|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลื้อ,ลัวะ,ม้ง,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง,ภาษาพูด,คำเรียกสี,การรับรู้สี,เชียงราย,พะเยา |
Author |
ศตนันต์ เชื้อมหาวัน |
Title |
คำเรียกสีและการรับรู้สีของผู้พูดภาษาไทลื้อ ลัวะ ม้ง และกะเหรี่ยง ในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและพะเยา |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลัวะ (มัล ปรัย) ลัวะมัล ไปร ลัวะปรัย, ม้ง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Total Pages |
115 |
Year |
2541 |
Source |
บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับคำเรียกสีพื้นฐานและคำเรียกสีไม่พื้นฐานในภาษาไทลื้อ ลัวะถิ่น ม้งเขียว และกะเหรี่ยงสะกอ ตลอดจนการรับรู้สีและทัศนคติที่มีต่อสีของชาติพันธุ์ที่พูดภาษาทั้ง 4 ดังกล่าว โดยใช้ผู้ให้ข้อมูลภาษาเป็นไทลื้อบ้านธาตุ ตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา ลัวะถิ่นในศูนย์อพยพตำบลป่าสัก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา ม้งเขียวบ้านคอดยาว ตำบลป่าสัก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา และกะเหรี่ยงสะกอบ้านห้วยขม อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ซึ่ง ผลการวิจัยสรุปเนื้อหาสำคัญได้ว่า ภาษาไทลื้อ ลัวะถิ่น ม้งเขียว และกะเหรี่ยงสะกอ มีจำนวนคำเรียกสีพื้นฐานคือ 12, 5, 6, 5 คำตามลำดับ และมีวิวัฒนาการของคำเรียกสีพื้นฐานจัดได้เป็นระยะที่ 7, 5, 5, และ 4 ตามลำดับ ส่วนการสร้างคำเรียกสีไม่พื้นฐานของทั้ง 4 ภาษา มีกลวิธีสร้างคำเรียกสีไม่พื้นฐาน 3 วิธี คือ 1.ผสมคำเรียกสีเข้าด้วยกัน 2.การผสมคำเรียกสีกับคำขยาย และ 3.การใช้คำเรียกสิ่งของเฉพาะมาเป็นคำเรียกสีไม่พื้นฐาน ภาษาไทลื้อ ลัวะถิ่น และม้งเขียว ใช้กลวิธีการผสมคำเรียกสีกับคำขยายในการสร้างคำเรียกสีไม่พื้นฐานมากที่สุด แต่ภาษากะเหรี่ยงสะกอใช้กลวิธีการผสมคำเรียกสีเข้าด้วยกันมากที่สุด แต่ทุกภาษามีการใช้กลวิธีการใช้คำเรียกสิ่งของเฉพาะมาเป็นคำเรียกสีไม่พื้นฐานน้อยที่สุด สำหรับผลการวิเคราะห์การรับรู้สีและทัศนคติที่มีต่อสี พบว่า ผู้พูดของทั้ง 4 ภาษา มีการรับรู้ใจกลางสี (foci point) ของทุกประเภทสีคล้ายคลึงกัน ส่วนการรับรู้ขอบเขตสี (colour boundary) พบว่าผู้พูดของทั้ง 4 ภาษา มีการรับรู้ขอบเขตของประเภทสีเขียวได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับขอบเขตสีของประเภทสีอื่น ๆ สำหรับการวิเคราะห์ทัศนคติที่มีต่อสี พบว่า ผู้พูดภาษาเหล่านี้มีทัศนคติบวกต่อสีสดและสีเข้ม และมีทัศนคติลบต่อสีตุ่นและสีอ่อน (หน้า ง) |
|
Focus |
วิเคราะห์คำเรียกสี การรับรู้สี และทัศนคติต่อสี ทั้งที่เป็นสีพื้นฐานและไม่พื้นฐาน ของไทลื้อ ลัวะถิ่น ม้งเขียว และกะเหรี่ยงสะกอ |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนใช้กรอบทฤษฎีสากลและวิวัฒนาการของคำเรียกสีของเบอร์ลินและเคย์ (Berlin and Kay) มาทดสอบกับภาษาต่าง ๆ 4 ภาษา คือ ภาษาไทลื้อ ลัวะ ม้ง และกะเหรี่ยง เนื่องจากยังไม่มีงานวิจัยใดที่เปรียบเทียบคำเรียกสีในหลาย ๆ ภาษาโดยใช้วิธีดำเนินการวิจัยและวิธีการวิเคราะห์แบบเดียวกัน งานวิจัยนี้จึงทำขึ้นเพื่อหาข้อสรุปว่าคำเรียกสีนั้นเป็นสากลตามผลการวิจัยของเบอร์ลินและเคย์หรือไม่ และศึกษาการรับรู้สีและทัศนคติที่มีต่อสีของชาติพันธ์ที่พูดภาษาทั้ง 4 ภาษาดังกล่าวด้วย เนื่องจาก กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้เป็นชนกลุ่มน้อยที่มีอาชีพคลุกคลีอยู่กับสี เช่น งานช่างปักผ้าและช่างทอผ้า เป็นต้น ผลการวิจัยอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจหรือมีหน้าที่ส่งเสริมงานศิลปะหัตถกรรมของชนกลุ่มน้อย (หน้า 2, 7) โดยมีสมมติฐาน 3 ข้อ คือ 1. คำเรียกสีพื้นฐานของภาษาไทลื้อ ลัวะ ม้ง และกะเหรี่ยงมีไม่เกิน 5 คำ 2.ผู้พูดทั้ง 4 ภาษาดังกล่าวจะรับรู้ใจกลางสี (foci point) แต่ละประเภทเหมือนกัน และ 3. ผู้พูดทั้ง 4 ภาษาดังกล่าว จะมีทัศนคติต่อสีที่คล้ายคลึงกัน คือมีทัศนคติทางบวกต่อสีสดและสีเข้ม (bright 0r vivid colour) แต่มีทัศนคติทางลบต่อสีตุ่น (subtle colour) และสีอ่อน (light colour) โดยผู้วิจัยมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3 ชนิด คือ ตารางสี (colour chart) บัตรสี (colour card) และแผ่นบันทึกข้อมูล โดยจะเก็บข้อมูลกับผู้บอกภาษาเพศหญิงที่มีอายุระหว่าง 30 - 45 ปี ภาษาละ 10 คน รวม 40 คน (หน้า 3, 32, 42) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้เขียนเรียกชาติพันธุ์ในงานวิจัยชิ้นนี้ว่า ไทลื้อ ม้งเขียว กะเหรี่ยงสะกอ และลัวะถิ่นหรือที่เรียกว่า ถิ่น |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ผู้เขียนระบุว่า ภาษาไทลื้อ อยู่ในตระกูลไท ภาษากะเหรี่ยงสะกอ อยู่ไนตระกูลทิเบต - พม่า ภาษาม้งเขียว อยู่ในตระกูลม้ง - เมี่ยน และภาษาลัวะถิ่น อยู่ในตระกูลออสโตรเอเชียติก สาขามอญ - เขมร นอกจากนี้ จากผลการวิจัยเกี่ยวกับคำเรียกสี ปรากฏว่าคำเรียกสีของภาษาไทลื้อมีถึง 12 คำ ซึ่งมากกว่าอีกสามภาษากว่าครึ่ง และไม่เป็นไปตามสมมติฐานของการวิจัย ทั้งนี้ ผู้เขียนสันนิษฐานว่า เป็นเพราะไทลื้อมีการสัมผัสทางวัฒนธรรมและภาษากับคนเมืองจนมีการยืมคำมาใช้เป็นเวลานานมาแล้ว เนื่องจากไทลื้อในอำเภอเชียงคำนั้นสันนิษฐานกันว่าอพยพมาจากสิบสองปันนาเมื่อประมาณ 200 กว่าปีมาแล้ว การที่ไทลื้อได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นราบตลอดมาและพูดภาษาตระกูลไท ทำให้สามารถผสมกลมกลืนเข้ากับคนเมืองหรือไทยวน (ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของภาคเหนือ) ได้อย่างรวดเร็ว จึงเกิดการยืมคำมาใช้ขึ้น และเมื่อมีการยืมคำเกิดขึ้นก็จะทำให้โลกทัศน์ของผู้พูดภาษาไทลื้อคล้ายกับผู้พูดภาษาตระกูลไทอื่น ๆ ในประเทศไทย ดังนั้น คำเรียกสีของไทลื้อจึงมีถึง 12 คำมากกว่าคำเรียกสีพื้นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ แม้จะมีลัวะถิ่น ม้งเขียว และกะเหรี่ยงสะกอที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ราบ แต่ก็แยกหมู่บ้านออกไปต่างหากไม่ปะปนกับคนเมือง ดังนั้น การสัมผัสทางวัฒนธรรมจีงยังไม่เกิดขึ้นเหมือนกับไทลื้อ (หน้า 42, 64-65) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ไทลื้อ - ไทลื้ออพยพมาจากแคว้นสิบสองปันนา ซึ่งปัจจุบันคือเขตปกครองตนเองและส่วนหนึ่งของมณฑลยูนนาน ไทลื้ออพยพเคลื่อนย้ายออกมาจากยูนนานประมาณเมื่อ 300 ปีมาแล้ว ปัจจุบันมีไทลื้อตั้งบ้านเรือนอยู่ทั่วไปในเขตภาคเหนือตอนบน เช่น อำเภอสะเมิง และดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอเมือง และแม่ทะ จังหวัดลำปาง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน อำเภอแม่สาย และเชียงของ จังหวัดเชียงราย อำเภอเชียงม่วน และอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา อำเภอท่าวังผา ปัว เชียงกลาง และทุ่งช้าง จังหวัดน่าน สำหรับหมู่บ้านธาตุ อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ประมาณ 385 ครัวเรือน และยังมีการพูดภาษาไทยลื้อในชีวิตประจำวันกันอยู่ (หน้า 27) ลัวะ - ลัวะในที่นี้หมายถึงลัวะถิ่นหรือที่เรียกว่า "ชาวถิ่น" เป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยในจังหวัดน่าน ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างประเทศไทยและประเทศลาว ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า ลัวะถิ่นตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทยหรืออพยพมาจากลาว จากการสำรวจของกองสงเคราะห์ชาวเขาพบว่า ลัวะถิ่นอาศัยอยู่ในจังหวัดน่านเพียงจังหวัดเดียวในประเทศไทย และในช่วงปี พ.ศ. 2512 - 2513 พื้นที่ที่ลัวะอาศัยอยู่เป็นพื้นที่ที่คอมมิวนิสต์มาตั้งถิ่นฐานอยู่ ดังนั้น หลังจากปี พ.ศ. 2512 - 2513 ลัวะถิ่นจึงอพยพลงมาอยู่ร่วมกับชาวพื้นราบ ลัวะถิ่นที่อาศัยอยู่ในศูนย์อพยพตำบลป่าสัก กิ่งอำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา เป็นลัวะถิ่นที่อพยพมาจากจังหวัดน่านเมื่อปี พ.ศ. 2538 จำนวน 150 ครอบครัว แต่ในขณะเก็บข้อมูลมีลัวะถิ่นอาศัยอยู่ในศูนย์อพยพ 60 ครัวเรือน เนื่องจากบางส่วนทางราชการได้จัดสรรที่ดินทำกินให้ในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงราย และที่เหลือกำลังรอทางการจัดสรรที่ดินให้ในพื้นที่กิ่งอำเภอภูซางและอำเภอเชียงคำในจังหวัดพะเยา (หน้า 27) ม้ง - ประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ม้งแต่เดิมอาศัยอยู่ในประเทศจีน หลังจากสู้รบกันยืดเยื้อและรุนแรงกับจีน ม้งส่วนหนึ่งก็ยอมตกอยู่ใต้อำนาจของชาวจีนและยอมรับวัฒนธรรมจีน แต่อีกส่วนหนึ่งถอยล่นไปอยู่ตามป่าเขาและถิ่นทุรกันดาร จัดตั้งเป็นอาณาจักรอิสระย่อย ๆ โดยมีผู้นำเป็นของตนเอง ต่อมาในศตวรรษที่ 17 จักรพรรดิแมนจูมีนโยบายปราบปรามม้งให้ยอมจำนนต่อจีน ม้งจึงอพยพลงสู่ทางใต้เรื่อยมา เข้าสู่เวียดนาม ลาว ราวปี พ.ศ. 2400 ม้งเริ่มอพยพเข้าสู่ประเทศไทย (ส่วนใหญ่อพยพมาจากประเทศลาว) และตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตจังหวัดเชียงราย น่าน เชียงใหม่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และตาก ม้งในประเทศไทยสามารถจำแนกออกเป็น 3 กลุ่ม คือ ม้งขาว (Hmong Daw) ม้งเขียว หรือม้งน้ำเงิน (Hmong Njua) และม้งลายหรือมังกัวอึมบา (Hmong Gua Mba) สำหรับม้งเขียวที่บ้านคอดยาว ตำบลป่าสัก กิ่งอำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา เป็นหมู่บ้านสร้างใหม่ มีม้งเขียวอาศัยอยู่โดยไม่ปะปนกับคนไทยกลุ่มอื่น ๆ ทั้งหมด 78 ครัวเรือน (หน้า 28) กะเหรี่ยง - กะเหรี่ยงเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย อพยพมาจากประเทศพม่า ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่ากะเหรี่ยงอพยพเข้ามาในไทยตั้งแต่เมื่อไร แต่สันนิษฐานว่าเข้ามาในสมัยที่ไทยรบกับพม่า คือตั้งแต่รัชกาลพระเจ้าไชยราชาในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา สาเหตุของการอพยพนอกเหนือจากสงครามแล้ว ยังมีสาเหตุมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจ กะเหรี่ยงมีการกระจายตัวอยู่ตามพรมแดนไทย - พม่า และอาศัยอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ ของประเทศไทย คือ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน แพร่ สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร อุทัยธานี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี และประจวบคีรีขันธ์ แต่อยู่มากที่สุดที่อำเภอแม่สะเรียงจังหวัดแม่ฮ่องสอน กะเหรี่ยงที่พบในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 4 พวก เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย คือ กะเหรี่ยงสะกอ กะเหรี่ยงโป กะเหรี่ยงแบร และกะเหรี่ยงตองอูหรือปาโอ ส่วนกะเหรี่ยงสะกอบ้านห้วยขม อำเภอเมือง จังหวัดเชียงรายอพยพมาจากจังหวัดแม่ฮ่องสอนเมื่อประมาณ 60 - 70 ปีมาแล้ว หมู่บ้านนี้มี 76 ครัวเรือน ชีวิตประจำวันยังพูดภาษากะเหรี่ยง อยู่ และเด็ก ๆ ยังเรียนเขียนภาษากะเหรี่ยงอยู่ โดยมีคนแก่ที่มีความรู้ในหมู่บ้านเป็นผู้สอนให้ (หน้า 30) |
|
Demography |
ไม่ได้ระบุชัดเจนถึงจำนวนประชากรของแต่ละหมู่บ้าน ระบุเพียงว่าบ้านธาตุอำเภอเชียงคำจังหวัดพะเยาที่มีไทลื้ออยู่ มีขนาดใหญ่ประมาณ 385 ครัวเรือน ลัวะถิ่นที่อาศัยอยู่ในศูนย์อพยพตำบลป่าสัก กิ่งอำเภอภูซาง จังหวัดพะเยามีประมาณ 60 ครัวเรือน ม้งเขียวบ้านคอดยาว ตำบลป่าสัก กิ่งอำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา มีทั้งหมด 78 ครัวเรือน เป็นม้งเขียวทั้งหมด และบ้านห้วยขม อำเภอเมือง จังหวัดเชียงรายที่กะเหรี่ยงสะกออาศัยอยู่ มีทั้งสิ้น 76 ครัวเรือน (หน้า 27-28, 30) |
|
Economy |
ไม่มีข้อมูลชัดเจน ระบุเกี่ยวกับ ไทลื้อที่บ้านธาตุ อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา เพียงว่า แม่บ้านส่วนใหญ่มีอาชีพทอผ้าเป็นอาชีพเสริม ม้งเขียวบ้านคอดยาว ตำบลป่าสัก กิ่งอำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ทอผ้าใยกัญชาและย้อมเป็นสีต่าง ๆ ขายเป็นอาชีพเสริม นอกจากนั้น หญิงม้งยังทอและปักผ้าเป็นลวดลายตามแบบม้งไว้ใส่เองและเพื่อขาย สำหรับกะเหรี่ยงสะกอ บ้านห้วยขม อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ผู้เขียนระบุเพียงว่ายามว่างจากการทำไร่-ทำนา ผู้หญิงกะเหรี่ยงในหมู่บ้านนี้จะทอผ้าและปักผ้าเพื่อใช้เองในครอบครัวและขาย (หน้า 27, 28, 30) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การรับรู้สี - จากผลการวิจัยเรื่องคำเรียกสีพื้นฐานของไทลื้อ ลัวะถิ่น ม้งเขียว กะเหรี่ยงสะกอ พบว่าชาติพันธุ์ทั้ง 4 มีคำเรียกสีพื้นฐาน 12 , 5, 6, 5 คำตามลำดับ ผู้เขียนอธิบายว่า จำนวนคำเรียกสีพื้นฐานที่แตกต่างกัน แสดงให้เห็นว่าผู้พูดภาษาเหล่านี้มีการจำแนกและรับรู้สีไม่เหมือนกัน ภาษาที่มีจำนวนคำเรียกสีพื้นฐานมาก ย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้พูดภาษานั้นมีการจำแนกและรับรู้สีที่มีอยู่ในธรรมชาติอย่างละเอียด (หน้า 74) นอกจากนี้ จากผลการวิเคราะห์ของผู้เขียน พบว่า ไทลื้อ ลัวะ ม้ง และกะเหรี่ยง ที่ใช้เป็นกรณีศึกษามีการรับรู้ใจกลางสี (foci point) ของแต่ละประเภทสีคล้ายกันมาก แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และมีการรับรู้ใจกลางสีขาว สีดำ และสีเหลืองตรงกัน ตลอดจนมีการรับรู้ความเข้ม - จางของประเภทสีเขียวได้ดีที่สุด สำหรับทัศนคติที่มีต่อสี - ทั้งไทลื้อ ลัวะ ม้ง และกะเหรี่ยง มีทัศนคติต่อสีเหมือนกัน คือมีทัศนคติบวกกับสีสดและสีเข้ม เช่น สีแดง สีบานเย็น สีฟ้าสด เป็นต้น และมีทัศนคติลบต่อสีตุ่นและอ่อน เช่น สีเทา และสีฟ้าอมเขียว เป็นต้น (หน้า 100) ไทลื้อมีทัศนคติในทางบวกต่อประเภทสีชมพู เหลือง ฟ้า แดง เขียว และม่วง (หน้า 92) ลัวะมีทัศนคติในทางบวกต่อประเภทสีฟ้า ส้ม แดง เขียว และม่วง โดยเฉพาะชอบสีแดงและสีม่วงเข้มมากเป็นพิเศษ (หน้า 93) ส่วนม้งเขียว มีทัศนคติในทางบวกต่อสีชมพูเข้มหรือสีบานเย็น สีแดง สีเขียว โดยเฉพาะชอบสีชมพูเข้มและสีแดงเป็นพิเศษ (หน้า 95) สำหรับกะเหรี่ยงสะกอมีทัศนคติในทางบวกต่อประเภทสีชมพู เหลือง ฟ้า แดง และเขียว (หน้า 96) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
1. แผนที่เขตจังหวัดภาคเหนือตอนบน (หน้า 26) 2. แผนที่จังหวัดพะเยาแสดงจุดเก็บข้อมูล (หน้า 29) 3. แผนที่จังหวัดเชียงรายแสดงจุดเก็บข้อมูล (หน้า 31) 1. แผนภูมิแสดงวิวัฒนาการของคำเรียกสีพื้นฐาน (หน้า 1-11) 2. แผนภูมิแสดงสมมติฐานวิวัฒนาการของคำเรียกสีพื้นฐาน (หน้า 55, 57, 60, 62, 63, 64) 3. แผนภูมิแสดงการเรียงแผ่นสี (หน้า 35) 1. แผนผังของตารางสี (หน้า 36, 39) 2. แผนผังแสดงอักษรและหมายเลขกำกับตารางสี (หน้า37) 1. ภาพลักษณะบัตรสี (หน้า 40) 2. ภาพการจำแนกประเภทสี (หน้า 54, 57, 59, 61) 3. ภาพขอบเขตสี (หน้า 76, 78, 81, 84) 4. ภาพการรับรู้ใจกลางสี (หน้า 77, 80, 83, 86) 5. ภาพเปรียบเทียบการรับรู้สี (หน้า 90) 1. ตารางเปรียบเทียบจำนวนคำเรียกสีพื้นฐาน (หน้า 62) 2. ตารางเปรียบเทียบความถี่การใช้กลวิธีสร้างคำเรียกสี (หน้า68, 70, 71, 73) 3. ตารางการรับรู้ใจกลางและขอบเขตสี (หน้า 75, 78, 81, 84) 4. ตารางเปรียบเทียบใจกลางสี (หน้า 87) 5. ตารางเปรียบเทียบขอบเขตสี (หน้า 88) 6. ตารางทัศนคติที่มีต่อสี (หน้า 92-96) 6. ตารางจำนวนคำเรียกสีพื้นฐาน (หน้า 99) 7. ตารางจำนวนร้อยละของแต่ละกลวีธี (หน้า 100) 8. ตารางคำเรียกสีพื้นฐาน (หน้า 102, 104-106) |
|
|