สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,ความเป็นอยู่,ประเพณี,ประเทศไทย
Author กลุ่มเครือข่ายสิ่งแวดล้อม
Title องค์ความรู้ชนเผ่าม้ง : การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลาย
Document Type เอกสารวิชาการ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 51 Year 2545
Source กลุ่มเครือข่ายสิ่งแวดล้อมม้งและสมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย กองทุนเพื่อสังคม, 2545
Abstract

ศึกษาประวัติความเป็นมาของชนชาติม้งรวมถึงความเชื่อและพิธีกรรมเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ

Focus

ศึกษาขนบธรรมเนียมประเพณีและความเป็นอยู่ของชนเผ่าม้ง

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ชนเผ่าม้งในประเทศไทยมี 3 กลุ่มโดยอาศัยจากการดูลักษณะของเครื่องแต่งกายและภาษาพูด คือ 1. ม้งจั้ว แปลตามศัพท์ก็คือม้งเขียวหรือม้งน้ำเงิน เพราะเครื่องแต่งกายของผู้หญิงจะออกเป็นสีน้ำเงินเขียวลักษณะเด่นของการแต่งกายก็คือ ผู้ชายนุ่งกางเกงสีดำมีลายปักที่ปลายขา กางเกงมีผ้าคาดเอวสีครามส่วนผู้หญิงจะนุ่งกระโปรงปักด้วยมือและเขียนด้วยขี้ผึ้งสีน้ำเงินภาษาบางคำจะแตกต่างจากม้งขาว (หน้า 2) 2. ม้งเด๊อะ แปลว่า ม้งขาวเพราะผู้หญิงใส่กระโปรงสีขาวล้วน ผู้ชายนุ่งกางเกงที่มีขนาดเป้าสั้นขาทรงกระบอก ส่วนผู้หญิงใส่กระโปรงสีขาวล้วนหรือนุ่งกางเกงเหมือนผู้ชายภาษาที่พูดบางคำแตกต่างไปจากม้งเขียว (หน้า 3) 3. ม้งกั่วป่า แปลว่า ม้งแขนเสื้อปล้องหรือแขนลายผู้ชายแต่งชุดเหมือนกับผู้ชายม้งเด๊อะแต่ผู้หญิงจะมีผ้าเย็บเป็นลายปล้องตั้งแต่บ่าลงไปถึงข้อมือทั้งสองข้างแต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งกายไปมากจึงไม่รู้ว่าคนไหนคือม้งกั่วป่าคนไหนคือม้งขาวหรือม้งเขียวใช้ภาษาพูดเหมือนกับภาษาม้งเขียว (หน้า 3)

Language and Linguistic Affiliations

ผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ ได้จัดประเภทภาษาม้งว่า เป็นภาษาในตระกูลมอญ-เขมร (ออสโตรเอเชียติค) บ้างก็จัดว่าเป็นไท บ้างว่าอยู่ในตระกูลจีนซีนนีติค (Sinitic) บางท่านก็ถือว่าเป็นภาษาม้ง-เมี่ยน เป็นสาขาหนึ่งของภาษาตระกูลจีน-ธิเบต ภาษาม้งเป็นภาษาที่มีสียงก้องและเป็นคำโดด ๆ ต่างกับภาษาจีนทั้งคำและการออกเสียงมีคำศัพท์จำนวนมากยืมมาจาก จีน ไทย ลาว และชาติอื่น ๆ ที่ม้งมีความสัมพันธ์ด้วย ในประเทศไทย ม้งพูดภาษาที่มีความคล้ายคลึงกับภาษาที่ใช้อยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน ภาษาพูดของม้งกลุ่มย่อยต่าง ๆ ในประเทศไทยสามารถจะใช้ติดต่อกันได้ (หน้า 9)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ม้งเป็นคำที่เรียกตนเองมาตั้งแต่สมัยโบราณ ในทางมานุษยวิทยาถือว่าม้งมีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับจีน จึงจัดอยู่ในตระกูลจีน- ธิเบต ผู้เฒ่าม้งเล่าว่าม้งอพยพมาอยู่ในประเทศจีนที่มณฑลฮูนานบริเวณลุ่มน้ำฮวงโหและแยงซี หลังจากนั้นชาวฮั่นก็เข้ามารุกรานทางตอนเหนือทำให้เกิดสงครามขึ้น ตอนแรกม้งเป็นฝ่ายชนะ เพราะมีอาวุธดีกว่าแต่ในที่สุดก็ต้องแพ้เพราะม้งบางคนทรยศโดยการไปสอนวิทยายุทธและขายอาวุธให้ศัตรู จากนั้นม้งจึงแตกกระจัดกระจายไปหลบอยู่ตามป่าตามเขาและอพยพสู่เวียดนาม ลาว และไทยในที่สุด หลังจากที่ม้งบางกลุ่มได้อพยพลงทางใต้ของจีนแล้วได้แยกเป็นสามกลุ่มคือ กลุ่มแรกเข้าสู่เมืองหนองเฮต (nong het) ประเทศเวียดนาม กลุ่มที่สองเข้าสู่เมืองซำเหนือประเทศลาว กลุ่มที่สามเข้าสู่ลาวพม่าและทางตอนเหนือของไทยในที่สุด (หน้า 1)

Settlement Pattern

บ้านเรือนม้งเป็นบ้านชั้นเดียวติดพื้นดิน ฝาบ้านทำด้วยแผ่นไม้ผ่า หลังคามุงด้วยไม้ผ่าหรือหญ้าคา แต่ปัจจุบันไม้ผ่าหาค่อนข้างยาก จึงใช้วัสดุที่หาซื้อได้หรือหาได้ในท้องถิ่น เช่น บล๊อคซีเมนต์ กระเบื้อง สังกะสี เป็นต้น ภายในบ้าน ตรงกลางจะมีเตาไฟเล็กสำหรับผิงไฟและหุงต้ม มีครกกระเดื่องอยู่ติดฝาบ้านด้านในสุด ฝาที่อยู่ตรงข้ามกับประตูมีหิ้งบูชาผีเน้งและซือก๊ะ นอกจากนี้ บ้านม้งจะมีเตาไฟใหญ่ใช้ต้มอาหารสำหรับเลี้ยงสัตว์ และบางบ้านจะมีแคร่ยกพื้นใช้รับแขกหรือนั่งเล่น (หน้า 7)

Demography

ปัจจุบันชุมชนม้งในประเทศไทย มีประมาณ 264 หมู่บ้าน จำนวนประมาณ 15,000 หลังคาเรือน และมีประชากรประมาณ 150,000 คน กระจายอยู่ใน 14 จังหวัด จังหวัดที่มีม้งอาศัยอยู่หนาแน่นที่สุด คือ จังหวัดตาก แพร่ ลำปาง เลย สุโขทัย และสระบุรี (หน้า 4)

Economy

สมัยก่อนม้งทำการเกษตรเพื่อบริโภคเท่านั้นไม่ได้ผลิตเพื่อการค้า เนื่องจากการสื่อสารและคมนาคมไม่สะดวก แต่ปัจจุบันการคมนาคมสะดวกขึ้น และได้รับความช่วยเหลือและส่งเสริมด้านการเกษตร การศึกษา การสาธารณสุข จากรัฐบาลและเอกชน ทำให้ม้งเปลี่ยนวิถีชีวิตไป จากการทำการเกษตรเพื่อยังชีพก็เปลี่ยนไปเป็นการผลิตเพื่อขายมากขึ้น (หน้า 7)

Social Organization

วงศ์ตระกูล ม้งมีการจัดระบบโครงสร้างทางสังคมที่เข้มแข็งภายในกลุ่มเครือญาติที่นับถือบรรพบุรุษเดียวกัน กลุ่มตระกูลเดียวกันและในชุมชนเดียวกัน ระบบวงศ์ตระกูลของม้งมีอิทธิพลครอบคลุมการจัดการระเบียบกลุ่มสังคม และทำหน้าที่เป็นจุดศูนย์กลางของวัฒนธรรมม้ง โดยเป็นตัวเชื่อมโยงพฤติกรรมต่าง ๆ ของสังคม การเมือง เศรษฐกิจและศาสนาเข้าด้วยกัน โครงสร้างวงศ์ตระกูลของม้งจะสืบวงศ์ตระกูลโดยทางฝ่ายชาย กล่าวคือลูกชายจะเป็นสมาชิกของตระกูล (แซ่) ของบิดา ลูกสาวจะเป็นสมาชิกของตระกูลพ่อจนถึงเวลาแต่งงาน จึงกลายเป็นสมาชิกของตระกูลสามี ม้งจะมีการแต่งงานได้เฉพาะต่างตระกูลเท่านั้น (แต่งงานกับแซ่เดียวกันไม่ได้) (หน้า 4-5) ในประเทศไทยม้งมี 15 ตระกูล

Political Organization

เนื่องจากม้งมีระบบ แซ่ตระกูล การปกครองในอดีตของชุมชนม้งจะมีแกนนำของแต่ละตระกูล เป็นผู้นำในการปกครอง ขณะเดียวกันจะมีผู้อาวุโสของชุมชนเป็นที่ปรึกษา ในปัจจุบันหลังจากทางราชการได้กระจายระบบการปกครองอย่างเป็นทางการเข้าไปในชุมชนม้ง ทำให้ชุมชนม้งมีการเลือกตั้งและมีการแต่งตั้งคณะกรรรมการหมู่บ้าน เพื่อรับผิดชอบงานด้านต่าง ๆ ของหมู่บ้าน แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงมีแกนนำของแต่ละแซ่ตระกูลอยู่ (หน้า 4)

Belief System

ปัจจุบัน ม้งในประเทศไทยมีทั้งที่นับถือศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ แต่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาแบบดั้งเดิม คือการนับถือผี ซึ่งประกอบด้วยผีประเภทต่าง ๆ ดังนี้ 1. ผีบรรพบุรุษ (Puj yawm txwv koob) 2. ผีบ้านผีเรือน (Dab khua hauv vaj tse) ซึ่งก็จะมีผีตามส่วนต่าง ๆ ของบ้านด้วย เช่น ผีเสาเอก (Ncej dab) ผีเตาไฟใหญ่ (Dab qhov txog) ผีเตาไฟเล็ก (Dab qhov cub) ผีประตู (Dab qhov rooj) เป็นต้น 3. ผีเน้ง (Txiv neeb) และผีทั่ว ๆ ไป 4. เทพผู้มีอำนาจในการทำลาย (Yawm txwg nyoog) 5. เทพผู้มีอำนาจในการให้กำเนิดหรือสร้าง (Yawm saub) ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องผีและเทพเจ้าของม้งมีมากมายหลายอย่าง ซึ่งอาจแบ่งได้คร่าว ๆ ดังนี้ คือ ก. ความเชื่อที่อยู่ในบ้าน เช่น 1) ซือก๊ะ (Xwm kab) เทพที่บนเพื่อให้ปกป้องคุ้มครองคนในบ้านให้มีความสุข 2) ด๊าโตรง เทพที่ช่วยปกป้องคุ้มครองคนในบ้านให้มีความสุข 3) เซี่ยแม้ง เทพที่เฝ้าประตู ปกป้องไม่ให้สิ่งชั่วร้ายเข้ามาในบ้าน 4) โฮ้ว ลู้ แปง เทพที่ดูแลเรื่องการทำอาหารการกิน 5) จ่อ จือ ญ่า ยา เทพที่ดูแลเรื่องการทำมาหากิน 6) เทพยู่ว่า หรือ ผีหิ้งหมอเน้ง หรือผีหมอทรง 7) หิ้งผียาสมุนไพร เป็นเทพที่หมอยาจะบนเพื่อให้ยาสามารถรักษาคนให้ดีขึ้น ข. ความเชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติในป่า 1) "เจ้าที่" เป็นเทพที่คอยดูแลแผ่นดินและผืนป่า 2) โฮเต้า คือเทพที่คอยปกป้องจากสิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย โดยบนไว้เพื่อปกป้องคุ้มครองหมู่บ้านไม่ให้สิ่งชั่วร้ายเข้าบ้าน 3) เซ่ ท่า ตัวะว่า คือเทพเจ้าแห่งน้ำ คอยดูแลน้ำ 4) โม่งแซ่ง เป็นเทพเจ้าที่ชั่วร้าย จะใช้บนในกรณีที่เกิดคดีลักทรัพย์ เทพโม่งแซ่งจะดลบันดาลใจให้คู่กรณีหรือคนร้าย ยอมทำตามที่เราต้องการ 5) เทพเจ้าเยาะแซ่งและเทพเจ้าแหล่แซ่ง เป็นเทพเจ้าที่ใช้บนเพื่อให้คนหรือสัตว์ที่หาย ให้หาง่ายขึ้น 6) เม่งเต้า เป็นเทพเจ้าที่ดูแลใต้ดินซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องฮวงจุ้ย ค. ความเชื่อเรื่องเทพเจ้าสูงสุด 1) ม้งเชื่อว่ามีดินแดนที่เงียบสงบและหนาวเย็น เป็นดินแดนที่เคยอาศัยอยู่มาก่อน และเป็นที่สิงสถิตของวิญญาณบรรพชน 2) เทพเจ้าเย่อโซ้ะ เป็นเทพเจ้าผู้ก่อกำเนิดและสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเทพที่มีอำนาจใหญ่ที่สุดของบรรดาเทพทั้งหลาย 3) เทพยู้วะตัวะเต่งและยมบาล เป็นเทพเจ้าแห่งความดีและความชั่ว ม้งเชื่อว่าเมื่อทุกคนตายไปแล้ว จะได้รับการตัดสินความจากสองท่านนี้ 4) เทพซียี เป็นเทพที่ดูแลเรื่องการเจ็บป่วยหรือดูแลหมอผี หมอยาสมุนไพร เทพซียีเป็นเทพที่ติดต่อระหว่างมนุษย์กับยู้วะตั่วเต่งและยมบาล เพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์ (หน้า 7, 34)

Education and Socialization

ไม่ระบุชัดเจน

Health and Medicine

การรักษาของม้งส่วนใหญ่จะใช้ยาสมุนไพร เช่น ยอดหรือเปลือกต้นฝรั่งใช้รักษาโรคท้องร่วง, จัว หา ญง ใช้รักษากระดูกหักและเอ็นขาด, จี กัว ย่า เต๊ รักษาโรคนิ่ว, เจา เก ใช้รักษาฝี หนอง, ป้า โว่ ใช้รักษาอาการปวดฟัน เป็นต้น (หน้า 17)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกายของผู้หญิง - ม้งลาย เสื้อสีดำแขนยาวปักลายไว้ที่แขน สาบเสื้อและปกเสื้อ ส่วนกระโปรงนั้นเป็นผ้าใยกัญชาทอแล้วเขียนลาย ย้อมด้วย สีคราม ชายกระโปรงจะปักลายแล้วนำมาต่อกับผ้าที่เขียนลายแล้ว ตัวกระโปรงใช้ผ้ายาวประมาณ 7 เมตร จะทำจีบเล็กๆ มีความละเอียดมาก กระโปรงจะนุ่งโดยการพันแล้วมัด นอกจากนี้ จะมีผ้ามัดเอวโดยใช้ผ้าประมาณ 1 ฟุต วิธีการแต่งตัว สวมเสื้อก่อนแล้วสวมกระโปรงทับ ก่อนที่จะพับด้วยผ้าพันเอวก็จะใช้ผ้าดำพันรอบหนึ่งก่อน แล้วจึงพันด้วยผ้ามัดเอว โดยให้ผ้าที่มีลายปีกนั้นอยู่ด้านหน้า ใช้สายพันรอบเอวแล้วผูกให้พู่ห้อยอยู่ข้างหลัง - ม้งขาว เสื้อสีดำแขนยาว มีลวดลายที่ปลายแขน สาบเสื้อและปกเสื้อ ม้งขาวจะไม่นุ่งกระโปรง แจะนุ่งกางเกงสะดอของคนเมืองเหนือหรือกางเกงแบบคนจีน ในช่วงเทศกาลหญิงม้งจะนุ่งกระโปรงที่ทำจากใยกัญชาสีขาวล้วน ม้งขาวจะมีผ้ามัดเอว 2 ชิ้น คือ ชิ้นหน้าและชิ้นหลัง ชิ้นหลังนั้นจะไม่ปักลวดลายแต่ชิ้นหน้าจะปักลวดลายอย่างสวยงาม วิธีการแต่งตัว สวมเสื้อก่อนแล้วสวมกางเกงทับ จากนั้นจะพันเอวด้วยผ้าพันเอวชิ้นหลัง แล้วพันด้วยชิ้นหน้าโดยปล่อยให้พู่ห้อยอยู่ข้างหลัง การแต่งกายของผู้ชาย - ม้งลาย เสื้อสีดำแขนยาว ตัวสั้น ปักลายที่ปลายแขน สาบเสื้อและชายเสื้อ กางเกงสีดำเป้ายาวเกือบถึงปลายขากางเกง ปลายขากางเกงปักด้วยลาย ผ้ามัดเอวจะเป็นสีคราม มีความยาวประมาณ 3 เมตร ปลายผ้า 2 ข้าง ปักด้วยลวดลายที่สวยงาม - ม้งขาว เสื้อสีดำ/น้ำเงิน ปลายแขนและสาบเสื้อปักด้วยลวดลายที่สวยงาม กางเกงสะดอสีดำหรือน้ำเงิน ผ้ามัดเอวสีแดงหรือส้ม ปักด้วยลวดลายที่ปลายทั้งสองข้าง ( หน้า 8-9 )

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ม้งเป็นชนชาติที่มีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับชนชาติจีนหรือจัดอยู่ในสายตระกูลจีน-ธิเบต ซึ่งมีชนชาติเย้าหรือเมี่ยนร่วมด้วย คนแก่ม้งเล่าว่า ชนชาติม้งอพยพมาอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ โดยได้มาอยู่ที่มณฑลฮูนานบริเวณลุ่มแม่น้ำฮวงโหและแยงซี

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Text Analyst สินธพ ดอนไพรรักษ์ Date of Report 25 ก.ย. 2548
TAG ม้ง, ความเป็นอยู่, ประเพณี, ประเทศไทย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง