้านเรือนอยู่รวมกันหมู่บ้านละ 5 จนถึง 100 หลังคาเรือนขึ้นไป ระบบครอบครัวของกะเหรี่ยงเป็นลักษณะครอบครัวเดี่ยวมีการนับถือบรรพบุรุษสายมารดา แต่ละหมู่บ้านจะมีหมอผีเป็นผู้นำทางสังคมในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ และจะเป็นผู้ที่ชาวบ้านให้ความเคารพเชื่อถือมากเสมือนเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน (หน้า 122) ส่วนหมู่บ้านพระบาทห้วยต้มนั้นมีลักษณะเป็นสังคมเปิด มีวัดเป็นศูนย์กลางและมีอิทธิพลในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในหมู่บ้าน เป็นสังคมที่มีการติดต่อกับสังคมภายนอกยอมรับการพัฒนาต่างๆ ของหน่วยงานที่เข้าไปในหมู่บ้าน แต่ขณะเดียวกันก็มีพระเป็นผู้มีบทบาทนำในกิจกรรมต่างๆ ในการพัฒนาคำสั่งสอนแนะนำต่างๆ ของครูบาวงศ์ ซึ่งยังเป็นที่ยึดถือปฏิบัติกันมาตลอดจนถึงปัจจุบัน (หน้า 45) |
|
Political Organization |
หมู่บ้านพระบาทห้วยต้มเป็นหมู่บ้านที่ขึ้นกับการปกครองของทางราชการ เป็นหมู่ที่ 8 ของตำบลนาทราย อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน สังคมการปกครองของหมู่บ้านนี้ใช้หลักศาสนาและหลักการปกครองของทางราชการควบคู่กันไป มีผู้ใหญ่บ้าน 1 คน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านอีก 2 คนที่ได้รับการเลือกตั้งจากราษฎรในหมู่บ้านให้ปฏิบัติหน้าที่ เป็นตัวแทนของทางราชการและชุมชนซึ่งมีการจัดตั้งคณะกรรมการหมู่บ้านขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้นำด้านการพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา มีหัวหน้าหน่วยพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาประจำหน่วยพระบาทห้วยต้มเป็นเลขานุการของคณะกรรมการ ในทางศาสนาได้มีการแต่งตั้งบุคคลผู้อาวุโสของแต่ละกลุ่มตามภูมิลำเนาเดิมที่อพยพมาให้เป็นผู้นำของแต่ละกลุ่ม ซึ่งมีทั้งหมด 7 กลุ่ม ชาวบ้านเรียกผู้นำเหล่านี้ว่า "อาจารย์" ทำหน้าที่เป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เป็นมัคทายกวัด อบรบสั่งสอนชาวบ้าน และคอยสอดส่องดูแลไม่ให้มีผู้กระทำผิดกฎของหมู่บ้านซึ่งกำหนดโดยหลักคำสอนทางศาสนาและกฎหมายบ้านเมือง (หน้า 44) |
|
Belief System |
ประชากรทั้งหมดในหมู่บ้านพระบาทห้วยต้มนับถือศาสนาพุทธและมีความนับถือเลื่อมใสในคำสั่งสอนของครูบาวงศ์อย่างมาก มีการปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาอย่างเคร่งครัด โดยถือเอาวันพระเป็นวันหยุดงาน เพื่อไปทำบุญฟังเทศน์ที่วัด ยังมีพิธีกรรมการนับถือผีอยู่บ้างแต่เป็นการผสมผสานวิธีการของชาวพื้นเมืองเข้ากับของชาวเขาเดิม ส่วนผู้นำในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาชาวบ้านเรียกว่า "อาจารย์" อย่างไรก็ตาม ภายในหมู่บ้านพระบาทห้วยต้มจะไม่มีการอนุญาตให้นำเอามหรสพจากภายนอกเข้าไปแสดง ไม่มีการจำหน่ายสุราหรือดื่มสุรา และแทบจะไม่มีการลักเล็กขโมยน้อยเลย แต่ถ้ามีก็มักจะเป็นการไปเที่ยวภายนอกหมู่บ้าน ซึ่งคนที่ไปก็จะถูกตำหนิติเตียนจากผู้อาวุโสหรืออาจารย์ (หน้า 45) ความเชื่อหรือศาสนาของกะเหรี่ยงมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบใหญ่ๆ คือ การนับถือผีและวิญญาณ การนับถือพุทธและการนับถือคริสต์ แต่ส่วนใหญ่ร้อยละ 90 ยังคงนับถือผี (Animism) กะเหรี่ยงมีประเพณีเกี่ยวข้องกับการทำพิธีกรรมเลี้ยงผีที่เป็นบ่อเกิดของคุณธรรมและค่านิยมหลายประการในสังคมกะเหรี่ยง เช่น การเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่เฒ่า วิญญาณบรรพบุรุษคือ ผีบ้านผีเรือนจะคอยคุ้มครองให้ความสุข การลักเล็กขโมยน้อยเป็นความผิด ถึงแม้คนจะไม่เห็นแต่ผีและวิญญาณจะเห็นและลงโทษ เป็นต้น (หน้า 122-123) ประเพณีที่สำคัญก็คือประเพณีขึ้นปีใหม่ ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งจะเป็นเดือนที่เริ่มต้นของฤดูกาลการเพาะปลูก พิธีการฉลองคือ การนำเหล้าและเนื้อไก่ไปบวงสรวงต่อผีและวิญญาณ จากนั้นก็มีการดื่มเหล้าและผูกข้อมือด้วยด้ายดิบให้คำอวยพรต่อกัน (หน้า 123) |
|
Education and Socialization |
ในปัจจุบันหมู่บ้านพระบาทห้วยต้มมีโรงเรียน 4 โรง ได้แก่ โรงเรียนที่อยู่ในสังกัดของสำนักงานการประถมศึกษาแห่งชาติ, โรงเรียนอนุบาลก่อนวัยเรียนของหน่วยพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาประจำหมู่บ้านพระบาทห้วยต้ม, โรงเรียนผู้ใหญ่ของการ ศึกษานอกโรงเรียน และโรงเรียนสอนภาษากะเหรี่ยงและภาษาไทยของเอกชน |
|
Health and Medicine |
มีหน่วยงานการบริการอนามัยและสาธารณสุขของทางราชการอยู่ 3 หน่วยงาน คือ หน่วยพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาประจำหมู่บ้าน ที่ทำการอนามัย ตำบลนาทราย ของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำพูน และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และสุขภาพของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (หน้า 48-49) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การทอผ้าในพระบาทห้วยต้มซึ่งเป็นชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงสะกอและกะเหรี่ยงโปว์นั้น วัฒนธรรมต่างๆ ของลวดลายบนผ้าทอหรือเครื่องนุ่งห่มที่ใช้ปะปนกัน แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนมากยังคงสังเกตได้และแยกออกว่าเป็นกะเหรี่ยงกลุ่มใดและอพยพมาจากภูมิลำเนาใด ทุกหลังคาเรือนของชาวเขาในหมู่บ้านพระบาทห้วยต้มจะมีการทอผ้าเพื่อใช้เองโดยแม่บ้านจะเป็นผู้ทอเตรียมไว้ให้กับสมาชิกในครอบครัว อย่างน้อยจะเป็นเสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ปีละ 1 ชุด และสำหรับผ้าทอชาวเขาที่มีการทอเพื่อจำหน่ายอย่างเป็นล่ำเป็นสันนั้นเป็นผ้าทอลายน้ำไหล (Ikat) ที่เรียกว่าผ้าซิ่นเปลือกไม้ ซึ่งเป็นการนำส่วนหนึ่งของลวดลายผ้าถุงของสตรีที่แต่งงานแล้วของกะเหรี่ยงมาขยายเป็นลายน้ำไหลทั้งผืน เป็นที่น่าสังเกตว่าชาวเขาไม่ได้นำผ้าชนิดนี้มาใช้ตัดเย็บเป็นของใช้หรือทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม เป็นการทอเพื่อจำหน่ายอย่างเดียวเท่านั้น ผ้าทอและผลิตภัณฑ์ผ้าทอกะเหรี่ยงจากหมู่บ้านพระบาทห้วยต้มที่ผลิตป้อนสู่ตลาดจะเป็นสินค้าผ้าซิ่นลายน้ำไหลหรือผ้าซิ่นเปลือกไม้ (หน้า 56) กะเหรี่ยงไม่มีการเต้นรำใดๆ เหมือนชาวเขาเผ่าอื่น เช่น เผ่าอีก้อ มูเซอ และลีซอ แต่จะมีการ "ซอ" รอบกองไฟในพิธีศพโดยมีการร้องเพลงชี้ทางให้แก่วิญญาณผู้ตาย สำหรับเครื่องดนตรีมีพิณ 6 สาย ที่ใช้ดีดประกอบเพลงเล่านิทานหรือเพลงเกี้ยวสาวที่ปัจจุบันกำลังจะเสื่อมหายไปและเพลงไทยลูกทุ่งกำลังเป็นที่นิยมแทน (หน้า 123) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ทางราชการได้สั่งปิดป่า ห้ามชาวเขาเข้าทำกินในบริเวณป่าสงวนและเขตอุทยานแห่งชาติแม่ปิง ทำให้พื้นที่ทำกินของชาวบ้านพระบาทห้วยต้มลดลงจากที่เคยบุกเบิกทำไร่ในเขตอุทยานนี้เฉลี่ยถึงครอบครัวละ 6 ไร่ สำหรับพื้นที่ดินทำกินที่โครงการหลวงพัฒนาที่ดินได้จัดสรรให้บริเวณรอบหมู่บ้านเฉลี่ยครอบครัวละ 3 ไร่ ปรากฎว่าผลผลิตที่ได้ไม่เพียงพอต่อการบริโภค ชาวบ้านจึงต้องหางานรับจ้างต่างๆ ทั้งในหมู่บ้านและนอกหมู่บ้านมากขึ้นและเป็นที่มาของแหล่งรายได้สูงสุด (หน้า 49-50) |
|
Map/Illustration |
แผนที่หมู่บ้านแสดงพื้นที่การศึกษา (ไม่ระบุเลขที่หน้า) ภาพเครื่องทอผ้าแบบกะเหรี่ยง (ไม่ระบุเลขที่หน้า) |
|
|