|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไทใหญ่,อัตลักษณ์,เชียงใหม่ |
Author |
วันดี สันติวุฒิเมธี |
Title |
กระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของชาวไทใหญ่ชายแดนไทยพม่า กรณีศึกษา หมู่บ้านเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทใหญ่ ไต คนไต,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
29 |
Year |
2545 |
Source |
ล้านนา จักรวาล ตัวตน อำนาจ ,โครงการอาณาบริเวณศึกษา 5 ภูมิภาค, พ.ย. 2545, หน้า 183-211. |
Abstract |
ความเป็นชาติพันธุ์ของไทใหญ่เปียงหลวงเป็นสำนึกที่ถูกสร้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไทใหญ่บ้านเปียงหลวงเป็นผู้เลือก
อัตลักษณ์ต่าง ๆ ได้แก่ การหยิบยกบุคคลและเหตุการณ์ที่สร้างจิตสำนึกที่สร้างความเป็นชาติ การสืบทอดอัตลักษณ์
ทางภาษาและวัฒนธรรมไต การผลิตสื่อทางการเมืองในรูปของบทเพลง และสิ่งพิมพ์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมือง ใน
ขณะเดียวกันก็มี อัตลักษณ์ที่ถูกทำให้พร่ามัว ได้แก่ การสัก การผลิตอัตลักษณ์ของไทใหญ่บ้านเปียงหลวงเป็น
การขีดเส้นพรมแดนทางชาติพันธุ์ของตนให้ชัดเจน เพื่อแสดงออกถึงสำนึกที่มีต่อชาติพันธุ์ตนเอง และต่อต้านนโยบาย
"ทำให้เป็นพม่า" ไทใหญ่ บ้านเปียงหลวงได้เลือกอัตลักษณ์มากมายขึ้นมาใช้จำแนกตนเองออกจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่น
(หน้า 206) |
|
Focus |
ศึกษาการสร้างและรักษาอัตลักษณ์ความเป็นไทใหญ่ ท่ามกลางกระแสการเมืองที่เปลี่ยนแปลงและการรับรู้ของประชาคมไทใหญ่ (คำนำ) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทใหญ่ชายแดนไทย - พม่า หมู่บ้านเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 183) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
หมู่บ้านเปียงหลวง ประชากรเกือบทั้งหมดของหมู่บ้านอพยพมาจากรัฐฉาน ประเทศพม่า ปี พ.ศ. 2471 เริ่มจากมีกลุ่มพ่อค้าไทใหญ่และไทยล้านนาประมาณ 10 กว่าครอบครัวเป็นกลุ่มแรกมาที่หมู่บ้านเปียงหลวง ต่อมาปี พ.ศ. 2501 เจ้าน้อยซอหยันต๊ะ ผู้นำกลุ่ม "หนุ่มศึกหาญ" กองกำลังกู้ชาติไทใหญ่กลุ่มแรก ได้เข้ามาตั้งกองบัญชาการตามแนวชายแดนไทยตั้งแต่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย จนถึงจังหวัดแม่ฮ่องสอน เนื่องจากหมู่บ้านเปียงหลวงอยู่ระหว่างกองบัญชาการย่อยทั้งหมด จึงกลายเป็นศูนย์กลางการประสานงานของกองกำลังกู้ชาติไทใหญ่ ประชากรหมู่บ้านจึงเป็นทหารไทใหญ่และครอบครัว ต่อมาไทยใหญ่เป็นพันธมิตรกับกองกำลังทหารจีนคณะชาติ ที่ถอยร่นการสู้รบจากรัฐฉานมาประเทศไทย และด้วยนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ไทยจึงยอมให้หมู่บ้านเปียงหลวงเป็นศูนย์บัญชาการใหญ่ของกองกำลังกู้ชาติไทใหญ่ และยอมให้ทหารจีนคณะชาติตั้งบ้านเรือนร่วมกับทหารไทใหญ่ (หน้า 183-184) |
|
Demography |
ประชากรของหมู่บ้านเปียงหลวงปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 10,000 คน ร้อยละ 60 เป็นไทใหญ่ (หน้า 188) ประชากรไทใหญ่กว่าร้อยละ 90 ไม่มีบัตรประชาชน ประชากรกลุ่มหลักเป็นไทใหญ่ รองลงมาเป็นจีนฮ่อ ลีซอ ปะหล่องและคนไทย (หน้า 183) |
|
Economy |
หลังจากที่ขุนส่าวางอาวุธต่อรัฐบาลพม่า ส่งผลถึงความเป็นอยู่ของชาวบ้านเปียงหลวง เช่น อาชีพเปลี่ยนไป จากการเป็นบุคลากรในกองทัพมาเป็นแรงงานรับจ้างในเมือง และเมื่อมีการปิดด่าน ทำให้เส้นทางค้าขายที่สำคัญ จากที่เคยอยู่ที่บ้าน
เปียง หลวงเปลี่ยนไปอยู่ที่บ้านหนองอุก อำเภอเชียงดาวแทน ส่งผลให้ตลาดที่เคยคึกคักเงียบเหงาลง (หน้า 187) เนื่อง
จากไทใหญ่ส่วนใหญ่ไม่มีบัตรประชาชน ที่ดินทำกินและงานในหมู่บ้านมีไม่มากนัก จึงต้องไปหางานทำในเมืองเชียงใหม่และเมืองอื่น ๆ อาชีพที่ทำได้มีไม่มากนักและมีรายได้น้อย หากต้องการรายได้มาก จำเป็นต้องประกอบอาชีพที่สังคมไม่ยอมรับและผิดกฏหมาย เช่น อาชีพโสเภณี และค้ายาเสพติด ชีวิตของชาวเปียงหลวงในปัจจุบันจึงเกี่ยวพันกับปัญหาแรงงานผิดกฏหมาย โสเภณี ยาเสพติด (หน้า 188) |
|
Political Organization |
หลังจากก่อตั้งกองกำลัง SURA (Shan United Revolutionary) นายพลโมเฮงได้จับมือเป็นพันธมิตรกับนายพล หลี่ เหวินฮวน
ผู้นำกองกำลังทหารจีนคณะชาติหรือทหารก๊กมินตั๋ง โดยทั้งสองตกลงกันว่าจะร่วมกันสู้รบกับพรรคคอมมิวนิสต์และกองกำลังของรัฐบาลพม่า ขณะนั้นประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาคอมมิวนิสต์ ปี พ.ศ. 2512 รัฐบาลไทยจึงยอมให้กองกำลังกู้ชาติไทใหญ่ตั้งศูนย์บัญชาการใหญ่ที่หมู่บ้านเปียงหลวง เนื่องจากกลุ่มกู้ชาติไทใหญ่มีหลายกลุ่ม จึงมีแนวคิดที่จะรวมกลุ่มให้เป็นเอกภาพ ขุนส่าจึงเข้าร่วม โดยมีนายพลโมเฮงเป็นผู้นำทางการเมือง มีขุนส่าเป็นผู้นำทางการทหารและเศรษฐกิจ สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปเมื่อนายพลโมเฮงเสียชีวิต ขุนส่ากลายเป็นผู้นำสูงสุด ประกาศตั้งรัฐอิสระในพื้นที่รัฐฉาน และนำเงินจากการค้ายาเสพติดมากู้ชาติ เขตปกครองของทหารไทใหญ่คือ ชายแดนระหว่างจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน จนถึงฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสาละวินในรัฐฉาน
ต่อมาในปี พ.ศ.2539 ขุนส่าประกาศวางอาวุธกับรัฐบาลพม่า ส่งผลถึงความเป็นอยู่ของชาวบ้านเปียงหลวง เช่น เกิดการจัดระเบียบสังคมใหม่ อาชีพเปลี่ยนไปจากเป็นบุคลากรในกองทัพมาเป็นแรงงานรับจ้าง เส้นทางการค้าเปลี่ยนไป โรงเรียนทั้ง 18 แห่งของกองทัพไทใหญ่ต้องปิดตัวลง วัดฟ้าเวียงอินทร์ที่เคยเป็นศูนย์กลางประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของไทใหญ่ทั้ง 2 ฝั่ง คือ หมู่บ้านเปียงหลวงและหมู่บ้านในเขตชายแดนรัฐฉานถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนอย่างชัดเจน และจำนวนไทใหญ่อพยพมาอยู่หมู่บ้านเปียงหลวงมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากนโยบายการปราบปรามไทใหญ่ของรัฐบาลพม่า (หน้า 184-186) |
|
Belief System |
ไทใหญ่บ้านเปียงหลวงนับถือศาสนาพุทธ มีวัดฟ้าเวียงอินทร์ เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา (หน้า 187)
รอยสักเป็นอัตลักษณ์ที่บ่งบอกความเป็นไทใหญ่มาแต่อดีต นิยมสักทั้งชายและหญิง เช่น การสักยาข่าม มีเป้าหมายเพื่อความเป็นคงกระพันชาตรี การสักมหานิยม มีเป้าหมายเพื่อความเป็นสิริมงคล การสักขาลาย มีเป้าหมายเพื่อแสดงความอดทนโดยมี "สล่าสักยา" หรือ "หมอสัก" เป็นผู้ทำการสัก (หน้า 191) |
|
Education and Socialization |
ไทใหญ่ในรัฐฉานมีแบบเรียนภาษาไทใหญ่แบบ "ลิ่กตัวกลม" สำหรับชั้น ป.1- ป.5 ตำราชุดนี้เรียกว่า "ลิ่กไตหัวเสือ" (หน้า 196)
บ้านเปียงหลวงโรงเรียนเปียงหลวง สอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลจนถึงระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปัจจุบันมีนักเรียนมากกว่า 1,000 คน (หน้า 209)
ประเพณีปอยที่สะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับการศึกษา
- ปอยครูหมอ จัดขึ้นเพื่อยกย่องครูบาอาจารย์ที่สั่งสมความรู้ไว้ให้คนรุ่นหลังเนื่องจากคำว่า "หมอ" ในภาษาไทใหญ่หมายถึงผู้มีความชำนาญในวิชาความรู้สาขาใดสาขาหนึ่งจนสามารถนำไปสอนผู้อื่นได้
-ปอยปิดภาคเรียนภาษาไต เป็นประเพณีใหม่ที่ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อรองรับหลักสูตรการเรียนภาษาไทใหญ่ภาคฤดูร้อนของหมู่บ้านเปียงหลวง เด็กที่เข้าเรียนภาษาไทใหญ่จะจัดเตรียมการแสดงประกอบเพลง เนื้อหาของเพลงโดยมากส่งเสริมให้เด็กเห็นความสำคัญของการสืบทอดภาษา สถานที่จัดงานคือวัดเปียงหลวงซึ่งเป็นศูนย์กลางการเรียนการสอน (หน้า 202-203) |
|
Health and Medicine |
"สล่าสักยา" เป็นผู้มีความรู้ ทำการรักษาโรคด้วยยาสมุนไพร เป็นหมอผีและหมอดู (หน้า 192) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เพลงชาติที่ไทใหญ่บ้านเปียงหลวงรู้จักมี 2 แบบ แบบแรกมีชื่อว่า "กวามเจ้อจ้าต" (ความเชื้อชาติ) เป็นเพลงที่สภาเจ้าฟ้าไทใหญ่ในรัฐฉานประกาศให้เป็นเพลงชาติครั้งแรกในวันชิติไต 7 กุมภาพันธ์ 1947 ส่วนเพลงชาติแบบที่ 2 คือเพลงชาติไต ทำนองเดียวกับเพลงชาติไทย แต่งขึ้นสมัยเจ้าน้อย วงดนตรี "เจิงแลว" เป็นบทเพลงที่มีเนื้อหาปลุกใจให้รักชาติ มีเนื้อหาสะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์การเมืองและสภาพชีวิตของไทใหญ่ อาทิเช่น เพลงวันไตเต๋รอดแลว แปลว่าวันที่ไทใหญ่จะได้เป็นเอกราช เพลงเนวินโจรแค็บจ๊อย แปลว่า เนวินโจรปล้นแบ็งค์ร้อย เป็นต้น (หน้า 198-199) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ไทใหญ่บ้านเปียงหลวงมีอัตลักษณ์หลายอย่างที่นำมาสร้างพรมแดนชาติพันธุ์ของตน เช่นเรื่อง ภาษา เครื่องแต่งกาย รอยสัก และระบบการผลิตและการประกอบอาชีพ เป็นต้น และเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากสถานการณ์การเมืองเปลี่ยนไป ดังนี้
- การสร้างสำนึกทางประวัติศาสตร์ผ่านบุคคลและเหตุการณ์ ได้แก่ เจ้าเสือข่านฟ้า มีความสำคัญในฐานะเป็นผู้ "สร้างชาติ" ไทใหญ่ขึ้นเป็นครั้งแรก พระนเรศวร มีความสำคัญในฐานะผู้มีความสามารถในการรบชนะพม่า หรือมี "ศัตรูร่วม" กับคนไทใหญ่ รวมทั้งเป็นกษัตริย์ผู้เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างชายไทใหญ่ - ไทยน้อย นายพลโม เฮง มีความสำคัญในฐานะ "นักรบกู้ชาติ" เป็น "แม่แบบ" ของนักรบในความเป็นจริงที่คนไทใหญ่ควรเอาเยี่ยงอย่าง และสัญญาปากโหลง เป็นสัญญาแห่งความเลวร้ายของรัฐบาลพม่า ที่ทำให้ไทใหญ่ต้องลุกขึ้นจับปืนรบและอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในแผ่นดินไทย (หน้า 195)
- อัตลักษณ์ด้านภาษา มีการสอนภาษาไทใหญ่ขึ้นอีกครั้งในโรงเรียนและวัด ไทใหญ่ในรัฐฉานเริ่มมีแบบเรียนภาษาไทใหญ่แบบ "ลิ่กตัวกลม" ใช้ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2501
- อัตลักษณ์ทางการเมืองเป็นอัตลักษณ์ที่เด่นที่สุด เนื่องจากบริเวณพรมแดนนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังกู้ชาติไทใหญ่เป็นระยะเวลานานเกือบ 30 ปี อัตลักษณ์ที่ถูกผลิตออกมา คือบทเพลงและสิ่งตีพิมพ์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมือง (หน้า 197-198)
- การรื้อฟื้นประเพณีเก่า ประดิษฐ์ประเพณีใหม่ ได้แก่ งานปอยปีใหม่ งานปอยครูหมอไต และงานปิดภาคเรียนภาษาไต การต่อสู้ของจ้าตไต จ้าตไต คือ ลิเกไทใหญ่ และยังมีการผลิตอัตลักษณ์ของไทใหญ่ ได้แก่ การใช้สัญลักษณ์ของการใช้สีธงชาติไต คือ เหลือง เขียว แดง มาตบแต่ง (หน้า 201-204)
- รอยสัก การสักเป็นอัตลักษณ์ที่บ่งบอกความเป็นไทใหญ่มาแต่อดีต นิยมสักทั้งชายและหญิง มีการสักหลายรูปแบบ เช่น การสักยาข่าม มีเป้าหมายเพื่อคงกระพันชาตรี การสักมหานิยม มีเป้าหมายเพื่อความเป็นสิริมงคล การสักขาลาย มีเป้าหมายเพื่อแสดงถึงความอดทนเข้มแข็ง เป็นต้น (หน้า 175-222)
- ไทใหญ่มีเพลงชาติไทใหญ่ที่บ้านเปียงหลวงมี 2 แบบ แบบแรกมีชื่อว่า "กวามเจ้อจ๊าต" (ความเชื้อชาติ) โดยสภาเจ้าฟ้าไทใหญ่ประกาศให้เป็นเพลงชาติและประกาศให้ชนชาติไทใหญ่ใช้ธงชาติไตร่วมกันตั้งแต่ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1947 เพลงชาติแบบที่ 2 คือ "เพลงชาติไต" มีทำนองเดียวกับเพลงชาติไทย (หน้า 191 -198 ) |
|
Social Cultural and Identity Change |
รอยสักเป็นอัตลักษณ์ที่บ่งบอกความเป็นไทใหญ่มาแต่อดีต หลังจากที่ขุนส่าวางอาวุธ ไทใหญ่จำนวนมากหนีเข้ามาอยู่ในประเทศไทย การสักซึ่งเป็นอัตลักษณ์ที่บ่งบอกความเป็นไทใหญ่อย่างชัดเจนในอดีต แต่คนรุ่นปัจจุบันไม่นิยมสัก เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองที่เปลี่ยนไป ไทใหญ่ส่วนใหญ่มีบัตรประชาชน ถ้ามีรอยสักก็จะเป็นที่สังเกต ส่งผลให้ "สล่าสักยา" หรือ "หมอสัก" ที่เคยเป็นที่นับถือของชุมชนก็ลดบทบาทลง ไม่มีผู้สืบทอดความรู้เรื่องสัก (หน้า 175 - 222) |
|
Map/Illustration |
- เครื่องแต่งกายชายไทใหญ่,เครื่องแต่งกายหญิงไทใหญ่แบบสมัยใหม่(176)
- สัญลักษณ์ธงชาติไต มักปรากฏอยู่ในข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของไทใหญ่บ้านเปียงหลวง(177)
- ชุดนางรำจ้าตไตหรือลิเกไทใหญ่ก่อนถูกตัดชายสิ้นเพื่อหลีกหนีความเป็นพม่า,ชุดนางรำจ้าตไตหรือลิเกไทใหญ่หลังตัดชายซิ่น(178)
- งานปอยส่างลองหรืองานบวชเณรของไทใหญ่(179)
- เจ้าน้อย ซอหยิ่นต๊ะ ผู้นำกลุ่มหนุ่มศึกหาญ กองกำลังกู้ชาติไทใหญ่กลุ่มแรก ก่อตั้งปี พ.ศ.2501,นายพลโม เฮงหรือเจ้ากอนเจิง ผู้นำกองกำลังกู้ชาติไทใหญ่ กลุ่ม "SURA" สูญเสียแขนจากการสู้รบเมื่อปี 2502(180)
- ขุนส่าหรือจางซีฟู ผู้นำกองกำลังกู้ชาติไทใหญ่ต่อจากนายพลโม เฮง และตัดสินใจวางอาวุธเมื่อเดือน มกราคม 2539(181)
- ตำราเรียนภาษาไทใหญ่ ชั้น ป.1- ป.5(182)
- หมายเลข 1 2และ3 คือหมู่บ้านของเด็กนักเรียนที่เดินทางมาเรียนที่โรงเรียนหลักแต่ง ประกอบด้วยหมู่บ้านปางก้ำก่อ ห้วยยาวและปางใหม่สูง ตามลำดับ(หมู่บ้านทั้งหมดอยู่ในเขตการสู้รบ)(หน้า 211) |
|
Text Analyst |
ขนิษฐา อลังกรณ์, สุวิทย์ เลิศวิมลศักดิ์ |
Date of Report |
12 เม.ย 2548 |
TAG |
ไทใหญ่, อัตลักษณ์, เชียงใหม่, |
Translator |
- |
|