|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ผู้ไท ภูไท,ผี,ชีวิต,ความตาย,โครงสร้างหน้าที่,พุทธ,วาทกรรม,ตัวตน,มายาคติ,สกลนคร |
Author |
พิเชฐ สายพันธ์ |
Title |
ผู้ไท |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ผู้ไท ภูไท,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
30 |
Year |
2545 |
Source |
วารสารสังคมวิทยามานุษยวิทยา ปีที่ 21 ฉบับที่ 1: พ.ศ.2545 (หน้า125-154) |
Abstract |
การอธิบายความหมายและวิพากษ์กรอบแนวคิดที่ครอบงำ วาทกรรมในส่วนของชีวิตและความตายของผู้ไท รวมถึงการอธิบายความหมาย "ตัวตนของผู้ไท" |
|
Focus |
เน้นการวิพากษ์ การอธิบายความคิดเรื่องผีของผู้ไท ด้วยการดูความหมายจากวาทกรรมเรื่องชีวิตและความตายของผู้ไท |
|
Theoretical Issues |
ผู้วิจัยวิพากษ์กรอบแนวคิดที่ปรากฏในงานเอกสาร ซึ่งมักเป็นการให้คำอธิบายและให้ความหมายผ่านวาทกรรม ภายใต้กรอบแนวคิดเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ และกรอบวิวัฒนาการ โดยอาจแบ่งตามมุมมองการนำเสนอในประเด็นต่าง ๆ ได้ดังนี้ 1) พิธีกรรมแห่งความตาย ความเชื่อในเรื่องวิญญาณและการนับถือผีของผู้ไท เป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมให้ระบบความเชื่อภายใต้วาทกรรมตามกรอบแนวคิดเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ (หน้า 147) คำอธิบาย "ความเป็นตัวตนของผีผู้ไท" และชีวิตหลังความตาย ได้แสดงให้เห็นถึงการจัดประเภทผีในสังคมผู้ไท และมีการกำหนดหน้าที่ระหว่างกัน คือ คนผู้ไทต้องเซ่นไหว้บูชาผี และผีเองก็มีหน้าที่คุ้มครองดูแล ปกป้องบ้านเรือน ลูกหลานให้อยู่เย็นเป็นสุขปลอดภัย ผีแต่ละแบบจะมีหน้าที่แตกต่างกันไป เช่น ผีนาจะช่วยคุ้มครองต้นข้าวให้อุดมสมบูรณ์ ผีปู่ตามีหน้าที่คุ้มครองชุมชนและผู้คนให้อยู่อย่างสงบสุข หน้าที่ต่อกันเหล่านี้ เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยกำกับโครงสร้างสังคมมิให้ล่มสลาย อย่างไรก็ดี ผู้วิจัยมีมุมมองว่า ตามกรอบแนวคิดนี้ ทำให้ตัวตนของคนผู้ไทเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดและควบคุมได้ สังคมที่มีการจัดระเบียบชัดเจนเช่นนี้ ส่งผลต่อวิถีปฏิบัติในการดำเนินชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นผลมาจากโครงสร้างทางความเชื่อถูกกำหนดไว้ตามคติพุทธและอำนาจเหนือธรรมชาติจากผี ซึ่งผู้วิจัยเห็นว่า เป็นการถูกปิดบังด้วยวาทกรรมแห่งโครงสร้าง-หน้าที่ (หน้า 148-149) 2 ) ในประเด็นของพื้นที่หลังความตาย ความพยายามในการสร้างตัวตนในแบบพุทธไม่สามารถครอบงำและไม่เคยทำลายตัวตนในแบบผีได้สิ้นเชิง (หน้า 129) ทั้งนี้ เนื่องมาจากชีวิตหลังความตายในกรอบความเชื่อแบบผีได้สร้าง "พื้นที่ทางสังคม" และแสดงตำแหน่งแห่งที่ของผีหรือวิญญาณ โดยสามารถอ้างอิงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ผูกพันอยู่กับสังคมเดิมที่คนผู้ไทเคยมีชีวิตอยู่ได้อย่างชัดเจน ในขณะที่ความเชื่อแบบพุทธได้ทำให้ตัวตนหลังความตายเลือนหายไปอยู่ใน "พื้นที่นอกสังคม" ซึ่งคลุมเครือและไม่สามารถอ้างอิงตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ได้ชัดเจนเท่าระบบความเชื่อแบบผี (หน้า 150 -153) 3) การประเมินคุณค่าภายใต้กรอบของวิวัฒนาการ และอิทธิพลของกรอบมาตรฐานที่ถูกกำหนดจากศูนย์กลาง วาทกรรมจากฝ่ายสงฆ์กลายเป็นตัวแทนของระเบียบในมาตรฐานที่ถูกกำหนดจากศูนย์กลางและถูกมองว่ามีฐานะที่สูงกว่า วาทกรรมฝ่ายสงฆ์ได้สร้างคำอธิบายเกี่ยวกับความเชื่อของผู้ไทจากการประเมินคุณค่าอย่างกว้างๆ ว่าวัฒนธรรมใดมีฐานะดีกว่ากัน นัยหนึ่งได้แสดงให้เห็นถึงประเด็นความเป็นศูนย์กลางและความเป็นชายขอบ สังคมผู้ไทถูกให้คุณค่าที่ผลิตขึ้นมาภายใต้ระบบความเชื่อของศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นระบบระเบียบที่ศูนย์กลางเข้าควบคุมท้องถิ่น พระสงฆ์กลายเป็นตัวแทนของสถาบันศูนย์กลางที่ควบคุมมาตรฐานทางจริยธรรมตามกรอบพุทธศาสนา ความคิดแบบนี้เป็นแนวคิดตามกรอบวิวัฒนาการ คือ วัฒนธรรมผู้ไทพัฒนาจากสังคมที่ด้อยกว่าเพราะการนับถือผี ไปสู่สังคมที่เจริญหรือมีอารยะขึ้นที่นับถือพุทธศาสนา ศาสนากลายเป็นเครื่องชี้วัดความเจริญ และทำให้คนท้องถิ่นหลุดพ้นจากความมืดบอด จึงอาจกล่าวได้ว่า เป็นการสะท้อนถึงการใช้ศาสนาพุทธเป็นเครื่องมือทางการเมือง ให้เป็นอำนาจทำลายตัวตน "พวกภูไทย" ที่นับถือผีให้สูญสลายไป แม้จะไม่สามารถครอบงำและทำลายได้อย่างสิ้นเชิง แต่วาทกรรมก็บ่งถึงการมิได้ยอมรับ "การนับถือผีของพวกภูไทย" อย่างสิ้นเชิง (หน้า 127-130) ผู้วิจัยตั้งข้อสังเกตว่า มีความพยายามใช้วาทกรรม "ความเป็นศูนย์กลาง" ครอบงำและ มีบทบาทเหนือวาทกรรม "ความเป็นท้องถิ่น" โดยอ้างอิงผ่านการสร้างมายาคติ เรื่องเล่า ตำนานและพิธีกรรม ผ่านการสร้างวาทกรรมที่แสดงฐานะของความเป็นผู้ที่เหนือกว่าในลักษณะของความพยายามเข้าครอบงำ (dominate) ดังนั้น ผู้ถูกครอบงำจะถูกปฏิบัติ ในฐานะเป็นผู้ที่ด้อยกว่า การนำพุทธศาสนามาเป็นเครื่องมือในการจัดระเบียบสังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่น ก็เพื่อให้อยู่ในมาตรฐานชุดเดียวกัน นอกจากนี้ วาทกรรมผ่านมายาคติในเรื่องเล่าได้ทำให้การนับถือพุทธศาสนามีฐานะที่อยู่เหนือกว่าการนับถือผี โดยใช้คำเรียกว่า "พวก" เช่น "พวกผี" "พวกภูไทย" แสดงความหมายของ "ความเป็นอื่น" เป็นการลดทอนและสลายความเป็นตัวตน และต้องถูกปฏิรูปใหม่ตามความเห็นจากผู้ปกครองที่อยู่ในศูนย์กลาง เป็น "ตัวตน" ที่ศูนย์กลางต้องการจะให้เป็น (หน้า 135-136) นอกจากนี้ การจัดระเบียบเข้าหมวดหมู่เมื่องานเขียนนั้นถูกตีพิมพ์เผยแพร่โดยบุคคลที่เป็นตัวแทนจากศูนย์กลาง ก็ได้แสดงให้เห็นถึงการประเมินคุณค่าภายใต้กรอบมาตรฐานวัฒนธรรมจากศูนย์กลาง ผู้วิจัยได้อธิบายความหมายว่า "เสียง" ที่พระโพธิวงศาจารย์นำเสนอเรื่องราวที่เกิดขึ้นในมณฑลตะวันออก มีท่าทีแตกต่างจาก "เสียง" ของศูนย์กลางที่มีต่อเรื่องเดียวกัน มีการจัดระเบียบเรื่องราวให้เข้ากับหมวดหมู่ที่แต่ละฝ่ายเห็นว่าสอดคล้อง พระโพธิวงศาจารย์ได้กำหนดเรื่องราวไว้ในระเบียบชุด "ประเพณีของชาวมณฑลตะวันออก" ในขณะที่เมื่อถูกนำมาตีพิมพ์เผยแพร่โดยศูนย์กลางกลับถูกจัดไว้ในระเบียบชุด "ลัทธิธรรมเนียม" ซึ่งความหมายจากศูนย์กลางสะท้อนว่าเป็นเพียง "เรื่องแปลกๆ" ผู้วิจัยให้ความเห็นว่า ท่าทีที่ถูกกำหนดให้มองเรื่องแปลกของ "พวกภูไทย" เป็นการมองด้วยความพยายามที่จะยอมรับคนต่างวัฒนธรรมที่อยู่ห่างไกล ให้เข้ามาเป็นพวกเดียวกัน โดยใช้ "มาตรฐานจากวัฒนธรรมของศูนย์กลาง" เป็นการนำเสนอแกนเรื่องชองกลุ่มชาติพันธุ์ ในพ.ศ.2469 เมื่อเรื่องของ "พวกภูไทย" เป็นเรื่องของกลุ่มสังคมที่ศูนย์กลางไม่เคยรับรู้มาก่อน (หน้า 133-135) คำอธิบายต่าง ๆ นำไปสู่ข้อสรุปที่ว่า ผู้วิจัยมองว่ากรอบทฤษฎีแบบเดิมคือ โครงสร้างและหน้าที่นิยมเชิงกลไก เป็นการลดทอนความเป็นตัวตนของสังคมผู้ไทย ให้เป็นเพียงภาพตัวแทนซึ่งมีหน้าที่ในการธำรงสังคม ไม่ต่างจากเครื่องจักร โดยกล่าวว่า งานศึกษาทั้งสองเรื่องได้สร้างภาพตัวแทนของผีและพุทธในแบบที่ถูกเลือกไว้แล้ว และต่างก็มีหน้าที่ในการทำให้สังคมดำรงอยู่ ผี กับพุทธในความหมายนี้จึงไม่ต่างจากอุปกรณ์ชนิดหนึ่งของเครื่องจักรนั่นเอง เป็น "ภาพลวงตาที่สวยงามของโครงสร้างและหน้าที่" และนับเป็น "การลดทอนความเป็นตัวตนของสังคมผู้ไทย" ประเด็นก็คือ การนำเสนอแนวคิดที่ว่าระเบียบและโครงสร้าง ไม่ใช่สิ่งที่คงที่ตายตัว และมีเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกปะปนอยู่มาก (หน้า 139-140,148) ผู้วิจัยมองว่า คำอธิบายในงานทั้งสอง มองข้ามการเชื่อมโยงมิติทางด้านอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สิ่งที่เป็นพฤติกรรมทางสังคมกับสิ่งที่เป็นอารมณ์และความรู้สึกถูกแยกส่วนออกจากกันโดยสิ้นเชิง (หน้า 141) ซึ่งประเด็นนี้ ผู้วิจัยต้องการ ตั้งคำถามต่อการศึกษาเรื่องความเชื่อ ซึ่งมีมิติของเรื่องอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องว่า กลับถูก "ตรวจวัดคุณค่า" ด้วยกรอบความคิดทฤษฎี "หน้าที่นิยม" อันเป็นกรอบการมองสังคมที่มีลักษณะเป็นกลไกซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีทางสังคมในกลุ่มเดียวกับ Max และ Weber นับเป็นการใช้กรอบแนวคิดเชิงกลไกนิยม ซึ่งกลายเป็นจุดอ่อนทำให้เกิดความสัมพันธ์ทางสังคมแบบเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ด้วยการเอาชนะเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ เป็นโครงสร้างที่จำลองมาจากลักษณะของเครื่องจักร ไม่ต่างจากสังคมที่เปรียบเป็นวัตถุ สะท้อนระบบคิดที่ยึดมั่นศรัทธาในวิทยาศาสตร์สุดขั้ว ปรากฏในสังคมตะวันตกแบบทุนนิยม (หน้า 137-139) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้ไท (ภูไทย) ใน อ. พรรณนานิคม และ อ.กุสุมาลย์ จ.สกลนคร |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Belief System |
ผู้วิจัยวิพากษ์ถึงการสร้างคำอธิบายเรื่อง "ตัวตนของผู้ไท" ที่ทำให้คุณค่าของพุทธศาสนาถูกประเมินว่ามีฐานะเหนือกว่าคุณค่า ของการนับถือผี (หน้า 129) และให้คำอธิบายความหมายของพิธีกรรมแห่งความตาย ความเชื่อในเรื่องวิญญาณและการนับถือ ผีของผู้ไทว่า ถูกทำให้สงบนิ่งด้วยการจัดระเบียบและมีหน้าที่เฉพาะ โดยมีพุทธศาสนาสร้างความชอบธรรมให้ระบบความเชื่อชุดนี้ (หน้า 147) ผู้วิจัยได้ตั้งข้อสังเกตว่า พิธีกรรมต่างๆ ที่ถูกจัดกลุ่มในวาทกรรมเรื่องการทำบุญว่าเป็นพิธีกรรมในบริบทพุทธศาสนา เป็นการปรุงแต่งและสร้างภาพเหมารวมจากพิธีกรรมดั้งเดิม (บริบทฝ่ายผี) ในท้องถิ่น เพื่อให้สัมพันธ์กับระเบียบทางพิธีกรรมแบบเดียวกับศูนย์กลางให้มากที่สุด ซึ่งมิใช่ความจริงประการเดียวในกลุ่ม "พวกผู้ไทย" นอกจากนี้ ยังเป็นพิธีกรรมที่ถูกอธิบายผ่านการกลั่นกรองด้วยภาษา มิใช่พิธีกรรมที่ถูกเล่าผ่านประสบการณ์ชีวิตบุคคล เป็นพิธีกรรมที่ถูกอธิบายและตีความผ่านทัศนะของพระ ซึ่งมิใช่ตัวแทนในกลุ่มสังคมเดียวกับผู้ไท ผู้วิจัยมองว่าเป็นการลดทอนคุณค่าในตัวตนชุดเดิมแล้วสร้างคุณค่าของตัวตนชุดใหม่ เพื่อให้ผสานเข้ากับคุณค่าในระเบียบที่กำหนดจากศูนย์กลาง (หน้า 131-133) และมีการตีตราประทับเรื่องราวของคนกลุ่มนี้ว่าเป็น "ลัทธิธรรมเนียม" จากบุคคลที่เป็นตัวแทนของศูนย์กลาง (หน้า 134) จากคำอธิบายในงานของนักวิชาการ พิธีกรรมเกี่ยวกับความตายและกระบวนการของพิธีกรรมถูกเล่าและตีความ จนทำให้ความตายของผู้ไทมีลักษณะที่สงบนิ่ง ตายตัว และไม่สามารถอธิบายได้เมื่อพิธีกรรมในทางปฏิบัติที่เกิดขึ้นจริง (practice) ไม่ได้เป็นไปตามเรื่องเล่าถึงพิธีกรรมของผู้ไทที่ฝากไว้กับสังคม นอกจากนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่าภายใต้การผสมผสานความเชื่อในการนับถือผีเข้ากับความเชื่อในพุทธศาสนาที่ปรากฏในพิธีศพตามคำอธิบายดังกล่าวนั้น เมื่อพุทธศาสนาเข้ามามีอิทธิพลในสังคมผู้ไทมากขึ้นแล้ว จะเป็นการลดทอนความสำคัญของการนับถือผีโดยทำให้ขั้นตอนพิธีกรรมที่เกี่ยวกับผีสูญหายไปจากสังคมผู้ไทด้วยหรือไม่ (หน้า 145) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ผู้วิจัยได้วิพากษ์ ตัวตนและอัตลักษณ์ความเป็นผู้ไทผ่านวาทกรรมภายใต้การครอบงำของกรอบแนวคิดโครงสร้างหน้าที่ว่า เป็นเพียงมายาคติที่ถูกครอบไว้ด้วยวาทกรรมบางอย่างลวงตาให้เชื่อว่า เป็น "ตัวแทนจริงแท้ทางอัตลักษณ์ชาติพันธุ์" และในที่สุดทำให้เกิด "การสร้างอัตลักษณ์ที่คงที่" (หน้า 126) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์หรือตัวตนของผู้ไท เพื่อให้เกิดการยอมรับทางสังคมและวัฒนธรรมมากยิ่งขึ้น คือ การสร้างตัวตนที่รับวัฒนธรรมพุทธผ่านการปฏิบัติประเพณี พิธีกรรมทางศาสนาของผู้ไทในส่วนที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความตายนั่นเอง ผู้ไทมีกลวิธีในการต่อต้านการทำลายตัวตนหลังความตายแบบพุทธ ด้วยการยืนยันการมีอยู่ของตัวตนในรูปแบบผี โดยการสร้างตัวตนทางจินตนาการ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อชีวิตดำเนินมาถึงเส้นแบ่งหรือรอยต่อระหว่างตัวตนที่เป็นรูปธรรมจากเรือนร่าง กับนามธรรมของเรือนร่างที่สูญสลายไปด้วยเงื่อนไขของความตาย ผู้วิจัยได้ให้คำอธิบายว่า วิธีการสร้างตัวตนในชีวิตหลังความตายของคนผู้ไท มีการปรับตัวมาตลอดเวลา เลื่อนไหล ไม่หยุดนิ่ง เมื่อสังคมเผชิญกับการรับแนวความคิดที่แตกต่างจากภายนอก (ตามคติพุทธ) ตัวตนที่ถูกสร้างใหม่นี้ไม่สามารถจับต้องได้ด้วยระบบเหตุผล เพราะเกิดขึ้นในจินตนาการของมนุษย์ ในอีกด้านหนึ่งของคำอธิบายก็แสดงให้เห็นว่า ตัวตนมีสภาพเป็นกระบวนการที่ยังสร้างไม่เสร็จ ไม่มีความมั่นคงและพร้อมจะเลือนหายอยู่เสมอ เป็นความพยายามที่จะก้าวต่อไปเพื่อจะกลายเป็นสิ่งอื่นหรือเป็นสิ่งที่ทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง (หน้า 153-154) |
|
Text Analyst |
เสาวนีย์ ศรีทับทิม |
Date of Report |
30 ม.ค. 2560 |
TAG |
ผู้ไท ภูไท, ผี, ชีวิต, ความตาย, โครงสร้างหน้าที่, พุทธ, วาทกรรม, ตัวตน, มายาคติ, สกลนคร, |
Translator |
- |
|