สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาหู่,ประวัติศาสตร์,วิถีชีวิต,ภาคเหนือ
Author โสฬส ศิริไสย์
Title สารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์ : ลาฮู
Document Type หนังสือ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 32 Year 2539
Source สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล
Abstract

เนื้อหาส่วนใหญ่ครอบคลุมประเด็นต่างๆ ที่สะท้อนถึงความเป็นชาติพันธุ์ของลาฮู ทั้งในด้านคติความเชื่อ ตำนาน ขนบประเพณี พิธีกรรม ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ บทบาทของผู้นำทางศาสนาในฐานะนักปกครอง ซึ่งมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตตลอดถึงกระบวนการ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมลาฮูแบบเดิม เมื่อชุมชนลาฮูถูกครอบงำด้วยกระแส "ความทันสมัย" จากปรัชญาวัตถุนิยมบริโภค

Focus

เน้นศึกษาวิจัยถึงกลุ่มชาติพันธุ์ลาฮูในด้านเอกลักษณ์ทางภาษาและวัฒนธรรม รวมถึงวิถีชีวิตที่เกี่ยวโยงกับคติความเชื่อ - ประเพณี - พิธีกรรมของลาฮู

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ลาหู่ หรือลาฮู เป็นคำที่กลุ่มชาติพันธุ์นี้ เรียกตัวเอง แต่ถูกเรียกต่าง ๆ กันโดยกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ เช่น ไทใหญ่เรียก มูเซอ จีน(ยูนนาน) เรียก หลอเหย

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาลาฮูอยู่ในกลุ่มเดียวกับลีซอ (Lisu) และอีก้อ หรือ อาข่า (Akha) (กลุ่มชนที่พูดภาษาธิเบต-พม่า แขนงโลโลกลาง) มีระบบการเรียงคำต่างจากภาษาไทย แต่เหมือนภาษาพม่าเพราะมาจากภาษาตระกูลเดียวกัน แต่ภาษาลาฮูไม่มีตัวสะกดและไม่มีเสียงพยัญชนะท้าย ทำให้คนลาฮูพูดภาษาไทยไม่มีเสียงตัวสะกดท้ายคำ ภาษาลาฮูมีเสียงพยัญชนะถึง 28 หน่วยเสียง วรรณยุกต์ 7 เสียง (ในขณะที่ - ภาษาไทยตัวสะกดมี 21 หน่วยเสียง) (หน้า 8, 12-13 ตารางลักษณะเสียง)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ชุมชนลาฮูมีถิ่นฐานเดิมอยู่ในจีนและธิเบต เคยมีความเจริญรุ่งเรืองและปกครองตนเองตามประเพณีนิยมและความเชื่อของเผ่า (ในต้นศตวรรษที่ 19 จีนได้ให้อำนาจการปกครองตนเองแก่ลาฮู (จากผลการศึกษาของ Anthony R. Walker (1974) โดยให้หัวหน้าเผ่าเป็นผู้รับสาสน์ตราตั้งจากพระเจ้าจักรพรรดิ และต้องส่งเครื่องบรรณาการไปสวามิภักดิ์ต่อกษัตริย์จีน ลาฮูคงความเป็นอิสระมานานจนจีนยกเลิกการปกครองระบบจักรพรรดิและเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่รัฐบาลจีนส่งตัวแทนซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปปกครองท้องถิ่นในดินแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งลาฮูส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทำให้ผู้นำเดิมสูญเสียบทบาท ลาฮูกลุ่มหนึ่งไม่พอใจจึงก่อการกบฏ แต่กลับถูกรัฐบาลจีนปราบปรามอย่างรุนแรง ลาฮูส่วนหนึ่งพ่ายแพ้และยอมรับอำนาจการครอบครองและการผสมผสานกับวัฒนธรรมจีนแต่ลาฮูอีกส่วนหนึ่งปฏิเสธการครอบงำดังกล่าวแล้วอพยพลงมาทางตอนใต้ เข้ามาอยู่ในดินแดนแคว้นเชียงตุงของพม่าและไทยในที่สุด อีกสาเหตุหนึ่งในการอพยพ อาจเป็นเพราะ ชาวตะวันตกเข้ามาเผยแพร่ศาสนาและชักชวนให้อพยพจากพม่าและจีนเข้าสู่ภาคเหนือของไทย เพื่อแสวงหาที่ทำกินแห่งใหม่ไปเรื่อย ๆ ผู้วิจัยตั้งข้อสันนิษฐานว่า อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ลาฮูเคลื่อนสู่ดินแดนของไทยโดยไม่รู้ตัว (หน้า 8,20)

Settlement Pattern

ชุมชนลาฮูตั้งหมู่บ้านอยู่บนไหล่เขาสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 800 เมตร เป็นชุมชนขนาดเล็กไม่เกิน 30 ครัวเรือน หรือประมาณ 150 คน (หน้า 15)

บ้านเรือน : รูปแบบดั้งเดิมของบ้านลาฮูที่สร้างด้วยวัสดุง่าย ๆ เช่น ไม้ไผ่เริ่มสูญหายไปเรื่อย ๆ ตามการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมลาฮูในอดีตจะไม่นิยมโค่นต้นไม้ขนาดใหญ่มาแปรรูปสร้างบ้าน เนื่องจากถือว่าไม้ขนาดใหญ่มีเจ้าของ ลาฮูแบ่งพื้นที่ใช้สอยในบ้านอย่างเป็นสัดส่วน

ส่วนที่หนึ่งจะเป็นพื้นที่สำหรับก่อไฟ หุงหาอาหารและให้ความอบอุ่นในฤดูหนาวใช้พื้นที่ส่วนนี้รับประทานอาหารและสันทนาการ

ส่วนที่สอง ใช้เป็นสถานที่หลับนอนของสมาชิกในครัวเรือนรวมทั้งแขกผู้มาเยือน และยังใช้เป็นที่แขวนเสื้อผ้าด้วย

ส่วนที่สามจะถูกกั้นด้วยฟากไม้ไผ่เพื่อใช้ เป็นห้องนอนและสถานที่ประกอบพิธีกรรม ถือเป็นพื้นที่ส่วนตัวของสมาชิกในครัวเรือน บ้านลาฮูมีทั้งที่ปลูกติดพื้นดินและยกพื้นสูง ปูพื้นและกั้นฝาด้วยไม้ไผ่เช่นเดียวกัน ส่วนใต้ถุนบ้านก็ใช้เป็นสถานที่เก็บสิ่งของเครื่องใช้รวมทั้งสัตว์เลี้ยง ลาฮูนิยมทำชานเรือนยื่นออกมาหน้าบ้าน เพื่อใช้เป็นสถานที่พักผ่อน และเป็นลานตากผลผลิตทางการเกษตร เช่น ข้าวเปลือกหรือพริก ปัจจุบันลาฮูที่มีฐานะดีจะหันมานิยมปลูกบ้าน ตามแบบอย่างคนไทยพื้นราบ (หน้า 18-19)

Demography

ประชากรลาฮูมีการอพยพเคลื่อนย้ายเพื่อแสวงหาที่ดินทำกินใหม่ทุกๆ 7-8 ปี (หน้า 8) ในประเทศไทยมีจำนวนประชากรลาฮูรวม 82,158 คน(จากสถิติกองสงเคราะห์ชาวเขา ปี 2538) (หน้า 14)

Economy

แต่เดิม ระบบเศรษฐกิจของชุมชนลาฮูเป็นสังคมเกษตรเพื่อการยังชีพ ความอยู่รอด ขึ้นอยู่กับธรรมชาติ เริ่มเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่มีโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตขององค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนในด้านต่าง ๆ อาทิ โครงการหลวงที่ช่วยส่งเสริมให้ลาฮูตั้งถิ่นฐานถาวรและประกอบอาชีพที่มั่นคง ทำให้ลาฮูมีรายได้เลี้ยงตนเองนอกเหนือจากการเพาะปลูกและล่าสัตว์เพื่อยังชีพ

การเพาะปลูก : ลาฮูจะปลูกข้าวไร่ พริก มะเขือ ข้าวโพด และล่าสัตว์หลังฤดูเก็บเกี่ยวเพื่อยังชีพ เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไปจนถึงต้นฤดูฝน

ลาฮูมีวิธีการนำน้ำจากลำธารบนยอดเขามาใช้ เพื่อการอุปโภคบริโภคด้วยการต่อรางไม้ไผ่จากลำธารหรือแหล่งน้ำพุเข้าสู่หมู่บ้าน และใช้กระบอกไม้ไผ่ขนาดใหญ่สำหรับเป็นภาชนะเก็บกักน้ำ เมื่อหน่วยงานภาครัฐเข้าช่วย ชุมชนลาฮูจึงมีถังคอนกรีตเก็บกักน้ำไว้บริโภค ลาฮูมีระบบการแบ่งสันปันส่วนอย่างยุติธรรม ทุกครอบครัวในชุมชนจะได้รับการแบ่งสันปันส่วนทั่วถึง ซึ่งเป็นบรรทัดฐานของการกระจายทรัพยากรที่ทุกคนมีหน้าที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด หากใครฝ่าฝืนถือว่าเห็นแก่ตัว จะได้รับการลงโทษทางสังคม

การล่าสัตว์ : ลาฮูจะออกล่าสัตว์หลังฤดูเก็บเกี่ยว เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป และกิจกรรมการล่าสัตว์จะถี่มากขึ้นช่วงเดือนกุมภาพันธ์เรื่อยไปจนถึงต้นฤดูฝน ชาวไร่จะแผ้วถางป่าเพื่อปลูกข้าว ทำให้สัตว์ป่าโดยเฉพาะเก้งมีพื้นที่หลบภัยจำกัด คนที่สามารถยิงได้จะได้รับส่วนแบ่งพิเศษ คือหัวและหนังของสัตว์ ส่วนเจ้าของสุนัขที่เป็นหัวหน้าฝูงจะได้รับส่วนแบ่งพิเศษ โดยมากจะเป็นเนื้อส่วนขา เนื้อส่วนที่เหลือจากส่วนแบ่งพิเศษจำนำมาแบ่งให้เท่ากันทุกคน (หน้า 9 - 11,26)

Social Organization

สถาบันครอบครัวของลาฮูเป็นระบบครอบครัวเดี่ยว ไม่ปรากฏว่าลาฮูถือกฎระเบียบการสืบสายสกุลอย่างเคร่งครัด ภายในครอบครัวหนึ่ง ๆ ประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูกและผู้สูงอายุซึ่งเป็นญาติฝ่ายหญิงอาศัยอยู่ด้วย ผู้ชายลาฮูจะต้องย้ายเข้าไปอยู่กับครอบครัวฝ่ายหญิง เพื่อทำงานตอบแทนพ่อแม่ของฝ่ายหญิงก่อนประมาณ 2-3 ปี จึงสามารถแยกตัวไปตั้งครอบครัวของตนใหม่ หรือไม่ฝ่ายชายก็ต้องจ่ายเงินทดแทนให้แก่บิดามารดาของฝ่ายหญิงตามแต่จะตกลงกัน ลาฮูนิยมการมีครอบครัวแบบผัวเดียวเมียเดียว หนุ่มสาวลาฮูสามารถนัดพบกันได้เสรี แต่มีข้อกำหนดว่าหากมีบุคคลที่สามไปพบเข้า จะถือว่า "ผิดผี" ต้องนำเงินไปทำบุญกับผู้นำทางศาสนาเพื่อล้างบาปหรือที่เรียกว่า "ป๊ะแก่" ข้อกำหนดดังกล่าวเป็นกลไกการควบคุมให้หนุ่มสาวลาฮูต้องระมัดระวัง พฤติกรรมการแสดงออกเรื่องเพศอีกทางหนึ่ง

ลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งของสังคม ลาฮูคือ ไม่มีความเหลื่อมล้ำด้านสถานภาพทางเพศ เราอาจเห็นผู้ชายเข้าครัวทำกับข้าวและเลี้ยงลูกเช่นเดียวกับผู้หญิง ส่วนเพศหญิงก็สามารถประกอบพิธีกรรมทางศาสนา โดยอ้างอำนาจพระเจ้ากื่อชาตามความเชื่อที่นับถือได้ แม้ว่าจะไม่ได้รับการยอมรับกว้างขวางเช่นเดียวกับเพศชาย (หน้า 24-25)

Political Organization

ลาฮูกลุ่มซึ่งสืบเชื้อสายมาจากกลุ่มที่อพยพมาจากจีน รับวัฒนธรรมการปกครองมาจากชนไทใหญ่ในรัฐฉาน ผู้นำที่มีฐานะทางสังคมสูงเรียกกว่า "พญา" (จากผลการศึกษาของ Walker ที่รับรายงานจากร้อยเอก McLeod นายทหารฝ่ายข่าวกรองของอังกฤษ ซึ่งบันทึกไว้เมื่อปี ค.ศ.1837) (หน้า 21) จากประวัติศาสตร์การปกครองและการต่อสู้ ให้พ้นจากการตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของจีนและอังกฤษ ลาฮูจะมีผู้นำทางศาสนาดำเนินบทบาทหน้าที่เป็นทั้งผู้นำทั้งทางโลกและทางธรรม นำขบวนการเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อเสรีภาพจากการครอบงำทางการปกครองและทางศาสนา (หน้า 8, 20-23)

Belief System

ลาฮูเชื่อในเรื่องที่มาของชีวิตและธรรมชาติ ซึ่งตกผลึกอยู่ในรูปคำสอนและคติความเชื่อตามลักษณะสังคมเกษตรแบบดั้งเดิม ชุมชนแต่ละแห่งจะมีศาสนสถานเรียกว่า "หอเหย่" เป็นสถานที่ประกอบกิจกรรมทางศาสนาของชุมชน ตำแหน่งผู้นำ ทางศาสนา ในหมู่บ้านเรียกว่า "โตโบ" มาจากคำว่า "ต๋นบุญ" ในภาษาไทยถิ่นเหนือ เป็นตำแหน่ง สูงสุด บางครั้งก็พบว่า ลาฮูเรียกผู้นำทางศาสนาด้วยคำรวม ๆ ว่า "ปู่จอง" เรียกผู้หญิง ที่ทำหน้าที่ว่า "แม่จอง" มีตำแหน่งผู้ช่วยเรียกว่า "อาจา" (อาจารย์) "สล่า" (มาจาก "สย่า" แปลว่า ผู้ชำนาญการ) และ "ลาฉ่อ" (เป็นผู้ช่วย) อาจกล่าวได้ว่า ในบรรดาไทยภูเขาทั้งหมด ชนเผ่าลาฮูยังคงยึดมั่นในวิถีทางที่ บรรพบุรุษสร้างสมถ่ายทอดคติความเชื่อ และขนบธรรมเนียมประเพณีทางศาสนาของตนอย่างเหนียวแน่น คนลาฮูจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของปู่จองอย่างเคร่งครัด ลาฮูจะไปชุมนุมกันที่หอเหย่ ศาสนสถานประจำหมู่บ้าน ทุกวันขึ้นและแรม 15 ค่ำ เพื่ออยู่ศีล โดยเฉพาะวันศีลก่อกองทราย วันเข้าพรรษาและวันออกพรรษา มีการเต้นรำบวงสรวงเทพเจ้ากื่อชาเรียกว่า "ป้อยเตเว" หรือ "จะคึ" บางครั้งผู้นำจะสวด "ป๊ะแก่" วิถีชีวิตโดยทั่วไปของลาฮู โดยมากจะเกี่ยวพันอยู่กับกิจกรรมศาสนาหลักๆ 3 ประการคือ การแสวงบุญ การสะเดาะเคราะห์ และการอยู่ศีลเพื่อล้างบาปทุก ๆ 15 วัน ลาฮูชอบเดินทางรอนแรมไปถิ่นไกลเพื่อ "เฝ้าพระเจ้า" การแสวงบุญเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นให้ผู้นำทางศาสนาบางคนฉกฉวยเอาสถานการณ์ดังกล่าว มาใช้เป็นเงื่อนไขในการหลอมรวมอำนาจ ปู่จองประจำหมู่บ้านจะเป็นผู้ให้คำปรึกษา ในการทำบุญสะเดาะเคราะห์ ชี้ถูกชี้ผิดแก่บริวาร สวดมนต์ล้างบาปให้เกิดความบริสุทธิ์และแนะนำให้ทำพิธีเซ่นไหว้ผีเมื่อชาวบ้านเจ็บป่วย (หน้า 26-28)

Education and Socialization

กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม มักเปลี่ยนแปลงไปตามศูนย์อำนาจที่เริ่มเคลื่อนย้ายจากความเป็นท้องถิ่นไปอยู่กับส่วนกลาง สังคมลาฮูก็ได้รับอิทธิพลและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วยเช่นกัน ผู้วิจัยกล่าวถึงนโยบายกว้าง ๆ ของภาครัฐต่อชาวเขาว่า เมื่อรัฐบาลไทยใช้ "นโยบายรวมพวก" (integration policy) (2 มิถุนายน 2502) โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของไทยภูเขาให้สูงทัดเทียมกับคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ โดยมากมักเป็นนโยบายเน้นหนักในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น การสร้างถนนหนทางเชื่อมระหว่างชุมชนเมืองกับชุมชนไทยภูเขา การพัฒนาเศรษฐกิจสังคมด้วยการส่งเสริมปลูกพืชทดแทนฝิ่น การให้การศึกษาและการบริการสุขภาพอนามัย การพัฒนาต่าง ๆ เหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทยภูเขา (หน้า 29) แต่เดิม ผู้นำศาสนากุมอำนาจทางสังคมไว้ได้มากที่สุด ด้วยการสะสมผลิตผลส่วนเกิน เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงจากวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมสู่ความทันสมัย อำนาจของสถาบันผู้นำทางศาสนากลับถูกท้าทายจากแนวคิดแบบวัตถุนิยม อันเป็นผลจากการพัฒนาค่านิยมเปลี่ยนแปลงไป พ่อแม่นิยมส่งบุตรหลานเรียนจบชั้นสูง ๆ เป็นผลให้สถาบันครอบครัวสูญเสียบทบาทในการอบรมสั่งสอน การถ่ายทอดวิถีการดำรงชีวิตและมรดกทางวัฒนธรรมไปโดยปริยาย เริ่มเกิดช่องว่างทางสังคม เมื่อชาวเขาหันมาใช้ชีวิตอย่าง คนพื้นราบ ละทิ้งค่านิยมดีงามของบรรพบุรุษ เริ่มแสวงหาความมั่งคั่งทางวัตถุเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยการเข้ามาค้าขายแรงงานในตัวเมือง วิถีชีวิตของลาฮูเริ่มสับสนและซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อตกเป็นเหยื่อของกระแส "ความทันสมัย" แห่งสังคมบริโภคและวัตถุนิยมที่รุกคืบ สถาบันผู้นำอาวุโสในหมู่บ้าน ซึ่งเคยทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยกรณีพิพาท ปรับไหมผู้กระทำความผิด และถ่ายทอดขนบธรรมเนียมประเพณีแก่สมาชิกในชุมชน ด้วยการสั่งสอน และประกอบพิธีกรรมร่วมกันเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสังคม ต่างก็ได้รับผลกระทบจากอำนาจรัฐแผ่ขยายสู่ชุมชน ซึ่งใช้กฎเกณฑ์ระเบียบใหม่เป็นบรรทัดฐาน แทนระบบจารีตประเพณีดั้งเดิม สถาบันดั้งเดิมของชุมชนก็ถูกลดบทบาทลงเรื่อย ๆ อย่างไรก็ดี ศาสนาดั้งเดิมของชุมชนซึ่งนับถือพระเจ้ากื่อชา ยังคงเป็นศูนย์กลางของการรวมพลังรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมไว้ เป็นสถาบันสุดท้ายที่ตอบโต้การดูดกลืนกระแสวัฒนธรรมภายนอก (หน้า 29-30)

Health and Medicine

คติความเชื่อดั้งเดิมของลาฮูในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ จะมีร่างทรงซึ่งเป็นตัวแทนของพระเจ้าเรียกว่า "เหมาะนะโตโบ" ทำหน้าที่ช่วยล้างบาปและบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ โดยเฉพาะการติดยาเสพติด มีการเดินทางไปแสวงบุญที่ดอยลางหรือไปเฝ้าพระเจ้า โดยนำเงินหรือสิ่งของมีค่าไปเซ่นไหว้ ไม่ต่างจากการที่คนไทยเดินทางไปเฝ้าเกจิอาจารย์เพื่อให้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ (หน้า 22)

ชุมชนลาฮูยังคงนิยมปลูกฝิ่นเป็นยาสมุนไพร บรรเทาอาการโรคหลายชนิด เช่น หืดหอบ โรคปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ รวมทั้งใช้บรรเทาอาการเจ็บปวดอื่น ๆ เนื่องจากชุมชนลาฮูอยู่ห่างไกลเข้าถึงบริการทางการแพทย์แผนใหม่ลำบาก จึงใช้การสูบฝิ่นเป็นทางเลือกหนึ่ง (หน้า 10)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกาย ตามประเพณีของลาฮูจะแต่งกายแตกต่างกันไปตามแต่ละกลุ่ม 

ลาฮูญี หรือมูเซอแดง ผู้หญิงแต่งกายด้วยผ้าถุงและเสื้อแขนกระบอก ตกแต่งด้วยริ้วสีแดงและสีฟ้าเป็นหลัก ส่วนเพศชายก็จะแต่งกายด้วยกางเกงสีฟ้าคล้ายกางเกงขาก๊วย เพื่อความสะดวกสบายในการเดินขึ้นลงภูเขา

ลาฮูนะ หรือ มูเซอดำ ผู้หญิงจะแต่งกายด้วยเสื้อสีดำคล้ายเสื้อคลุมผ่าอกยาวถึงน่อง คาดด้วยแถบสีขาวและกางเกงสีดำรัดรูป เพศชายแต่งกายคล้ายลาฮูญี

ปัจจุบันลาฮูส่วนใหญ่ละทิ้งเครื่องแต่งกายประจำเผ่าหันมานิยมซื้อเสื้อผ้าจากตลาดในเมืองมากขึ้น แต่จะแต่งตามแบบประเพณีในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่เรียกว่า "ปีกิน" (เขาะจ้าเว) ซึ่งจัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี (หน้า 16-17)

Folklore

วัฒนธรรมที่ผูกพันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ สะท้อนผ่าน "วรรณกรรมปากเปล่า" ซึ่งผู้นำทางศาสนามักสอนว่า "กระดูกของเราเป็นก้อนหิน เนื้อหนังของเราเป็นดิน สายเลือดเป็นสายน้ำ ลมหายใจเป็นอากาศ และความอบอุ่นในกายเป็นแสงแดด" ดินเป็นตัวแทนธรรมชาติที่มีความผูกพันใกล้ชิดกับมนุษย์ เพราะดินเป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่ง จึงถูกมนุษย์อุปมาเป็นเพศหญิงเรียกแม่ธรณีว่า "กื่อมา" ส่วนคู่ตรงข้ามถูกเพศชายซึ่งเป็นเจ้า (patriarchy) ผู้สร้างมายาให้แก่สังคม ยึดเอาเป็นสัญลักษณ์ของตน และกล่าวถึงการกำเนิดของชีวิตในจักรวาลว่า "พระเจ้ากื่อชาเนรมิตให้เกิดแผ่นดินขึ้นมา แล้วก็ใช้ไม้เท้าเฆี่ยนตีลงไปบนพื้นดินและหิน จนกระทั่งเกิดมีน้ำไหลออกมาทำให้เกิดต้นไม้เกิดมนุษย์และสัตว์ต่าง ๆ ขึ้นมาบนโลกนี้ "ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ว่า ตำนานเกี่ยวกับการสร้างโลกและจักรวาลของลาฮู เป็นเหมือนกับปฏิกิริยาเพศสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตเพศผู้กับเพศเมีย เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นว่า ชนพื้นเมืองมีภูมิรู้เกี่ยวกับที่มาของชีวิตและธรรมชาติอย่างรู้แจ้งแทงตลอด ตกผลึกใน รูปคำสอนและศาสนาดั้งเดิม จึงไม่มีเหตุผลที่จะไปเหมาเอาว่า คำสอนเหล่านี้เป็นเรื่อง "งมงายไร้สาระ" เสียทั้งหมด (หน้า 26)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

จิตสำนึกและอัคลักษณ์ความเป็นชนเผ่าลาฮู ผูกโยงอยู่กับคติความเชื่อ การเคารพบูชาพระเจ้า การนับถือผี และการให้ความสำคัญกับธรรมชาติ เหล่านี้เป็นส่วนที่สะท้อนผ่านพิธีกรรม ศาสนสถาน ขนบธรรมเนียมประเพณีพิธีกรรมแบบดั้งเดิมของชนเผ่า ตลอดถึงการสะท้อนผ่านงานวรรณกรรมปากเปล่า

Social Cultural and Identity Change

ชุมชนลาฮูมักรับเอาวัฒนธรรมจากชนชาติอื่นเข้ามาปะปนกับวัฒนธรรมดั้งเดิมอยู่เรื่อยๆ บางครั้งก็เกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ระหว่างวัฒนธรรมดั้งเดิมของท้องถิ่นกับวัฒนธรรมภายนอก ผู้นำทางศาสนาของลาฮูได้ใช้สภาวการณ์ดังกล่าวมาเป็น เงื่อนไขในการหลอมรวมอำนาจศักดิ์สิทธิ์เพื่อต่อต้านวัฒนธรรมจากภายนอก เรียกว่า "พระเจ้าลง" หากวิธีการนี้ยุติ ประเพณีดั้งเดิมและข้อห้ามของชุมชน ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ด้านเผ่าพันธุ์ลาฮูก็อาจสูญหายหรือเปลี่ยนแปลงไป (หน้า 15)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนผัง : แสดงความสัมพันธ์เชิงประวัติศาสตร์ของภาษาลาฮุกับภาษาอื่น ๆ (12) ตาราง : หน่วยเสียงใช้สัญลักษณ์ของ International Phonetic Alphabet (IPA) ตำแหน่งลิ้นและหน่วยเสียง (13) รูปภาพ: ผู้สูงอายุลาฮู (6) ทำเลที่ตั้งชุมชนตามไหล่เขา (6-7) การทำนาแบบขั้นบันได (8) น้ำประปาที่ต่อท่อลงมาจากภูเขา/ พื้นที่การเกษตรที่ปลูกข้าวไร่และพืชผัก /ข้าวไร่ (9) ดอกฝิ่น / การสูบฝิ่น / สุนัขเลี้ยง (10) การแบ่งสันปันส่วนเนื้อสัตว์( 11) หญิงลาฮู / ลาฮูกับชุดแต่งกายประจำเผ่า / ลานกลางแจ้ง (15) การแต่งกายของมูเซอแดง (16-17) ลักษณะบ้านและที่อยู่อาศัย (18-19) ประเพณี-พิธีกรรม (20-21) การแสวงบุญ/ผู้นำทางศาสนา/ อุปกรณ์ในพิธีสะเดาะเคราะห์ (22-23) สภาพวิถีชีวิตของลาฮู(24-25) พิธีเซ่นไหว้/เลี้ยงผีประจำหมู่บ้าน/การผูกข้อมือเรียกขวัญ/การเต้นรำ (26-28) เด็กนักเรียนลาฮู/ ควาย / วิถีชีวิตลาฮู (29 - 30)

Text Analyst เสาวนีย์ ศรีทับทิม Date of Report 01 พ.ย. 2555
TAG ลาหู่, ประวัติศาสตร์, วิถีชีวิต, ภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง