สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาหู่,มูเซอ,ประวัติศาสตร์,วัฒนธรรม,อัตลักษณ์ชาติพันธุ์,ภาคเหนือ
Author สมัย สุทธิธรรม
Title มูเซอ
Document Type หนังสือ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 67 Year 2541
Source พิมพ์ที่บริษัทเลิฟแอนด์ลิฟเพรส จำกัด, กรุงเทพ.
Abstract

เนื้อหาเน้นศึกษาถึงลักษณะพิเศษของชนเผ่ามูเซอในส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบ ความเชื่อ วิถีชีวิตอันสะท้อนผ่านประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ ตำนาน สภาพสังคม วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี พิธีกรรม ภาษา สถาปัตยกรรมและการแต่งกาย

Focus

เอกลักษณ์ชาติพันธุ์ของชนเผ่ามูเซอและวิถีชีวิต

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

มูเซอ หมายถึง "พรานป่า" เป็นชาวเขาเผ่าหนึ่งที่ไม่มีแซ่สกุล (หน้าคำนำ) มีเชื้อสายทิเบต-พม่าหรือเป็นเชื้อสายมาจากพวกโลโลซึ่งชาวจีนเรียกว่า "ล่าหู่" หมายถึง "สถานที่แบ่งเนื้อเสือ" (หน้า 9) ในประเทศต่าง ๆ ได้แบ่งชนเผ่าลีซอเป็นกลุ่มย่อย ๆ ได้ถึง 23 กลุ่ม ดังนี้ 1.ล่าหู่ไกสี 2.ล่าหู่นะ (มูเซอดำ) 3.ล่าหู่คะคา 4.ล่าหู่อาแล 5.ล่าหู่นะเพ 6.ล่าหู่ปานาย 7.ล่าหู่ละฮู 8.ล่าหู่ลอเม 9.ล่าหู่นะเมียว 10.ล่าหู่อะคออะก่า 11.ล่าหู่ฌีนะเกียว 12.ล่าหู่ฌีบาเกียว 13.ล่าหู่ฌีบาลา 14.ล่าหู่มือคิน 15.ล่าหู่บาฟา 16.ล่าหู่ลาบา 17.ล่าหู่พู 18.ล่าหู่อาพูบีลี 19.ล่าหู่ญี (มูเซอแดง) 20.ล่าหู่กุเลา 21.ล่าหู่วียะ 22.ล่าหู่ฮูลี 23.ล่าหู่เฌเล มีอยู่ 4 กลุ่มที่อพยพจากพม่าและลาวเข้ามาสู่ประเทศไทยเมื่อประมาณ 50-60 ปี มานี้ คือ ล่าหู่นะ (มูเซอดำ) ล่าหู่ญี (มูเซอแดง) ล่าหู่เฌเลและล่าหู่ฌี (มูเซอเหลือง หรือมูเซอกุ๊ย) แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ ล่าหู่ฌีบาลา และล่าหู่ฌีบาเกียว (หน้า 41-42) มูเซอดำ หรือ "ล่าหู่นะ" เป็นกลุ่มแรกที่พบในเขต อ.ฝาง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ว่ากันว่า เป็นมูเซอกลุ่มดั้งเดิมที่สืบเชื้อสาย มาจากบรรพบุรุษในยูนนานและพม่า มูเซอดำเกือบทั้งหมดในประเทศไทยนับถือคริสต์ศาสนา มูเซอเฌเล "เฌเล" เป็นคำดั้งเดิมที่มูเซอแดงใช้เรียกขานชนกลุ่มนี้ แต่พวกมูเซอเฌเลจะเรียกตนเองว่า "ล่าหู่นะมื่อ" แบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ ได้ 3 กลุ่ม คือ มูเซอพะคอ มูเซอหมะลอ มูเซอนะมื่อ นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังอ้างถึงมูเซอกุเลาหรือ ล่าหู่กุเลา ว่าเป็นพวกมูเซอขาว (หน้า 23, 24,27,29,31)

Language and Linguistic Affiliations

มูเซอมีภาษาพูดของตนเอง ลักษณะใกล้เคียงกับภาษาของเผ่าอีก้อและภาษาลีซออยู่มาก ลักษณะภาษาของมูเซอ มักจะเป็นคำโดด ๆ พยางค์เดียวไม่มีเสียงพยัญชนะสะกด มีเสียงสูงต่ำเพียง 3 เสียงเท่านั้น (หน้า 47-48)

Study Period (Data Collection)

ไม่ได้ระบุชัดเจน เพียงแต่อ้างอิงถึงปีที่ทำการสำรวจจำนวนประชากร พ.ศ.2523

History of the Group and Community

มูเซอได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานครั้งแรกในเขตแดนไทยเมื่อปี พ.ศ.2418 หรือร้อยกว่าปีมาแล้ว (หน้า10) กล่าวกันว่า มูเซออพยพลงมาอยู่ทางตอนเหนือของมณฑลยูนนานบริเวณดินแดนทิเบตแตกสาขาตระกูล บางกลุ่มอพยพลงมา ทางใต้ตั้งอาณาจักรแล้วเรียกตัวเองว่า "ล่าหู่" ในช่วงศตวรรษที่ 17-18 มูเซอถูกจีนรุกราน ใช้กำลังกดขี่ จนจำต้อง อพยพลงมาทางใต้แล้วตั้งอาณาจักรอิสระขึ้นบริเวณเขตแดนระหว่างจีน-พม่า บริเวณรัฐว้ากับรัฐซูเมา ในปี พ.ศ.2433 ถูกจีนรุกรานและขับไล่อีก จนต้องถอยร่นหนีลงมาทางใต้และเข้าไปอยู่ในเขตพม่า (ซึ่งขณะนั้นตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ) รวมถึงเขตลาว (หน้า 8-9) เผ่ามูเซอมีความสามารถเป็นนักรบได้ดี เคยเข้าร่วมรบกับกองทัพอังกฤษในพม่า เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือแม้แต่ทำสงครามกับจีน พวกมูเซอได้รับการยกย่องว่ามีความเข้มแข็ง สามารถต่อต้านจีนจนเป็นอิสระอยู่ในยูนนาน กล่าวกันว่า มูเซอ ในพม่าเคยสู้รบกับกองทหารที่อพยพเข้าไปจากเขตแดนไทยร่วมกับพวกอีก้อจนได้รับชัยชนะ (หน้า 39) การอพยพเข้าสู่เขตประเทศไทยของมูเซอส่วนใหญ่ เกิดขึ้นเมื่อ 50-60 ปีมานี้ เนื่องจากพม่าเกิดปัญหาทางการเมืองขึ้น การอพยพของพวกมูเซอ ในครั้งนั้น ส่วนใหญ่มาจากเชียงตุงในรัฐไทยใหญ่ของพม่าเข้ามาอาศัยอยู่ตามบริเวณพรมแดนไทย-พม่าบนเทือกเขาสูง ต่อมาพวกมิชชันนารีเดินทาง มาพบมูเซอและชักจูงให้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 9)

Settlement Pattern

มูเซออพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานครั้งแรกในเขตไทยเมื่อปี พ.ศ.2418 (หน้า 10) ปกติจะตั้งหมู่บ้านอยู่ในที่สูงประมาณ 3,000 ฟุต ความสูงต่ำกว่าของม้ง การเลือกทำเลหมู่บ้านมักไม่พิถีพิถัน มูเซอมักตั้งหมู่บ้านอยู่ใกล้แหล่งน้ำ สำหรับพื้นที่เพาะปลูกอยู่ห่างจากตัวหมู่บ้าน มักเลือกหาทำเลที่อุดมสมบูรณ์ ก่อนตัดสินใจหัวหน้ามูเซอจะสอบถามหมู่บ้านบริเวณใกล้เคียง เพื่อให้แน่ใจว่าบริเวณนั้นยังไม่เคยมีการตั้งหมู่บ้านมาก่อน และมีการทำพิธีไหว้ขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทางก่อนจัดแบ่งพื้นที่เพื่อปลูกสร้างบ้านเรือน โดยจะเริ่มปลูกจากบ้านผู้นำศาสนาก่อน แล้วมาช่วยกันสร้างให้เสร็จภายในวันเดียว หลังจากนั้นจึงปลูกสร้างบ้านของตนเองปล่อยให้มีที่ว่างเป็นลานประกอบพิธีกรรม หรือลานเต้นรำและสร้างศาลผีประจำหมู่บ้าน เพื่อคุ้มครองดูแลสมาชิกในหมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่งๆ มีจำนวน 5-10 หลังคาเรือน มูเซอมักจะย้ายหมู่บ้านเสมอ (หน้า 13-16) บ้านอยู่อาศัย ลักษณะโดยทั่วไปของบ้านมูเซอเป็นบ้านยกพื้นสูงจากพื้นดิน หลังคาหน้าจั่ว มุงด้วยหญ้าคาหรือใบก่อ ปัจจุบันมูเซอมักปลูกสร้างบ้านอย่างคนพื้นราบ คือ ใช้สังกะสีมุงหลังคา ตัวบ้านเป็นปูนซีเมนต์ ไม่นิยมสร้างบ้านคร่อมทับจอมปลวก การสร้างบ้านจะทำให้แล้วเสร็จภายในวันเดียว จะสร้างบ้านขึ้นรอบๆ บ้านของผู้นำทางศาสนา ภายในบ้านของมูเซอแต่ละกลุ่มจะแตกต่างกันไป แต่โดยปกติแล้วจะมีชานบ้านหรือระเบียงบ้าน ภายในตัวบ้านแบ่งออกเป็นสองห้องใหญ่ ตรงกลาง มีเตาไฟเป็นกองสี่เหลี่ยมภายในบ้าน มีหิ้งบูชาผี "บ่อปา" อยู่ที่มุมด้านในห้องนอน หน้าห้องเป็นที่วางเครื่องเซ่นบูชาต่างๆ ข้างห้องบูชาผีเป็นที่นอนของหัวหน้าครอบครัว ซึ่งเป็นเขตหวงห้ามมิให้ผู้อื่นเข้าไป มีเตาไฟอยู่ภายในห้องอีกเตาเรียกว่า "คาตุซือ" เป็นที่รวมของทุกชีวิตในครัวเรือน ใช้เป็นที่หุงต้มอาหารและให้ความอบอุ่น การต้อนรับแขกจะต้อนรับที่ห้องภายนอกหรือระเบียงบ้าน แล้วแต่ความเหมาะสม บ้านมูเซอนอกจากจะเป็นที่อยู่อาศัยพักผ่อนหลับนอนแล้ว ยังเป็นที่เก็บสะสมทรัพย์สมบัติต่างๆ เช่น เป็นที่เก็บเมล็ดพันธุ์พืชและผลผลิตต่างๆ เป็นที่ซุกซ่อนฝิ่น เป็นที่ประกอบพิธีกรรม รวมถึงเป็นสถานที่ตัดสินคดีความอีกด้วยบ้านจึงมีความผูกพันแนบแน่นกับชีวิตของมูเซอ (หน้า 20-21) บ้านมูเซอกุ้ย และมูเซอกุเลามักมีขนาดใหญ่กว่าบ้านมูเซอกลุ่มอื่นๆ บ้านมูเซอดำมีขนาดเล็กกว่าบ้านมูเซอแดง ส่วนบ้านมูเซอเฌเลจะมีหลังคาลาดต่ำลงมากโดยปกติบ้านมูเซอไม่มีรั้วล้อมบ้านเหมือนบ้านเผ่าอาข่าหรืออีก้อ (หน้า 19)

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

มูเซอมีอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ผู้ชายและผู้หญิงจะทำงานหนักพอๆ กันในไร่ เพาะปลูก ถางป่าไม้ ทำไร่ข้าวโพด ผัก ถั่ว งา และปลูกฝิ่นเป็นอาชีพเสริมไปด้วยในบางพื้นที่ พืชหลัก เช่น ข้าวไร่ ข้าวโพด และพืชผักสวนครัวตามฤดูกาล พืชรอง เช่น ฝิ่น พริก งา ละหุ่ง ถั่วแดง กาแฟ ท้อ และยาสูบ พืชเหล่านี้จะเริ่มปลูกในเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายน และเริ่มเก็บเกี่ยวในเดือนกันยายนถึงตุลาคม การปลูกฝิ่นของมูเซอเริ่มในเดือนกันยายนหรือตุลาคม กรีดยางฝิ่นในเดือนมกราคมหรือกุมภาพันธ์ในพื้นที่ปลูกข้าวโพด ไร่ฝิ่นที่ให้ผลดีจะมีความสูงระยะ 3,000-4,000 ฟุตจากระดับน้ำทะเล ปัจจุบันมูเซอส่วนใหญ่เลิกปลูกฝิ่นแล้ว นอกจากนี้ มูเซอยังทำไร่เลื่อนลอย เมื่อดินจืดก็จะย้ายไปหักร้างถามพงที่ใหม่เรื่อยไปนอกจากอาชีพการเพาะปลูกพืชไร่แล้ว มูเซอยังนิยมเลี้ยงสัตว์ เช่น วัว ควาย หมู ไก่ แต่มิได้ยึดเป็นอาชีพ เป็นการเลี้ยงไว้ใช้ทำพิธีทางศาสนาของหมู่บ้าน (หน้า 43-47)

Social Organization

ครัวเรือนของมูเซอ อยู่ภายใต้การนำของหัวหน้าครอบครัวที่เรียกว่า "เมเซปา" เกี่ยวพันกันเป็นระบบเครือญาติ มีความสัมพันธ์มั่นคง มีหัวหน้าชุมชนหรือหัวหน้า หมู่บ้านเรียก "คาเชปา" เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบกฎระเบียบภายในหมู่บ้าน ครอบครัวมูเซอเป็นครอบครัวแบบขยาย ประกอบด้วยหัวหน้าครอบครัว ภรรยา บุตร บุตรเขยและหลาน ผู้ชายจะใกล้ชิดกับญาติฝ่ายบิดามากกว่าฝ่ายมารดา ผู้หญิงจะใกล้ชิดกับญาติฝ่ายมารดามากกว่าบิดา (หน้า 43) ตามปกติมูเซอจะยึดถือการแต่งงานแบบผัวเดียวเมียเดียว ถ้าต้องการมีคู่ใหม่จะต้องหย่าขาดจากคู่เดิมเสียก่อน การแต่งงานเกิดจากความรักใคร่ชอบพอของคู่หนุ่มสาว มูเซอส่วนใหญ่จะแต่งงานกันเมื่ออายุยังน้อย การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานไม่ถือเป็นเรื่องเสียหาย แต่ควรมิดชิดพ้นสายตาผู้ใหญ่ หากถูกจับได้อาจถูกลงโทษถือว่าผิดกฎประเพณี หากฝ่ายหญิงตั้งครรภ์ทั้งคู่จะต้องถูกปรับ เมื่อตกลงใจกันแล้ว ฝ่ายชายจะส่งคนไปสู่ขอ หากพ่อแม่ฝ่ายหญิงตอบตกลง ทั้งคู่ก็จะไปทำพิธีต่อหน้า ผู้นำทางศาสนา การแต่งงานของมูเซอจะไม่มีค่าสินสอดใดๆ ค่าใช้จ่ายในงานเลี้ยงทั้งสองฝ่ายช่วยกันรับผิดชอบ หลังแต่งงาน ฝ่ายชายจะต้องไปอยู่กินกับฝ่ายเจ้าสาว เป็นเวลา 3 ปี ก่อนแยกเรือนไปอยู่อย่างอิสระ ในกรณีที่มีการหย่าร้างกัน ทั้งสองฝ่ายจะได้รับการแบ่งสมบัติเท่าๆ กัน โดยมีคนทั้งหมู่บ้านมาเป็นสักขีพยาน (หน้า 53-55) มูเซอมักชอบลูกสาวมากกว่าลูกชาย เพราะลูกสาวแต่งงานแล้วก็ยังอยู่กับพ่อแม่และนำลูกเขยมาเป็นแรงงาน หญิงมูเซอมักจะคลอดบุตรในบ้านตนเองโดยมีหญิงชาวบ้านที่ชำนาญทำคลอดมาช่วยโดยให้ค่าตอบแทนเป็นฝิ่น เงินหรือข้าวสาร หรืออาจจะเป็นสามีตัวเองทำคลอดในกรณีที่ไม่มีหมอตำแย (หน้า 56-57)

Political Organization

ในอดีตมูเซอปกครองแบบสังคมชนเผ่า มีผู้นำทางศาสนาปกครองมาถึง 36 คน สมัยศตวรรษที่ 17-18 (ปี 2463) เมื่อมะเฮ- ผู้นำมูเซอในพม่าก่อกบฏ และถูกปราบลงได้ใน ปี 2503 เหมาะนะ - ผู้นำมูเซอและมูเซออื่นๆ ในพม่าก็ได้เคลื่อนไหวอีก แต่ ถูกกำจัดลงในปี 2515 ต่อมามูเซอหันมาฟื้นฟูศาสนาประจำเผ่า โดยมี "เหมาะนะ" เป็นผู้นำทางศาสนาคนสำคัญ เรียกว่า "เหมาะนะดูโบ" หรือ "ปู่จองหลวง" เป็นบุคคลที่มูเซอให้ความเคารพยำเกรง เป็นผู้ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการนับถือศาสนาในกลุ่มของมูเซอในประเทศไทย ลักษณะพิเศษทางสังคมของผู้หญิงชนเผ่ามูเซอดีกว่าเผ่าอื่น คือ ให้สิทธิผู้หญิงมูเซอเท่าเทียมกันกับชายเกือบทุกกรณี (หน้าคำนำ) หญิงมูเซอมีสิทธิเท่าเทียมผู้ชาย เช่น มีสิทธิครอบครองสมบัติ สามารถเต้นรำร่วมกับชายได้ การแต่งงานต้องช่วยกันออกทั้งสองฝ่ายเท่าๆ กัน (หน้า 8, 10,37)

Belief System

มูเซอส่วนใหญ่เป็นพวกที่นับถือผีและเชื่อในสิ่งลึกลับเหนือธรรมชาติและเรื่องของภูตผีวิญญาณต่าง ๆ มูเซอมีความเชื่อถือเทพเจ้ากื่อซา มูเซอแดงถือว่า "เทพเจ้ากื่อซา" เป็นเทพเจ้าหรือพระเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์สูงสุด แต่หลังจากมีมิชชันนารีเข้ามาเผยแพร่ศาสนา ก็เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ นอกจากนี้ มูเซอยังมีความเชื่อในเรื่องภูติผีวิญญาณต่าง ๆ เช่น ผีบ้านผีเรือน ผีหมู่บ้านถือว่าเป็นผีดีเป็นผู้คุ้มครอง ผีน้ำ ผีป่า ผีดอยเป็นผีร้ายนำโรคภัยไข้เจ็บและความหายนะมาสู่พวกเขา มูเซอจะนิยมทำบุญประกอบพิธีกรรมผูกข้อมือ ฆ่าหมูหรือไก่เป็นเครื่องบูชาเซ่นสังเวยเสมอ ผู้นำทางศาสนามี 4 คนด้วยกันคือ ดูโบหรือ "ปู่จอง" เป็นผู้ดูแล "หอแหย่" สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์เพื่อติดต่อกับกื่อซา โดยมีผู้ช่วยอีก 3 คน คือ "สล่า" "อาจา" และ "ละฉ่อ" ซึ่งแต่ละคนก็ทำหน้าที่แตกต่างกันไป (หน้า 9,48-49,61) การก่อตั้งหมู่บ้าน จะต้องมีพิธีไหว้เจ้าที่เจ้าทางเพื่อขอขมาโทษ และขออนุญาตเข้าไปหักร้างถางพงเพื่อตั้งหมู่บ้าน ลานประกอบพิธีกรรมและลานเต้นรำเรียก "จะคึกื่อ" ผู้นำทางศาสนาจะสร้างศาลผีประจำหมู่บ้านเรียกว่า "แซมื่อ" ขึ้น เพื่อคุ้มครองดูแลสมาชิกในหมู่บ้านให้อยู่อย่างสุขสบาย โดยมีปู่จารหรือ "แก่ลู้" ซึ่งชำนาญในการประกอบพิธีกรรมเป็นผู้ดูแล นอกจากนี้ยังมี "แปตูป่า" หรือผู้จุดเทียนบูชา มีความสามารถในการสวดมนต์และติดต่อกับเทพเจ้ากื่อซาได้ คอยทำหน้าที่แทนปู่จาร คนสำคัญอีกคนคือ "หนี่ตีซอ" หรือหมอผีซึ่งมีความสามารถรอบรู้เรื่องคาถาอาคม ติดต่อกับผีปีศาจได้ และสามารถทำนายโรคภัยไข้เจ็บได้ด้วย ส่วนมูเซอแดงจะมีวัดมูเซอเรียกว่า "หอแหย่" หรือ "ฮอเย่" ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน การสร้างศาลผี (แซมื่อ) และวัดมูเซอ (หอแหย่) เป็นความเชื่อที่ประพฤติปฏิบัติสืบทอดต่อ ๆ กันมา สถานที่เหล่านี้ห้ามบุคคลภายนอกบุกรุก เข้าไปโดยลำพัง ห้ามไม่ให้จับต้องสิ่งของเครื่องเซ่นบูชาเทพเจ้า ห้ามผู้ใดเข้าไปตัดไม้ทำลายบริเวณ ใกล้ ๆ กับสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้อย่างเด็ดขาด (หน้า 15 -16,19,61,63) การปลูกสร้างบ้านจะต้องทำให้แล้วเสร็จภายในวันเดียว ช่วยกันสร้างให้ตรงกับวันหมา (พือญี้) วันไก่ (ก๊ะญี้) หรือวันวัว (นู่ญี้) ถือว่าจะอยู่ดีมีสุข มักหลีกเลี่ยงวัน ที่ตรงกับวันหมูหรือ "หวะญี้" ซึ่งเชื่อว่าเป็นเจ้าผีน้ำและวันเสือ "ล่าญี้" วันตาย "ซือญี้" แต่ละบ้านจะมีหิ้งบูชาผีประจำเรียกว่า "บ่อปา" (หน้า 18-20) มูเซอมีความเชื่อเกี่ยวกับการปลูกสร้างบ้าน เช่น มักไม่นิยมให้จั่วหลังคาบ้านตรงกันกับหลังอื่น เพราะอาจทำให้ผู้อยู่อาศัยเจ็บป่วยได้ในยามปกติ ห้ามยิงปืนในหมู่บ้านอย่างเด็ดขาด เพราะจะนำความตายมาสู่หมู่บ้านได้ เตาไฟภายในบ้านมูเซอถือเสมือนชีวิตและวิญญาณห้ามผู้ใดขึ้นไปเหยียบย่ำหรือทำลายเล่น (หน้า 64) บ้านของผู้นำมูเซอแดง หรือบ้านผู้นำทางศาสนา จะปักธงหางว่าวเอาไว้ให้เห็นเด่นชัด เพื่อแสดงตำแหน่งในหมู่บ้าน หากมีหมูมาคลอดลูกในหมู่บ้านถือว่าผิดปกติ จะนำความหายนะมาสู่ต้องฆ่าให้ตายหมด แล้วประกอบพิธีเลี้ยงผีบ้าน นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่า การที่มีไก่ขึ้นไปไข่บนหลังคา หรือมีสัตว์ป่าเช่น งู เก้ง เข้าไปในหมู่บ้านถือว่าเป็นสิ่งไม่ดี เป็นเรื่องผิดปกติผิดธรรมชาติ (หน้า 19, 65) ประเพณี ประเพณีกินปีใหม่ มูเซอเรียกว่า "เขาะจาเลอ" จัดขึ้นในเดือนมกราคม-มีนาคมของทุกปี ผู้นำเป็นผู้กำหนดวันประกอบพิธี โดยคำนึงถึงความพร้อมของสมาชิกในหมู่บ้านเป็นหลัก การประกอบพิธีบวงสรวงต่อเทพเจ้ากื่อซา มีการทำบุญและจัดงานเต้นรำรื่นเริงพร้อมรดน้ำดำหัวอวยพรผู้เฒ่าผู้แก่ มีการทำข้าวปุกหรือ "อ่อฟูแนะ" ขนมที่ เทพเจ้ากื่อซาโปรดปรานมาก (หน้า 51) ประเพณีกินข้าวใหม่ หรือ "จ่าลือจาเลอ" เริ่มเมื่อข้าวแตกรวงเดือนสิงหาคม-กันยายนของทุกปี เชื่อกันว่าผลผลิตภายในไร่ เช่น ข้าว เป็นสิ่งที่เทพเจ้ากื่อซาประทานมาให้ ผลผลิตมากน้อยขึ้นอยู่กับเทพเจ้าบันดาล การประกอบพิธีจะต้องทำขึ้นในวันขึ้น 12 ค่ำ -15 ค่ำ โดยกำหนดคืนที่พระจันทร์ส่องสว่างเต็มดวงเป็นวันประกอบพิธี ถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรือง ถ้าไม่มีประเพณีนี้ก็ไม่สามารถจะเกี่ยวข้าวมาบริโภคได้ มูเซอจะฆ่าหมูบูชาเทพเจ้ากื่อซา (หน้า 52-53) พิธีกรรม-ความเชื่อเกี่ยวกับการเกิดและการตาย - เมื่อเด็กไม่สบาย มูเซอจะเอาน้ำร้อนไปรดที่หลุมฝังรก เพราะเชื่อว่าเป็นการช่วยปกป้องรักษาเด็กวิธีหนึ่ง สำหรับความเชื่อเกี่ยวกับการคลอด หลังคลอดลูก แม่เด็กจะกินแต่ไก่ต้มเท่านั้น บางคนใช้ผักอุดจมูกไว้เพื่อไม่ให้ได้กลิ่นน้ำมัน เชื่อว่าจะทำให้มีน้ำนมมากพอให้ทารกกินได้ บ้านที่มีการคลอดลูกจะมีเฉลวผูกติดปลายไม้ปักที่เชิงบันได เชื่อว่าเป็นการป้องกันผีร้ายต่าง ๆ มิให้เข้ามาในบ้าน หรือห้ามบุคคลภายนอกเข้าบ้านในระหว่างที่มีการอยู่ไฟ (หน้า 56-57) การตั้งชื่อเด็กที่เกิดใหม่จะตั้งตามวันที่เกิด และจะทำพิธีตั้งชื่อในวันที่ 12 หลังจากเกิด เด็กผู้ชายจะตั้งชื่อนำหน้าว่า "จะ" เช่น จะก๊ะ (ผู้เกิดวันไก่) จะพือ (ผู้เกิดวันหมา) ส่วนเด็กผู้หญิงจะตั้งชื่อนำหน้าว่า "นะ" เช่น นะแล นะคือ เป็นต้น - มูเซอจะไม่นิยมนำศพไว้บนบ้านเกินหนึ่งคืน ถ้าผู้ตายเป็นผู้ใหญ่จะยิงปืนบอกกล่าวในหมู่บ้านให้รู้ทั่วกัน นิยมใส่เงินไว้ในปากศพเป็นค่าใช้จ่ายสู่ปรโลกและฆ่าหมู - ไก่ผูกติดลำไม้ไผ่ไปด้วยเพื่อให้ผู้ตายนำไปเลี้ยงในอีกโลกหนึ่ง โดยตัดอวัยวะบางส่วนของหมูและไก่เผาร่วมกับศพ พร้อมทรัพย์สินส่วนตัวบางอย่างของผู้ตายเผารวมไปด้วย ถ้าเป็นเด็กอ่อนจะนำไปฝังทันทีโดยไม่มีพิธีใดๆ ทั้งสิ้น โดยพ่อแม่หรือญาติจะนำผ้ามาห่อร่างเด็กใส่ไว้ในตะกร้าเก่า ๆ แบกไปที่ "ซอซิแค" หรือป่าช้าเพื่อขุดหลุมฝังและใช้ท่อนไม้ทับปากหลุมเป็นอันเสร็จพิธี (หน้า 57 -60)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

มูเซอไม่ค่อยรักษาความสะอาด แต่ก็ยังดีกว่าเผ่าอีก้อหรืออาข่าที่ไม่ค่อยจะอาบน้ำบ่อยนัก ทำให้มูเซอเกิดโรคภัยไข้เจ็บ อยู่บ่อย ๆ โรคที่พบเสมอคือ มาลาเรีย พยาธิ และโรคตา ส่วนใหญ่มีความเชื่อว่า เกิดจากการกระทำของภูตผีปีศาจหรืออำนาจ ลึกลับเหนือธรรมชาติ ยังรักษาด้วยหมอผี หมอยา เชื่อว่า สามารถทำพิธีขับไล่ผี ด้วยการเสกคาถาและเต้นรำ (หน้า 37)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกาย มูเซอแต่ละกลุ่มมีลักษณะการแต่งกายประจำเผ่าที่แตกต่างกัน มักนิยมผ้าพื้นสีดำตกแต่งด้วยผ้าสีแดง สีฟ้า สีเหลืองและสีขาว ปักลวดลายให้สวยงาม เครื่องแต่งกายของมูเซอหญิงจะเห็นชัดกว่าชาย เพราะปัจจุบันมูเซอผู้ชายมักจะหันมาแต่งกายอย่างคนพื้นราบเป็นบางส่วนมูเซอดำ หรือ "ล่าหู่นะ" ไม่ค่อยนิยมแต่งกายชุดประจำเผ่า นอกจากจะมีพิธีสำคัญในหมู่บ้าน เช่น แต่งงาน ฉลองคริสต์มาส ปีใหม่มูเซอ ผู้ชายมูเซอดำจะสวมกางเกงขายาวหลวม ๆ ตัดเย็บด้วยผ้าสีดำ ตกแต่งขลิบด้วยผ้าสีแดง ไม่นิยมสวมเครื่องประดับ ส่วนผู้หญิงจะสวมเสื้อสีดำยาวตลอดถึงข้อเท้า คอป้ายด้านข้างไม่ผ่าหน้า ตกแต่งลวดลายบนตัวเสื้อและแขนเสื้อด้วยผ้าสีต่าง ๆ และนุ่งผ้าซิ่นสีดำประดับลายลงบน ผ้าซิ่นด้วยสีต่าง ๆ (หน้า 23-24) มูเซอแดง หรือ "ล่าหู่ญี" ผู้ชายจะสวมเสื้อซึ่งมีสาบเสื้อด้านหน้าเดินเส้นเป็นลวดลายสลับสีรูปสามเหลี่ยมติดกันตั้งแต่รอบคอลงมา เรียกว่า "อาขะแล้ดีเลอ" และติดเหรียญเงินเป็นแถวยาวทับบนลายผ้าด้านหน้า เครื่องแต่งกายแต่เดิมนิยมใช้สีดำล้วน ปัจจุบันนิยมประดิษฐ์ลายดอกด้วยผ้าสี เย็บขลิบที่ปลายขากางเกง เรียกว่า "ฮาคือมือ" สำหรับเครื่องแต่งกายของหญิงมูเซอแดงเป็นสีดำแต่งด้วยแถบสีแดง มีลวดลายประดับเหรียญเงินขนาดใหญ่ทาบติดด้านหน้า เป็นเครื่องหมายแสดงความเป็นหญิงสาวและความมีฐานะ ด้านหลัง มีเหรียญเงินรูปีเย็นติดไว้กับตัวเสื้อเป็นแถบยาว ประดับกระดุมเงินที่แขน เสื้อทั้งสองข้างเพื่อความสวยงาม ส่วนใหญ่มูเซอมักจะใส่เสื้อผ้าแต่ตัวเต็มที่ในวันสำคัญๆ และสวมใส่ชุดเก่าๆ ไปทำงานไม่นิยมเครื่องประดับ (หน้า 24-25) มูเซอเฌเล แบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ มูเซอพะคอ มูเซอหมะลอ มูเซอนะมื่อ ทั้งสามกลุ่มจะแต่งกายคล้ายๆ กัน ทั้งชายหญิงแต่งกายด้วยผ้าสีดำ มักใช้เข็มขัดทำด้วยผ้าสีแดงเป็นซองยาว สำหรับซุกของมีค่าต่างๆ มูเซอเฌเลนิยมสวมรองเท้ายางหุ้มข้อสีน้ำตาล แขนเสื้อใช้แถบผ้าสีแดงสลับขาวหรือสีน้ำเงินเหลืองทาบติดไว้ตลอดแขน นิยมสวมกางเกงคล้ายผู้ชายสวมผ้าพันแข็ง มีแถบขาวทาบติดเอวไว้ด้านบนด้านล่าง มักใช้ผ้าขนหนูพันรอบศีรษะคล้ายหมวก (หน้า 27, 29) มูเซอกุเลา หรือล่าหู่กุเลา เป็นพวกมูเซอขาว แต่งกายคล้ายมูเซอดำโดยดูจากชุดแต่งกายของผู้ชาย วันสำคัญทางศาสนาจะแต่งชุดขาว โดยเฉพาะหญิงสูงอายุ ผู้ชายมูเซอกุเลาจะใช้ผ้าสีแดงคาดเอว ผู้หญิงมักนุ่งผ้าซิ่นสีดำทาบสีแดง ชายผ้านุ่งคาดด้วยผ้าสีขาว แดง และน้ำเงิน เย็บเป็นลวดลาย (หน้า 29, 31) มูเซอฌี หรือ "ล่าหู่ฌี" เป็นมูเซอเหลือง หรือมูเซอกุ๊ย แบ่งเป็น มูเซอฌีบาลา และ มูเซอฌีบาเกียว มูเซอฌีบาลา ไม่มีเครื่องแต่งกายที่เป็นสัญลักษณ์ประจำเผ่าแน่นอน ส่วนใหญ่จะเป็นชุดสีดำ มีผ้าแถบสีเหลืองเย็บทาบติดไว้ ผู้ชายใส่เสื้อดำกางเกงคล้ายของคนในรัฐฉานพม่า ส่วนผู้หญิงจะนุ่งผ้าซิ่นแบบไทยใหญ่ เท่าที่พบในประเทศไทย จะแต่งกายตามแบบคนไทยพื้นราบ ส่วนมูเซอฌีบาเกียวจะแต่งกายคล้ายมูเซอแดงหรือพวกลีซอ (หน้า 31, 33) เครื่องดนตรี เครื่องดนตรีของมูเซอเป็นเครื่องเป่าแคน เรียก "หน่อกู่มา" ซึ่งทำจากลำไม้ไผ่ ประกอบกับลูกน้ำเต้าใช้เป่าประกอบการเต้นรำ การเต้นรำของมูเซอจะเต้นรำอยู่ รอบวงนอกในโอกาสสำคัญ ๆ เช่น การฉลองปีใหม่ วันกินข้าวใหม่ หรือวันสำคัญ ทางศาสนา (หน้า 39, 41)

Folklore

มูเซอมีตำนานเก่าแก่ที่เล่าขานถึง ผีฟ้า หรือ "งือชา" ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นผู้สร้างโลกดิน น้ำ ลม ไฟ รวมถึงพืชและสัตว์ต่างๆ ถือกัน ว่าเป็นเทพเจ้าของมูเซอตามตำนานเล่าว่า "งือชา" หรือผีฟ้าสร้างมนุษย์ผู้ชายรูปร่างคล้ายลิงขึ้นมาก่อนแล้วค่อยๆ สร้างมนุษย์ผู้หญิงรูปร่างคล้ายนางเงือกขึ้นมาทีหลัง ทั้งสองรักใคร่เป็นสามีภรรยากัน เมื่อน้ำท่วมโลก ทั้งคู่ก็ได้เข้าไปอาศัยอยู่ในน้ำเต้า ยักษ์จนรอดชีวิตมาได้มีบุตรด้วยกันถึง 100 คน เป็นชาย 50 คน และหญิง 50 คน หลังจากน้ำแห้ง ลูกน้ำเต้ายักษ์ได้ลอยไป ติดอยู่บนยอดเขาหิมาลัย คน 100 คน ได้พากันออกมาจากน้ำเต้ายักษ์ จับคู่และแยกย้ายกันไปตั้งถิ่นฐานในที่ต่างๆ เป็นต้นตระกูลของมนุษย์ต่อมา (หน้า 7)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ภาพหุบเขา (14) สภาพบ้านของมูเซอในประเทศไทย (15) ชีวิตกลางหุบเขา (16), หมู่บ้านมูเซอญี/มูเซอเฌเล (17) บ้านของมูเซอ (18), มูเซอแต่งกายอย่างคนพื้นราบ (19)

Text Analyst เสาวนีย์ ศรีทับทิม Date of Report 02 ก.ค. 2564
TAG ลาหู่, มูเซอ, ประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, อัตลักษณ์ชาติพันธุ์, ภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง