|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลเวือะ,วัฒนธรรม,การตั้งถิ่นฐาน,พิธีกรรม,สุขภาพอนามัย,ภาคเหนือ |
Author |
ณัฏฐวี ทศรฐ, สุริยา รัตนกุล |
Title |
สารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์ : ละว้า |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลัวะ (ละเวือะ) ลเวือะ อเวือะ เลอเวือะ ลวะ ละว้า,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
32 |
Year |
2539 |
Source |
สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล, 2539 |
Abstract |
จากรายงานการศึกษาซึ่งผู้วิจัยได้ถ่ายทอดข้อมูลภาคสนาม สะท้อนให้เห็นถึงรายละเอียดของวิถีชีวิตละว้าถ่ายทอดผ่านแง่มุมต่างๆ ที่ดำรงสืบเนื่องสะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นชาติพันธุ์ละว้า ทั้งยังคงผูกโยงอยู่กับความเชื่อ ประเพณีพิธีกรรม แบบสังคมชนเผ่า ซึ่งพบว่ามีการรับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตภายนอกเข้าไปผสานกลืน |
|
Focus |
เน้นศึกษาวัฒนธรรมของละว้า |
|
Ethnic Group in the Focus |
เน้นศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ละว้า ซึ่งมักเรียกตนเองว่า "ละเวือะ" |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาละว้า (ละเวือะ) จัดอยู่ในกลุ่มตระกูลภาษาใหญ่ออสโตรเอเชียติก (Austroasiatic) อยู่ในกลุ่มตระกูลของภาษามอญ-เขมร สาขาย่อยปะหล่อง-ว้า (Palaung-Wa) อีกทีหนึ่ง ไม่มีระบบเสียงวรรณยุกต์ มีหน่วยเสียงสระ 25 หน่วยเสียง สระเดี่ยว 10 หน่วยเสียง สระประสม 15 หน่วยเสียง มีผู้ใช้ใน 2 จังหวัด คือ เชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ละว้าเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองเดิมที่ตั้งถิ่นฐานเป็นรัฐก่อนอาณาจักรล้านนา และอาณาจักรไทยก่อนอารายธรรมอินเดียแผ่อิทธิพลเข้ามา เคยอาศัยอยู่บริเวณอาณาจักรล้านนาโบราณก่อนพญามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่ จากหลักฐานหนึ่งตามตำนานโบราณพบว่า ละว้าเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมอาศัยบริเวณเวียงเจ็ดริน (ดอยสุเทพ) ต่อมากลุ่มคนไทยยวนได้อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานร่วมกับละว้า ในสมัยพระยาวีวอมีละว้า 9 ตระกูลแบ่งหน้าที่กันปกครองอาณาจักรละว้าโบราณ ก่อนที่จะเป็นเมืองศรีนครพิงค์เชียงใหม่ในสมัยพระยามังราย สมัยขุนหลวง วิลังคะผู้นำละว้าได้แพ้สงครามแก่พระนางจามเทวี ละว้าบางส่วนจึงหนีขึ้นไป อยู่บนภูเขา รักษาเอกลักษณ์เผ่าพันธุ์สืบมาจนทุกวันนี้ ในขณะที่ละว้าบางส่วนอยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำปิงถูกผสานกลืนไปกับวัฒนธรรมชนเผ่าไทย แม้อาณาจักรละว้าจะล่มสลายไปในราวปี พ.ศ.1200 แต่ยังคงความสัมพันธ์ระหว่างละว้ากับไทยล้านนาไว้ ส่วนหลักฐานเมืองเชียงตุงพบว่า เดิมละว้าตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองเชียงตุง เมื่อครั้งพระยามังรายเสด็จประพาสมาพบเมืองนี้เข้า ก็ปรารถนาจะสร้างเมืองจึงได้สลักรูปไว้บนดอย ต่อมาได้ส่งกองทัพมาปราบละว้าในปี พ.ศ. 1786 แม้ละว้าจะไม่ได้เป็นเจ้าของพื้นที่เมืองเชียงตุงแล้ว แต่มีหลักฐานว่า ผู้ครองเมืองยังมีความสัมพันธ์กับละว้าอยู่ (หน้า 6-7) |
|
Settlement Pattern |
ละว้ามักตั้งหมู่บ้านตามหุบเขาใกล้แหล่งต้นน้ำลำธาร มีพื้นที่นาและไร่ล้อมรอบอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 ฟุต หมู่บ้านละว้าโดยหลักมีสถานที่สำคัญ คือ โบสถ์คริสเตียน โบสถ์คริสตัง วัด โรงเรียนประถม สถานีอนามัยตำบล ศาลาผี เป็นต้น (หน้า 13) ลักษณะบ้านเรือนของละว้าพบ 2 ลักษณะ คือ แบบดั้งเดิมและแบบสมัยใหม่ บ้านแบบดั้งเดิม ใช้ใบคาคลุมเป็นหลังคา หน้าจั่วประดับกาแลสองด้าน ปูด้วยฟากไม้ไผ่ นิยมเจาะรูไว้ที่ฝาห้องครัว เพื่อใช้ส่องดูจากด้านนอก ตัวบ้านอยู่สูงจากพื้นดิน 2-2.5 เมตร การปลูกบ้านจะไม่ให้แนวหลังคาขนานกับการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ มีการ ตั้งเครื่องเลี้ยงผีไว้ที่มุมห้องทั้งที่หัวนอนและปลายเท้า บางบ้านจะตั้งเครื่องเลี้ยงผีเรือนด้านนอกบริเวณชานบ้านที่มีหลังคา ส่วน บ้านแบบสมัยใหม่ ส่วนใหญ่จะปลูกยกสูงจากพื้น 2.5-3 เมตร มีทั้งแบบ ชั้นเดียวและสองชั้น พื้นบ้านและฝาบ้านนิยมใช้ไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้สัก หลังคามุงด้วยสังกะสี แซมด้วยใบตองตึงและหญ้าคา หลังคาไม่นิยมติดกาแล (หน้า 13-15) |
|
Demography |
จากทำเนียบชุมชนบนพื้นที่สูงในประเทศไทย ปี 2538 ของกองสงเคราะห์ชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงานฯ มีจำนวนประชากรละว้าโดยรวม 14,152 คน แยกตามจังหวัดและอำเภอต่าง ๆ ได้ ดังนี้ (หน้า 8) จังหวัดเชียงใหม่ อ.เชียงดาว 93 คน อ.แม่แจ่ม 1,851 คน อ.อมก๋อย 2,000 คน อ.ฮอด 5,428 คน จังหวัดแม่ฮ่องสอน อ.แม่สะเรียง 1,368 คน อ.แม่ลาน้อย 2,749 คน กิ่ง อ.ปางมะผ้า 65 คน นอกจากนี้ละว้าบางส่วนยังตั้งถิ่นฐานปะปนอยู่กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ด้วยในพื้นที่ดังต่อไปนี้ จังหวัดเชียงใหม่ อ.สะเมิง 42 คน อ. ฮอด 307 คน จังหวัดแม่ฮ่องสอน อ.ขุนยวม 23 คน อ.แม่ลาน้อย 79 คน อ.แม่สะเรียง 147 คน |
|
Economy |
ละว้ามีระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพด้วยเกษตรกรรมเพื่อเลี้ยงตนเองเป็นหลัก เมื่อผลิตผลทางการเกษตรมีมากเกินความต้องการจึงแบ่งขาย นอกจากนี้ บางหมู่บ้านยังทำไร่ ทำสวนผักในนาที่เกี่ยวข้าวแล้ว หรือปลูกพริก มันสำปะหลังไว้ในไร่ที่เก็บเกี่ยวผลผลิตหลักแล้ว งานสวนเป็นภาระของผู้หญิง ส่วนผู้ชายจะออกป่าล่าสัตว์ ละว้าเลี้ยงสัตว์ และทำงานจักสานทุกประเภท เช่น แปม (กระบุงสานตาถี่ ใช้ใส่สิ่งของและพืชผัก) ก๊อก (กระบุงสานตาถี่ ส่วนใหญ่ใช้ใส่ฟืน มีสายสะพายสำหรับคาดหัว) กองพา (ภาชนะสานสำหรับเหน็บไว้ที่เอว ใช้ใส่มีดเวลาออกไปป่า หรือออกหาปลา) ละว้าบางกลุ่มออกจากหมู่บ้านไปรับจ้างทำงานตามเมืองใหญ่ เช่น เชียงใหม่ แม่สะเรียง ฝ่ายหญิงทำงาน จักสาน ทอผ้า ปั่นฝ้าย หนีบฝ้าย หาฟืนมาสะสมไว้ และหุงหาอาหาร (หน้า 15-17) ละว้านิยมปลูกดอกไม้ไว้ในไร่ และนิยมปลูกพริก มะเขือ แตง ข้าวโพด ยาสูบ ฯลฯ พื้นที่ไร่จะอาศัยน้ำฝนเพียงอย่างเดียว ใช้ระบบเพาะปลูกแบบพื้นที่หมุนเวียน ใช้เนื้อที่บนไหล่เขาปลูกข้าวไร่พร้อมพืชผักสวนครัว เมื่อหยอดเมล็ดข้าวแล้วก็จะปลูกพันธุ์ผัก และดอกไม้ผสมลงไปในคราวเดียวกัน เช่น งา ถั่วฝักยาว ดอกดาวเรือง หงอนไก่ เป็นต้น ละว้าบางหมู่บ้านแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนคือ ที่นาและที่ไร่ และได้เปลี่ยนพื้นที่ไร่ มาเป็นพื้นที่สวนผักเพื่อการค้า ส่วนละว้าที่ไม่ใช้พื้นที่ไร่ก็แบ่งให้กะเหรี่ยงเช่าปีละประมาณ 200 บาท ละว้าจะลงมือปลูกข้าวในไร่พร้อมปลูกผักสวนครัวและดอกไม้ ปลายเดือนเมษายนถึงต้นพฤษภาคม หลังจากนั้น 2 เดือนจึงเริ่มปลูกข้าวในนา มีการขุดทางระบายน้ำจากลำธารเข้านา ฤดูเก็บเกี่ยวเริ่มกลางเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน สิทธิการเลือกที่ทำกินจะแบ่งตามลำดับความสำคัญของชนชั้นผู้นำทางพิธีกรรม (หน้า 17-19) ปัจจุบันครอบครัวละว้าบางครอบครัวไม่ทำเกษตรในพื้นที่ไร่ แต่ทำสวนในพื้นที่นาแทน โดยนิยมปลูกผักหลายชนิดในแปลงเดียวกันหมุนเวียนกันไป เช่น ผักกาด ต้นหอม ผักชี ยาสูบ ผักที่ปลูกนี้ละว้าจะเก็บไปขายในหมู่บ้านใกล้เคียง เช่น บ้านกะเหรี่ยง เป็นต้น (หน้า 19) |
|
Social Organization |
ครอบครัวละว้ามีทั้งครอบครัวเดี่ยวและครอบครัวขยาย เมื่อลูกชายแต่งงานอาจอยู่ร่วมกับพ่อแม่ไประยะหนึ่งก่อน เมื่อพร้อมจึงแยกบ้านไปสร้างครอบครัวของตน ส่วนลูกชายคนสุดท้องยังคงต้องทำหน้าที่อยู่ดูแลพ่อแม่ (หน้า 19) การแต่งงาน มักจัดพิธีหลังฤดูเก็บเกี่ยวระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ ละว้าสืบสายตระกูลฝ่ายชาย นิยมมีผัวเดียวเมียเดียว ไม่แต่งงานระหว่างพี่น้อง ไม่คำนึงถึงเรื่องอายุในการแต่งงานผู้หญิงจะมีอายุมากกว่าหรือน้อยกว่าคู่ของตนก็ได้ สามารถแต่งงานกับคนต่างเผ่าพันธุ์ได้ เช่น แต่งกับกะเหรี่ยงและคนเมือง ถือว่าน้องจะไม่แต่งงานก่อนพี่ โดยเฉพาะผู้หญิง หากต้องการแต่งงานจริง ฝ่ายเจ้าบ่าวต้องเสียค่าปรับให้พี่สาว (หน้า 19 - 20) (พิธีแต่งงานดูที่หัวข้อ Belief System) ละว้าชายหญิงจะแบ่งบทบาทหน้าที่ทางสังคมกันค่อนข้างชัดเจน คนเฒ่าคนแก่จะได้รับการเคารพยอมรับจากผู้ที่อาวุโสน้อยกว่า เห็นได้ชัดในเรื่องลำดับที่นั่งหน้าเตาไฟ ผู้ที่อาวุโสสูงสุดจะนั่งอยู่หัวเตาไฟ และผู้อาวุโสน้อยจะนั่งถัดออกมา ตัวอย่างการเรียงลำดับดังนี้ ชะมังสูงสุด-ปูลาม-ผู้เฒ่าผู้แก่-คนหนุ่มสาว ฯลฯ ส่วนผู้หญิงมักเป็นผู้อยู่เบื้องหลังพิธีกรรม ช่วยในเรื่องการครัวและอาหารเมื่อเสร็จพิธีกรรม ผู้หญิงก็จะกินอาหารต่อจากกลุ่มผู้ชาย (หน้า 22 - 23) |
|
Political Organization |
การปกครองของละว้ามี 2 ลักษณะ คือ แบบมีผู้นำตามลัทธิธรรมเนียมเดิม (ซะมัง สูงสุด?ชนชั้นขุนของละว้า ถือว่าเป็นตระกูลของชนชั้นสูงที่สืบทอดเชื้อสายต่อกันมา) และแบบที่ผู้นำได้รับการแต่งตั้งจากส่วนราชการอย่างเป็นทางการ คือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มีหน้าที่รับผิดชอบการบริหารและการปกครองส่วนท้องถิ่น หากชุมชนละว้าประกอบประเพณีพิธีกรรมใดขึ้น ผู้นำอย่างเป็นทางการต้องเคารพเชื่อฟังซะมังหรือผู้นำดั้งเดิมของละว้า แต่หากเป็นกิจกรรมเกี่ยวกับการปกครอง การบริหารส่วนท้องถิ่น ซะมังเองก็ต้องเชื่อฟังผู้นำอย่างเป็นทางการ หากหมู่บ้านใดแยกตัวออกไปตั้งครัวเรือนใหม่ และไม่มีซะมัง ละว้าที่หมู่บ้านนั้นมักไปเชิญตระกูลซะมังจากหมู่บ้านอื่นมาเป็นผู้นำในหมู่บ้านตน แต่หากหมู่บ้านใดมีตระกูลซะมังอยู่มาก ก็จะต้องมีผู้นำสูงสุดของซะมัง เรียกว่า "ไกยพี" หมายถึง ผู้นำสูงสุด (หน้า19) ปัจจุบัน เมื่อมีการประชุมใหญ่ประจำปีของหมู่บ้าน เพื่อเปิดพื้นที่ทำไร่จะต้องใช้ผู้นำทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งซะมังสูงสุด และกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน สิทธิการเลือกที่ทำไร่ที่ทำกินแบ่งตามลำดับความสำคัญดังนี้ (หน้า 17-19) 1. ซะมังสูงสุด 2. ตระกูลซะมัง 3. ปูลามหลักของหมู่บ้าน 4. ผู้ช่วยปูลาม 5. กำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน 6. ละว้าอื่น ๆ |
|
Belief System |
ความเชื่อและพิธีกรรม ละว้ามีความเชื่อและนับถือผีมาแต่โบราณกาล ในปัจจุบัน ละว้าส่วนใหญ่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์หรือถือทั้งพุทธทั้งผี มีบางกลุ่มที่ยังคง นับถือผีและมีการเลี้ยงผีตามอย่างประเพณีดั้งเดิม ละว้าเชื่อว่าผีมีทั้งให้คุณและให้โทษ อาจนำความรุ่งเรืองมาสู่ครอบครัว อำนายผลผลิตทางการเกษตร ส่วนละว้าที่นับถือศาสนาคริสต์นั้น ไม่นิยมประกอบพิธีกรรมใด ๆ เกี่ยวกับผีและไม่เข้าร่วมเลี้ยงผีอย่างเด็ดขาด แต่หากเป็นงานประเพณี เช่น การแต่งงาน ละว้าส่วนใหญ่ ต่างก็มาร่วมและช่วยเหลืองานนั้นเป็นอย่างดี ทุกวันอาทิตย์ละว้าที่นับถือคริสตศาสนาจะไปประกอบพิธีกรรมที่โบสถ์ (หน้า 22) พิธีกรรมเสี่ยงทาย ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ซะมังสูงสุด และปูลาม (ผู้นำทางพิธีกรรม) จะทำพิธีเปิดพื้นที่ทำกินซึ่งเป็นที่ไร่ ซะมังสูงสุด ปูลามและผู้ช่วยปูลามหรือผู้เฒ่าไปเอาดินจากที่ไร่ซึ่งจะใช้เป็นพื้นที่ทำกินปีนี้ และบอกแก่ผีเจ้าที่ว่า พวกเขาจะทำมาหากินบนพื้นที่นี้ ถ้ามีผีตัวใดอยู่บริเวณนี้ให้ช่วยย้ายไปอยู่ที่อื่นก่อน ทั้งยังขอพรจากเจ้าที่ให้ ปกป้องคุ้มครองให้ปลูกข้าวได้งาม แล้วทำพิธีเสี่ยงทายพื้นที่ทำกินโดยดูน้ำจากดีไก่ เรียกว่า "ดีคัย" จากนั้นจะทำพิธีเลี้ยงผีทางเดิน (โนกต๊ะกยะ) รุ่งขึ้นมีการป่าวประกาศเรียกชาวบ้านมาประชุมใหญ่เพื่อจัดแบ่งพื้นที่ และเฉลี่ยเงินค่าไก่และเหล้าที่ใช้เลี้ยงผีต๊ะกยะ (ยกเว้นผู้นับถือคริสต์)(หน้า 17-18) พิธีแต่งงาน ขั้นตอนการแต่งงานเริ่มตั้งแต่การที่หนุ่มไปจีบสาว เมื่อหนุ่มถูกใจสาวคนใดก็จะไปบ้านสาวคนนั้น หากเป็นบ้านละว้าแบบดั้งเดิม หนุ่มจะแอบมาร้องคำซอความรักในทำนองจีบสาว นอกจากนี้ ละว้าบางหมู่บ้านก็นิยมใช้วิธีล้วงสาว เริ่มจากให้ของกำนัลแก่สาว ในอดีตมักจะให้ถุงแขน(ปอเต๊ะ) ฝ้าย ยาสูบ เมี่ยง การให้สิ่งของนี้มีพัฒนาการมาตามยุคสมัยและความจำเป็น ในปัจจุบันนิยมให้ยาสีฟัน สบู่ ผงซักฟอก ด้ายทอผ้า นาฬิกา แหวน สร้อย ฯลฯ การให้ของนี้จะให้ประมาณปีละ 3 ครั้ง เมื่อตกลงเป็นแฟนกันแล้วก็จะมีพิธีจับสาว คือ ฉุดสาวตามประเพณี หลังจากนั้นฝ่ายชายจะทำพิธีขอขมาต่อพ่อแม่และผีบรรพบุรุษของฝ่ายหญิง หากเป็นละว้าที่นับถือศาสนาคริสต์ จะไม่มีการจับสาว แต่จะให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอและปฏิบัติตามประเพณีละว้าที่ไม่มีผีเข้ามาเกี่ยวข้อง ฝ่ายญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายจะตกลงหาวันแต่งงาน พิธีส่งเคราะห์เมือง จัดขึ้นก่อนวันแต่งงาน 1 วัน เพื่อให้ผีเมืองได้รับรู้ว่าภายในหมู่บ้านจะมีครอบครัวใหม่อีกครอบครัวหนึ่ง การส่งเคราะห์เมืองนี้จะต้องทำทั้งผู้ที่นับถือศาสนาพุทธกับผี ผู้ที่ถือผีอย่างเดียว รวมถึงผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ เมื่อถึงวันแต่งงานฝ่ายเจ้าบ่าวและเพื่อนจะพากันไปนอนเฝ้าเจ้าสาวและภายในวันงานจะมีการจัดขบวนต่าง ๆ ไปบ้านเจ้าบ่าว ดังนี้ (หน้า 20 - 23) 1. ขบวนเจ้าบ่าวและเจ้าสาว พากันไปที่บ้านเจ้าบ่าว แต่หากนับถือคริสต์จะพากันไปทำพิธีที่โบสถ์ก่อนไปบ้านเจ้าบ่าว 2. ขบวนเญื้อะเนิอม เป็นขบวนขยายของเจ้าสาว ภายในขบวนจะมีญาติเจ้าสาวซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนสูงอายุ แต่งกายด้วยชุดดำ ทาแป้งขาวไปทั้งหน้า ถือเครื่องใช้และเสื้อผ้าของเจ้าสาวไปส่งบ้านเจ้าบ่าว 3. ขบวนเปยย เป็นขบวนชายหนุ่มตั้งแต่เด็กจนถึงคนเฒ่า มีเด็กผู้ชายทั้งหมู่บ้านโพกผ้าสีแดง และทัดหูด้วยดอกไม้ไหมพรมทุกคน ส่วนคนหนุ่มแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่า ขบวนนี้มีหน้าที่นำเงินค่าตัวสาวไปส่งให้แก่ฝ่ายเจ้าบ่าว หลังพิธีสิ้นสุด บ่าวสาวยังคงทำหน้าที่รับแขกต่อไป เลี้ยงดูปูเสื่อให้แขกจนกว่าจะเดินทางออกจากหมู่บ้านบ่าวสาวจึงหมดหน้าที่ในพิธีแต่งงานนี้ (หน้า 20-23) พิธีกรรมเกี่ยวกับผี - พิธีเลี้ยงผีหมู่บ้าน เรียกว่า "โนกควายเนิอม" หรือ "โนกสปัยซ" จัดขึ้นเพื่อเป็นการปกป้องดูแลคนในหมู่บ้าน และช่วยให้ไร่นาได้ผลอุดมสมบูรณ์ มักใช้เวลา ปีหรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจของหมู่บ้าน แบ่งเป็น 3 วันคือ วันดา (วันเตรียมของสำหรับทำพิธี) วันเลี้ยงผี (เซ่นด้วยควาย) วันส่งเคราะห์ เรียกว่า "เตาสะอาง" (สาดน้ำและจุดประทัดไล่เคราะห์ออกไปจากหมู่บ้าน) พิธีเลี้ยงผีบรรพบุรุษ หรือ "โนกละมาง" แบ่งเป็น การฝากของให้ผีบรรพบุรุษ เช่น ฝากควายให้ไปรับใช้ผีละมาง การเลี้ยงผีละมางโดยใช้หมู "โยงเล้ยโนกละมาง" หรือใช้ไก่ "กาละมาง" การเลี้ยงผีละมางด้วยอาหารเล็กๆ น้อยๆ "จาละมาง" (หน้า 23) พิธีเลี้ยงผีเรือน เรียกว่า "โนกชะมา" เชื่อว่าช่วยให้ผีบ้านผีเรือนดูแลปกป้องคนในครอบครัวตลอดจนสัตว์เลี้ยง และช่วยให้ทำการเกษตรได้ดี มีการทำพิธี 2 วัน คือ วันดา คือวันเตรียมงาน และวันเลี้ยงผี (หน้า 23) พิธีเลี้ยงผีฟ้าผ่า ละว้าเชื่อกันว่า เศษไม้ที่เกิดจากฟ้าผ่าหากโดนเท้าจะทำให้เท้าแตก เมื่อเกิดฟ้าผ่าบริเวณใดก็จะไม่ไปบริเวณนั้นจนกว่าจะขึ้นวันใหม่ จึงค่อยพากันไปเลี้ยงผีฟ้าผ่า โดยจะไปกันทั้งหมู่บ้านยกเว้นผู้ชายที่มีภรรยาตั้งครรภ์ มีการให้หญิงที่ร่วมพิธีทาหน้าด้วยเขม่าไฟจนดำและแต่งดำ ขณะสวดมนต์ผู้ร่วมพิธีจะต้องหัวเราะส่งเสียงดัง (หน้า 24) พิธีศพ งานศพของละว้าถือเป็นพิธีที่สนุกที่สุด จัดตามความสะดวก ศพของคน มีฐานะจะใช้ควายหรือวัว แต่หากเป็นศพทั่วไปสามารถใช้หมูแทน มีการละเล่น เรียกว่า "ชวงละมาง" คล้ายลาวกระทบไม้ และมฮลอก (เขียนใบไม้และร้องคำซอ) ในกรณี ที่ใช้หมูห้ามเล่นชวงละมางและมฮลอกอย่างเด็ดขาด ผ้าคลุมศพจะให้หญิงสูงอายุเป็นผู้ทอเท่านั้น เมื่อแขกเปิดผ้าคลุมศพออก พวกผู้หญิงก็จะร้องไห้พร้อมกัน กลางคืนมีการร้องคำซองานศพ เมื่อแขกกลับบ้านเจ้าบ้านจะมีห่อเนื้อส่งให้แขกเป็นที่ระลึกถือเป็นเกียรติแก่กัน เป็นการแสดงฐานะของเจ้าภาพ ปูลามจะทำหน้าที่ส่งเสาและโลงที่ป่าช้า พร้อมนำอาวุธรูปแบบต่าง ๆ ที่ทำด้วยไม้ฝังรวมกับคนตายด้วย ละว้าที่นับถือผี ปูลาม และลูกหาบจะใช้น้ำส้มป่อยปะพรมเมื่อกลับจากป่าช้า และเจ้าของงานศพจะทำพิธีส่งเคราะห์ปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไปและสร้างขวัญให้ครอบครัว (ใช้หมาดำในพิธี) ในกรณีที่ผู้ตายเป็นคนจากบ้านอื่น ต้องซื้อพื้นที่ฝังศพเสียก่อน ศพผู้ตายที่เป็นคริสต์จะไม่มีพิธีกรรมเกี่ยวกับผี แต่จะนำไปฝังในพื้นที่ชาวคริสต์ปักไม้กางเขนเหนือหลุมศพ มีการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าให้คนตาย (หน้า 24 - 25) นอกจากนี้ยังมี ศาลาผี (เญียะยู) เป็นสถานประกอบพิธีกรรมและเลี้ยงผีในพิธีใหญ่ บางหมู่บ้านมีศาลผีมากกว่า 2 หลัง ขึ้นอยู่กับ เชื้อสายของสมาชิกในหมู่บ้าน หากนับถือผีต่างตระกูลกัน ก็จำเป็นต้องมี "เญียะยู" ต่างหากออกไป เพื่อประกอบพิธีกรรมตามตระกูลของตน เช่น ที่บ้านแปะ(ย่วงเบระ) ต.ปางหินฝน อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ มีละว้า 3 ตระกูล คือ ซะมัง มูเบระ และมูฮลาง แต่ละตระกูลก็มีประเพณีย่อยแยกออกเป็น 6 ลักษณะ ดังนั้นที่บ้านแปะจึงมีเญียะยู 6 หลัง เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมที่ แตกต่างกันทั้ง 6 กลุ่ม |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
ละว้ามีวิธีการรักษาโรค 2 แบบคือ การรักษาแบบดั้งเดิม และการรักษาแบบสมัยใหม่ หากเกิดเจ็บป่วยขึ้นจะรักษาแบบสมัยใหม่ก่อน โดยขอยาจากสถานีอนามัย ไปพบแพทย์หรือซื้อยาจากกองทุนหลวงพระราชทาน หากไม่ได้ผลจึงรักษาตามแบบพื้นบ้าน โดยประกอบพิธีกรรมตามคติความเชื่อที่นับถือผี นอกจากนี้ยังใช้ความรู้ด้านสมุนไพรที่ถ่ายทอดกันมารักษาโรค (หน้า 26-27) การคลอดบุตร มีทั้งการคลอดแบบดั้งเดิม โดยอาศัยหมอตำแยในหมู่บ้านกับการคลอดแบบสมัยใหม่ นิยมไปทำคลอดที่โรงพยาบาล ละว้าจะอยู่ไฟที่บ้านของตนมี 2 ลักษณะ คือ การอยู่ไฟในท่ายืนและการอยู่ไฟในท่านั่ง หลังจากอยู่ไฟจนครบกำหนดแล้ว จะต้องอยู่เดือนภายในห้องเตาไฟอีก 1 เดือน ส่วนเด็กทารกเมื่อแข็งแรงพอจะถูก นำไปเลี้ยงไว้ในเปล รกเด็กจะถูกฝังไว้ใต้ถุนบ้านตรงตำแหน่งที่เด็กเกิด (หน้า 28-29) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เพลง-วรรณกรรม-บทกวี : ละว้ามีสิ่งบันเทิงใจด้วยการเล่านิทานให้เด็กๆ ฟัง การร้องคำซอในพิธีต่างๆ ของคนหนุ่มสาวในการเกี้ยวสาว ไปจนถึงงานศพสำหรับคนสูงอายุ การร้องเพลงกล่อมเด็กและการร้องเพลงเล่นสำหรับเด็กเล็ก นอกจากนี้ ละว้ายังมีวรรณกรรมมุขปาฐะในรูปของบทกวีที่ท่องสืบทอดกันมาปากต่อปากจากบรรพบุรุษละว้าจนถึงลูกหลานในปัจจุบัน วรรณกรรมมุขปาฐะนี้เรียก "ละซอมแล" แบ่งเป็น 7 ประเภท ประกอบขึ้นจากบทกวี มีข้อความเปรียบเทียบลึกซึ้ง มีการเล่นสัมผัสสระสัมผัสอักษรและความเปรียบที่ไพเราะ ปัจจุบันหนุ่มสาวละว้าไม่ได้ให้ความสนใจบทกวีนี้นัก นอกจากในพิธีงานศพที่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะต้องโต้ตอบกันด้วยบทกวีละซอมแล (หน้า 10,16) เครื่องจักสาน : ละว้าจะทำเครื่องจักสานรูปแบบต่าง ๆ ไว้ใช้ มีชื่อเรียกเฉพาะแตกต่างกันไป ผู้ชายทั้งแก่และหนุ่มจะจักตอกเพื่อทำเครื่องจักสานทุกประเภท เช่น กระบุงสาน (อาจมีทั้งแบบตาถี่และตาห่าง) เรียกว่า "ก๊อก" ส่วนใหญ่ใช้ใส่ฟืน มีสายสะพายสำหรับคาดหัว แปม (กระบุงสานตาถี่ ใช้ใส่สิ่งของทุกอย่างและพืชผัก) กองพา (ภาชนะสานสำหรับเหน็บไว้ที่เอว ผู้ชายใช้ใส่มีดเวลาออกไปป่า หรือใช้ใส่ปลาเวลาออกหาปลาก็ได้ (หน้า 15-16) การแต่งกาย : แบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ การแต่งกายในชีวิตประจำวันและการแต่งกายในประเพณี-พิธีกรรม ในชีวิตประจำวันหญิงละว้าจะสวมเสื้อขาวแขนสั้นกุ๊นด้ายสี กับผ้านุ่งพื้นดำ มี แถบสีแถบใหญ่แนวนอนคั่น เป็นสีแดงหรือสีชมพูเหลือบด้วยสีเหลือง ลายมัดเป็นสีน้ำเงินแซมขาว มีผ้าพันแขนและผ้าพันแข้ง หญิงละว้าส่วนใหญ่นิยมใส่กางเกงวอร์มไว้ ด้านในผ้านุ่ง ส่วนชายละว้าจะสวมเสื้อยืด เสื้อเชิ้ต กางเกงขายาวเหมือนคนพื้นราบ นิยมสะพายย่ามซึ่งเย็บรอยคะเข็บด้วยด้ายสีต่างๆ อย่างประณีต เช่น ย่ามลายแดงแนวตั้ง ย่ามส้มแดงลายไทยประยุกต์ ย่ามดำขาวขลิบด้วยสีชมพู (หน้า 12) การแต่งกายในพิธีกรรมประเพณีต่าง ๆ : หญิงละว้าส่วนหนึ่งจะแต่งตามปกติ แต่ในพิธีเลี้ยงผีฟ้าผ่า พิธีแต่งงานและงานศพจะต้องใส่เสื้อสีดำทับลงไปบนเสื้อสีขาว หญิงนิยมประดับมวยผมด้วยปิ่นและขนเม่น - หญิงที่แต่งงานและเข้าพิธี ถ้านับถือผี หรือนับถือพุทธและผีจะใช้ผ้าสีแดง เหลือง หรือขาวคลุมหน้า แต่หากนับถือคริสต์จะใช้ผ้าบางสีขาวคลุมหน้า ส่วนเจ้าบ่าวในพิธีแต่งงานแบบพุทธหรือแบบผี จะนุ่งผ้าโจงกระเบนทับกางเกง พันเอวด้วยผ้าคาดเอวที่เรียกว่า "กะชี" มีประเพณีที่กล่าวถึงการแต่งกายของหญิงละว้าว่า หากพี่สาวแต่งตัวไม่เก่งหรือ ใช้เสื้อผ้าเก่า น้องสาวจะต้องแต่งตัวให้เก่ากว่าพี่สาวหรือสวยน้อยกว่า เครื่องประดับก็ต้องใส่น้อยกว่าด้วย ปัจจุบันหญิงสาวสมัยใหม่ โดยเฉพาะคนที่เข้าไปทำงานในเมืองจะแต่งกายแบบคนพื้นราบ แต่เมื่อเข้าร่วมพิธีกรรม ทั้งเด็กหญิงและหญิงสาวก็นิยมแต่งชุดประจำเผ่าของตน แม้ว่าปัจจุบันนี้ละว้าส่วนใหญ่จะแต่งกายตามสมัยนิยม แต่ลูกหญิงทุกคนยังต้องรู้จักการทอผ้า (หน้า 12) ทรงผม : หญิงละว้านิยมไว้ผมยาว ม้วนมวยหรือปล่อยยาวประดับปิ่นเงิน ผมด้านหน้านิยมแสกกลางติดกิ๊บดำหรือกิ๊บเงินสองข้าง นอกจากนี้บางหมู่บ้านนิยมการต่อปลายผมให้ยาวโดยใช้ผมจริงที่ตัดเก็บไว้ หญิงสูงอายุนิยมมวยผมต่ำแต่ไม่ทิ้งปลายผม เครื่องประดับ : สาวละว้านิยมสวมสร้อยติดคอ เป็นเชือกฝ้ายสีต่างๆ ยาวห้อยอยู่ด้านหลัง นิยมใส่ต่างหูเงินรูประฆังหงาย (โบระ) บางหมู่บ้านนิยมใส่ต่างหูงาช้าง สาวๆ นิยมต่างหูไหมพรมยาวถึงไหล่สีเหลือง แดง ส้ม นอกจากนี้ยังมีสร้อยลูกปัดร้อยโยงระหว่างต่างหู หญิงละว้าส่วนใหญ่จะสวมสกุนลอง (กำไลเส้นเล็กทำด้วยฝ้ายเคลือบยาลงรักหรือสีน้ำมันเป็นสีดำ) ครั้งละหลายวงบนผ้าพันแข้ง นอกจากนี้ยังมี "สกุนเลีย" เป็นกำไลทองเหลือง มี เสลียงเป็นกำไลต้นแขน และเบรย-กำไลข้อมือเป็นเงินรูปเกลียว กล่องสูบยา "โม๊ค" ตกแต่งด้วย แผ่นเงินและแกะไม้แบบธรรมดาเป็นเครื่องใช้ติดตัวของหญิงละว้าอายุ 30 ปี ขึ้นไป (หน้า 11-13) |
|
Folklore |
ตามตำนานพื้นเมืองเดิมเล่าว่า สมัยพระยาวีวอ ภูติผีปีศาจมารบกวนละว้าจนร้อนถึงพระอินทร์ต้องทรงประทานความช่วยเหลือ ทรงขอให้ละว้าถือศีล ละว้า 9 ตระกูลรับอาสาถือศีลจนบ้านเมืองเงียบสงบ พระอินทร์จึงประทานบ่อเงิน บ่อทองและบ่อแก้วให้ละว้า 9 ตระกูลก็แบ่งหน้าที่กันปกครองอาณาจักรละว้าโบราณ ก่อนได้รับการสถาปนาเป็นนครพิงค์เชียงใหม่สมัยพระยามังราย หลังจากพระยามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่บริเวณดอยสุเทพแล้ว ทรงรับอิทธิพลบูชาเสาอินทขิลซึ่งถือเป็นเสาหลักเมืองจากพวกละว้า มีการแต่งเครื่องบรรณาการให้เสนาที่พูดภาษาละว้าได้ไปหาพญาละว้าบนดอย อุชุบรรพต พญาละว้าแนะนำให้บูชากุมภัณฑ์และเสาอินทขิลเพื่อให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข (อ้างอิง ธนจรรย์ สุระมณี 2539 : 10) (หน้า 6 - 7) นอกจากนี้ยังปรากฏเรื่องเล่าจากตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ว่า สมัยพระเจ้ากาวิละฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ ได้จัดให้คนละว้าเดินจูงหมาเข้าเมืองก่อนหน้าพระองค์ ดังความว่า "...แล้วเถิงเวลายามแตรจักใกล้เที่ยง ท้าวก็ยกเอาหมู่ยศบริวารเข้าเวียงหลวง ด้านประตูช้างเผือกหนเหนือหื้อละว้า จูงหมาพาแขกเข้าก่อนไปสถิตย์สำราญนอนเชียงขวางหน้าวัดเชียงหมั้นได้คืนหนึ่ง..." (อ้างอิง ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ 2514:106 อ้างใน อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว 2538:17) (หน้า 7) ส่วนหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งของเมืองเชียงตุง เกี่ยวกับตำนานพญามังรายพบว่า เดิมเมืองเชียงตุงเป็นถิ่นที่อยู่ของละว้า พระยามังรายเสด็จประพาสล่าสัตว์ พบเมืองอันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ จึงปรารถนาจะสร้างเมือง และได้สลักรูปพรานจูงหมาพาไถ้ไว้บนดอย จากนั้นเสด็จกลับเชียงรายและส่งกองทัพไปปราบละว้าจนได้รับชัยชนะ หลังสร้างหอคำที่เวียงแก้วแล้วเสร็จ ก็ทำพิธีนั่งเมืองโดยให้พวกละว้ามาทานข้าวบนหอคำแล้วจัดคนถือแส้ไปขับไล่ ให้พระยาน้ำท่วมนั่งหอคำแทน กลายเป็นพิธีที่ปฏิบัติกันสืบมาในเชียงตุง (อ้างถึงใน สุริยา รัตนกุล 2527) (หน้า 6-7) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
จิตสำนึกและอัตลักษณ์ด้านชาติพันธุ์ อันเป็นลักษณะเด่นที่สะท้อนความเป็นละว้าผ่านตำนานตามประวัติศาสตร์ บ่งถึงความเป็นเผ่าพันธุ์ดั้งเดิม และความเชื่อเรื่องการนับถือผีและการเลี้ยงผีที่สะท้อนผ่านพิธีกรรมต่างๆ ที่ดูจะผสานกลืนเป็นเนื้อเดียวกับวิถีชีวิตประจำวันของละว้า |
|
Social Cultural and Identity Change |
เป็นที่น่าสังเกตว่า อิทธิพลจากคนพื้นราบต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชาวเขาเผ่าละว้า จะปรากฏให้เห็นผ่านการปกครอง การแต่งกาย งานวรรณกรรมมุขปาฐะไปจนถึงประเพณีการสักหมึก และการสูบ ในส่วนของการปกครอง เมื่อสังคมเปลี่ยนไป อิทธิพลของผู้นำตามลัทธิธรรมเนียมเดิม ซึ่งได้มาจากการแต่งตั้งในสายตระกูลชนชั้นขุนของละว้า "ซะมังสูงสุด" ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากอดีตจนถึงปัจจุบันจะปรากฏนัยยะของความสัมพันธ์ตามบทบาทหน้าที่แบบ "ผลัดกันนำผลัดกันตาม" กับผู้นำที่ได้รับการแต่งตั้งจากส่วนราชการอย่างเป็นทางการ อย่างกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม (หน้า 19) สำหรับการแต่งกาย ปัจจุบันหญิงสาวสมัยใหม่โดยเฉพาะคนที่เข้าไปทำงานในเมือง จะแต่งกายแบบคนพื้นราบทั่วไป ละว้าส่วนใหญ่เองจะแต่งกายตามสมัยนิยม (หน้า 12) งานวรรณกรรมในรูปมุขปาฐะ เช่น บทกวี "ละซอมแล" อันเป็นมรดกทาง วัฒนธรรมทางภาษาที่น่าสนใจ กลับไม่ค่อยได้รับความสนใจสืบทอดเมื่อสังคมเปลี่ยนไปทั้งๆ ที่เป็นสิ่งที่บ่งถึงเอกลักษณ์และความเจริญของกลุ่มชาติพันธุ์ละว้าว่ามีความเจริญมาตั้งแต่สมัยโบราณ จนถึงขั้นสร้างวรรณคดีไว้เป็นวรรณกรรมมุขปาฐะ (หน้า 10, 12) ในส่วนของประเพณีการสักหมึก จะปรากฎแก่สายตาสาวได้เต็มที่เมื่อเล่นชวงละมางในพิธีศพ ซึ่งต้องถกขากางเกงขึ้นมาจนเห็นรอยสัก ในปัจจุบันนั้น คนหนุ่มไม่นิยมสักหมึกแล้ว (หน้า 13) หญิงละว้าอายุ 30 ปีขึ้นไปนิยมสูบกล้องมาก ส่วนผู้ชายสูบกล้องน้อย ส่วนใหญ่นิยมพกถุงยาเส้นไว้ติดตัวและพับแผ่นกระดาษไว้สำหรับมวนบุหรี่-มวนยาเส้นด้วยกระดาษทุกชนิดที่หาได้ มีการใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ที่ห่อของจากเมือง หรือกระดาษสมุดนักเรียน เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไปวัฒนธรรมการสูบยาเส้น สูบกล้อง ก็เปลี่ยนมาเป็นความนิยมสูบบุหรี่ซองที่มีขายตามท้องตลาดทั่วไปด้วย (หน้า 15) |
|
Map/Illustration |
ตาราง : ตารางแสดงเสียงสระประสมและระบบการออกเสียงในภาษาละว้า (หน้า9 - 10) รูปภาพ : บริเวณระเบียงบ้านละว้า (หน้า5) การตั้งเสาสะกังใหม่ (ละว้าบ้านช่างหม้อ) (หน้า7) หญิงละว้านั่งล้อมวง(หน้า9) การแต่งกายของหญิงละว้า (หน้า11) สาวละว้ากับเครื่องประดับ-ต่างหูงาช้าง/ การแต่งกายของผู้ชายละว้า/ มีดด้ามงาช้าง (หน้า12) เญียะยู-ศาลาผี(หน้า13) บ้านเรือนของละว้า (หน้า14) การกรอด้าย (หน้า15) การทอผ้า (หน้า16) การหาของป่า-เพาะปลูก (หน้า17) พิธีเสี่ยงทายในพื้นที่ไร่(ดีคัย) (หน้า18) แปลงปลูกผัก (หน้า19) ประเพณีพิธีกรรม (หน้า22-23) การเล่นชวงละมางและมฮลอก (หน้า24) พิธีศพ (หน้า25) การประกอบอาหารในพิธี (หน้า26) เครื่องส่งเคราะห์จากพิธีแต่งงาน/อุปกรณ์อยู่ไฟ(หน้า27) การอยู่ไฟ (หน้า28-29) |
|
|