สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,ปัญหาความรุนแรง,ศาสนาอิสลาม,สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้
Author Chaiwat Satha-Anand
Title Islam and Violence: A Case Study of Violent Events in the Four Southern Provinces, Thailand, 1976-1981
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
หอสมุดปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ Total Pages 54 Year 2529
Source The Department of Religious Studies, University of South Florida, Tampa, FL 33620-5550, U.S.A.
Abstract

ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ได้แก่ ความขัดแย้งต่างๆ ระหว่างมุสลิมในพื้นที่กับหน่วยงานราชการและประชากรในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ซึ่งรวมทั้งภาษาและศาสนาและประวัติศาสตร์ ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือความเชื่อทางศาสนาอิสลามที่สอนให้ "ลงมือปฎิบัติและต่อสู้" เพื่อความถูกต้อง แต่การต่อสู้ดังกล่าวอาจถูกตีความออกมาได้หลายรูปแบบตามแต่ละบุคคล และผู้ก่อการนำความเชื่อแบบที่ตนตีความ มาใช้เป็นเครื่องมือในการปลุกปั่นมุสลิมอื่นๆ ให้เข้าเป็นพวกและก่อความรุนแรงต่างๆ ดังกล่าว (40-43)

Focus

ความเข้าใจเรื่องความรุนแรงกับศาสนาอิสลามในสี่จังหวัดภาคใต้ของไทย

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

มุสลิมใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้

Language and Linguistic Affiliations

ใช้ภาษามาเลย์ (มลายู) (หน้า 21)

Study Period (Data Collection)

ศึกษาเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วง ค.ศ. 1976-1981

History of the Group and Community

เป็นที่เชื่อกันว่าในคริสตศตวรรษที่ 7 (ราวพุทธศตวรรษที่ 13) มีเมืองชื่อ "ลังกาสุกะ" ตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นปัตตานีในปัจจุบัน เป็นเมืองของคนมลายู ซึ่งได้รับอิทธิพลของศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธนิกายมหายาน แต่ในคริสตศตวรรษที่ 13 (ราวพุทธศตวรรษที่ 19) ศาสนาอิสลามได้กลายเป็นศาสนาของเมืองมลายูต่าง ๆ ในบริเวณนี้และได้เกิดรัฐปัตตานีขึ้นมา เช่น เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกเมื่อปี พ.ศ. 2310 ปัตตานีก็ประกาศเอกราชจากไทย อย่างไรก็ตาม พ.ศ. 2328 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ปัตตานีถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของไทย นับแต่นั้นก็เกิดการกบฎขึ้นเป็นระยะ จนในที่สุดทางบางกอกก็ได้ดำเนินการทอนอำนาจของปัตตานี โดยการกระจายอำนาจและแบ่งปัตตานีออกเป็น 7 หัวเมือง อย่างไรก็ตาม หัวเมืองต่าง ๆ ก็ยังคงมีอิสระจากบางกอกในระดับหนึ่งจนสิ้นคริสตศตวรรษที่ 19 (ราวพุทธศตวรรษที่ 25) ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ได้เกิดกบฎขึ้นในปี พ.ศ. 2375 และ พ.ศ. 2381 ตามลำดับ โดยจุดประสงค์ของการก่อการทั้งสองครั้งก็คือการกอบกู้เมืองสายบุรีจากไทย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ จึงโปรดให้ส่งเจ้าหน้าที่ไทยไปปกครอง 7 หัวเมืองทางภาคใต้ ซึ่งก็ทำให้เหตุการณ์ทางใต้สงบลง ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา รัฐพยายามจะทำให้นโยบายรวมชาติเป็นรูปธรรม รัฐมองว่าประชาชนบางกลุ่มต้องถูกลดความสำคัญลงเป็นครั้งคราวเพื่อเห็นแก่ส่วนรามคือคนทั้งชาติ แต่จากมุมมองของคนเหล่านั้น ความอุปถัมภ์จากรัฐคือการแทรกแซง ชาวบ้านมองว่าการตั้งคณะกรรมการศาสนาเป็นการก้าวก่ายกิจทางศาสนา สาเหตุที่ปัญหาชายแดนภาคใต้เป็นสิ่งที่แก้ไขได้ยากนั้นก็เป็นเพราะรัฐขาดความเข้าใจในพลังของประวัติศาสตร์ รัฐมักจะมองว่าพื้นที่ในบริเวณนั้นเป็นของไทย โดยไม่สนใจว่าโดยธรรมชาติแล้ว ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุมมองประวัติศาสตร์ของแต่ละฝ่ายก็อาจไม่ตรงกัน และมุมมองของนักประวัติศาสตร์มาเลย์กับนักประวัติศาสตร์ไทยก็มักขัดแย้งกันเสมอสำหรับชาวปัตตานีแล้ว ประวัติศาสตร์ของพวกเขาในการต่อสู้ดิ้นรนที่ผ่านมานั้นไม่ใช่การก่อกบฎ แต่เป็นการต่อสู้เพื่อให้ได้อิสรภาพ ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาก็คือ ความสับสนของรัฐระหว่างเอกภาพของรัฐไทยกับสังคมแบบสังคมเดี่ยว ด้วยเหตุนี้เอง รัฐจึงมักจะกดดันให้ประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยอมรับวัฒนธรรมของชาวพุทธ ซึ่งคนมาเลย์ถือว่าเป็นการหมิ่นศักดิ์ศรีทางวัฒนธรรมของตน (หน้า 23-27)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

จากงานศึกษาของ Forbes ประเทศไทยมีประชากรมุสลิมประมาณ 1,750,000 คน โดยในจำนวนนี้มีเชื้อสายแต่เดิมต่าง ๆ กัน ได้แก่ อาหรับ เปอร์เซีย อินเดีย จีนฮั่น และมาเลย์ ทั้งนี้ มาเลย์มุสลิมมีจำนวนคิดเป็นร้อยละ 2.84 ของประชากรทั้งประเทศจำนวน 45 ล้านคน และคิดเป็นร้อยละ 74.7 ของประชากรในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อันได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล (หน้า 19)

Economy

ไม่ได้ระบุชัดเจน แต่ผู้เขียนได้กล่าวถึงปัญหาความยากจนของมุสลิมซึ่งมีฐานะเศรษฐกิจที่ด้อยกว่าคนไทยอื่น ๆ ในพื้นที่ และกล่าวว่าดัชนีราคาผู้บริโภคของมุสลิมในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับคนไทยอื่นๆ (หน้า 20)

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

มุสลิมในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความสัมพันธ์กับรัฐที่ไม่ค่อยดีนัก นักสังคมวิทยาท่านหนึ่งอ้างว่าความคิดและทัศนคติของรัฐที่มีต่อมุสลิมนั้นมักจะเป็นไปในแง่ลบ แม้กระทั่งข้าราชการที่เป็นมุสลิมก็จะถูกกดดันจากข้าราชการที่นับถือพุทธศาสนา นอกจากนี้ มุสลิมในพื้นที่ดังกล่าวยังเห็นว่าการที่รัฐออกกฎหมายบางฉบับ เช่น พระราชบัญญัติอิสลามใน พ.ศ. 2488 เป็นการก้าวก่ายที่ไม่จำเป็นอีกด้วย (หน้า 23) และในแง่ประวัติศาสตร์แล้ว มุสลิมในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้กับรัฐไทยก็มีความขัดแย้งกันในด้านความคิดอยู่เนืองๆ (ดูจากหัวข้อ History)

Belief System

อิสลามไม่ได้เป็นเพียงศาสนา แต่เป็นวิถีชีวิตของมุสลิม ศาสนาอิสลามสอนให้ "ลงมือปฏิบัติ" และ "ต่อสู้" เพื่อความถูกต้อง แต่การตีความนิยามต่างๆ ตามคำสอนทางศาสนานั้นเป็นไปตามแต่ละบุคคล คำสอนทางศาสนาไม่ได้สอนให้ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา แต่ด้วยการตีความคำสอนซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคลถูกใช้มาอ้างความชอบธรรมในการก่อความรุนแรงต่าง ๆ (30-39)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ความรุนแรงใน 4 จ้งหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วงปี พ.ศ. 2519 - 2524 ซึ่งเก็บข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ 3 ฉบับ คือไทยรัฐ เดลินิวส์ และบางกอกโพสต์ เหตุการณ์ที่ได้รับความสนใจจากสื่อทั้งสามฉบับที่สุดมี 4 เหตุการณ์ รวมทั้งเหตุระเบิดในการเสด็จพระราชดำเนินไปยังจังหวัดยะลาในวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2520 นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ซึ่งทำให้มีผู้บาดเจ็บนับร้อยและเสียชีวิตกว่า 50 ราย (หน้า 1-13) ผู้ก่อเหตุต่าง ๆ ดังกล่าวแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ดังนี้ 1) The National Liberation Front of Pattani (NLFP) 2) The Liberation Front of Republic Pattani (LFRP) 3) The Pattani United Liberation Organization (PULO) 4) Sabil-illah (วิถีแห่งพระเจ้า) 5) Black December 1902 ผู้เขียนได้วิเคราะห์ปัจจัยที่ก่อให้เกิดเหตุความรุนแรงในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนทางภาคใต้ในช่วงเวลาดังกล่าวว่าเกิดจาก 1) ความยากจนและความแตกต่างทางฐานะเศรษฐกิจระหว่างมุสลิมกับคนไทยอื่น ๆ ในพื้นที่เดียวกัน ความรู้สึกว่าตนเองยากจนกว่า ทำให้เกิดแรงผลักดันสำคัญทางการเมือง 2) ความแตกต่างในด้านวิถีชีวิตและวัฒนธรรม เนื่องจากอิสลามไม่ได้เป็นเพียงความเชื่อทางศาสนา แต่ถือเป็นวิถีของมุสลิม ในชีวิตประจำวันของมุสลิมมีข้อปฏิบัติที่แตกต่างจากคนไทยอื่น ๆ 3) ความแตกต่างทางด้านภาษา ภาษามาเลย์เป็นภาษาที่หยั่งรากลึกกับศาสนาอิสลามมาเนิ่นนาน เกือบจะเรียกได้ว่าแยกจากศาสนาอิสลามไม่ได้เลย ทำให้มุสลิมทางภาคใต้พูดภาษามาเลย์เป็นหลัก และมีมุสลิมจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถพูดภาษาไทยได้เลย นี่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มุสลิมไม่ใคร่จะติดต่อกับคนไทยอื่น ๆ มากนัก และมีการ "แบ่งเขาแบ่งเรา" อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นธรรมดาอยู่เองที่ในความแตกต่างจะต้องเกิดปัญหาหรือความขัดแย้งขึ้น (หน้า 19-23) 4) ความขัดแย้งด้านประวัติศาสตร์ (อ่านเพิ่มเติมจากหัวข้อ History) สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือวิธีที่ใช้ตัดสินปัญหา และในที่นี้ผู้ก่อเหตุเลือกวิธีใช้ความรุนแรง โดยอ้างความชอบธรรมจากหลักคำสอนของศาสนาอิสลามที่สอนให้ "ลงมือปฏิบัติเพื่อให้เกิดความถูกต้อง" โดยผู้ก่อเหตุได้คัดหลักคำสอนในคัมภีร์อัลกุรอานในบทที่เกี่ยวกับการลงมือปฏิบัติเพื่อให้เกิดความถูกต้องมาลงในประกาศต่าง ๆ ของตน อย่างไรก็ตาม ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่เปิดกว้างในการตีความคำสอน ดังนั้นการตีความ "การลงมือปฏิบัติ" ก็ย่อมแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล และในที่นี้การลงมือปฏิบัติเพื่อให้เกิดความถูกต้องตามมุมมองของผู้ก่อเหตุดังกล่าว ก็คือการใช้ความรุนแรงนั่นเอง (หน้า 29-38) และดังที่กล่าวไว้ว่าการตีความคำสอนเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ดังนั้น การลงมือปฏิบัติโดยไม่ใช้ความรุนแรงก็ย่อมเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลจะนำไปใช้หรือไม่ (หน้า 38-39)

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst ดวงรัตน์ เรืองพงษ์ดิษฐ์ Date of Report 04 ต.ค. 2567
TAG ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู, มุสลิม, ปัญหาความรุนแรง, ศาสนาอิสลาม, สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง