สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ผู้ไท ภูไท,ผี,ชีวิต,ความตาย,โครงสร้างหน้าที่,พุทธ,วาทกรรม,ตัวตน,มายาคติ,สกลนคร
Author พิเชฐ สายพันธ์
Title ผู้ไท
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ผู้ไท ภูไท, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 30 Year 2545
Source วารสารสังคมวิทยามานุษยวิทยา ปีที่ 21 ฉบับที่ 1: พ.ศ.2545 (หน้า125-154)
Abstract

          การอธิบายความหมายและวิพากษ์กรอบแนวคิดที่ครอบงำ วาทกรรมในส่วนของชีวิตและความตายของผู้ไท รวมถึงการอธิบายความหมาย "ตัวตนของผู้ไท"

Focus

          เน้นการวิพากษ์ การอธิบายความคิดเรื่องผีของผู้ไท ด้วยการดูความหมายจากวาทกรรมเรื่องชีวิตและความตายของผู้ไท

Theoretical Issues

          ผู้วิจัยวิพากษ์กรอบแนวคิดที่ปรากฏในงานเอกสาร ซึ่งมักเป็นการให้คำอธิบายและให้ความหมายผ่านวาทกรรม ภายใต้กรอบแนวคิดเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ และกรอบวิวัฒนาการ โดยอาจแบ่งตามมุมมองการนำเสนอในประเด็นต่าง ๆ ได้ดังนี้ 1) พิธีกรรมแห่งความตาย ความเชื่อในเรื่องวิญญาณและการนับถือผีของผู้ไท เป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมให้ระบบความเชื่อภายใต้วาทกรรมตามกรอบแนวคิดเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ (หน้า 147) คำอธิบาย "ความเป็นตัวตนของผีผู้ไท" และชีวิตหลังความตาย ได้แสดงให้เห็นถึงการจัดประเภทผีในสังคมผู้ไท และมีการกำหนดหน้าที่ระหว่างกัน คือ คนผู้ไทต้องเซ่นไหว้บูชาผี และผีเองก็มีหน้าที่คุ้มครองดูแล ปกป้องบ้านเรือน ลูกหลานให้อยู่เย็นเป็นสุขปลอดภัย ผีแต่ละแบบจะมีหน้าที่แตกต่างกันไป เช่น ผีนาจะช่วยคุ้มครองต้นข้าวให้อุดมสมบูรณ์ ผีปู่ตามีหน้าที่คุ้มครองชุมชนและผู้คนให้อยู่อย่างสงบสุข หน้าที่ต่อกันเหล่านี้ เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยกำกับโครงสร้างสังคมมิให้ล่มสลาย อย่างไรก็ดี ผู้วิจัยมีมุมมองว่า ตามกรอบแนวคิดนี้ ทำให้ตัวตนของคนผู้ไทเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดและควบคุมได้ สังคมที่มีการจัดระเบียบชัดเจนเช่นนี้ ส่งผลต่อวิถีปฏิบัติในการดำเนินชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นผลมาจากโครงสร้างทางความเชื่อถูกกำหนดไว้ตามคติพุทธและอำนาจเหนือธรรมชาติจากผี ซึ่งผู้วิจัยเห็นว่า เป็นการถูกปิดบังด้วยวาทกรรมแห่งโครงสร้าง-หน้าที่ (หน้า 148-149) 2 ) ในประเด็นของพื้นที่หลังความตาย ความพยายามในการสร้างตัวตนในแบบพุทธไม่สามารถครอบงำและไม่เคยทำลายตัวตนในแบบผีได้สิ้นเชิง (หน้า 129) ทั้งนี้ เนื่องมาจากชีวิตหลังความตายในกรอบความเชื่อแบบผีได้สร้าง "พื้นที่ทางสังคม" และแสดงตำแหน่งแห่งที่ของผีหรือวิญญาณ โดยสามารถอ้างอิงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ผูกพันอยู่กับสังคมเดิมที่คนผู้ไทเคยมีชีวิตอยู่ได้อย่างชัดเจน ในขณะที่ความเชื่อแบบพุทธได้ทำให้ตัวตนหลังความตายเลือนหายไปอยู่ใน "พื้นที่นอกสังคม" ซึ่งคลุมเครือและไม่สามารถอ้างอิงตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ได้ชัดเจนเท่าระบบความเชื่อแบบผี (หน้า 150 -153) 3) การประเมินคุณค่าภายใต้กรอบของวิวัฒนาการ และอิทธิพลของกรอบมาตรฐานที่ถูกกำหนดจากศูนย์กลาง วาทกรรมจากฝ่ายสงฆ์กลายเป็นตัวแทนของระเบียบในมาตรฐานที่ถูกกำหนดจากศูนย์กลางและถูกมองว่ามีฐานะที่สูงกว่า วาทกรรมฝ่ายสงฆ์ได้สร้างคำอธิบายเกี่ยวกับความเชื่อของผู้ไทจากการประเมินคุณค่าอย่างกว้างๆ ว่าวัฒนธรรมใดมีฐานะดีกว่ากัน นัยหนึ่งได้แสดงให้เห็นถึงประเด็นความเป็นศูนย์กลางและความเป็นชายขอบ สังคมผู้ไทถูกให้คุณค่าที่ผลิตขึ้นมาภายใต้ระบบความเชื่อของศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นระบบระเบียบที่ศูนย์กลางเข้าควบคุมท้องถิ่น พระสงฆ์กลายเป็นตัวแทนของสถาบันศูนย์กลางที่ควบคุมมาตรฐานทางจริยธรรมตามกรอบพุทธศาสนา ความคิดแบบนี้เป็นแนวคิดตามกรอบวิวัฒนาการ คือ วัฒนธรรมผู้ไทพัฒนาจากสังคมที่ด้อยกว่าเพราะการนับถือผี ไปสู่สังคมที่เจริญหรือมีอารยะขึ้นที่นับถือพุทธศาสนา ศาสนากลายเป็นเครื่องชี้วัดความเจริญ และทำให้คนท้องถิ่นหลุดพ้นจากความมืดบอด จึงอาจกล่าวได้ว่า เป็นการสะท้อนถึงการใช้ศาสนาพุทธเป็นเครื่องมือทางการเมือง ให้เป็นอำนาจทำลายตัวตน "พวกภูไทย" ที่นับถือผีให้สูญสลายไป แม้จะไม่สามารถครอบงำและทำลายได้อย่างสิ้นเชิง แต่วาทกรรมก็บ่งถึงการมิได้ยอมรับ "การนับถือผีของพวกภูไทย" อย่างสิ้นเชิง (หน้า 127-130) ผู้วิจัยตั้งข้อสังเกตว่า มีความพยายามใช้วาทกรรม "ความเป็นศูนย์กลาง" ครอบงำและ มีบทบาทเหนือวาทกรรม "ความเป็นท้องถิ่น" โดยอ้างอิงผ่านการสร้างมายาคติ เรื่องเล่า ตำนานและพิธีกรรม ผ่านการสร้างวาทกรรมที่แสดงฐานะของความเป็นผู้ที่เหนือกว่าในลักษณะของความพยายามเข้าครอบงำ (dominate) ดังนั้น ผู้ถูกครอบงำจะถูกปฏิบัติ ในฐานะเป็นผู้ที่ด้อยกว่า การนำพุทธศาสนามาเป็นเครื่องมือในการจัดระเบียบสังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่น ก็เพื่อให้อยู่ในมาตรฐานชุดเดียวกัน นอกจากนี้ วาทกรรมผ่านมายาคติในเรื่องเล่าได้ทำให้การนับถือพุทธศาสนามีฐานะที่อยู่เหนือกว่าการนับถือผี โดยใช้คำเรียกว่า "พวก" เช่น "พวกผี" "พวกภูไทย" แสดงความหมายของ "ความเป็นอื่น" เป็นการลดทอนและสลายความเป็นตัวตน และต้องถูกปฏิรูปใหม่ตามความเห็นจากผู้ปกครองที่อยู่ในศูนย์กลาง เป็น "ตัวตน" ที่ศูนย์กลางต้องการจะให้เป็น (หน้า 135-136) นอกจากนี้ การจัดระเบียบเข้าหมวดหมู่เมื่องานเขียนนั้นถูกตีพิมพ์เผยแพร่โดยบุคคลที่เป็นตัวแทนจากศูนย์กลาง ก็ได้แสดงให้เห็นถึงการประเมินคุณค่าภายใต้กรอบมาตรฐานวัฒนธรรมจากศูนย์กลาง ผู้วิจัยได้อธิบายความหมายว่า "เสียง" ที่พระโพธิวงศาจารย์นำเสนอเรื่องราวที่เกิดขึ้นในมณฑลตะวันออก มีท่าทีแตกต่างจาก "เสียง" ของศูนย์กลางที่มีต่อเรื่องเดียวกัน มีการจัดระเบียบเรื่องราวให้เข้ากับหมวดหมู่ที่แต่ละฝ่ายเห็นว่าสอดคล้อง พระโพธิวงศาจารย์ได้กำหนดเรื่องราวไว้ในระเบียบชุด "ประเพณีของชาวมณฑลตะวันออก" ในขณะที่เมื่อถูกนำมาตีพิมพ์เผยแพร่โดยศูนย์กลางกลับถูกจัดไว้ในระเบียบชุด "ลัทธิธรรมเนียม" ซึ่งความหมายจากศูนย์กลางสะท้อนว่าเป็นเพียง "เรื่องแปลกๆ" ผู้วิจัยให้ความเห็นว่า ท่าทีที่ถูกกำหนดให้มองเรื่องแปลกของ "พวกภูไทย" เป็นการมองด้วยความพยายามที่จะยอมรับคนต่างวัฒนธรรมที่อยู่ห่างไกล ให้เข้ามาเป็นพวกเดียวกัน โดยใช้ "มาตรฐานจากวัฒนธรรมของศูนย์กลาง" เป็นการนำเสนอแกนเรื่องชองกลุ่มชาติพันธุ์ ในพ.ศ.2469 เมื่อเรื่องของ "พวกภูไทย" เป็นเรื่องของกลุ่มสังคมที่ศูนย์กลางไม่เคยรับรู้มาก่อน (หน้า 133-135) คำอธิบายต่าง ๆ นำไปสู่ข้อสรุปที่ว่า ผู้วิจัยมองว่ากรอบทฤษฎีแบบเดิมคือ โครงสร้างและหน้าที่นิยมเชิงกลไก เป็นการลดทอนความเป็นตัวตนของสังคมผู้ไทย ให้เป็นเพียงภาพตัวแทนซึ่งมีหน้าที่ในการธำรงสังคม ไม่ต่างจากเครื่องจักร โดยกล่าวว่า งานศึกษาทั้งสองเรื่องได้สร้างภาพตัวแทนของผีและพุทธในแบบที่ถูกเลือกไว้แล้ว และต่างก็มีหน้าที่ในการทำให้สังคมดำรงอยู่ ผี กับพุทธในความหมายนี้จึงไม่ต่างจากอุปกรณ์ชนิดหนึ่งของเครื่องจักรนั่นเอง เป็น "ภาพลวงตาที่สวยงามของโครงสร้างและหน้าที่" และนับเป็น "การลดทอนความเป็นตัวตนของสังคมผู้ไทย" ประเด็นก็คือ การนำเสนอแนวคิดที่ว่าระเบียบและโครงสร้าง ไม่ใช่สิ่งที่คงที่ตายตัว และมีเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกปะปนอยู่มาก (หน้า 139-140,148) ผู้วิจัยมองว่า คำอธิบายในงานทั้งสอง มองข้ามการเชื่อมโยงมิติทางด้านอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สิ่งที่เป็นพฤติกรรมทางสังคมกับสิ่งที่เป็นอารมณ์และความรู้สึกถูกแยกส่วนออกจากกันโดยสิ้นเชิง (หน้า 141) ซึ่งประเด็นนี้ ผู้วิจัยต้องการ ตั้งคำถามต่อการศึกษาเรื่องความเชื่อ ซึ่งมีมิติของเรื่องอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องว่า กลับถูก "ตรวจวัดคุณค่า" ด้วยกรอบความคิดทฤษฎี "หน้าที่นิยม" อันเป็นกรอบการมองสังคมที่มีลักษณะเป็นกลไกซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีทางสังคมในกลุ่มเดียวกับ Max และ Weber นับเป็นการใช้กรอบแนวคิดเชิงกลไกนิยม ซึ่งกลายเป็นจุดอ่อนทำให้เกิดความสัมพันธ์ทางสังคมแบบเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ด้วยการเอาชนะเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ เป็นโครงสร้างที่จำลองมาจากลักษณะของเครื่องจักร ไม่ต่างจากสังคมที่เปรียบเป็นวัตถุ สะท้อนระบบคิดที่ยึดมั่นศรัทธาในวิทยาศาสตร์สุดขั้ว ปรากฏในสังคมตะวันตกแบบทุนนิยม (หน้า 137-139)

Ethnic Group in the Focus

          ผู้ไท (ภูไทย) ใน อ. พรรณนานิคม และ อ.กุสุมาลย์ จ.สกลนคร

Language and Linguistic Affiliations

          ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

          ไม่ระบุ

History of the Group and Community

          ไม่มีข้อมูล

Settlement Pattern

          ไม่มีข้อมูล

Demography

          ไม่มีข้อมูล

Economy

          ไม่มีข้อมูล

Social Organization

          ไม่มีข้อมูล

Political Organization

          ไม่มีข้อมูล

Belief System

          ผู้วิจัยวิพากษ์ถึงการสร้างคำอธิบายเรื่อง "ตัวตนของผู้ไท" ที่ทำให้คุณค่าของพุทธศาสนาถูกประเมินว่ามีฐานะเหนือกว่าคุณค่า ของการนับถือผี (หน้า 129) และให้คำอธิบายความหมายของพิธีกรรมแห่งความตาย ความเชื่อในเรื่องวิญญาณและการนับถือ ผีของผู้ไทว่า ถูกทำให้สงบนิ่งด้วยการจัดระเบียบและมีหน้าที่เฉพาะ โดยมีพุทธศาสนาสร้างความชอบธรรมให้ระบบความเชื่อชุดนี้ (หน้า 147) ผู้วิจัยได้ตั้งข้อสังเกตว่า พิธีกรรมต่างๆ ที่ถูกจัดกลุ่มในวาทกรรมเรื่องการทำบุญว่าเป็นพิธีกรรมในบริบทพุทธศาสนา เป็นการปรุงแต่งและสร้างภาพเหมารวมจากพิธีกรรมดั้งเดิม (บริบทฝ่ายผี) ในท้องถิ่น เพื่อให้สัมพันธ์กับระเบียบทางพิธีกรรมแบบเดียวกับศูนย์กลางให้มากที่สุด ซึ่งมิใช่ความจริงประการเดียวในกลุ่ม "พวกผู้ไทย" นอกจากนี้ ยังเป็นพิธีกรรมที่ถูกอธิบายผ่านการกลั่นกรองด้วยภาษา มิใช่พิธีกรรมที่ถูกเล่าผ่านประสบการณ์ชีวิตบุคคล เป็นพิธีกรรมที่ถูกอธิบายและตีความผ่านทัศนะของพระ ซึ่งมิใช่ตัวแทนในกลุ่มสังคมเดียวกับผู้ไท ผู้วิจัยมองว่าเป็นการลดทอนคุณค่าในตัวตนชุดเดิมแล้วสร้างคุณค่าของตัวตนชุดใหม่ เพื่อให้ผสานเข้ากับคุณค่าในระเบียบที่กำหนดจากศูนย์กลาง (หน้า 131-133) และมีการตีตราประทับเรื่องราวของคนกลุ่มนี้ว่าเป็น "ลัทธิธรรมเนียม" จากบุคคลที่เป็นตัวแทนของศูนย์กลาง (หน้า 134) จากคำอธิบายในงานของนักวิชาการ พิธีกรรมเกี่ยวกับความตายและกระบวนการของพิธีกรรมถูกเล่าและตีความ จนทำให้ความตายของผู้ไทมีลักษณะที่สงบนิ่ง ตายตัว และไม่สามารถอธิบายได้เมื่อพิธีกรรมในทางปฏิบัติที่เกิดขึ้นจริง (practice) ไม่ได้เป็นไปตามเรื่องเล่าถึงพิธีกรรมของผู้ไทที่ฝากไว้กับสังคม นอกจากนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่าภายใต้การผสมผสานความเชื่อในการนับถือผีเข้ากับความเชื่อในพุทธศาสนาที่ปรากฏในพิธีศพตามคำอธิบายดังกล่าวนั้น เมื่อพุทธศาสนาเข้ามามีอิทธิพลในสังคมผู้ไทมากขึ้นแล้ว จะเป็นการลดทอนความสำคัญของการนับถือผีโดยทำให้ขั้นตอนพิธีกรรมที่เกี่ยวกับผีสูญหายไปจากสังคมผู้ไทด้วยหรือไม่ (หน้า 145)

Education and Socialization

          ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

          ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

          ไม่มีข้อมูล

Folklore

          ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

          ผู้วิจัยได้วิพากษ์ ตัวตนและอัตลักษณ์ความเป็นผู้ไทผ่านวาทกรรมภายใต้การครอบงำของกรอบแนวคิดโครงสร้างหน้าที่ว่า เป็นเพียงมายาคติที่ถูกครอบไว้ด้วยวาทกรรมบางอย่างลวงตาให้เชื่อว่า เป็น "ตัวแทนจริงแท้ทางอัตลักษณ์ชาติพันธุ์" และในที่สุดทำให้เกิด "การสร้างอัตลักษณ์ที่คงที่" (หน้า 126)

Social Cultural and Identity Change

          การเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์หรือตัวตนของผู้ไท เพื่อให้เกิดการยอมรับทางสังคมและวัฒนธรรมมากยิ่งขึ้น คือ การสร้างตัวตนที่รับวัฒนธรรมพุทธผ่านการปฏิบัติประเพณี พิธีกรรมทางศาสนาของผู้ไทในส่วนที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความตายนั่นเอง ผู้ไทมีกลวิธีในการต่อต้านการทำลายตัวตนหลังความตายแบบพุทธ ด้วยการยืนยันการมีอยู่ของตัวตนในรูปแบบผี โดยการสร้างตัวตนทางจินตนาการ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อชีวิตดำเนินมาถึงเส้นแบ่งหรือรอยต่อระหว่างตัวตนที่เป็นรูปธรรมจากเรือนร่าง กับนามธรรมของเรือนร่างที่สูญสลายไปด้วยเงื่อนไขของความตาย ผู้วิจัยได้ให้คำอธิบายว่า วิธีการสร้างตัวตนในชีวิตหลังความตายของคนผู้ไท มีการปรับตัวมาตลอดเวลา เลื่อนไหล ไม่หยุดนิ่ง เมื่อสังคมเผชิญกับการรับแนวความคิดที่แตกต่างจากภายนอก (ตามคติพุทธ) ตัวตนที่ถูกสร้างใหม่นี้ไม่สามารถจับต้องได้ด้วยระบบเหตุผล เพราะเกิดขึ้นในจินตนาการของมนุษย์ ในอีกด้านหนึ่งของคำอธิบายก็แสดงให้เห็นว่า ตัวตนมีสภาพเป็นกระบวนการที่ยังสร้างไม่เสร็จ ไม่มีความมั่นคงและพร้อมจะเลือนหายอยู่เสมอ เป็นความพยายามที่จะก้าวต่อไปเพื่อจะกลายเป็นสิ่งอื่นหรือเป็นสิ่งที่ทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง (หน้า 153-154)

Critic Issues

          ไม่มีข้อมูล

Other Issues

          ไม่มี

Map/Illustration

          ไม่มี

Text Analyst เสาวนีย์ ศรีทับทิม Date of Report 30 ม.ค. 2560
TAG ผู้ไท ภูไท, ผี, ชีวิต, ความตาย, โครงสร้างหน้าที่, พุทธ, วาทกรรม, ตัวตน, มายาคติ, สกลนคร, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง