|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ยอง,ประวัติศาสตร์,การย้ายถิ่นฐาน,ลำพูน |
Author |
แสวง มาละแซม |
Title |
คนยองย้ายแผ่นดิน |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ยอง คนยอง ชาวยอง ไทยอง ขงเมืองยอง จาวยอง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
182 |
Year |
2544 |
Source |
พิมพ์ครั้งที่ 2 จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, กรุงเทพ |
Abstract |
จากประวัติศาสตร์ของเมืองยอง และเมืองลำพูน พบว่ามีการเคลื่อนย้ายของผู้คนด้วยเหตุผลต่างๆ ตามยุคสมัย ซึ่งจากการศึกษาแสดงให้เห็นถึง ผู้คนจากเมืองยองเข้ามาตั้งถิ่นฐานในล้านนาตั้งแต่สมัยพญาติโลกราช และครั้งสำคัญในปี พ.ศ.2348 สมัยพระเจ้ากาวิละ เพื่อรวบรวมผู้คนจากหัวเมืองต่างๆ ในการฟื้นฟูเชียงใหม่และลำพูน ซึ่งการกวาดต้อนครั้งนี้เป็นแบบ "เทครัว" มาตั้งถิ่นฐานที่เมืองลำพูน ซึ่งหมายถึงมาทั้งโครงสร้างทางสังคม ประกอบด้วย เจ้าเมือง บุตร ภรรยา พี่น้อง ขุนนาง พระสงฆ์ ตลอดจนไพร่พลจำนวนมาก ผู้คนจากเมืองยองเป็นประชากรส่วนใหญ่ โดยสามารถรักษาวัฒนธรรมทางภาษาของตนไว้ และการอพยพเช่นนี้ทำให้มีผลต่อโครงสร้างการปกครองเมืองลำพูนในระยะต้น ซึ่งมีบทบาทในการปกครองเมืองลำพูนร่วมกับกลุ่มเจ้าเจ็ดตนด้วย
นอกจากนี้ การเข้ามาตั้งถิ่นฐานของผู้คนจากเมืองยองกลุ่มแรกอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำสำคัญของเมืองลำพูน ได้แก่ แม่น้ำปิง กวง ทา และลี้ และกระจายไปตามที่ราบอื่น ๆ แต่ถึงแม้ว่าผู้คนจากเมืองยองเป็นประชากรส่วนใหญ่ แต่สังคมเมืองลำพูนยังประกอบด้วยผู้คนที่มาจากหลายบ้านเมืองที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในระยะเวลาใกล้เคียงกัน เกิดความหลากหลายทางสังคมและวัฒนธรรม เมืองลำพูนจึงมีพัฒนาการของผู้คนที่มีการผสมผสานกันทางสังคมและวัฒนธรรม (หน้า 15) |
|
Focus |
เน้นการอธิบายประวัติศาสตร์ท้องถิ่น โดยให้ความสำคัญกับบทบาท และการเคลื่อนไหวของชาวยอง ซึ่งมีพัฒนาการจากหลายยุคสมัย (หน้า 13) |
|
Theoretical Issues |
ผู้วิจัยนั้นไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าใช้ทฤษฎีใดเป็นกรอบทางความคิด แต่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการวิจัยทางประวัติศาสตร์ ที่ให้ความสำคัญกับคนในท้องถิ่น และใช้วิธีวิจัยรอบด้านเพื่อสนับสนุนงานการศึกษา คือศึกษาจากเอกสารชั้นต้นภาษาล้านนา ไทลื้อ ไทย สัมภาษณ์พระภิกษุ ผู้สูงอายุ และผู้รู้ในท้องถิ่นต่าง ๆ ทั้งในประเทศไทย พม่า ลาว จีน รวมทั้งหลักฐานทางโบราณคดี |
|
Ethnic Group in the Focus |
"ชาวยอง" (กลุ่มคนที่อพยพมาจากเมืองยอง)
( Remarks : แต่เดิม "ยอง" อาจจะไม่ใช่กลุ่มชาติพันธุ์ เพราะเมืองยองเป็นที่อาศัยของหลายกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ลัวะ เป็นต้น "ชาวยอง" หมายความว่า คนที่อยู่ หรือมาจาก เมืองยอง แต่เมื่อได้มาตั้งถิ่นฐานและถูกเรียกเหมือนกัน "ยอง" อาจกลายเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ได้ (ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ)) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ในงานการศึกษาระบุแต่เพียงว่าชาวยองเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษาในตระกูลไท หรือไต เช่นเดียวกับกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อในดินแดนสิบสองปันนา |
|
Study Period (Data Collection) |
ไม่ได้ระบุว่าได้ทำการศึกษาในปีใด แต่ช่วงเวลาประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานของชาวยอง ที่ศึกษาประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 - 25 |
|
History of the Group and Community |
จากหลักฐานประเภทตำนานกล่าวว่า แอ่งที่ราบขนาดเล็กที่กระจายตัวอยู่ระหว่างแม่น้ำคง (สาละวิน) และแม่น้ำโขงตอนกลาง มีชุมชนดั้งเดิมกลุ่มต่าง ๆ เช่น ลัวะ ละว้า ทมิล ข่า ซึ่งเป็นกลุ่มที่พูดภาษาในตระกูลมอญ-เขมร ได้ครอบครองดินแดนนี้รวมถึงบริเวณที่ราบแม่น้ำยองมาก่อนที่จะมีกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลไทหลายกลุ่มซึ่งรวมถึงชาวยองได้เข้ามามีอำนาจเหนือคนพื้นเมือง และมีการสร้างสัมพันธ์ทางเครือญาติเรื่อยมา
ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18-19 ชุมชนเมืองยองเริ่มขยายตัวขึ้น โดยการอพยพผู้คนเข้ามาจากบ้านเมืองอื่น คือ เชียงรุ่ง และมีการผสมผสานกันทางวัฒนธรรม ทำให้โครงสร้างทางสังคมและการขยายตัวเริ่มซับซ้อนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในช่วงนี้เมืองยองก็มีความสัมพันธ์กับเมืองอื่นในฐานะพันธมิตร เช่น เชียงแสน เชียงของ เมืองล่า เมืองพง เป็นความสัมพันธ์กันแบบบ้านพี่เมืองน้อง แต่ต่อมาด้วยปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอก ประกอบกับสภาพทางภูมิศาสตร์ ทำให้เมืองยองไม่สามารถพัฒนาตนเองเป็นเมืองขนาดใหญ่ได้ กลับกลายเป็นแค่เมืองชายขอบของศูนย์กลางอำนาจต่าง ๆ ที่ผลัดกันขึ้นมามีอำนาจและการปกครองเหนือเมืองยอง ทั้ง พม่า จีน เชียงรุ่ง เชียงตุง เชียงใหม่ และหลวงพระบาง ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา
ประวัติศาสตร์ของเมืองยองส่วนใหญ่จึงมักมีในด้านการทำสงคราม การเกณฑ์ไพร่พล และการสวามิภักดิ์ต่อดินแดนที่มีอำนาจ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองยองกลุ่มเมืองต่างๆ ต้องเปลี่ยนแปลงและปรับเปลี่ยนอยู่ตลอด ซึ่งในยามสงครามเมืองยองมักมีความสำคัญอยู่ในฐานะเป็นปัจจัยทางด้านกำลังพลและเสบียง ผู้คนจึงมักถูกกวาดต้อนมาโดยตลอด ต่อมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2101 เมื่อเมืองเชียงใหม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพม่า ทำให้ผู้คนสูญเสียไปมาก อันเนื่องมาจากความไม่สงบตั้งแต่ปลายสมัยราชวงศ์มังราย ไม่มีการอพยพเข้าสู่เมืองเชียงใหม่ และในปี พ.ศ. 2318-2319 พม่ายกกองทัพล้อมเมืองเชียงใหม่อยู่ถึง 8 เดือน ผู้คนในเมืองต่างละทิ้งบ้านเรือนไปอยู่ลำปาง เชียงใหม่จึงเป็นเมืองร้างอยู่ถึง 20 ปี จนกระทั่งพระยาจ่าบ้านและเจ้ากาวิละได้รับการสนับสนุนจากกรุงธนบุรีทำสงครามขับไล่พม่าออกไปจากที่ราบลุ่มแม่น้ำปิงตอนบนบริเวณเชียงใหม่-ลำพูนได้สำเร็จ แต่ยังคงเป็นเมืองร้าง เจ้ากาวิละจึงดำเนินนโยบายทำสงครามรวบรวมและกวาดต้อนผู้คนจากเมืองต่างๆ ทางตอนบนเพื่อมาใส่บ้านซ่อมเมืองหรือที่เรียกกันว่า "เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง" มาตั้งที่เวียงป่าซางในปี พ.ศ. 2325-2339 และมีจุดประสงค์สำคัญเพื่อการฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่
สำหรับชาวยองที่เมืองยองก็ได้อพยพเข้ามาอยู่ที่เวียงป่าซางในช่วงเวลานี้ด้วยวิธีการที่เจ้ากาวิละเข้าไปเกลี้ยกล่อมและชักจูงเจ้าเมืองยอง ทำให้ยอมทิ้งเมืองพาไพร่พลมาอยู่ที่ป่าซางกันแบบเทครัว และชาวเมืองยองยังมีการเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่เมืองลำพูน อีกครั้งสำคัญคือ ปี พ.ศ. 2348 และ พ.ศ. 2356 ทำให้ชาวยองกลายเป็นพลเมืองส่วนใหญ่และกระจายตัวออกไปทั่วเมืองลำพูนในเวลาต่อมา |
|
Settlement Pattern |
แบบแผนการตั้งถิ่นฐานของชาวยอง มีความแตกต่างไปบ้างตามยุคสมัยและท้องถิ่น เช่น การตั้งถิ่นฐานที่เมืองยอง เวียงป่ายางและลำพูน
ตำนานเมืองยองได้กล่าวถึงการตั้งชุมชนตามลุ่มน้ำยองออกเป็น 7 เวียง ซึ่งมีฐานะเป็นชุมชน คล้ายหมู่บ้าน ซึ่งประมาณว่าเป็นช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 ซึ่งมีลัวะ เป็นผู้ปกครอง และเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่ และยังมีกลุ่มอื่น ๆ อีก ต่อมาถูกปกครองโดยคนไท และมีการสร้างพระธาตุจอมยอง ในช่วงประมาณพุทธศตวรรษที่ 20 และมีหลักฐานชี้ว่ามีจำนวนหมู่บ้านที่มากขึ้น และมีคนไทอพยพเข้ามาอยู่จากเมืองต่าง ๆ
อย่างไรก็ตามแม้ว่าที่ตั้งเมืองยองจะเป็นที่ทำการเกษตรกรรมได้ แต่ไม่สามารถพัฒนาไปสู่ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจได้ เพราะไม่ได้อยู่บนเส้นทางการค้าที่สำคัญ แต่กลับอยู่บนเส้นทางเดินทัพ ทำให้เมืองยองตกอยู่ในภาวะล่อแหลม บ้านแตกสาแหรกขาดบ่อย ๆ (หน้า 15, 29, 32)
ในช่วงเวลาประมาณ พ.ศ. 2325 - 2339 เป็นผลสืบเนื่องมาจากไทยช่วยขับไล่พม่า (ตรงกับสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี) และเชียงใหม่ได้พยายามสร้างเมือง เจ้ากาวิละได้รวบรวมและชักชวนผู้คนมาไว้ที่เวียงป่าซาง ซึ่งเป็นชุมชนอยู่ริมแม่น้ำปิง กวง และทา มาสบกัน มีอาหารอุดมสมบูรณ์ เจ้าเมืองยองจึงพาไพร่พลมาสมทบที่ป่าซาง แต่ลักษณะที่ตั้งของเวียงป่าซางเป็นอุปสรรคต่อความมั่นคงและความปลอดภัย ประกอบกับการคมนาคมถึงชุมชนอื่นไม่สะดวก เพราะลำน้ำทา และกวงค่อนข้างขนาดเล็ก จึงทำให้เจ้ากาวิละคิดหันกลับไปฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ และทำสงครามกับพม่า ซึ่งตั้งหลักที่เชียงแสนอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดพม่าแพ้ และทำให้เกิดการ "เทครัว" โดยเจ้าเมืองยอง บุตร ภรรยา น้องอีก 4 คน ขุนนาง พระสงฆ์ ทั้งไพร่พลในระดับต่าง ๆ ถูกกวาดต้อนมาอยู่ลำพูน ในปี พ.ศ. 2348 (หน้า 98)
หมู่บ้านที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานแรกที่ลำพูนเรียกว่า "หมู่บ้านหลัก" มักจะอยู่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ เช่น แม่ปิง แม่กวง และแม่ทา กระจัดกระจายกันไป บริเวณที่ชาวยองเข้าไปตั้งถิ่นฐานมักเคยเป็นชุมชนเก่าแก่ และชุมชนจะกระจายตัวออกไปจากหมู่บ้านหลักหลายหมู่บ้าน หลังปี พ.ศ. 2371 และเมื่อชุมชนมีการสร้างวัดตามมา วัดต่าง ๆ ของชาวยองที่ลำพูนมักมีอายุเก่าแก่ประมาณ 150-180 ปี (หน้า 114) |
|
Demography |
ไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน แต่เพียงกล่าวไว้ส่วนหนึ่งว่าประชากรจากเมืองยองที่อพยพเข้ามาอยู่ที่เมืองลำพูนนั้น มีจำนวนมากนับ 10,000 คน (หน้า 114) |
|
Economy |
สังคมเมืองยอง มีพื้นฐานมาจากการเกษตรกรรม ซึ่งการปลูกข้าวเป็นเศรษฐกิจหลัก แม้ว่าแอ่งที่ราบเมืองยองไม่กว้างขวางนัก แต่มีสภาพธรรมชาติเอื้ออำนวยต่อการเกษตรเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ในหนองน้ำยังมีปลาจำนวนมาก ระบบเศรษฐกิจในช่วงพุทธศตวรรษที่ 19 มีระบบตลาดที่ซับซ้อนขึ้น แต่ถึงแม้จะเป็นเมืองที่ผลิตข้าวได้มาก ก็ยังไม่สามารถพัฒนาตนเองไปสู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจได้ เพราะไม่ได้ตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าที่สำคัญ ต่อมาเมื่อมีการอพยพย้ายถิ่นฐานจากเมืองยองมาอยู่ที่เมืองลำพูน
งานการศึกษาได้กล่าวว่า ไพร่พลต่าง ๆ ออกทำไร่ไถนา มากกว่าที่จะถูกกำหนดให้ทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ โดยมีแหล่งผลิตในแถบนอกเมืองลำพูนออกไป เช่น ที่ราบลุ่มแม่น้ำกวงฝั่งตะวันออกที่ราบลุ่มแม่น้ำปิงฝั่งตะวันออก และที่ราบด้านใต้ที่อยู่ระหว่างแม่น้ำทา แม่น้ำกวง และแม่น้ำปิง ซึ่งการผลิตเป็นแบบลี้ยงตัวเอง การแลกเปลี่ยนสินค้าจึงมีน้อย การขยายตัวของชาวยองนับจากปี พ.ศ.2348
นอกจาการปลูกข้าวเป็นหลักแล้ว ยังสามารถผลิต ยาสูบ น้ำตาล ครั่ง และเลี้ยงวัวควายจำนวนมากพอที่จะขายให้กับพ่อค้าชาวอังกฤษได้ และหลังจากสัญญาเบาว์ริ่ง พ.ศ. 2398 ได้กระตุ้นให้เกิดการผลิตเพื่อการค้ามากขึ้น และมีการขยายเส้นทางการค้าไปตามหัวเมืองต่าง ๆ รวมทั้งเมืองลำพูนด้วย (หน้า 31, 121,129-130, 148-151) |
|
Social Organization |
ในงานการศึกษากล่าวว่า ก่อนการได้รับอิทธิพลจากอินเดีย ด้านสังคม สตรีมีความสำคัญในสังคม และการสืบเชื้อสายทางมารดา มีระบบการดำเนินงานหรือการปกครองที่มีระเบียบ เมื่อพุทธศาสนาแพร่เข้ามา ประกอบกับการขยายตัวของเมือง จำเป็นต้องมีการควบคุมกำลังคนโดยแบ่งผู้คนออกเป็น 6 กลุ่ม เพื่อเป็นข้าดูแลพระธาตุและไม้ประจำเมือง มีการกำหนดอำนาจหน้าที่ จัดสรรแรงงาน ผลประโยชน์ลดหลั่นกันลงไป โดยกลุ่มใหญ่ คือ ขุนแสนทั้ง 4 ขุนนาง พระสงฆ์ ไพร่พลเมือง ซึ่งกลุ่มนี้น่าจะแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มข้าพระธาตุ และกลุ่มไม่ได้เป็นข้าพระธาตุ
นอกจากนี้ โดยพื้นฐานโครงสร้างและความสัมพันธ์ทางครอบครัวมีส่วนสำคัญในการจัดระเบียบของสังคม รวมถึงเป็นพื้นฐานให้กับสถาบันต่างๆ โดยเฉพาะการเมืองการปกครอง นอกจากนี้เมื่อครั้งที่ชาวยองอพยพมาตั้งชุมชนที่เมืองลำพูนเมื่อปี พ.ศ. 2348 นั้น กล่าวได้ว่า เป็นการอพยพมาทั้งระบบโครงสร้างของสังคม ประกอบด้วยพญามหิยังคบุรี พร้อมกับน้องอีก 3 คน ร่วมด้วยไพร่พล แต่สภาพสังคมยังเป็นความสัมพันธ์แบบเครือญาติอย่างใกล้ชิด หรือการนับถือผีเดียวกัน โดยชายหญิงเมื่อเข้าพิธีแต่งงาน ฝ่ายชายต้องมาทำพิธีเซ่นไหว้ผีประจำตระกูลของฝ่ายหญิง (หน้า 20, 28-29, 114, 127-128) |
|
Political Organization |
เมืองยองในยุคของชนพื้นเมืองนั้นราวพุธศตวรรษที่ 18 เริ่มมีการจัดระเบียบภายในสังคม โดยแบ่งชุมชนออกเป็น 7 หมู่บ้านหรือเวียง โดยแต่ละเวียงมีหัวหน้าปกครอง หลังจากนั้นก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจการรุกรานจากเมืองเชียงรุ่ง โดยการนำของเจ้าสุนันทะ และผู้ปกครองมักสร้างระบบความสัมพันธ์ทางเครือญาติโดยการแต่งงาน เพื่อรักษาอำนาจในการปกครอง ในยุคที่ศาสนาแพร่เข้ามาและมีความสำคัญก่อให้เกิดความซับซ้อนทางโครงสร้างของสังคม จึงมีการจัดระเบียบสังคมของคนออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ เช่น มีขุนแสน 4 คน ประจำเมือง ประกอบด้วยพระยา เสนา พ่อเมืองขวาและพ่อเมืองซ้าย และในสมัยพระยาอินทวิไชย กำหนดขุนนางไว้ 4 ตำแหน่ง คือ แสนคำคาด แสนคำมูล แสนพิชชะวง และแสนคำซาว เพื่อดูแลบ้านเมืองคล้ายเค้าสนาม
ต่อมา ในสมัยที่พม่าประสบความสำเร็จในการขยายอิทธิพลราว พ.ศ. 2101-2317 พม่าได้ให้ความสำคัญกับหัวเมืองต่าง ๆ โดยการแต่งตั้งผู้นำเข้ามาปกครอง แต่พม่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับเมืองยองเท่าใดนัก จึงให้ผู้นำท้องถิ่นปกครองกันเอง ต่อมาเมื่อมีการอพยพมาตั้งถิ่นฐานที่เมืองลำพูน ซึ่งเป็นการเทครัวมาทั้งระบบโครงสร้างของสังคม พระเจ้ากาวิละจึงมีการแต่งตั้งเจ้าเมืองซึ่งในขณะนั้นเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญ คือ เจ้าคำฝั้น ซึ่งเป็นอนุชาใกล้ชิดกับเจ้ากาวิละปกครองดูแลไพร่พล แต่การที่ชาวยองเข้ามาอยู่เป็นจำนวนมาก มีผลทำให้เจ้าเมืองยองมีส่วนร่วมในการปกครองบ้านเมือง ดังจะเห็นได้จากในปี พ.ศ. 2354 ซึ่งเป็นระยะแรกของการอพยพ เจ้าเมืองยองมีส่วนร่วมในการปกครองร่วมกับกลุ่มเจ้าเจ็ดตน โดยมีเจ้าเมืองลำพูนเป็นผู้นำสูงสุด รองลงมาคือ เจ้าอุปราช เจ้าเมืองยอง และขุนสนามตามลำดับ ซึ่งขุนสนามทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองประจำหมู่บ้าน โดยการปกครองในขณะนั้นชุมชนค่อนข้างเป็นอิสระจากเจ้าเมืองลำพูน
ต่อมาในปี พ.ศ. 2437-2445 ได้มีการปฏิรูปการปกครองเมืองลำพูนใหม่ โดยการเข้ามามีอำนาจของรัฐบาลกลางกรุงเทพฯ เพื่อปฏิรูปการปกครองแบบรวมศูนย์ให้ขึ้นกับรัฐบาลกลาง โดยไม่มีการแต่ตั้งเจ้าเมืองขึ้นปกครองดังเช่นที่ผ่านมา มีการจัดราชการเมืองลำพูนเสียใหม่ (หน้า 15, 28-30,113-119, 141) |
|
Belief System |
ในด้านศาสนางานการศึกษาอธิบายว่า เมืองยองและกลุ่มวัฒนธรรมในแถบดินแดนใกล้เคียงเป็นเมืองพุทธศาสนา แต่ก่อนที่จะได้รับอิทธิพลจากอินเดีย มีการนับถือผี วิญญาณ บูชาบรรพบุรุษ และเทพเจ้าแห่งแผ่นดิน สร้างศาลเทพเจ้าตามที่สูง ฝังศพในไห โอ่ง หรือหีบหิน เมื่อได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนา จึงมีการผสมผสานความเชื่อพื้นเมืองเข้ากับศาสนาพุทธ ซึ่งมีอิทธิพลต่อพัฒนาการของสังคม
นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ "ไม้ศรีเมือง" หรือ "ไม้มิ่งเมือง" ที่ให้ความสำคัญกับไม้ใหญ่ประจำเมือง เพื่อทำพิธีสืบชะตา เซ่นสรวงบูชา เพื่อความเป็นสิริมงคล เป็นความเชื่อในธรรมชาติ ซึ่งถือว่าเป็นรากฐานสำคัญของชีวิตมนุษย์ มีพระธาตุซึ่งเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งหนึ่งของเมือง ซึ่งการสร้างพระธาตุเป็นรูปทรงเจดีย์แบบต่างๆ ปรากฏอยู่ทั่วไปพร้อมกับการสร้างบ้านแปงเมือง สำหรับเมืองยองมีพระธาตุคู่เมืองที่สำคัญ คือ พระมหาธาตุจอมยอง และจากการนับถือพุทธศาสนา ทำให้หัวเมืองต่างๆ มีประเพณีร่วมกัน คือ การไหว้พระธาตุและสรงน้ำพระธาตุตามปีเกิดของตนเอง นอกจากนี้ยังพบว่ามีประชากรจำนวนหนึ่งนับถือศาสนาคริสต์ด้วย (หน้า 20, 22-26, 40) |
|
Education and Socialization |
ในด้านการศึกษา ผู้วิจัยได้กล่าวไว้ช่วงหนึ่งว่า รัฐบาลกรุงเทพฯ ต้องการหาวิธีที่จะดำเนินนโยบายผนวกผู้คนและดินแดนต่าง ๆ เข้ากับส่วนกลาง โดยการให้การศึกษาแก่คนในท้องถิ่น ซึ่งก่อนปี พ.ศ. 2444 ยังไม่ปรากฏหลักฐานว่าจัดการศึกษาอย่างเป็นระบบขึ้นที่ใด แต่มักจะเป็นหน้าที่ของพระสงฆ์ในวัด แต่มีข้อจำกัด คือ ให้เฉพาะผู้ชายบวชเรียน แต่ในปี พ.ศ. 2443 ได้มีการจัดตั้งโรงเรียนสำหรับบุตรหลานเจ้านายและข้าราชการเมืองลำพูนอย่างเป็นทางการ นับเป็นโรงเรียนแห่งแรกที่จัดโดยรัฐบาลส่วนกลาง จากนั้นการศึกษาในระบบโรงเรียน จึงได้ขยายออกไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ตามนโยบายอย่างต่อเนื่อง เพื่อการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสยาม (หน้า 161-162) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
ตำนานเมืองยองเท่าที่มีการสำรวจและพบตามวัดต่างๆ มีไม่น้อยกว่า 15 สำนวน มีเนื้อหาเรื่องราวทั้งเกี่ยวกับฝ่ายพุทธศาสนาและฝ่ายบ้านเมือง มักเริ่มต้นด้วยเรื่องราวการเสด็จมาของพระพุทธเจ้าหลายองค์ มาถึงดอยจอมยองขณะที่ยังเป็นป่าและหนองน้ำ และได้ทำนายว่า ในอนาคตบริเวณนี้จะเป็นบ้านเมือง พุทธศาสนารุ่งเรืองโดยการอุปถัมภ์ของเจ้าเมือง ยังมีตำนานอีกหลายฉบับในล้านนา เช่น จามเทวีวงศ์ ชินกาลมาลีปกรณ์ ตำนานมูลศาสนา ซึ่งได้รับอิทธิพลจากการเผยแผ่พุทธศาสนา
บางตำนานได้กล่าวเกี่ยวกับการเข้ามาตั้งถิ่นฐานว่า มียักษ์ซึ่งเป็นคนพื้นเมืองตั้งถิ่นฐานและมีอำนาจ เจ้าบุญปันได้มาปราบยักษ์ที่รุกรานเมืองเชียงรุ่ง และยังมีตำนานของพญาเจิง ที่ปรากฏอย่างกว้างขวางในตำนานของชนชาติไท เช่น ตำนานล้านช้าง ตำนานเมืองพะเยา ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ตำนานเงินยางเชียงแสน หนังสือเรื่องท้าวฮุ่งหรือเจือง เป็นต้น ซึ่งเล่าถึงความกล้าหาญ และยิ่งใหญ่ของพญาเจิง ตำนานเมืองยองได้ระบุถึงการที่เจ้าสุนันทะจากเมืองเชียงรุ่ง พาบริวารมาแย่งอำนาจคนในท้องถิ่น คือ ทมิลหรือลัวะ ในเมืองยอง (หน้า 3-10) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
การศึกษาได้กล่าวว่าการอพยพของชาวยองมาที่เมืองลำพูนนั้นแตกต่างจากหัวเมืองอื่น ๆ โดยมีการปรับตัวในฐานะของคนส่วนใหญ่ของสังคม จึงยังคงรักษาลักษณะทางสังคมวัฒนธรรมได้ค่อนข้างยาวนาน โดยเฉพาะภาษา แต่ถึงอย่างไรก็ตามเมืองลำพูนไม่ได้มีเพียงแค่ชาวยองที่อพยพเข้ามาเท่านั้น แต่ยังมีชนกลุ่มอื่นเข้ามาตั้งถิ่นฐานในช่วงเวลาเดียวกันด้วย เช่น ชาวเขิน ซึ่งบางครั้งนำไปสู่การขัดแย้ง และจากการศึกษาการปรับตัวของชาวยองหลังการเข้ามาตั้งถิ่นฐานนั้น ชาวยองมาอย่างผู้มีเกียรติ ได้รับการยกย่อง ด้วยเหตุนี้ไทลื้อที่มาจากเมืองยอง จึงพยายามแบ่งแยกตัวเองออกจากไทลื้อ โดยแสดงตนเองว่าเป็น "ชาวยอง" เพราะเมืองยองมีสำนึกทางชาติพันธุ์ต่างไปจากกลุ่มลื้อที่มาจากเมืองอื่น ๆ ในสิบสองปันนาของจีนก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามชาวยองก็ได้มีการผสมกลมกลืนกับวัฒนธรรมอื่นที่อยู่ร่วมกันในสังคมเมืองลำพูน และวัฒนธรรมของส่วนกลาง คนยองจึงไม่ได้แยกสำนึกของตนเองออกไปจากคนไทยกลุ่มอื่น ๆ อย่างเด่นชัด (หน้า 157-159, 162, 181-182) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
แผนที่เขตวัฒนธรรมไทลื้อ-ไทยวน (หน้า 2)
แผนที่ที่ตั้งเมืองยองและเมืองต่างๆ ที่อยู่ระหว่างแม่น้ำคงและแม่น้ำโขง (หน้า 7)
โครงสร้างการปกครองเมืองยองสมัยพุทศตวรรษที่ 18 (หน้า 16)
แผนที่แอ่งที่ราบเมืองยอง สำรวจเมื่อ พ.ศ.2535 และชื่อหมู่บ้านต่างๆ ในเขตที่ราบเมืองยอง (หน้า 27)
โครงสร้างการปกครองเมืองยอง พ.ศ.1947-2068 (หน้า 30)
แผนที่เครือข่ายและเส้นทางการค้าที่สำคัญ (ไม่ผ่านเมืองยอง) ในจีนตอนใต้เชื่อมโยงกับดินแดนต่างๆ ทางตอนล่าง (หน้า 33)
แผนที่ดินแดนเมืองชายขอบของศูนย์อำนาจต่างๆ (หน้า 59)
แผนที่ทิศทางการกวาดต้อนผู้คน สมัยพระเจ้ากาวิละ (พ.ศ. 2325-2356)
แผนที่เส้นทางการเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานของคนเมืองยองในเมืองลำพูน (พ.ศ. 2348)
แผนที่บริเวณที่คนเมืองยองยุคแรกๆ เข้ามาตั้งถิ่นฐานเมืองลำพูน (พ.ศ. 2348)
โครงสร้างการปกครองเมืองลำพูน พ.ศ. 2354 สมัยเจ้าคำฝั้น เจ้าผู้ครองเมืองลำพูนลำดับที่ 1 (หน้า 118)
แผนที่ทิศทางการขยายตัวและการกระจายตัวของชุมชนชาวยอง (พ.ศ. 2380-2445) (หน้า 139)
โครงสร้างการปกครองเมืองลำพูน ระหว่างปี พ.ศ. 2438-2445 (หน้า 146)
เส้นทางการค้าระหว่างเมืองต่างๆ ของพม่า สิบสองปันนา ล้านนา ล้านช้าง (หน้า 150)
เส้นทางการค้าที่เชื่อมโยงหัวเมืองต่างๆ ในล้านนากับหัวเมืองทางตอนบนและเมืองท่า เมาะตะมะหรือเมาะละแหม่ง(พ.ศ. 2372-2445) (หน้า 153)
แผนที่พื้นที่ที่คนยองคนลื้อกระจายอยู่ในจังหวัดต่างๆ ในภาคเหนือตอนบน (หน้า 170) |
|
|