|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,การแบ่งแยกดินแดน,ติมอร์ตะวันออก,ปัตตานี |
Author |
อภิชาติ นพเมือง |
Title |
เปรียบเทียบการแยกตัวเป็นอิสระของติมอร์ตะวันออกกับการเรียกร้องแบ่งแยกรัฐปัตตานี |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
69 |
Year |
2549 |
Source |
หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (การทหาร) โรงเรียนเสนาธิการทหารบกสถาบันวิชาการทหารบกชั้นสูง |
Abstract |
การวิจัยนี้เป็นการศึกษาปัจจัยด้านต่างๆ และแนวทางการดำเนินการที่นำไปสู่ความสำเร็จของติมอร์ตะวันออกในการแยกตัวจากประเทศอินโดนีเซีย และนำมาเปรียบเทียบกับปัจจัยด้านต่างๆ ของกลุ่มโจรก่อการร้าย เพื่อแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย พบว่า จากมูลเหตุและปัจจัยทั้ง 7 ประการได้แก่ พลังอำนาจทางประวัติศาสตร์ สภาพภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง สังคมจิตวิทยา การสนับสนุนจากภายในและการสนับสนุนจากภายนอก ต่างมีผลต่อการก่อให้เกิดความ ต้องการดังกล่าวเพื่ออิสรภาพ แต่ระดับความรุนแรงแตกต่างกัน เนื่องจากสภาพภายในและแรงสนับสนุนจากภายนอก เมื่อเปรียบเทียบนโยบายและแนวทางการดำเนินการทางการเมืองการปกครอง ระหว่างรัฐบาลอินโดนีเซียกับรัฐบาลไทย เพื่อการ แก้ปัญหาการแบ่งแยกดินแดนในติมอร์ตะวันออกและในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย นโยบายและการดำเนินการของรัฐบาลไทยประสบผลสำเร็จ สามารถลดระดับความรุนแรงจากขบวนการที่มีผลคุกคามต่อความมั่นคงประเทศเป็นเพียงกลุ่ม โจรก่อการร้าย ที่เคลื่อนไหวเพื่อก่อความไม่สงบในพื้นที่อิทธิพลของตนเองเท่านั้น (หน้า 62) |
|
Focus |
เน้นพิจารณาปัญหาที่นำไปสู่การแยกตัวเป็นรัฐอิสระของติมอร์ตะวันออก เปรียบเทียบกับปัญหาที่เป็นผลจากขบวนการแบ่งแยกดินแดนในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย โดยศึกษาจากสถานการณ์ทั้งของติมอร์ตะวันออกและสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยที่เป็นไปในอดีตช่วง พ.ศ. 2519-2544 รวมทั้งระบบการเมืองในประเทศอินโดนีเซียในประเด็นเกี่ยวกับนโยบาย ตลอดจนการดำเนินการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลต่อการเรียกร้องเพื่อแยกตัวของติมอร์ตะวันออก และสุดท้ายก็คือ การมุ่งเน้นศึกษาประวัติศาสตร์ของปัญหาโจรก่อการร้ายในภาคใต้ และนโยบายในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวของรัฐบาลไทย |
|
Ethnic Group in the Focus |
มุสลิมในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาที่ใช้ในอินโดนีเซียมีมากถึง 583 ภาษา โดยมี ภาษาอาเจห์ (Achenese) ภาษาซุนดา (Sundanese) ในเกาะชวากลาง ภาษาชะวา (Javanese) ในเกาะชวาตอนบน ภาษาเตตุม (Tetum) ในติมอร์ตะวันออกเป็นซึ่งภาษาที่ใช้กันแพร่หลาย แม้รัฐบาลอินโดนีเซียจะกำหนดภาษาอินโดนีเซียมาเป็นภาษากลางเพื่อป้องกันความรู้สึกแตกแยก แต่การพัฒนาการศึกษาไม่ทั่วถึงยิ่งทำให้การสื่อสารระหว่างรัฐบาลกลางกับท้องถิ่นยากมากขึ้น จึงเป็นสาเหตุหนึ่งของการแบ่งแยก (หน้า 53) สำหรับในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยมีภาษามลายูเป็นภาษาท้องถิ่นที่มีมาแต่โบราณ อีกทั้งเป็นภาษาทางศาสนา ดังนั้น จึงฝังรากลึกอยู่ในโครงสร้างของสังคม ความรู้สึกนึกคิด และในวิถีชีวิตของไทยมุสลิม (หน้า 55) |
|
Study Period (Data Collection) |
เป็นการศึกษาเอกสารและผู้วิจัยได้กำหนดแต่เพียงช่วงเวลาของสถานการณ์ของติมอร์ตะวันออกและสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2519 จนถึง พ .ศ. 2544 (หน้า 5) |
|
History of the Group and Community |
ติมอร์ เคยตกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรศรีวิชัย จนในปี พ.ศ. 2113 โปรตุเกสเป็นชาติแรกที่เข้ามายึดครองเกาะติมอร์ไว้ได้ ก่อน ต่อมาเนเธอร์แลนด์ได้เข้ามาแผ่อิทธิพลแข่งกัน จนกระทั่ง ปี พ.ศ.2486 ศาลโลก ยุติข้อพิพาทโดยแบ่งแยกเกาะติมอร์ เป็น 2 ส่วนตามสภาพภูมิประเทศ พื้นที่ส่วนตะวันตกเป็นของเนเธอร์แลนด์ เรียกว่า Dutch East Indies ส่วนตะวันออกเป็นของโปรตุเกส เรียกว่า Pro-Ttugese Timor และทำให้เกิดชนเผ่าใหม่ที่เป็นลูกครึ่งผสมระหว่างคนโปรตุเกสกับคนพื้นเมือง เรียกว่า Topasse คนกลุ่มนี้ต่อมากลายเป็นชนชั้นนำของสังคม ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี 2492 ประเทศอินโดนีเซียประกาศอิสรภาพจากการเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกส แต่ไม่นับรวม กับติมอร์ตะวันออก กระทั่งปี 2517 โปรตุเกสมีปัญหาภายในประเทศ ทำให้เกิดการจัดตั้งพรรคการเมือง โดยมี พรรคเฟรติลิน (Fretilin) ขึ้นปกครองภายใต้อุดมการณ์สังคมนิยม และประกาศเอกราชในวันที่ 22 สิงหาคม 2518 แต่ก็เกิด ความขัดแย้ง สงครามกลางเมืองและการต่อสู้ในด้านการเมืองระหว่างประเทศกับรัฐบาลอินโดนีเซีย จนในที่สุดก็รวมติมอร์ ตะวันออกเข้า ด้วยกันในฐานะที่เป็นจังหวัดที่ 27 ของประเทศ แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากสหประชาชาติ (หน้า 29) เมืองปัตตานี ได้ถือกำเนิด ณ ริมฝั่งทะเล ได้ชื่อตามผู้นำชาวประมงมลายูชื่อ "เปาะตานี" ซึ่งเป็นผู้มีคุณธรรมชาวบ้านนิยมยก ย่อง ขณะที่หมู่บ้านกำลังขยายตัวเป็นเมือง รายาศรีวังสาย้ายมาสร้างพระราชวังใหม่ ใกล้กับหมู่บ้านเปาะตานี (บริเวณบ้านกรือเซะปัจจุบัน) ภายหลังมุสลิมอพยพเพิ่มมากขึ้น รายาอินทราผู้ครองนครได้เข้ารีตนับถือศาสนาอิสลาม และจัดพิธีราชภิเษกเป็นสุลต่าน และขนานพระนามใหม่ว่า "มูฮัมหมัดชาห์" เมื่อจัดระบบความเป็นอยู่ในหัวเมืองเรียบร้อยแล้ว ก็ดำเนินการติดต่อกับต่างประเทศ ส่งคณะฑูตไปเชื่อมสัมพันธไมตรีกับเมืองมะละกา กรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่นั้นก็เริ่มเป็นที่รู้จักของโลกภายนอก และเจริญมากขึ้น จนใน พ.ศ. 2059 อาณาจักรปัตตานีได้ต้อนรับเรือสินค้าชาวโปรตุเกส และเริ่มการค้าขายระหว่างกันเป็นต้นมา จนในรัชสมัยของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ในปี พ.ศ.2329 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพไปตีเมืองปัตตานี เนื่องจากหัวเมืองทางใต้กระด้างกระเดื่อง ปัตตานีจึงอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรสยามเป็นต้นมา ต่อมาในสมัย รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิรูประบบบริหารราชการใหม่ ที่เจ้าเมืองมีอำนาจสิทธิขาดมาเป็นการปกครองแบบเทศาภิบาล ฐานะของพะยาเมืองกลายเป็นผู้ว่าราชการบ้านเมืองต่างพระองค์ ต้องปฏิบัติตามข้อบังคบ และปฏิบัติตามท้องตรากรุงเทพฯ และขึ้นตรงต่อส่วนกลาง (หน้า 41-44) |
|
Demography |
ผู้วิจัยกล่าวถึงเพียงแต่จำนวนประชากรในติมอร์ตะวันออก มีประมาณ 800,000 คน (หน้า 28) |
|
Economy |
ชาวติมอร์ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรและมีจำนวนน้อยตามแนวชายฝั่งทะเลเป็นชาวประมง การค้าส่วนใหญ่เป็นชาวจีน เกาะติมอร์มีดินซึ่งไม่เหมาะกับการเพราะปลูกแบบธรรมชาติ แต่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเชื่อว่าเป็น 1 ใน 25 แห่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก (หน้า 28) รัฐบาลอินโดนีเซียไม่สาสมารถกระจายความเจริญได้ทุกพื้นที่ กลับกระจุกตัวอยู่ที่ส่วนกลางหรือเกาะชวาเพียงแห่งเดียว ประชาชนรู้สึกไม่พอใจที่ทรัพยากรในพื้นที่ถูกนำไปสร้างความเจริญในพื้นที่อื่นแทนที่ท้องถิ่นของตน ยิ่งในปี พ.ศ. 2540 ที่สภาพเศรษฐกิจตกต่ำ ยิ่งทำให้ประชาชนในติมอร์ตะวันออกยากจนมากขึ้น จึงต้องแยกตัวเองออกมา อาศัยศักยภาพของทรัพยากรธรรมชาติเพื่อเลี้ยงตนเอง (หน้า 54) |
|
Social Organization |
ขนบธรรมเนียมประเพณี ในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นผูกติดอยู่กับศาสนาอิสลามอย่างมาก ดังนั้น จึงมีวัฒนธรรมที่เป็นแบบเฉพาะ และยากต่อการผสมผสานของวัฒนธรรมกลุ่มชน และวัฒนธรรมอื่น ซึ่งส่งผลถึงการศึกษาของประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับความสนใจในการศึกษา แต่นิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนสอนศาสนา และส่งผลให้การไม่นิยมให้บุตรหลานเรียนภาษาไทย เนื่องจากเห็นว่าไม่จำเป็นและจะไปรับเอาวัฒนธรรมอื่นๆ เข้ามา (หน้า 56) |
|
Political Organization |
ติมอร์ภายใต้การปกครองของอินโดนีเซีย เกิดขบวนการปฏิวัติเพื่ออิสระภาพต่อสู้เพื่อแยกออกเป็นอิสระ ภายใต้การนำของนายกุสเมา แห่งพรรคเฟรติลิน แม้ว่าผู้นำจะถูกทางรัฐบาลอินโดนีเซียจับกุมไปหลายคน แต่ก็มีผู้แทนขึ้นมาใหม่เพื่อการปลดปล่อยเป็นเสรีภาพ จนถึงสมัยของนายโจเซ รามอส ฮอร์ตาร์ ได้รณรงค์เรียกร้องเอกราช จ นทำให้สหประชาชาติและหลายประเทศในยุโรปและสื่อมวลชนทั่วโลกต่างให้ความสนใจ นอกจากนี้ "พรรคการเมืองพลัดถิ่น" ซึ่งอยู่ภายนอกประเทศก็ยังสนับสนุนเพื่อขับไล่อินโดนีเซียออกไป จนในปีที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 อินโดนีเซียภายใต้การนำของ ประธานาธิบดีฮาบิบี เปลี่ยนท่าทีต่อปัญหาติมอร์ตะวันออก โดยเสนอให้ติมอร์ตะวันออกมีสถานะปกครองพิเศษ ต่อมาปี พ.ศ. 2542 ผู้นำคนสำคัญของติมอร์ คือนายกุสเมา ได้รับการปล่อยตัวและได้เรียกร้องให้มีการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวเพื่อปกครองภายใต้การอุปถัมภ์ของสหประชาชาติ ต่อมาในวันที่ 11 มีนาคม 2542 นายโคฟี อันนัน แถลงการณ์ข้อยุติในการให้ชาวติมอร์ตะวันออกพิจารณา คือ 1.จะรับว่ามีอำนาจปกครองตนเองเป็นพิเศษภายใต้สาธารณรัฐอินโดนีเซีย 2.หากปฏิเสธสถานภาพปกครองพิเศษ ซึ่งเท่ากับว่าต้องการแยกตัวจากอินโดนีเซีย ผลการลงคะแนนเสียงของชาวติมอร์จำนวน 344,580 คน ตัดสินใจขอแยกตัวเป็นเอกราช ขณะที่ 94,388 คนยอมรับข้อเสนออินโดนีเซีย ทันทีที่ผลปรากฏออกมา กองกำลังที่สนับสนุนการรวมกับอินโดนีเซียได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรง ในที่สุดประธานาธิบดีฮาบิบี ยอมให้กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาติเข้ามาทำหน้าที่ ในปีเดียวกันนี้เองสหประชาติได้จัดตั้งสภาที่ปรึกษาแห่งชาติติมอร์ตะวันออก และหน่วยงานต่างๆ ที่ทำหน้าที่ในการดูแลและบริหารชั่วคราว เพื่อฟื้นฟูระบบภายในติมอร์ตะวันออกโดยอาศัยการมีส่วนร่วมของชาวติมอร์ในการตัดสินใจ ต่อมาในวันที่ 20 สิงหาคม 2544 ได้มีการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยครั้งแรกภายหลังจากการปกครองของอินโดนีเซียโดยกำหนดจำนวนสมาชิกสภา 88 คน จากผู้แทนระดับจังหวัด 13 คน จากระดับชาติ 75 คน การร่างรัฐธรรมนูญเริ่มจากประชาพิจารณ์นำเสนอผู้แทนพิเศษ ภายหลังประกาศใช่รัฐธรรมนูญ ในปี พ.ศ. 2545 ได้กำหนดการเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยมีนายซานานา กุสเมา ชนะการเลือกตั้ง และเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ พร้อมกับพิธีประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ (หน้า 28-38) รัฐปัตตานี ภายหลังการหมดอำนาจของอาณาจักรศรีวิชัย ทำให้ดินแดนถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนเหนือปกครองโดยราชวงศ์สยาม และส่วนใต้ที่เป็นหัวเมืองมลายูปกครองโดยราชวงศ์มัชปาหิต ศูนย์กลางการปกครองและอำนาจอยู่ที่เกาะชวา ซึ่งถือว่าห่างไกลจนกระทั่งดินแดนนี้ถูกทอดทิ้ง หัวเมืองต่างๆ กลับมามีอำนาจอิสระในการปกครองตนเอง จนถึงภายหลังก่อนการปฏิรูปการปกครอง พ.ศ. 2444 ปัตตานีกำลังขยายตัวเป็นเมือง และมีมุสลิมอพยพเข้ามาอยู่อาศัยอย่างมาก ผู้ครองนครได้เข้ารีตนับถือศาสนาอิสลาม และเปลี่ยนชื่อตำแหน่งราชการต่างๆ เช่น ดาโต๊ะ (ประธานมนตรี) และจัดคณะฑูตเดินทางไปเชื่อมสัมพันธไมตรีกับเมืองต่างๆ รวมทั้งกรุงศรีอยุธยา จน พ.ศ. 23 09 โปรตุเกสเริ่มเข้ามาติดต่อค้าขายในปัตตานี ซึ่งในช่วงระหว่างนี้ต่างก็เกิดการสู้รบทำสงครามเพื่อตีเมืองของทั้งสองฝ่าย แต่อาณาจักรสยามก็ไม่สามารถยึดปัตตานีได้ จนถึงสมัเสียกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2310 หัวเมืองต่างๆ ที่อยู่ใต้การปกครองประกาศเป็นอิสรภาพ เช่น นครศรีธรรมราช สงขลา และพัทลุง จนกระทั่งสมัยพระเจ้าตากสิน ก็กลับมาตีเมืองเหล่านี้คืน ต่อมารัชสมัย รัชกาลที่ 1 ในปี พ.ศ. 2329 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้แม่ทัพปียึดเอาเมืองปัตตานีได้สำเร็จ โดยให้แต่ละเมืองมีพระยาเมืองปกครองแต่ขึ้นตรงต่อมณฑลนครศรีธรรมราช ช่วงการปฏิรูปการปกครองสมัย รัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 24444) ยกฐานะพระยาเมืองเป็นผู้ว่าราชการเมือง บริหารราชการตามข้อบังคับ และปฏิบัติตามท้องตรากรุงเทพฯ ขึ้นตรงแต่เพียงส่วนกลางเท่านั้น ดังนั้น รัฐปัตตานีจึงเปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของอาณาจักรสยาม (หน้า 38-46) |
|
Belief System |
ศาสนาซึ่งมีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมและวิถีชีวิต แต่มีความแตกต่างกันระหว่างการนับถือศาสนาของชาวอินโดนีเซียที่นับถือ อิสลามกับชาวติมอร์ที่นับถือคริสต์ ซึ่งแม้แต่ผู้นำทางศาสนาก็มีส่วนร่วมในการเป็นแกนนำประชาชนในการเรียกร้องแบ่งแยก ดินแดนและนำเสนอต่อสากลเพื่อต่อสู้ในเวทีทางการเมือง (หน้า 53) ส่วนสี่จังหวัดในชายแดนภาคใต้ ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามถึงร้อยละ 80 มีการใช้หลักที่มีการกำหนดความเชื่อ และการปฏิบัติเชิงพฤติกรรมและแนวความคิดของผู้นับถือ ดังนั้น การดำเนินวิถีชีวิตของประชาชนเป็นไปตามนัยที่กำหนดไว้ในศาสนา มีความเป็นศาสนานิยมสูง คือ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องคงไว้ในรูปเดิมที่คำสอนศาสนากำหนดไว้ (หน้า 55) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ปัจจัยในการสนับสนุนจากภายในและภายนอก ถือเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการแบ่งแยกดินแดนในติมอร์ตะวันออก รวมถึงการเรียกร้องขอแยกดินในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย การสนับสนุนจากภายใน - ชาวติมอร์ตะวันออกเกือบทั้งหมด (ยกเว้นกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลอินโดนีเซีย) ร่วมต่อสู้อย่างต่อเนื่อง และมีผู้นำศาสนาและผู้นำท้องถิ่นที่มีความมุ่งมั่นในการเรียกร้องเอกราช ในขณะที่รัฐปัตตานี ช่วงแรกของปัญหาประชาชนเห็นด้วยต่อการแบ่งแยกดินแดน เนื่องจากการโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มขบวนการและบางส่วนที่ได้รับความไม่เป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตลอดจนนักการเมืองบางคนที่ต้องการต่อรองกับพรรคหรือรัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างลับๆ ภายหลังการแก้ปัญหาของรัฐบาลไทยทำให้ประชาชนในพื้นที่หันมาให้ความร่วมมือ การสนับสนุนจากภายนอก - การที่สหประชาชาติไม่รับรองการผนวกดินแดนของติมอร์ตะวันออกกับอินโดนีเซีย และกดดันอย่างต่อเนื่องทำให้การเรียกร้องได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากเวทีภายนอก โปรตุเกสเจ้าอาณานิคมเดิมให้การสนับสนุน ประกอบกับมีองค์กรต่างๆ เข้ามามีบทบาท เช่น NGO เพื่อสิทธิมนุษยชน ส่วนรัฐปัตตานี ในช่วงแรกที่มีการเคลื่อนไหวเพื่อแบ่งแยกดินแดน การสนับสนุนจากภายนอกมีเพียงกลุ่มของมาเลเซียที่ต้องการฐานเสียงหากเข้ารวมกับมลายู แต่ภายหลังกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางได้รับข่าวสารที่บิดเบือน และทราบข้อเท็จจริงก็เลิกให้การสนับสนุน เหลือเพียงบางประเทศที่สนับสนุนการก่อการร้าย สนับสนุนเงินทุน โดยประเทศต่างๆ รวมทั้งองค์กรต่างๆ ก็ไม่ให้ความสนใจกับปัญหานี้ (หน้า 61-62) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|