|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,ปัญหาความรุนแรง,ศาสนาอิสลาม,สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ |
Author |
Chaiwat Satha-Anand |
Title |
Islam and Violence: A Case Study of Violent Events in the Four Southern Provinces, Thailand, 1976-1981 |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
หอสมุดปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Total Pages |
54 |
Year |
2529 |
Source |
The Department of Religious Studies, University of South Florida, Tampa, FL 33620-5550, U.S.A. |
Abstract |
ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ได้แก่ ความขัดแย้งต่างๆ ระหว่างมุสลิมในพื้นที่กับหน่วยงานราชการและประชากรในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ซึ่งรวมทั้งภาษาและศาสนาและประวัติศาสตร์ ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือความเชื่อทางศาสนาอิสลามที่สอนให้ "ลงมือปฎิบัติและต่อสู้" เพื่อความถูกต้อง แต่การต่อสู้ดังกล่าวอาจถูกตีความออกมาได้หลายรูปแบบตามแต่ละบุคคล และผู้ก่อการนำความเชื่อแบบที่ตนตีความ มาใช้เป็นเครื่องมือในการปลุกปั่นมุสลิมอื่นๆ ให้เข้าเป็นพวกและก่อความรุนแรงต่างๆ ดังกล่าว (40-43) |
|
Focus |
ความเข้าใจเรื่องความรุนแรงกับศาสนาอิสลามในสี่จังหวัดภาคใต้ของไทย |
|
Ethnic Group in the Focus |
มุสลิมใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ใช้ภาษามาเลย์ (มลายู) (หน้า 21) |
|
Study Period (Data Collection) |
ศึกษาเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วง ค.ศ. 1976-1981 |
|
History of the Group and Community |
เป็นที่เชื่อกันว่าในคริสตศตวรรษที่ 7 (ราวพุทธศตวรรษที่ 13) มีเมืองชื่อ "ลังกาสุกะ" ตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นปัตตานีในปัจจุบัน เป็นเมืองของคนมลายู ซึ่งได้รับอิทธิพลของศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธนิกายมหายาน แต่ในคริสตศตวรรษที่ 13 (ราวพุทธศตวรรษที่ 19) ศาสนาอิสลามได้กลายเป็นศาสนาของเมืองมลายูต่าง ๆ ในบริเวณนี้และได้เกิดรัฐปัตตานีขึ้นมา เช่น เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกเมื่อปี พ.ศ. 2310 ปัตตานีก็ประกาศเอกราชจากไทย อย่างไรก็ตาม พ.ศ. 2328 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ปัตตานีถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของไทย นับแต่นั้นก็เกิดการกบฎขึ้นเป็นระยะ จนในที่สุดทางบางกอกก็ได้ดำเนินการทอนอำนาจของปัตตานี โดยการกระจายอำนาจและแบ่งปัตตานีออกเป็น 7 หัวเมือง อย่างไรก็ตาม หัวเมืองต่าง ๆ ก็ยังคงมีอิสระจากบางกอกในระดับหนึ่งจนสิ้นคริสตศตวรรษที่ 19 (ราวพุทธศตวรรษที่ 25) ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ได้เกิดกบฎขึ้นในปี พ.ศ. 2375 และ พ.ศ. 2381 ตามลำดับ โดยจุดประสงค์ของการก่อการทั้งสองครั้งก็คือการกอบกู้เมืองสายบุรีจากไทย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ จึงโปรดให้ส่งเจ้าหน้าที่ไทยไปปกครอง 7 หัวเมืองทางภาคใต้ ซึ่งก็ทำให้เหตุการณ์ทางใต้สงบลง ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา รัฐพยายามจะทำให้นโยบายรวมชาติเป็นรูปธรรม รัฐมองว่าประชาชนบางกลุ่มต้องถูกลดความสำคัญลงเป็นครั้งคราวเพื่อเห็นแก่ส่วนรามคือคนทั้งชาติ แต่จากมุมมองของคนเหล่านั้น ความอุปถัมภ์จากรัฐคือการแทรกแซง ชาวบ้านมองว่าการตั้งคณะกรรมการศาสนาเป็นการก้าวก่ายกิจทางศาสนา สาเหตุที่ปัญหาชายแดนภาคใต้เป็นสิ่งที่แก้ไขได้ยากนั้นก็เป็นเพราะรัฐขาดความเข้าใจในพลังของประวัติศาสตร์ รัฐมักจะมองว่าพื้นที่ในบริเวณนั้นเป็นของไทย โดยไม่สนใจว่าโดยธรรมชาติแล้ว ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุมมองประวัติศาสตร์ของแต่ละฝ่ายก็อาจไม่ตรงกัน และมุมมองของนักประวัติศาสตร์มาเลย์กับนักประวัติศาสตร์ไทยก็มักขัดแย้งกันเสมอสำหรับชาวปัตตานีแล้ว ประวัติศาสตร์ของพวกเขาในการต่อสู้ดิ้นรนที่ผ่านมานั้นไม่ใช่การก่อกบฎ แต่เป็นการต่อสู้เพื่อให้ได้อิสรภาพ ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาก็คือ ความสับสนของรัฐระหว่างเอกภาพของรัฐไทยกับสังคมแบบสังคมเดี่ยว ด้วยเหตุนี้เอง รัฐจึงมักจะกดดันให้ประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยอมรับวัฒนธรรมของชาวพุทธ ซึ่งคนมาเลย์ถือว่าเป็นการหมิ่นศักดิ์ศรีทางวัฒนธรรมของตน (หน้า 23-27) |
|
Demography |
จากงานศึกษาของ Forbes ประเทศไทยมีประชากรมุสลิมประมาณ 1,750,000 คน โดยในจำนวนนี้มีเชื้อสายแต่เดิมต่าง ๆ กัน ได้แก่ อาหรับ เปอร์เซีย อินเดีย จีนฮั่น และมาเลย์ ทั้งนี้ มาเลย์มุสลิมมีจำนวนคิดเป็นร้อยละ 2.84 ของประชากรทั้งประเทศจำนวน 45 ล้านคน และคิดเป็นร้อยละ 74.7 ของประชากรในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อันได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล (หน้า 19) |
|
Economy |
ไม่ได้ระบุชัดเจน แต่ผู้เขียนได้กล่าวถึงปัญหาความยากจนของมุสลิมซึ่งมีฐานะเศรษฐกิจที่ด้อยกว่าคนไทยอื่น ๆ ในพื้นที่ และกล่าวว่าดัชนีราคาผู้บริโภคของมุสลิมในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับคนไทยอื่นๆ (หน้า 20) |
|
Political Organization |
มุสลิมในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความสัมพันธ์กับรัฐที่ไม่ค่อยดีนัก นักสังคมวิทยาท่านหนึ่งอ้างว่าความคิดและทัศนคติของรัฐที่มีต่อมุสลิมนั้นมักจะเป็นไปในแง่ลบ แม้กระทั่งข้าราชการที่เป็นมุสลิมก็จะถูกกดดันจากข้าราชการที่นับถือพุทธศาสนา นอกจากนี้ มุสลิมในพื้นที่ดังกล่าวยังเห็นว่าการที่รัฐออกกฎหมายบางฉบับ เช่น พระราชบัญญัติอิสลามใน พ.ศ. 2488 เป็นการก้าวก่ายที่ไม่จำเป็นอีกด้วย (หน้า 23) และในแง่ประวัติศาสตร์แล้ว มุสลิมในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้กับรัฐไทยก็มีความขัดแย้งกันในด้านความคิดอยู่เนืองๆ (ดูจากหัวข้อ History) |
|
Belief System |
อิสลามไม่ได้เป็นเพียงศาสนา แต่เป็นวิถีชีวิตของมุสลิม ศาสนาอิสลามสอนให้ "ลงมือปฏิบัติ" และ "ต่อสู้" เพื่อความถูกต้อง แต่การตีความนิยามต่างๆ ตามคำสอนทางศาสนานั้นเป็นไปตามแต่ละบุคคล คำสอนทางศาสนาไม่ได้สอนให้ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา แต่ด้วยการตีความคำสอนซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคลถูกใช้มาอ้างความชอบธรรมในการก่อความรุนแรงต่าง ๆ (30-39) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
ความรุนแรงใน 4 จ้งหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วงปี พ.ศ. 2519 - 2524 ซึ่งเก็บข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ 3 ฉบับ คือไทยรัฐ เดลินิวส์ และบางกอกโพสต์ เหตุการณ์ที่ได้รับความสนใจจากสื่อทั้งสามฉบับที่สุดมี 4 เหตุการณ์ รวมทั้งเหตุระเบิดในการเสด็จพระราชดำเนินไปยังจังหวัดยะลาในวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2520 นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ซึ่งทำให้มีผู้บาดเจ็บนับร้อยและเสียชีวิตกว่า 50 ราย (หน้า 1-13) ผู้ก่อเหตุต่าง ๆ ดังกล่าวแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ดังนี้ 1) The National Liberation Front of Pattani (NLFP) 2) The Liberation Front of Republic Pattani (LFRP) 3) The Pattani United Liberation Organization (PULO) 4) Sabil-illah (วิถีแห่งพระเจ้า) 5) Black December 1902 ผู้เขียนได้วิเคราะห์ปัจจัยที่ก่อให้เกิดเหตุความรุนแรงในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนทางภาคใต้ในช่วงเวลาดังกล่าวว่าเกิดจาก 1) ความยากจนและความแตกต่างทางฐานะเศรษฐกิจระหว่างมุสลิมกับคนไทยอื่น ๆ ในพื้นที่เดียวกัน ความรู้สึกว่าตนเองยากจนกว่า ทำให้เกิดแรงผลักดันสำคัญทางการเมือง 2) ความแตกต่างในด้านวิถีชีวิตและวัฒนธรรม เนื่องจากอิสลามไม่ได้เป็นเพียงความเชื่อทางศาสนา แต่ถือเป็นวิถีของมุสลิม ในชีวิตประจำวันของมุสลิมมีข้อปฏิบัติที่แตกต่างจากคนไทยอื่น ๆ 3) ความแตกต่างทางด้านภาษา ภาษามาเลย์เป็นภาษาที่หยั่งรากลึกกับศาสนาอิสลามมาเนิ่นนาน เกือบจะเรียกได้ว่าแยกจากศาสนาอิสลามไม่ได้เลย ทำให้มุสลิมทางภาคใต้พูดภาษามาเลย์เป็นหลัก และมีมุสลิมจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถพูดภาษาไทยได้เลย นี่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มุสลิมไม่ใคร่จะติดต่อกับคนไทยอื่น ๆ มากนัก และมีการ "แบ่งเขาแบ่งเรา" อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นธรรมดาอยู่เองที่ในความแตกต่างจะต้องเกิดปัญหาหรือความขัดแย้งขึ้น (หน้า 19-23) 4) ความขัดแย้งด้านประวัติศาสตร์ (อ่านเพิ่มเติมจากหัวข้อ History) สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือวิธีที่ใช้ตัดสินปัญหา และในที่นี้ผู้ก่อเหตุเลือกวิธีใช้ความรุนแรง โดยอ้างความชอบธรรมจากหลักคำสอนของศาสนาอิสลามที่สอนให้ "ลงมือปฏิบัติเพื่อให้เกิดความถูกต้อง" โดยผู้ก่อเหตุได้คัดหลักคำสอนในคัมภีร์อัลกุรอานในบทที่เกี่ยวกับการลงมือปฏิบัติเพื่อให้เกิดความถูกต้องมาลงในประกาศต่าง ๆ ของตน อย่างไรก็ตาม ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่เปิดกว้างในการตีความคำสอน ดังนั้นการตีความ "การลงมือปฏิบัติ" ก็ย่อมแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล และในที่นี้การลงมือปฏิบัติเพื่อให้เกิดความถูกต้องตามมุมมองของผู้ก่อเหตุดังกล่าว ก็คือการใช้ความรุนแรงนั่นเอง (หน้า 29-38) และดังที่กล่าวไว้ว่าการตีความคำสอนเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ดังนั้น การลงมือปฏิบัติโดยไม่ใช้ความรุนแรงก็ย่อมเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลจะนำไปใช้หรือไม่ (หน้า 38-39) |
|
|