|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มาเลย์มุสลิม,นโยบายประสมประสาน,รัตนโกสินทร์,จังหวัดชายแดนภาคใต้,ประเทศไทย |
Author |
สุรินทร์ พิศสุวรรณ |
Title |
นโยบายประสมประสานชาวมาเลย์มุสลิมในประเทศไทยสมัยรัตนโกสินทร์ |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มนุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
21 |
Year |
2525 |
Source |
สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Abstract |
ความยึดมั่นผูกพันที่มาเลย์มุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยมีต่อขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษา และวัฒนธรรม ตลอดจนศาสนาของตนนั้น เป็นอุปสรรคต่อนโยบายประสมประสานประชาชนเผ่าพันธุ์ต่างๆ ตั้งแต่การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา นโยบายประสมประสานมักจะถูกกำหนดขึ้นโดยคำนึงถึงความปลอดภัยมั่นคงของชาติเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นพระราชบัญญัติอุปถัมภ์ฝ่ายอิสลาม พ.ศ. 2488 หรือพระราชบัญญัติประกาศใช้กฎหมายครอบครัวและ
มรดกฝ่ายอิสลาม พ.ศ. 2489 ต่างถูกกำหนดขึ้นจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ไม่เข้าใจปัญหาและภูมิหลังทางสังคมของคนมาเลย์
มุสลิมอย่างลึกซึ้งดีพอ ความพยายามที่จะ "อุปถัมภ์" จึงกลับกลายเป็นการเข้าไป "ก้าวก่าย" และ "ควบคุม" กิจการทาง
ศาสนาไป ซึ่งเป็นการสร้างความบาดหมางใจกันขึ้น แทนที่จะสร้างความสามัคคีกลับนำไปสู่ปัญหาอื่นที่ตามมาอย่างไม่มี
ที่สิ้นสุด
ในปัจจุบันนี้หน่วยงานของรัฐหลายหน่วยต่างพยายามเข้าไปมีบทบาทแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับมาเลย์มุสลิม
การกำหนดให้มีหลักสูตรสอนศาสนาอิสลามในโรงเรียนของรัฐบาล การเข้าไปช่วยเหลือและ "อุปถัมภ์" สถาบันศึกษาปอเนาะ ตลอดจนนโยบายรีบเร่งสอนภาษาไทยให้แก่เยาวชนมาเลย์มุสลิม เหล่านี้ต่างเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ล่อแหลมต่อการเข้าใจ
ผิด เห็นเป็นเรื่องก้าวก่ายของรัฐต่อกิจการภายในสังคมของเขา ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความแตกแยกมากกว่าความเป็นอันหนึ่งอันเ
ดียวกันดังที่ผู้กำหนดนโยบายคาดหวัง (หน้า 20-21) |
|
Focus |
มุ่งศึกษาวิธีการและขั้นตอนที่รัฐบาลไทยพยายามที่จะ "ประสมประสาน" (integrate) มาเลย์มุสลิมที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนไทยที่ติดต่อกับมาเลเซีย โดยเลือกเน้นเฉพาะช่วง 50 ปีหลังของสมัยรัตนโกสินทร์ (หน้า 3) โดยการศึกษาถึงบทบาทที่มาเลย์มุสลิมมีในการเข้าร่วมกระบวนการทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยหรือการปฏิวัติ ตลอดจนภูมิหลังของการกำหนดนโยบาย "อุปถัมภ์อิสลาม" ของนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งประกอบด้วยการประกาศใช้พระราชบัญญัติกำหนดให้มีการจัดตั้งสถาบันต่างๆ ขึ้นภายใต้การควบคุมและสนับสนุนของรัฐบาล และจะสรุปลงท้ายด้วยการวิเคราะห์ผลลัพธ์ของนโยบายนั้น ตลอดจนบทเรียนที่พึงได้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเกี่ยวกับนโยบาย "อุปถัมภ์อิสลาม" ของรัฐบาล (หน้า 4) |
|
Ethnic Group in the Focus |
มาเลย์มุสลิม ศึกษาวิธีการและขั้นตอนของรัฐบาลในนโยบายการประสมประสานมาเลย์มุสลิมใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ สตูล ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ชาวสตูลส่วนใหญ่จะพูดภาษาไทยได้ ส่วนชาวปัตตานี ยะลา และนราธิวาส จะใช้ภาษามลายูในการติดต่อสื่อสาร |
|
Study Period (Data Collection) |
ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เก็บข้อมูลแต่ช่วงเวลาที่ศึกษาคือทศวรรษของ 2480 |
|
History of the Group and Community |
|
Political Organization |
การเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎรเป็นความหวังของมาเลย์มุสลิมว่าภายใต้การปกครองระบอบใหม่ พวกเขาจะสามารถรักษาและประคับประคองไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของตนเอง หลังการปฏิวัติผู้นำในการแบ่งแยกดินแดนคนหนึ่งคือตนกูมะไหยิดดีนได้เดินทางกลับจากการลี้ภัยทางการเมืองเพื่อเข้าร่วมกระบวนการทางการเมืองใหม่เพราะ "มีรัฐธรรมนูญแล้ว" ส่วนผู้นำคนอื่นๆ ก็หวังว่าอำนาจที่เคยเสียไปเมื่อสมัยการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินของรัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2441 อาจจะได้คืนมาใหม่โดยผ่านกระบวนการเลือกตั้ง
ผู้นำมาเลย์มุสลิมทั้งที่เป็นผู้นำศาสนาและเส้นสายของเจ้าเมืองเก่าจึงรวมตัวกันเพื่อปลูกฝังสำนึกทางการเมืองและเรียกร้องให้ร่วมออกเสียงเลือกตั้ง การเลือกตั้งปี พ.ศ. 2480 ปรากฎว่า ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เลือกผู้แทนที่เป็นมาเลย์มุสลิมเข้ารัฐสภาไป ยกเว้นสตูลที่ได้ข้าราชการเกษียณเป็นผู้แทนฯ อาจเป็นเพราะว่าชาวสตูลซึ่งส่วนใหญ่พูดภาษาไทยได้เลือกผู้แทนราษฎรโดยไม่ถือเอาศาสนาเป็นตัวกำหนด แต่เลือกคนที่มีความสามารถติดต่อกับระบบราชการแทนพวกเขาได้ ส่วนชาวปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กลับเห็นว่าเผ่าพันธุ์และศาสนาเป็นตัวกำหนดที่มีความสำคัญ เมื่อตื่นตัวที่จะเข้าร่วมทางการเมืองก็ต้องเลือกเอาคนเชื้อสายและศาสนาเดียวกันเข้าไปเป็นผู้แทนของตน
หลังจากจอมพล ป.พิบูลสงครามขึ้นมามีอำนาจในปี พ.ศ. 2481 ได้นำเอาลัทธิชาตินิยมมาใช้ ซึ่งมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อความรู้สึกของมาเลย์มุสลิมที่มีต่อรัฐบาลไทย เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้น ตนกูมะไหยิดดีนและผู้นำคนอื่นๆ หันไปร่วมมือกับอังกฤษรวมตัวกันกับกองกำลังใต้ดินของชาวมลายูต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น โดยหวังเอาความช่วยเหลือของอังกฤษมาบีบบังคับให้รัฐบาลไทยปล่อยจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ไปเป็นส่วนหนึ่งของ "บริติชมลายา" เมื่อสงครามสงบ ตลอดช่วงระยะสงครามโลกจนหมดสมัยของจอมพล ป. การเข้าร่วมทางการเมืองของมาเลย์มุสลิมลดลงอย่างเห็นได้ชัด ความสนใจส่วนใหญ่หันไปสู่การต่อสู้ระดับนานาชาติ (หน้า 5 - 9)
รัฐบาลภายใต้การชี้นำของนายปรีดี พนมยงค์ ตระหนักในปัญหานี้จึงออกมาตรการหลายอย่างเพื่อลดกระแสความขัดแย้งที่อาจ จะนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดน และวันที่ 3 พฤษภาคม 2488 ได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติอุปถัมภ์อิสลาม ซึ่งเป็นมาตรการควบคุมบทบาทของผู้นำศาสนาของมาเลย์มุสลิมให้อยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่รัฐอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น สถาบันที่กำหนดขึ้นจากกฎหมายนี้คือตำแหน่ง "จุฬาราชมนตรี" , "คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย" , "กรรมการอิสลามประจำจังหวัด" , " อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย"
นโยบาย "อุปถัมภ์" อีกอันหนึ่งของมาเลย์มุสลิม คือ การยอมรับในฐานะพิเศษของกฎหมายว่าด้วยเรื่องครอบครัวและมรดกของอิสลาม โดยรัฐบาลงดเว้นการใช้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์บทที่ว่าด้วยครอบครัวใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และให้รีบเร่งยก
ร่างกฎหมายฝ่ายอิสลามขึ้นใช้แทน ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อยกร่างกฎหมายว่าด้วยเรื่องครอบครัวและมรดกเมื่อปี พ.ศ. 2472 แต่การดำเนินงานเป็นไปอย่างล่าช้าและไม่มีผลคืบหน้าเพราะมีความขัดแย้งในคณะกรรมการ ซึ่งมีหัวหน้าผู้พิพากษาสำหรับภาคใต้ (พระยาสุจริตธรรมพิศาล) เป็นประธาน โดยฝ่ายผู้พิพากษาซึ่งเป็นไทยพุทธเห็นว่าการยกร่างนั้นเป็นนโยบายทางการเมืองเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจของรัฐบาลที่จะให้สิทธิและเสรีภาพทางศาสนาอย่างเต็มที่ต่อมาเลย์มุสลิมจึงจำเป็นต้องรีบยกร่างให้เสร็จ แต่ผู้นำทางศาสนาที่ร่วมเป็นกรรมการถือเป็นภารกิจทางศาสนาที่สำคัญที่ต้องดำเนินไปอย่างระมัดระวังและละเอียดถี่ถ้วน พยายามหาหลักฐานให้ครบถ้วนก่อนที่จะกำหนดเป็นตัวบทกฎหมายลงไป ผลสุดท้ายกฎหมายฉบับนี้ก็ถูกยกร่างขึ้นสำเร็จโดยความพยายามของผู้พิพากษาฝ่ายรัฐบาลในปี พ.ศ. 2484 ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของบรรดาผู้นำทางศาสนา และประชาชนใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ การปรึกษาคดีเรื่องครอบครัวและมรดกก็ยังคงเป็นไปนอกสถาบันศาล โดยมาเลย์มุสลิมจะแสวงหาผู้นำทางศาสนาที่มีชื่อเสียงเพื่อขอคำปรึกษาแนะนำตามรูปแบบและธรรมเนียมปฏิบัติโบราณ (หน้า 14 - 16)
ความพยายามที่จะดำเนินนโยบายประสมประสานของรัฐบาลนับตั้งแต่การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 แทนที่จะนำมาซึ่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กลับทำให้มาเลย์มุสลิมรู้สึกแปลกแยกออกไปจากคนไทยส่วนใหญ่มากขึ้น ความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อนโยบายของรัฐบาลได้ถูกสะสมขึ้นมาเรื่อยๆ จนปรากฎออกมาในรูปของขบวนการรณรงค์เพื่อเรียกร้องสิทธิในการปกครองตนเอง (autonomy) ภายใต้การนำของฮัจยีสุหลงเมื่อปี พ.ศ. 2490 - 2491 โดยฮัจยีสุหลงได้เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาโดยเสนอหลักการสำคัญ 7 ประการ แต่ข้อเสนอเหล่านี้ถูกมองไปในแง่ของการสร้างความแตกแยก โดยฮัจยีสุหลงถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎต่อแผ่นดิน และถูกจับตัวดำเนินคดีและถูกพิพากษาจำคุกนำความสั่นสะเทือนมาสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างรุนแรง เกิดการจลาจลขึ้นในจังหวัดนราธิวาสที่รู้จักกันในนามว่ากบฎดูซงญอ เมื่อวันที่ 26 - 27 เมษายน 2491 ฮัจยีสุหลงกับบุตรชายซึ่งถูกจับตัวพร้อมกันได้รับการปล่อยตัวออกมาแต่ก็หายสาบสูญไปพร้อมกันในปี พ.ศ. 2497 (หน้า 17 - 18) |
|
Belief System |
ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และยังยึดมั่นว่าตัวเองเป็นคนมาเลย์มุสลิม |
|
Education and Socialization |
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎร นโยบายของคณะราษฎรทางด้านการศึกษาได้รับการปฏิบัติอย่างเต็มที่ ในระยะแรกการศึกษาภาษาไทยและหลักสูตรประถมศึกษาของรัฐบาลถูกมองในแง่ร้ายจากมาเลย์มุสลิม เพราะอาจผสมกลมกลืนทำลายเอกลักษณ์ไปเสีย แถมยังมีนโยบายเศรษฐกิจและการปกครองอื่นๆ ตามมา อาจจะยิ่งทำให้มาเลย์มุสลิมต้องสูญเสียภาษาและวัฒนธรรมของตนไปเร็วยิ่งขึ้น (หน้า 5)
พระราชบัญญัติอุปถัมภ์อิสลาม พ.ศ. 2488 กำหนดให้รัฐจัดตั้งสถาบันการศึกษาที่เป็นของมุสลิมโดยแท้จริงภายใต้การบริหารของมุสลิม เพื่อดึงดูดให้มาเลย์มุสลิมที่ลังเลใจในการส่งบุตรหลานเข้ารับการศึกษาในสถาบันการศึกษาของรัฐบาลให้หมดความลังเลไป โดยสถาบันใหม่นี้จะกำหนดหลักสูตรทางศาสนาอิสลามเข้าไว้ด้วย โดยตั้งชื่อสถาบันนี้ว่า "อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย" ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันนี้จะได้รับพระราชทานทุนการศึกษาไปประกอบพิธีฮัจย์และศึกษาเพิ่มเติม ณ เมือง เมกกะ (หน้า 10)
หลังจากนั้นอิสลามวิทยาลัยก็หมดสภาพความเป็น "สถาบันของอิสลาม" ไปแล้ว หลังจากกระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดให้เป็นโรงเรียนในอาณัติของกรมสามัญศึกษา แม้มีวิชาเลือกภาษาอาหรับเหลืออยู่ แต่ก็เปิดรับนักเรียนโดยทั่วไป และสำหรับทุนเล่าเรียนหลวงที่กำหนดไว้สำหรับผู้สำเร็จการศึกษาก็ไม่เคยมีงบประมาณให้เลย (หน้า 13) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ภาษาที่ใช้ในพระราชบัญญัติอุปถัมภ์อิสลาม พ.ศ. 2488 มีการใช้คำว่า "ประชาชนชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม" แทนที่จะเรียกว่า "แขก", "มลายู" หรือ "ผู้นับถือศาสนาฮัมหมัด" อย่างเมื่อก่อน พระราชบัญญัติฉบับนี้ถือว่ามาเลย์มุสลิมในภาคใต้เป็นคนไทยแต่นับถือศาสนาอิสลาม และค่อยๆ เปลี่ยนมาจนเป็น "คนไทยอิสลาม" และ "ชาวไทยมุสลิม" ไปในที่สุด แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นทำไปโดยประชาชนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับเพราะความรู้สึกของพวกเขาแล้วยังยึดมั่นนับตนเองเป็นคนมาเลย์ สำหรับคนมาเลย์มุสลิมแล้ว คำว่า "มลายู" กับ "มุสลิม" มีความหมายอย่างเดียวกัน ส่วนคำว่า "ไทย" หรือ "สยาม" กับคำว่า "พุทธ" ก็เป็นคำที่มีความหมายเหมือนกัน การที่จะถูกเรียกว่าเป็น "ไทยอิสลาม" จึงเป็นคำที่ขัดแย้งกันอยู่ในตัว แม้กระทั่งปัจจุบันนี้คำว่า "ไทยอิสลาม" ก็ยังเป็นที่รังเกียจอยู่ทั่วไปในหมู่คนมาเลย์มุสลิมในภาคใต้ (หน้า 12 - 13) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|