สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มาเลย์มุสลิม,นโยบายประสมประสาน,รัตนโกสินทร์,จังหวัดชายแดนภาคใต้,ประเทศไทย
Author สุรินทร์ พิศสุวรรณ
Title นโยบายประสมประสานชาวมาเลย์มุสลิมในประเทศไทยสมัยรัตนโกสินทร์
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มนุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 21 Year 2525
Source สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Abstract

ความยึดมั่นผูกพันที่มาเลย์มุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยมีต่อขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษา และวัฒนธรรม ตลอดจนศาสนาของตนนั้น เป็นอุปสรรคต่อนโยบายประสมประสานประชาชนเผ่าพันธุ์ต่างๆ ตั้งแต่การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา นโยบายประสมประสานมักจะถูกกำหนดขึ้นโดยคำนึงถึงความปลอดภัยมั่นคงของชาติเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นพระราชบัญญัติอุปถัมภ์ฝ่ายอิสลาม พ.ศ. 2488 หรือพระราชบัญญัติประกาศใช้กฎหมายครอบครัวและ มรดกฝ่ายอิสลาม พ.ศ. 2489 ต่างถูกกำหนดขึ้นจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ไม่เข้าใจปัญหาและภูมิหลังทางสังคมของคนมาเลย์ มุสลิมอย่างลึกซึ้งดีพอ ความพยายามที่จะ "อุปถัมภ์" จึงกลับกลายเป็นการเข้าไป "ก้าวก่าย" และ "ควบคุม" กิจการทาง ศาสนาไป ซึ่งเป็นการสร้างความบาดหมางใจกันขึ้น แทนที่จะสร้างความสามัคคีกลับนำไปสู่ปัญหาอื่นที่ตามมาอย่างไม่มี ที่สิ้นสุด ในปัจจุบันนี้หน่วยงานของรัฐหลายหน่วยต่างพยายามเข้าไปมีบทบาทแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับมาเลย์มุสลิม การกำหนดให้มีหลักสูตรสอนศาสนาอิสลามในโรงเรียนของรัฐบาล การเข้าไปช่วยเหลือและ "อุปถัมภ์" สถาบันศึกษาปอเนาะ ตลอดจนนโยบายรีบเร่งสอนภาษาไทยให้แก่เยาวชนมาเลย์มุสลิม เหล่านี้ต่างเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ล่อแหลมต่อการเข้าใจ ผิด เห็นเป็นเรื่องก้าวก่ายของรัฐต่อกิจการภายในสังคมของเขา ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความแตกแยกมากกว่าความเป็นอันหนึ่งอันเ ดียวกันดังที่ผู้กำหนดนโยบายคาดหวัง (หน้า 20-21)

Focus

มุ่งศึกษาวิธีการและขั้นตอนที่รัฐบาลไทยพยายามที่จะ "ประสมประสาน" (integrate) มาเลย์มุสลิมที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนไทยที่ติดต่อกับมาเลเซีย โดยเลือกเน้นเฉพาะช่วง 50 ปีหลังของสมัยรัตนโกสินทร์ (หน้า 3) โดยการศึกษาถึงบทบาทที่มาเลย์มุสลิมมีในการเข้าร่วมกระบวนการทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยหรือการปฏิวัติ ตลอดจนภูมิหลังของการกำหนดนโยบาย "อุปถัมภ์อิสลาม" ของนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งประกอบด้วยการประกาศใช้พระราชบัญญัติกำหนดให้มีการจัดตั้งสถาบันต่างๆ ขึ้นภายใต้การควบคุมและสนับสนุนของรัฐบาล และจะสรุปลงท้ายด้วยการวิเคราะห์ผลลัพธ์ของนโยบายนั้น ตลอดจนบทเรียนที่พึงได้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเกี่ยวกับนโยบาย "อุปถัมภ์อิสลาม" ของรัฐบาล (หน้า 4)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

มาเลย์มุสลิม ศึกษาวิธีการและขั้นตอนของรัฐบาลในนโยบายการประสมประสานมาเลย์มุสลิมใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ สตูล ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส

Language and Linguistic Affiliations

ชาวสตูลส่วนใหญ่จะพูดภาษาไทยได้ ส่วนชาวปัตตานี ยะลา และนราธิวาส จะใช้ภาษามลายูในการติดต่อสื่อสาร

Study Period (Data Collection)

ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เก็บข้อมูลแต่ช่วงเวลาที่ศึกษาคือทศวรรษของ 2480

History of the Group and Community

ไม่มีข้อมูล

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

ไม่มีข้อมูล

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

การเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎรเป็นความหวังของมาเลย์มุสลิมว่าภายใต้การปกครองระบอบใหม่ พวกเขาจะสามารถรักษาและประคับประคองไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของตนเอง หลังการปฏิวัติผู้นำในการแบ่งแยกดินแดนคนหนึ่งคือตนกูมะไหยิดดีนได้เดินทางกลับจากการลี้ภัยทางการเมืองเพื่อเข้าร่วมกระบวนการทางการเมืองใหม่เพราะ "มีรัฐธรรมนูญแล้ว" ส่วนผู้นำคนอื่นๆ ก็หวังว่าอำนาจที่เคยเสียไปเมื่อสมัยการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินของรัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2441 อาจจะได้คืนมาใหม่โดยผ่านกระบวนการเลือกตั้ง ผู้นำมาเลย์มุสลิมทั้งที่เป็นผู้นำศาสนาและเส้นสายของเจ้าเมืองเก่าจึงรวมตัวกันเพื่อปลูกฝังสำนึกทางการเมืองและเรียกร้องให้ร่วมออกเสียงเลือกตั้ง การเลือกตั้งปี พ.ศ. 2480 ปรากฎว่า ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เลือกผู้แทนที่เป็นมาเลย์มุสลิมเข้ารัฐสภาไป ยกเว้นสตูลที่ได้ข้าราชการเกษียณเป็นผู้แทนฯ อาจเป็นเพราะว่าชาวสตูลซึ่งส่วนใหญ่พูดภาษาไทยได้เลือกผู้แทนราษฎรโดยไม่ถือเอาศาสนาเป็นตัวกำหนด แต่เลือกคนที่มีความสามารถติดต่อกับระบบราชการแทนพวกเขาได้ ส่วนชาวปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กลับเห็นว่าเผ่าพันธุ์และศาสนาเป็นตัวกำหนดที่มีความสำคัญ เมื่อตื่นตัวที่จะเข้าร่วมทางการเมืองก็ต้องเลือกเอาคนเชื้อสายและศาสนาเดียวกันเข้าไปเป็นผู้แทนของตน หลังจากจอมพล ป.พิบูลสงครามขึ้นมามีอำนาจในปี พ.ศ. 2481 ได้นำเอาลัทธิชาตินิยมมาใช้ ซึ่งมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อความรู้สึกของมาเลย์มุสลิมที่มีต่อรัฐบาลไทย เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้น ตนกูมะไหยิดดีนและผู้นำคนอื่นๆ หันไปร่วมมือกับอังกฤษรวมตัวกันกับกองกำลังใต้ดินของชาวมลายูต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น โดยหวังเอาความช่วยเหลือของอังกฤษมาบีบบังคับให้รัฐบาลไทยปล่อยจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ไปเป็นส่วนหนึ่งของ "บริติชมลายา" เมื่อสงครามสงบ ตลอดช่วงระยะสงครามโลกจนหมดสมัยของจอมพล ป. การเข้าร่วมทางการเมืองของมาเลย์มุสลิมลดลงอย่างเห็นได้ชัด ความสนใจส่วนใหญ่หันไปสู่การต่อสู้ระดับนานาชาติ (หน้า 5 - 9) รัฐบาลภายใต้การชี้นำของนายปรีดี พนมยงค์ ตระหนักในปัญหานี้จึงออกมาตรการหลายอย่างเพื่อลดกระแสความขัดแย้งที่อาจ จะนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดน และวันที่ 3 พฤษภาคม 2488 ได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติอุปถัมภ์อิสลาม ซึ่งเป็นมาตรการควบคุมบทบาทของผู้นำศาสนาของมาเลย์มุสลิมให้อยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่รัฐอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น สถาบันที่กำหนดขึ้นจากกฎหมายนี้คือตำแหน่ง "จุฬาราชมนตรี" , "คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย" , "กรรมการอิสลามประจำจังหวัด" , " อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย" นโยบาย "อุปถัมภ์" อีกอันหนึ่งของมาเลย์มุสลิม คือ การยอมรับในฐานะพิเศษของกฎหมายว่าด้วยเรื่องครอบครัวและมรดกของอิสลาม โดยรัฐบาลงดเว้นการใช้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์บทที่ว่าด้วยครอบครัวใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และให้รีบเร่งยก ร่างกฎหมายฝ่ายอิสลามขึ้นใช้แทน ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อยกร่างกฎหมายว่าด้วยเรื่องครอบครัวและมรดกเมื่อปี พ.ศ. 2472 แต่การดำเนินงานเป็นไปอย่างล่าช้าและไม่มีผลคืบหน้าเพราะมีความขัดแย้งในคณะกรรมการ ซึ่งมีหัวหน้าผู้พิพากษาสำหรับภาคใต้ (พระยาสุจริตธรรมพิศาล) เป็นประธาน โดยฝ่ายผู้พิพากษาซึ่งเป็นไทยพุทธเห็นว่าการยกร่างนั้นเป็นนโยบายทางการเมืองเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจของรัฐบาลที่จะให้สิทธิและเสรีภาพทางศาสนาอย่างเต็มที่ต่อมาเลย์มุสลิมจึงจำเป็นต้องรีบยกร่างให้เสร็จ แต่ผู้นำทางศาสนาที่ร่วมเป็นกรรมการถือเป็นภารกิจทางศาสนาที่สำคัญที่ต้องดำเนินไปอย่างระมัดระวังและละเอียดถี่ถ้วน พยายามหาหลักฐานให้ครบถ้วนก่อนที่จะกำหนดเป็นตัวบทกฎหมายลงไป ผลสุดท้ายกฎหมายฉบับนี้ก็ถูกยกร่างขึ้นสำเร็จโดยความพยายามของผู้พิพากษาฝ่ายรัฐบาลในปี พ.ศ. 2484 ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของบรรดาผู้นำทางศาสนา และประชาชนใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ การปรึกษาคดีเรื่องครอบครัวและมรดกก็ยังคงเป็นไปนอกสถาบันศาล โดยมาเลย์มุสลิมจะแสวงหาผู้นำทางศาสนาที่มีชื่อเสียงเพื่อขอคำปรึกษาแนะนำตามรูปแบบและธรรมเนียมปฏิบัติโบราณ (หน้า 14 - 16) ความพยายามที่จะดำเนินนโยบายประสมประสานของรัฐบาลนับตั้งแต่การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 แทนที่จะนำมาซึ่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กลับทำให้มาเลย์มุสลิมรู้สึกแปลกแยกออกไปจากคนไทยส่วนใหญ่มากขึ้น ความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อนโยบายของรัฐบาลได้ถูกสะสมขึ้นมาเรื่อยๆ จนปรากฎออกมาในรูปของขบวนการรณรงค์เพื่อเรียกร้องสิทธิในการปกครองตนเอง (autonomy) ภายใต้การนำของฮัจยีสุหลงเมื่อปี พ.ศ. 2490 - 2491 โดยฮัจยีสุหลงได้เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาโดยเสนอหลักการสำคัญ 7 ประการ แต่ข้อเสนอเหล่านี้ถูกมองไปในแง่ของการสร้างความแตกแยก โดยฮัจยีสุหลงถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎต่อแผ่นดิน และถูกจับตัวดำเนินคดีและถูกพิพากษาจำคุกนำความสั่นสะเทือนมาสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างรุนแรง เกิดการจลาจลขึ้นในจังหวัดนราธิวาสที่รู้จักกันในนามว่ากบฎดูซงญอ เมื่อวันที่ 26 - 27 เมษายน 2491 ฮัจยีสุหลงกับบุตรชายซึ่งถูกจับตัวพร้อมกันได้รับการปล่อยตัวออกมาแต่ก็หายสาบสูญไปพร้อมกันในปี พ.ศ. 2497 (หน้า 17 - 18)

Belief System

ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และยังยึดมั่นว่าตัวเองเป็นคนมาเลย์มุสลิม

Education and Socialization

ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎร นโยบายของคณะราษฎรทางด้านการศึกษาได้รับการปฏิบัติอย่างเต็มที่ ในระยะแรกการศึกษาภาษาไทยและหลักสูตรประถมศึกษาของรัฐบาลถูกมองในแง่ร้ายจากมาเลย์มุสลิม เพราะอาจผสมกลมกลืนทำลายเอกลักษณ์ไปเสีย แถมยังมีนโยบายเศรษฐกิจและการปกครองอื่นๆ ตามมา อาจจะยิ่งทำให้มาเลย์มุสลิมต้องสูญเสียภาษาและวัฒนธรรมของตนไปเร็วยิ่งขึ้น (หน้า 5) พระราชบัญญัติอุปถัมภ์อิสลาม พ.ศ. 2488 กำหนดให้รัฐจัดตั้งสถาบันการศึกษาที่เป็นของมุสลิมโดยแท้จริงภายใต้การบริหารของมุสลิม เพื่อดึงดูดให้มาเลย์มุสลิมที่ลังเลใจในการส่งบุตรหลานเข้ารับการศึกษาในสถาบันการศึกษาของรัฐบาลให้หมดความลังเลไป โดยสถาบันใหม่นี้จะกำหนดหลักสูตรทางศาสนาอิสลามเข้าไว้ด้วย โดยตั้งชื่อสถาบันนี้ว่า "อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย" ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันนี้จะได้รับพระราชทานทุนการศึกษาไปประกอบพิธีฮัจย์และศึกษาเพิ่มเติม ณ เมือง เมกกะ (หน้า 10) หลังจากนั้นอิสลามวิทยาลัยก็หมดสภาพความเป็น "สถาบันของอิสลาม" ไปแล้ว หลังจากกระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดให้เป็นโรงเรียนในอาณัติของกรมสามัญศึกษา แม้มีวิชาเลือกภาษาอาหรับเหลืออยู่ แต่ก็เปิดรับนักเรียนโดยทั่วไป และสำหรับทุนเล่าเรียนหลวงที่กำหนดไว้สำหรับผู้สำเร็จการศึกษาก็ไม่เคยมีงบประมาณให้เลย (หน้า 13)

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ภาษาที่ใช้ในพระราชบัญญัติอุปถัมภ์อิสลาม พ.ศ. 2488 มีการใช้คำว่า "ประชาชนชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม" แทนที่จะเรียกว่า "แขก", "มลายู" หรือ "ผู้นับถือศาสนาฮัมหมัด" อย่างเมื่อก่อน พระราชบัญญัติฉบับนี้ถือว่ามาเลย์มุสลิมในภาคใต้เป็นคนไทยแต่นับถือศาสนาอิสลาม และค่อยๆ เปลี่ยนมาจนเป็น "คนไทยอิสลาม" และ "ชาวไทยมุสลิม" ไปในที่สุด แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นทำไปโดยประชาชนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับเพราะความรู้สึกของพวกเขาแล้วยังยึดมั่นนับตนเองเป็นคนมาเลย์ สำหรับคนมาเลย์มุสลิมแล้ว คำว่า "มลายู" กับ "มุสลิม" มีความหมายอย่างเดียวกัน ส่วนคำว่า "ไทย" หรือ "สยาม" กับคำว่า "พุทธ" ก็เป็นคำที่มีความหมายเหมือนกัน การที่จะถูกเรียกว่าเป็น "ไทยอิสลาม" จึงเป็นคำที่ขัดแย้งกันอยู่ในตัว แม้กระทั่งปัจจุบันนี้คำว่า "ไทยอิสลาม" ก็ยังเป็นที่รังเกียจอยู่ทั่วไปในหมู่คนมาเลย์มุสลิมในภาคใต้ (หน้า 12 - 13)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst สิทธิพร จรดล Date of Report 10 เม.ย 2548
TAG มาเลย์มุสลิม, นโยบายประสมประสาน, รัตนโกสินทร์, จังหวัดชายแดนภาคใต้, ประเทศไทย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง