|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,การเรียนรู้,ผู้หญิง,อัตลักษณ์,ความขัดแย้ง,เชียงใหม่ |
Author |
Tracy Pilar |
Title |
Contradictions in Learning How to be Thai: A Case Study of a Young Hmong Woman |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
21 |
Year |
2546 |
Source |
Hmong Studies Journal 2003, Volume 4, |
Abstract |
งานวิจัยชิ้นนี้มาจากการออกภาคสนามเป็นเวลา 3 เดือนในหมู่บ้านม้ง ทางภาคเหนือของประเทศไทย ในช่วงปี ค.ศ. 1998 วิกฤติการณ์ในขณะนั้น เกิดขึ้นระหว่างรัฐบาลไทยกับหมู่บ้าน "กา" (Ga) หัวหน้าครูอนุบาลม้งมีบทบาทสำคัญในวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้น และเมื่อผู้วิจัยออกจากหมู่บ้านปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข แต่ผู้วิจัยมีความเชื่อว่าการวิเคราะห์สถานการณ์ขึ้นอยู่กับบทบาทของ "กา" (Ga) ในวิกฤติการณ์นี้แสดงให้เห็นทิศทางของการศึกษาได้สร้างอัตลักษณ์ใหม่ของบุคคลในสังคม และถูกตีความในรูปแบบที่คลุมเครือและขัดแย้งกัน ผู้วิจัยเสนอว่า จากกรณีของ "กา" (Ga) อาจจะไม่ได้เป็นการประสบความสำเร็จสูงสุดของการเปลี่ยนผ่าน แต่สิ่งที่นักวิจัยเชื่อคือ ประสบการณ์ของ "กา" (Ga) แสดงแนวโน้มเกี่ยวกับการศึกษา ประวัติศาสตร์ และการเมือง อาจจะส่งผลกระทบต่อการผลิตและการแพร่กระจายความหมายทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นส่วนที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน นอกเหนือไปกว่านั้น การเปลี่ยนอัตลักษณ์ของสมาชิกในกลุ่มอาจจะสร้างความแตกต่างของตำแหน่งในสังคมของพวกเขาและความหมายทางวัฒนธรรมโดยรอบ สร้างความเป็นไปได้สำหรับการสร้างความขัดแย้งในสังคมและวัฒนธรรมและมีความเป็นไปได้ที่วัฒนธรรมจะถูกสร้างใหม่ "Reproduced" ภายหลังการเสนอข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ทางภาคเหนือของประเทศไทยและข้อโต้แย้งในการผลิตแนวคิดใหม่ทางสังคม "Social Reproduction Theory" ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้รับการพิจารณาในสาขาวิชามานุษยวิทยาและโดยเฉพาะ มานุษยวิทยาการศึกษา "Educational Anthropology" งานวิจัยชิ้นนี้จะเสนอวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมการวิเคราะห์ (หน้า 1) |
|
Focus |
ศึกษาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนผ่านอัตลักษณ์ของผู้หญิงม้ง ในกรณีของ "กา" (Ga) หญิงม้งที่ได้รับโอกาสศึกษาในระดับสูงและกลับมาทำงานเป็น ครูอนุบาลในหมู่บ้าน (หน้า 1) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ใน อ. เมือง จ. เชียงใหม่ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาม้งและภาษาไทย (หน้า 4) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ม้ง มีถิ่นอาศัยดั้งเดิมในตอนใต้ของจีน และเริ่มอพยพลงใต้ในช่วงปลายศตวรรษ 1700 เพื่อหาที่ดินใหม่ ม้งจำนวนมากอพยพลงใต้บางส่วนลงมาถึงทางภาคเหนือของประเทศไทย เช่น เชียงใหม่ (หน้า 1-2) |
|
Economy |
ม้งเพาะปลูกพืชเพื่อการยังชีพ แต่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติที่เพิ่มมากขึ้น และการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก ทำให้ม้งเชื่อว่าอีกไม่นานก็จะไม่สามารถทำการเพาะปลูกในที่ดินได้อีก พวกเขาขยายระบบเศรษฐกิจด้วยการศึกษา โดยผู้คนในหมู่บ้านจะอยู่ทำงานในไร่ถ้าระบบเศรษฐกิจดี เมื่อระบบเศรษฐกิจไม่ดีก็จะไปโรงเรียนเพื่อก้าวไปสู่อาชีพที่ดีกว่า โดยที่เด็กผู้ชายสามารถเข้ารับการศึกษาผ่านการบวชเป็นเณร อาจจะมีเงินเหลือสำหรับเด็กผู้หญิงเพิ่มมากขึ้นเพื่อใช้ในการศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียน (หน้า 3-4) |
|
Social Organization |
ครัวเรือนเป็นสถาบันสังคมและเศรษฐกิจที่สำคัญสำหรับม้ง ผู้หญิงทำงานส่วนใหญ่ในครัวเรือนแต่ต้องอิงอยู่กับพ่อหรือญาติอาวุโสชาย ในการนับสายสัมพันธ์กับผีบรรพบุรุษ เมื่อแต่งงานผู้หญิงม้งจะย้ายไปอยู่กับครอบครัวของสามีและนับถือผีบรรพบุรุษของฝ่ายสามี (หน้า 2-3) |
|
Political Organization |
ในระยะเวลาอันยาวนานของการอพยพ กลุ่มชาติพันธุ์ม้งถูกมองจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ว่าเป็นคนต่างด้าว ได้นำไปสู่การรวมกลุ่มกันของม้งกลายเป็นหมู่บ้านปิดและให้ผู้อาวุโสเป็นผู้นำหมู่บ้าน (หน้า 2) เนื่องจากประเทศไทยไม่ตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของประเทศตะวันตกในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เนื่องจากพระมหากษัตริย์ไทยทรงจัดระเบียบการปกครองใหม่โดยรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง เพื่อการสร้างความเป็นชาติที่มีอารยธรรม ทันสมัย กลุ่มชนที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูงได้ขึ้นต่ออาณาจักรล้านนาซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของไทย และด้วยเหตุที่ประวัติศาสตร์ของชาติไทยได้ถูกสร้างใหม่ได้รวมกลุ่มชาติพันธุ์ม้งเข้าไว้ และได้ถูกบันทึกไว้ในรัฐไทย (หน้า 3) การต่อต้านคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามอินโดจีน พื้นที่ที่ไม่เคยเป็นที่รู้จักเริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้น ม้งก่อนหน้านี้ตัดสินใจเป็นคนต่างด้าวและผู้มาจากภายนอกซึ่งอยู่ตามชายแดนไทย ได้ถูกรัฐบาลไทยใช้เป็นกันชนทางเหนือกับคอมมิวนิสต์ทำให้ม้งตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม และจากการร่วมมือป้องกันปราบปรามคอมมิวนิสต์ ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ม้งได้ตั้งถิ่นฐานในไทยและมีโครงการต่างๆ ตามพระราขดำริเข้ามาในหมู่บ้าน (หน้า 3) |
|
Belief System |
ม้งนับถือผีบรรพบุรุษ โดยเป็นการถือผีทางฝ่ายผู้ชาย(หน้า 2-3) |
|
Education and Socialization |
สำหรับม้งแนวคิดการไปโรงเรียนของเด็กคือการพัฒนาภาษาไทย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการหางานในตลาดไทย และได้สร้างความหนักใจในกลุ่มผู้อาวุโสเกี่ยวกับทำอย่างไรกลุ่มเด็กๆ ม้งจะเรียนรู้วัฒนธรรมม้งและผู้หญิงยังคงอยู่ในหมู่บ้านและแต่งงาน ในอดีตความรู้ของม้งอยู่กับ ที่ดิน ที่พวกเขาอาศัยอยู่ ซึ่งเป็นความรู้เกี่ยวกับ เทพเจ้า อำนาจเหนือธรรมชาติ จิตวิญณาณต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของผู้ชายม้ง และการเรียนรู้งานบ้านเป็นสิ่งสำคัญของผู้หญิง การออกไปอยู่ไกลหมู่บ้านทำให้กลุ่มคนหนุ่มสาวห่างไกลจากสภาพแวดล้อมที่เขาจะเรียนรู้และจากญาติพี่น้องและพ่อแม่ (หน้า 4) ในการควบคุมม้งภายใต้วิถีชีวิตแบบไทย รัฐบาลไทยได้สร้างโรงเรียนบนพื้นที่สูง ความพยายามที่จะให้ความรู้กับม้งเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตแต่รัฐเองก็มีความพยายามที่จะทำให้ม้งดำรงประเพณีดั้งเดิมเอาไว้ เนื่องด้วยหมู่บ้านม้งมีชื่อเสียงในฐานะของสถานที่ท่องเที่ยว (หน้า 4-5) โรงเรียนตั้งอยู่ในเขตหมู่บ้านเก่า ห่างจากหมู่บ้านใหม่ประมาณ 3 ไมล์ ถนนเป็นทางลูกรัง ปกตินักเรียนจะเดินไปหรือบางครั้งถ้ามีคนขับรถปิคอัพผ่านมาสำหรับไปตลาดในเชียงใหม่ก็จะรับขึ้นรถไปด้วย นักเรียนถูกขัดเกลาทางสังคมให้เข้าสู่วัฒนธรรมไทยและพูดภาษาไทย ทุกวันจะมีการเคารพเพลงชาติไทย สวดมนต์ และการแสดงความเคารพต่อพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการเมือง-เศรษฐกิจของโลกและของไทยสมัยใหม่ (Keyes 1991) (หน้า 5-6) "กา" (Ga) อยู่ในกลุ่มผู้หญิงม้งส่วนน้อยที่ได้รับการศึกษาหลังจากจบชั้นประถมศึกษา และในช่วงที่ผู้วิจัยออกภาคสนามเธอได้รับปริญญาตรีสาขาธุรกิจ เธอทำงานเป็นหัวหน้าครูอนุบาลในหมู่บ้าน ความรู้ของเธอมาจากหลากหลายที่ ส่วนใหญ่มาจากการปฎิสัมพันธ์และประสบการณ์การเข้าไปอยู่ในสังคมไทย ความรู้ทำให้เธอปฎิเสธประเพณีดั้งเดิมที่ผู้หญิงจะต้องแต่งงานมีครอบครัวและทำให้เธอถูกวิจารณ์โดยพวกผู้ชาย อย่างไรก็ตาม ในความคิดของเธอ การศึกษาทำให้เธอเข้าใจตัวเองและช่วยเปิดโอกาสให้เธอประสบความสำเร็จทางด้านการงานและฐานะทางเศรษฐกิจ และสามารถดูแลมารดาซึ่งเป็นภรรยาคนที่สองของพ่อและไม่มีลูกชายที่จะสืบทอดผีบรรพบุรุษ "กา" (Ga) เชื่อว่าการศึกษาเป็นทางเดียวที่จะเปลี่ยนแปลง หักล้าง อคติที่กลุ่มคนไทยหลายคนมีต่อม้งได้ (หน้า 12) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
นักเรียนจะต้องใส่เครื่องแบบโรงเรียน อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจนักเรียนอาจใส่เสื่อผ้าม้งหรือใส่ผสมกัน โดยปกติอาจารย์ไม่ต้องการให้นักเรียนแต่งเครื่องแต่งกายอื่นแต่ก็ยังอนุญาต และสีสันของเครื่องแต่งกายม้งดึงดูดนักท่องเที่ยวบางครั้งพวกเขาได้ขนมและเงินจากนักท่องเที่ยว (หน้า 5) |
|
Folklore |
ตำนานที่เล่าขานกันและได้ยินอยู่บ่อยๆ ในหมู่บ้านม้ง คือ กษัตริย์ของม้งถูกแย่งบัลลังก์โดยญาติอายุน้อยกว่า และเขาได้กลายเป็นจักรพรรดิจีนและนำสงครามเข้ามาสู่พี่น้องม้ง ม้งจึงเปรียบเสมือนพี่ชายที่แก่กว่าแต่จีนเป็นผู้ยิ่งใหญ่และมีอำนาจปราบปรามม้ง ทำให้ม้งต้องอพยพลงใต้ สู่เวียดนาม ลาว พม่า และไทย จากคำบอกเล่ากล่าวถึงเหตุผลของการอพยพว่า "เนื่องจากเราเป็นกลุ่มชนเล็กๆ ไม่มีอำนาจ" (หน้า 2) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
รัฐบาลไทยมองม้งเป็นชนกลุ่มน้อยที่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุม และเป็นกลุ่มที่ต้องปรับปรุงด้านแรงงาน สำหรับม้งมองรัฐบาลไทยว่าเป็นกลุ่มฉ้อโกงและลำเอียงไม่ยุติธรรม (หน้า 10-11) แต่สำหรับม้งที่ได้รับการศึกษาระดับ สูง เช่น Ga อาจจะประสบปัญหาในเรื่องอัตลักษณ์ ที่ซับซ้อนขึ้น อย่างเช่นเมื่อเกิดสถานการณ์ความขัดแย้งในเรื่องเงินระหว่าง อาจารย์คนไทยที่เข้ามาสอนทอผ้ากับม้งในหมู่บ้าน ซี่งเป็นพ่อแม่ของเด็กผู้หญิงม้งที่มาเรียนทอผ้า (ดูหัวข้อ Other Issue) Ga ซึ่งมีความสามารถในการพูดภาษาไทยได้กลายเป็นคนกลางในการที่จะแก้ไขความขัดแย้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จและ Ga เองก็รู้สึกสับสนไม่รู้จะเข้าข้างใคร จากที่เธอผ่านระบบการศึกษาของไทยในระดับสูง เธอมีประสบการณ์ในการปฏิสัมพันธ์กับคนไทยมาก ทำให้เธอมีอัตลักษณ์ที่หลากหลาย เช่น เธอเป็นผู้หญิงม้งที่ไม่เหมือนดังผู้หญิงม้งอื่นๆ |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการรับการศึกษาแบบใหม่การไปโรงเรียนของเด็กๆ คือการพัฒนาภาษาไทยซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการหางานในตลาดไทย และได้สร้างความหนักใจในกลุ่มผู้อาวุโสเกี่ยวกับทำอย่างไรกลุ่มเด็กๆ ม้งจะเรียนรู้วัฒนธรรมม้งและผู้หญิงยังคงอยู่ในหมู่บ้านและแต่งงาน ในอดีตความรู้ของม้งอยู่กับ ที่ดิน ที่พวกเขาอาศัยอยู่ ซึ่งเป็นความรู้เกี่ยวกับ เทพเจ้า อำนาจเหนือธรรมชาติ จิตวิญณาณต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของผู้ชายม้ง และการเรียนรู้งานบ้านเป็นสิ่งสำคัญของผู้หญิง การออกไปอยู่ไกลหมู่บ้านทำให้กลุ่มคนหนุ่มสาวห่างไกลจากสภาพแวดล้อมที่เขาจะเรียนรู้และจากญาติพี่น้องและพ่อแม่ (หน้า 4) |
|
Other Issues |
สถานการณ์ความขัดแย้ง : ในช่วงหน้าร้อนปี ค.ศ. 1998 กระทรวงศึกษาสนับสนุนการจ้างงาน สำหรับหญิงม้งทางภาคเหนือ ในด้านการทอผ้าของผู้หญิงอายุน้อยกว่า 18 ปี 8 ชม/วัน เป็นเวลา 40 วัน รับเงิน 50 บาท/วัน ในการต่อรองเปลี่ยนแปลงเป็น 4 ชั่วโมง/วัน และผู้หญิงอายุมากกว่า 18 ปีเข้ารับการอบรมได้และได้เงิน 30 บาท/วัน ภายหลังการสอนได้ 2 สัปดาห์ มีม้งได้ยินอาจารย์คุยกับหัวหน้าที่เชียงใหม่ทางโทรศัพท์ไม่มีปัญหาที่จะลดการให้เงินจาก 30 บาท เป็น 20 บาท เนื่องจากผู้หญิงม้งโง่และไม่รู้ความแตกต่างของเงิน เมื่อข้อความนี้แพร่กระจายในหมู่บ้าน พ่อของผู้หญิงม้งเหล่านี้โกรธและสงสัยว่าทำไมยังไม่ได้รับเงิน พ่อแม่ของผู้หญิงบางคนบ่นกับ กา "Ga" หญิงสาวม้งผู้เป็นหัวหน้าครูโรงเรียนอนุบาลซึ่งสามารถพูดไทยได้ และเป็นคนกลางในการติดต่อระหว่างอาจารย์และหมู่บ้าน (หน้า 8-9) "กา" (Ga) ซึ่งนับถืออาจารย์ไม่เชื่อว่าอาจาย์พูดเรื่องผู้หญิงม้งโง่ และพยายามเป็นสื่อกลางในการทำความเข้าใจ แต่สถานการณ์เลวร้ายจนหยุดการเรียนการสอน และ "กา" (Ga) ได้รับโทรศัพท์จากหัวหน้าโครงการที่เชียงใหม่เพื่อให้นำผู้ใหญ่บ้านไปพบปะที่เชียงใหม่ แต่ "กา" (Ga) รู้สึกลำบากใจเนื่องจากเธอเป็นเพียงหญิงสาวอายุน้อยไม่มีตำแหน่งหน้าที่ที่จะให้ผู้ใหญ่บ้านทำตามได้ ในที่สุดการพบปะเกิดขึ้นในหมู่บ้าน และพยายามอธิบายว่าการลดเงินเกี่ยวข้องกับต้นทุนของวัตถุดิบและการให้สิทธิผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 18 ปีได้รับการอบรม การเจรจายุติที่ไม่มีการลดเงินแต่ม้งยังรู้สึกว่าสิ่งเหล่านนี้เป็นเพียงการปลอบใจและไม่ใช่เงินที่พวกเขาต้องการแต่เป็นการยอมรับและคำขอโทษ ผู้ใหญ่บ้านต้องการพบเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เชียงใหม่ที่ดูแลเรื่องบอกเล่าเรื่องราว แต่เจ้าหน้าที่จังหวัดไม่ยอมพบ ในที่สุดรัฐบาลยุติโครงการ ผู้ใหญ่บ้านขอให้ "กา" (Ga) เขียนจดหมายร้องเรียนกับรัฐบาล เกี่ยวกับการจัดการ การโกงกิน และผู้หญิงม้งต้องได้รับเงินตามจำนวนที่พวกเขาสัญญาไว้ "กา" (Ga) รู้สึกสับสนกับวิกฤติการณ์นี้และไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร แต่ในที่สุดเธอปฎิเสธที่จะสนับสนุนทั้งอาจารย์และหมู่บ้าน การศึกษาและโรงเรียนมีส่วนช่วยเปิดพื้นที่ให้ "กา" (Ga) และนำเธอไปอยู่ในตำแหน่งที่เท่าเทียมมากขึ้น เธอมองเห็นว่าการศึกษานำเธอไปสู่พื้นที่ใหม่ในสังคมและยอมให้เธอออกจากเครื่องกีดกันจากสภาพทางเพศ "Gender" ในสังคมม้ง เธอสามารถดำรงชีวิตโดยไม่ต้องขึ้นอยู่กับผู้ชายและสามารถดูแลครอบครัวของฝ่ายมารดาในเรื่องทางเศรษฐกิจได้ (หน้า 5-19) |
|
|