สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,พิธีศพ,ราชบุรี
Author โกศล แย้มกาญจนวัฒน์
Title ลาวโซ่งกับความเชื่อในพิธีศพ
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 11 Year 2545
Source ไม่ระบุ
Abstract

เน้นศึกษาถึงความเชื่อในการปฏิบัติ ในพิธีศพของคนลาวโซ่ง ที่ยังคงยึดถือกันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

Focus

เน้นศึกษาถึงความเชื่อในพิธีศพของคนลาวโซ่ง

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ชนกลุ่มที่ผู้วิจัยได้ศึกษาเรียกว่า ไทยทรงดำ, ไทยดำ, ไทยโซ่ง, ไทยโซ่งดำ แต่จะเรียกตัวเองว่า ลาวโซ่ง บรรดาศักดิ์มี 2 อย่างคือ ผู้ต้าว เชื้อสายบรรพบุรุษเคยเป็นเจ้าเมืองมาก่อน และผู้น้อย คือ สามัญชนธรรมดา (หน้า 1)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ลาวโซ่งมีถิ่นอาศัยอยู่ที่เมืองแถน แคว้นสิบสองจุไท ประเทศเวียดนามตอนเหนือตอนใต้ของประเทศจีน เมื่อพระยามหากษัตริย์ศึกไปตีเมืองเวียงจันทร์ได้กวาดต้อนไทดำมาด้วย ให้มาตั้งถิ่นฐานที่ จ.เพชรบุรี ระยะหลังบางคนจะเดินทางกลับบ้านเกิดแต่ไปพบแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ก่อน จึงปักหลักทำมาหากิน ลาวโซ่งจึงกระจัดกระจายกันไปในหลายจังหวัดของประเทศไทย (หน้า 1)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

ไม่มีข้อมูล

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

ลาวโซ่งมีการสืบทอดการเลี้ยงผีบรรพบุรุษของตัวเองโดยลูกชาย คนลาวโซ่งผูกพันกับเมืองแถนมาก ถือว่าเป็นบ้านเกิด คล้ายดั่งเมืองสวรรค์ ตายแล้วต้องไปให้ถึง ในเรื่องความเชื่อนั้นมักยึดเอาจินตนาการเป็นหลักและปฏิบัติแบบง่ายๆ ที่ถือปฏิบัติกันสิ่งหนึ่ง คือ พิธีศพ เมื่อมีคนเสียชีวิต เริ่มจากการ "หรอย" โดยทำความสะอาดทุกส่วนของศพ แต่งตัวให้เรียบร้อย เอาไม้กั้นก๊อง เป็นอาวุธทำจากไม้ไผ่ ใส่มือผู้ตาย 2 อัน เอาผ้าดิบสีขาวยาวประมาณ 2 วา เอาผู้ตายวางลงบนผ้า ดึงผ้าจากปลายเท้าปิดถึงอก ปลายด้านบนปิดลงมาถึงปลายผ้าที่พับมาจากด้านล่าง ใช้ไม้ไผ่เหลากลัดชายผ้าสองข้าง ข้างละ 3 อัน ใช้ "มะก๊อนสายกิ๊ง" และ "มะแข็ง" เป็นผ้าห่อเม็ดมะขามมีสายฟั่นด้วยผ้ายาวประมาณ 70 ซม. อย่างละ 15 อัน วางบนหรอย ให้ผู้ตายนำไปเล่นเมื่อวิญญาณไปถึงเมืองแถนแล้ว เอาศพวางในหีบศพที่ปูด้วยเสื่อและฟูก ปิดทับด้วยผ้าห่ม ปิดฝาหีบและใช้ผ้าขาวปิดทับบนหีบศพ นำเสื้อฮี เป็นเสื้อที่ใส่ในงานพิธีของผู้ตายวางทับอีกที แล้วเอาหีบศพไปวางไว้ใต้ขื่อกลางบ้าน ใต้ขื่อจะมี ขอด้วน เป็นไม้ไผ่ยาว 1 เมตร พาดด้วยผ้าดิบสีขาว มากน้อยขึ้นอยู่กับฐานะของผู้ตาย และไขดิบกับปั้นข้าวเหนียวห่อด้วยสวิง เพื่อให้ผู้ตายใช้หลอกล่ออีกาปากเหล็กที่เฝ้าแม่น้ำระหว่างที่วิญญาณเดินทางกลับไปเมืองแถน ข้างหีบศพเหนือศีรษะมี "เจาอวน" หรือธง 1 ผืนใช้นำทางไปที่ป่าช้าเจาอวนของ "ผู้ต้าว" คือ ผ้าที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า สีเหลือง แดง ทับกัน ตัดคว้านกลางผ้าให้เป็นชายห้อยเรียกว่า ตัดลาบ เจาอวนของผู้น้อยจะใช้ผ้าสามเหลี่ยมสีดำ ใช้ผ้าสีแดงเย็บขอบ ทั้ง 3 มุมประดับด้วยผ้าผืนเล็กๆ สีดำ แดงและเหลือง หลังบ้านที่ตั้งศพ ตอนกลางคืนต้องสุมไฟไว้ตลอดคืน เรียกว่า "แสงไฟกิ๊ง" ป้องกันสัตว์มาทำร้ายศพ เพราะฉะนั้นจึงถือว่าการก่อไฟหลังบ้านไม่เป็นมงคล บุตรผู้ตายจะใส่เสื้อต๊กปกหัวขาว ทำจากผ้าดิบสีขาว ไม่มีแขน ผ่าตรงกลางเป็นคอเสื้อ โพกหัวด้วยผ้าดิบสีขาว ใส่ตลอดงานศพ ที่บ้านงานจะมีการ "เอ็ดแฮว" คือ การเตรียมเครื่องใช้ในการประกอบพิธี จะยืดเวลาให้เสร็จภายใน 2 - 3 วัน เพราะเชื่อว่าถ้าเสร็จเร็ว จะเห็นว่าทำง่ายและจะมีคนตายกันมาก โดยผู้ที่ถนัดทางด้านงานช่าง จักรสานและตัดเย็บมาช่วยกัน สิ่งที่ต้องเตรียม คือ -หอแก้วหรือเรือนจำลอง สร้างจากไม้คล้ายศาลาการเปรียญขนาดเล็ก ภายในมีถุงก้นปลดหรือถุงลง เป็นถุงก้นทะลุใช้หลอกว่าไม่มีเงิน, ถุงตุ๋ยหรือถุงใส่ข้าวของ, ผ้าขันเบื้อหรือผ้าเช็ดหน้า, ไม้กั้นก๋อง ทำจากไม้ไผ่ใช้เป็นอาวุธ, วีหรือพัด, หม๊ะก๊อน หม๊ะแข็งและตะงาม มีเสาหลักเมืองล้อมรอบ ประดับด้วยด้ายสีแดง เหลือง เรียกว่า ปุย รอบเสาหลักเมืองและหอแก้ว สร้างสำหรับผู้ตายที่อายุ 80 ปีขึ้นไป - "เซียน" เหมือนร่มกันแดด ภายในมี ถุงก้นปลด ถุงตุ๋ย ผ้าขันเบื้อ ไม้กั้นก๋อง วี หม๊ะก๊อน หม๊ะแข็งและตะงาม แกนกลางประดับด้วยลาบ สีเหลือง ดำ แดง ประกบกัน คว้านตรงกลางให้ห้อยลงมา เซียนจะวางบนปรีหรือนกหงส์ บนยอดเสาหลวง - "ปรี" อยู่บนยอดเสาหลวง ใช้เฉพาะผู้หญิง เป็นพาหนะที่จะนำวิญญาณผู้ตายกลับเมืองแถน ทำจากไม้เนื้ออ่อน เหลาให้กลม มีปีกข้างละ 3 อันแต่ละปีกประดับด้วยปุยด้ายสีเหลือง แดง จนเต็ม ภายในปรีมี เชือกช้าง เชือกม้า เบาะนั่ง ถุงก้นปลด ถุงตุ๋ย ผ้าขันเบื้อ ไม้กั้นก๋อง 2 อัน วี หม๊ะก๊อน หม๊ะแข็งและตะงาม - นกหงส์ เหมือน ปรี แต่จะใช้เฉพาะผู้ตายที่เป็นผู้ชาย - เสาหลวง ทำจากไม้ทั้งต้นยาว 3 เมตร ติดด้วยใบไม้ที่ทำจากผ้าสีขาวและแดง ขนาด 30*30 เมตร ที่ปลายไม้ อย่างละ 20 หรือ 40 ผืน ตามฐานะผู้ตาย ถ้าผู้ตายเป็นผู้ชาย ใช้ใบไม้ติดเป็นแผงติดกับเสาหลวง ถ้าเป็นหญิงจะประดับเป็นวงกลม ส่วนยอดจะมี ปรีหรือนกหงษ์ โดยมีเซียนเสียบอยู่บนสุด - ลำธงกาว ทำจากผ้าดิบยาว 3 วาขึ้นไป ความยาวบอกถึงฐานะ ชายธงประดับด้วยลาบเป็นผ้า 3 สี เป็นธงที่แสดงถึงผู้นำครอบครัว จากนั้นจะกำหนดวันเผาศพ ต้องไม่ตรงกับ "วันมื้อเว็นตง" หรือวันเลี้ยงผีประจำตระกูล ในรอบ 1 สัปดาห์จะมี 10 วัน เริ่มพิธีจาก "การกินข้าวปานต๊ก" เป็นการทานอาหารมื้อเศร้าโศกกับญาติพี่น้อง โดยเอาอาหารวางบนใบตองที่รองด้วยกระด้ง ดื่มน้ำจากกระบอกไม้ไผ่ จากนั้นเป็น "พิธีบอกทาง" เรียกดวงวิญญาณมากิน เหล้า และไก่งายหรือไก่ต้ม แล้วนำเหล้ามาให้ญาติพี่น้องดื่มเพื่อสั่งลา บอกทางให้วิญญาณเดินทางไปยังป่าช้า โดยมีบุตรเขยผู้ตายเป็นผู้ทำพิธี ปัจจุบันต้องจ้างผู้รู้มาทำแทน เขยต้องนั่งตรงปลายเท้าผู้ตาย ใช้มีดปลายแหลม หันด้านคมไปข้างหน้า ปักลงบนพื้นบ้าน ใช้เชือกหรือตอกผูกเอวเขยไว้เพื่อไม่ให้ไปกับผู้ตายเมื่อเสร็จพิธี "พิธีซ่อนขวัญ" เป็นการเรียกขวัญญาติพี่น้องให้อยู่กับเรือน หมอพิธีเป็นผู้หญิงเรียกว่า "แม่มด" ผู้ชายเรียกว่า "เขย" จะถือสวิงห่อเสื้อผ้าของผู้อยู่ในบ้าน ข้าว พริก เกลือ เดินนำหน้าตามด้วยญาติพี่น้อง วนไปทางซ้ายรอบหีบศพ 3 รอบ และดึงมือหรือแขนญาติพี่น้องให้ไปอยู่ในห้อง แล้วนำศพไปที่ป่าช้า ถ้าเป็นผู้ต้าวจะเอาศพออกทางประตูห้องผีเรือน ถ้าเป็นผู้น้อยจะเอาออกทางบันไดหน้าบ้าน ขบวนศพจะมีบุตรชายผู้ตายถือธงเจาอวนนำหน้าขบวน เป็นการเบิกทางให้ดวงวิญญาณ ที่ป่าช้าจะสร้างกองฟอนหรือกองฟืนสำหรับเผาศพ จะต้องนำศพวนไปทางซ้ายรอบกองฟอน 3 รอบ แล้ววางศพลงบนกองฟอน เปิดหีบศพ เอาน้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ จากนั้นทำการ "โยนผ้าหน้าไฟ" คือนำห่อเสื้อผ้าและเครื่องใช้ โยนข้ามหีบศพ 3 ครั้ง เพื่อส่งสิ่งของให้ผู้ตายแล้วเผาศพ วันต่อมาญาติพี่น้องจะเหลาอ้อยเป็นตะเกียบ ใช้คีบกระดูกเพื่อความเป็นศิริมงคล ใส่ในไหกระดูกที่เตรียมไว้ จากนั้นเป็น "พิธีตั้งเฮือนป่าหรือเฮือนแฮว" ถ้าผู้ตายเป็นผู้ชาย ในเฮือนป่าจะมีใบไม้ ขาว แดง ยอดเสาหลวงจะมีนกหงษ์และเซียน มีธงกาวขนาบด้านข้างเสาหลวง มีบ้านจำลองหลังเล็กอยู่ด้านหน้าให้ผู้ตายได้อาศัย มีรั้วรอบ ภายในมีเสื่อ ฟูกและหมอนของผู้ตาย ถ้าผู้ตายเป็นผู้หญิงจะมีเฮือนป่าเหมือนกับผู้ชาย ต่างกันที่ยอดเสาหลวงจะมีปรีและเซียน ไม่มีธงกาว ส่วนหอแก้ว ใช้ได้กับผู้ตายทั้งหญิงและชายที่อายุ 80 ปีขึ้นไป เป็นการยกย่องผู้ตาย จะผูกติดตรงกลางระหว่างเฮือนป่ากับเสาหลวง การตั้งเสาหลวงจะมีกะซ้าหัวหมูหรือตะกร้าหัวหมู ใช้ในพิธีส่งลงหลุมเสาหลวง เขยจะต้องทำพิธีบอกทางไปยังเมืองแถน ใส่เหล้า เงินทอง ในสำรับอาหารเพื่อให้ผู้ตายเอาไปใช้ที่เมืองแถน เริ่มพิธีญาติพี่น้องต้องนั่งอยู่ด้านหลังของเขย และต้องดมก้อนข้าวเหนียว ผูกข้อมือด้วยตอกหรือเชือก เพื่อไม่ให้ตามวิญญาณไป เขยจะบอกให้ผู้ตายมาทานอาหารให้อิ่ม จากนั้นจะบอกทางไปเมืองแถน และบอกให้วิญญาณกลับมาอีกครั้งในวัน มื้อเว็นตง ของตระกูล เพื่อมารับเครื่องเซ่น จากนั้นเขยจะใช้ปลายมีดขีดที่พื้นดิน เป็นการตัดขาดกัน ทุกคนจะเดินออกไปและห้ามหันกลับไปมอง บุตรผู้ตายต้องสวมเสื้อต๊กปกหัวขาว นำข้าวปลาอาหารห่อใส่ใบตองมาส่งที่เฮือนป่า 3 วัน เฉพาะตอนเช้า แล้วต้องใช้ปลายมีดขีดที่พื้นดิน และห้ามหันกลับไปมองอีก จากนั้นเป็น "พิธีการเอาผีขึ้นเรือน" ผู้ต้าว จะทำพิธีตรงกับวันมื้อเว็นตงของตระกูล ส่วนผู้น้อยจะต้องไม่ใช่วันนั้น หมอที่ทำพิธี เรียกว่า "หมอเสน" ถ้าเป็นงานของผู้ต้าว จะใส่เสื้อสีแดง งานผู้น้อยจะใส่เสื้อฮี ใช้หมู 1 ตัว ใส่ใน "ปานเผือนหรือสำรับที่สาน จากไม้ไผ่" บุตรชายผู้ตายจะนำ ขันหมาก พลู ปันข้าวเหนียว เรียกวิญญาณผู้ตายที่ลานหน้าบ้าน จากนั้นหมอเสนจะทำพิธีเรียกวิญญาณผู้ตายที่มีชื่ออยู่ในปั๊บผีเฮือนหรือบัญชีรายชื่อผู้ตายในตระกูลเดียวกัน มาทานอาหาร จากนั้นจะเป็น "พิธีสู่ขวัญ" นำใบตองห่อข้าวใส่ในสำรับที่มีหมู ไก่ เหล้า จะเรียกญาติพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่มากิน เสร็จพิธีจึงนำอาหารมาให้ผู้ร่วมพิธีทานกัน และทำการไล่หมอเสนลงจากบ้าน จากนั้นจะทำความสะอาดบ้านเพื่อไม่ให้มีงานแบบนี้อีก พิธีกรรมของคนลาวโซ่งคล้ายกับ คนจีน จะต่างกันที่ขั้นตอนการปฏิบัติ (หน้า 1 - 7)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

นิยมแต่งกายด้วยผ้าสีดำ จนเป็นเอกลักษณ์ (หน้า 1) ลาวโซ่งชอบการฟ้อนรำ มีศิลปวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง (หน้า 1) มะก๊อนสายกิ๊ง และมะแข็ง ทำจากผ้าห่อเม็ดมะขาม มีสายฟั่นด้วยผ้ายาวประมาณ 70 ซม. ใช้เล่นระหว่างคู่บ่าวสาว หลังการทำนา (หน้า 2)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

รูปพิธีเอาผีขึ้นเรือนสำหรับผู้น้อย, พิธีเอาผีขึ้นเรือนสำหรับผู้ต้าว, นกหงส์และเซียน, ขอด้วน, ปานเผือน, กะสา (สวิง) (หน้า 8) รูปพิธีซ่อนขวัญญาติพี่น้อง, เขยทำพิธีบอกทางแก่ผู้ตายให้เดินทางจากบ้านไปยังป่าช้า, หรอย, เจาอวน ธงนำหน้าขบวนศพของผู้ต้าว ทำด้วยผ้าเหลือง แดง, กินข้าวปานเต๊ก, พิธีสู่ขวัญผู้อยู่ (หน้า 9) รูปพิธีบอกทาง, เซียน, ปรีและเซียน, นกหงส์และเซียน (หน้า 10) รูปเจาอวน ธงนำหน้าขบวนศพของผู้น้อย, เฮื้อนแฮว, หอแก้ว, เฮือนแฮว (หน้า 11)

Text Analyst ปัญญ์ชลี ผกามาศ Date of Report 18 พ.ค. 2559
TAG ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ, พิธีศพ, ราชบุรี, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง