|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไทยมุสลิม,วัฒนธรรม,การรักษาพยาบาล,การปรับตัว,ปัตตานี |
Author |
วรรณฤดี ชินช่วยแรง |
Title |
การปรับตัวเชิงวัฒนธรรมระหว่างการเข้าพักรักษาในโรงพยาบาลของผู้ป่วยสตรีไทยมุสลิม |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
203 |
Year |
2536 |
Source |
ปริญญาสังคมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุข คณะสังคมศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล |
Abstract |
การศึกษาครั้งนี้ถือเป็นกรณีทางวัฒนธรรมศึกษา ที่เกิดขึ้นในสังคมขนาดใหญ่ที่มีความหลากหลายของกลุ่มคน ซึ่งแต่ละกลุ่ม มีวัฒนธรรมเฉพาะที่ตอบสนองการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกัน บางครั้งวัฒนธรรมบางอย่างก็อาจไม่สอดคล้องกัน ดังนั้น เมื่อเป็นความจำเป็น มนุษย์จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปรับตัวระหว่างวัฒนธรรมได้ ผู้ป่วยสตรีไทยมุสลิมมีการปรับตัวเชิงวัฒนธรรม ทุกด้านอยู่ในระดับปานกลาง มีการปรับตัวเชิงวัฒนธรรมในด้านการตรวจวินิจฉัยโรคดีกว่าด้านอื่นๆ นอกจากนั้น ยังพบว่า ลักษณะทางประชากรรวมทั้งประสบการณ์ความเจ็บป่วยมีผลต่อการปรับตัวในระหว่างการเข้าพักรักษาในโรงพยาบาลของผู้ป่วยสตรีไทยมุสลิม โดยมีปัจจัยที่สามารถพยากรณ์การปรับตัวได้ดีคือ อายุ จำนวนปีที่ศึกษาสายสามัญ สถานภาพสมรส ความสามารถในการใช้ภาษาไทย การพักรักษาในแผนกศัลยกรรมโรคและอาการเจ็บป่วยในครั้งนี้ และจำนวนครั้งที่เคยเข้าพักรักษาในโรงพยาบาลรอบปีที่ผ่านมา โดยสามารถร่วมกันอธิบายความผันแปรการปรับตัวเชิงวัฒนธรรมได้ร้อยละ 37.33 โดยผู้ป่วยสตรีไทยมุสลิมที่มีอายุน้อย ผ่านการศึกษาสายสามัญ สถานภาพโสดหรือคู่และสามารถใช้ภาษาไทยได้ดีจะมีแนวโน้มที่จะมีการปรับตัวเชิงวัฒนธรรมได้ดีกว่ากลุ่มผู้ป่วยสตรีไทยมุสลิมสูงอายุ ไม่ได้ผ่านการศึกษาสายสามัญ มีสถานภาพการหย่าร้างและไม่สามรถใช้ภาษาไทยได้เลย ส่วนปัจจัยทางด้านการศึกษาสายศาสนา จำนวนบุตร อาชีพและภูมิลำเนาในปัจจุบัน ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ไม่สามรถสรุปความสัมพันธ์ได้ชัดเจนนัก การศึกษาครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นว่าความเชื่อบางประการ ของวัฒนธรรมท้องถิ่น อาจเป็นอุปสรรคต่อการปรับตัวในระหว่างการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลแม้จะมิใช่ข้อกำหนดของศาสนาโดยตรง ดังนั้น การพิจารณาวัฒนธรรมเฉพาะท้องถิ่นร่วมกับวัฒนธรรมอิสลาม จึงอาจมีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบบริการในโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยมุสลิมให้ดียิ่งขึ้นต่อไปได้ |
|
Focus |
ศึกษาการปรับตัวเชิงวัฒนธรรมระหว่างการพักรักษาในโรงพยาบาลของผู้ป่วยสตรีไทยมุสลิมในด้านการตรวจวินิจฉัยโรค การรักษาพยาบาลและการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน ตลอดจนการศึกษาความสัมพันธ์ อำนาจการพยากรณ์ของลักษณะทางประชากรและประสบการณ์ความเจ็บป่วยที่มีต่อการปรับตัวเชิงวัฒนธรรม |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษายาวีและภาษาไทย (หน้า133) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Demography |
จังหวัดปัตตานีมีไทยมุสลิมอาศัยอยู่ร้อยละ 77.53 (หน้า 66) |
|
Economy |
กลุ่มตัวอย่างสตรีไทยมุสลิมนอกจากการเป็นแม่บ้านหรือมิได้ประกอบอาชีพใดแล้ว มีเพียงส่วนน้อยที่ประกอบอาชีพรับจ้าง ค้าขายและเกษตรกรรม (หน้า 133) |
|
Belief System |
มุสลิมเชื่อพระเจ้า ศาสนทูต โลกหน้าและสิ่งอื่นๆ ซึ่งเป็นความศรัทธาที่ตรงกันของมุสลิมทั่วโลก ไม่เคารพรูปปั้นต่างๆ และธรรมชาติทั้งมวลไม่ว่าจะเป็น ต้นไม้ หรือภูเขา ในด้านพิธีกรรมที่นอกเหนือจากส่วนที่กำหนดไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น พิธีแต่งงาน การจัดการกับผู้ป่วยหรือคนตาย จะต้องไม่ขัดกับหลักศาสนา มุสลิมมีความเคร่งครัดในการปฏิบัติตามศาสนาบัญญัติ โดยมี หลักสำคัญ 2 ประการที่มุสลิมยึดถือปฏิบัติ คือ หลักศรัทธา (อัรกานุลอีมาน) และหลักปฏิบัติ (อัรกานุลอิสลาม) การดำเนิน ชีวิตของสังคมมุสลิม เน้นการสำรวมของชายและหญิง ด้วยการควบคุมรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสของตนเอง ไม่ให้เป็นสิ่งกระตุ้นอารมณ์ซึ่งกันและกันได้ ส่วนการแต่งกายในวัฒนธรรมอิสลามจะเน้นการปกปิดร่างกาย การแต่งกาย การห้ามอยู่ลำพังกับเพศ ตรงข้ามรวมถึงคำพูดและน้ำเสียงของสตรีมุสลิมถือเป็นการใช้ชีวิตในสังคมอิสลาม และเพื่อปกป้องเกียรติและคุณธรรมของผู้หญิง อิสลามเน้นการรักษาความสะอาดของร่างกายเพราะความสะอาดในศาสนาอิสลามเทียบเท่ากับความบริสุทธิ์ นอก จากนี้ยังคำนึงถึงสุขภาพของมนุษย์โดยตรงไม่ว่าจะเป็นในด้านโภชนาการ การพักผ่อนตลอดจนการรักษาสุขภาพ (หน้า 32-48) |
|
Education and Socialization |
การศึกษาในแถบจังหวัดชายแดนภาคใต้มี 2 ระบบคือ ระบบสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการและระบบที่จัดขึ้นโดยภาคเอกชนซึ่งนอกจากจะสอนวิชาสามัญแล้วยังเน้นหนักในการสอนศาสนาเพิ่มเติมด้วย (หน้า 132) จากกลุ่มตัวอย่างศึกษาสายสามัญส่วนใหญ่จะจบเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 (ร้อยละ 65) และถ้าการศึกษาเน้นหนักการสอนศาสนาอิสลาม พบว่าเกือบครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่างศึกษาในระดับ 1-4 (ร้อยละ 48.5) นอกจากนั้น เป็นการเรียนเสริมพิเศษในวันเสาร์-อาทิตย์ (ร้อยละ 27.3) การเรียนศาสนาอิสลาม ถือเป็นหน้าที่โดยตรงของบิดามารดาที่จะต้องเลี้ยงดูและจัดการการศึกษาให้แก่บุตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินชีวิตตามหลักศาสนา (หน้า 76-77) |
|
Health and Medicine |
ปี พ.ศ. 2538 มีสถานีอนามัยทั่วประเทศ 9,010 แห่ง โรงพยาบาลชุมชน 707 แห่งและโรงพยาบาลทั่วไปสังกัดกระทรวงสาธารณะสุข 70 แห่ง (ไม่รวมโรงพยาบาล โรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลค่ายสังกัดกระทรวงกลาโหม โรงพยาบาลเอกชนและคลินิกต่างๆ) ในปี พ.ศ. 2533 มีผู้ป่วยนอกมาใช้บริการในโรงพยาบาลของรัฐทั้งสิ้น 2,184,561 ครั้ง เฉลี่ย 0.78 ครั้งต่อคนต่อปีซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ (0.82 ครั้งต่อคนต่อปี ) และมีผู้ป่วยในทั้งสิ้น 201,489 คน (หน้า 1-2) ในปี พ.ศ. 2537 จังหวัดปัตตานีมีผู้ตั้งครรภ์ทั้งสิ้น 11,779 ราย แต่ทำคลอดโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพียงร้อยละ 50.85 นอกจากนั้นคือการคลอดกับผดุงครรภ์โบราณ หากพิจารณาถึงวัฒนธรรมในโรงพยาบาล ผู้ป่วยจะเข้ามาเกี่ยวข้องตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนออกจากโรงพยาบาล สามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ การตรวจวินิจฉัย การรักษาพยาบาลและการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน ซึ่งจะดำเนินไปตลอดระยะเวลาที่ผู้ป่วยรักษาตัวในโรงพยาบาล แต่ละแผนกในโรงพยาบาลจะมีลักษณะการรักษาเฉพาะ แตกต่างกันตามพยาธิสภาพของโรค ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อวิถีการดำเนินชีวิตและวิธีปฏิบัติตนในขณะรับการรักษาในโรงพยาบาล การที่สถานะสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่บรรลุเป้าหมายของการมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเพียงพอนั้น สาเหตุมาจากสภาพความไม่ต่อเนื่องของนโยบาย การขาดแคลนบุคลากรทางด้านสาธารณะสุข การมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาสาธารณะสุขยังอยู่ในระดับต่ำ ขาดความเข้าใจร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่สาธารณะสุขและประชาชนในพื้นที่ ตลอดจนอุปสรรคในการสื่อสารรวมทั้งการจัดสรรงบประมาณและกระบวนการงบประมาณไม่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาสาธารณะสุขในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (หน้า 11-32,134) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การปรับตัวเชิงวัฒนธรรมระหว่างการเข้าพักรักษาในโรงพยาบาลของผู้ป่วยสตรีไทยมุสลิม กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 69.5 สามารถปรับตัวอยู่ในกลุ่มปานกลาง รองลงมาคือการปรับตัวอยู่ในกลุ่มต่ำ ร้อยละ 19.6 และมีเพียงร้อยละ 19.5 ที่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์สูง กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีระดับการยอมรับปฏิบัติการใดๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ในเกณฑ์สูง (ร้อยละ 81.3) ในด้านการตรวจวินิจฉัยโรค การปรับตัวเชิงวัฒนธรรมที่ดีที่สุดคือ ด้านการตรวจร่างกาย โดยเฉพาะการตรวจโดยแพทย์หญิง ส่วนในด้านการซักประวัติมีการปรับตัวอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนประเด็นของการซักประวัติมีการปรับตัวอยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ การปรับตัวเชิงวัฒนธรรมระหว่างการพักรักษาในโรงพยาบาล ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีระดับการยอมรับอยู่ในกลุ่มสูง (ร้อยละ 66.5) และมีระดับความรู้สึกอยู่ในกลุ่มปานกลาง (ร้อยละ 68.7) การคลอดโดยมีแพทย์หญิงเป็นผู้ทำให้พบว่ากลุ่มตัวอย่างร้อยละ 99.1 และร้อยละ 96.1 ยอมให้แพทย์หญิงมุสลิมและแพทย์หญิงไทยพุทธทำคลอดให้ การปรับตัวเชิงวัฒนธรรมในด้านของการรับเลือดจากคนต่างศาสนา มีการปรับตัวค่อนข้างปานกลางถึงต่ำ โดยร้อยละ 44.3 ยอมรับได้โดยไม่มีข้อแม้และรู้สึกเฉยๆ ไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร ร้อยละ 41.6 ในเรื่องของการผ่าตัดทำหมันมีการปรับตัวได้น้อยที่สุด คือร้อยละ 60.4 ของกลุ่มตัวอย่างยอมรับไม่ได้และไม่สบายใจ ส่วนการปรับตัวเชิงวัฒนธรรมในระหว่างการพักรักษาในโรงพยาบาลของสตรีมุสลิมอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง (ร้อยละ 50) การปรับตัวเชิงวัฒนธรรมที่มีการปรับตัวได้ดีคือการแต่งกายในโรงพยาบาล ส่วนใหญ่ยอมรับได้กับการแต่งกายตามกฎระเบียบของโรงพยาบาล ส่วนประเด็นที่ผู้ป่วยสตรีไทยมุสลิมมีการยอมรับได้น้อย คือ การทำความสะอาดร่างกาย โดยกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 42.2 ไม่สามารถทำใจยอมรับได้(หน้า 89-154) |
|
Map/Illustration |
ตาราง -จำนวนผู้ป่วยสตรีไทยมุสลิมในแต่ละแผนกแยกตามรายเดือน(หน้า67) -ขนาดตัวอย่างทั้งหมด แยกตามประเภทของห้องพักที่รักษา(หน้า68) -กลุ่มตัวอย่างจำแนกตามแผนกที่พักรักษา(หน้า74) -กลุ่มตัวอย่างจำแนกตามภูมิลำเนาในปัจจุบัน(หน้า74) -อายุ สถานภาพสมรส จำนวนปีที่ครองสภาพการสมรสและจำนวนบุตรของกลุ่มตัวอย่าง(หน้า75) -การศึกษาสายสามัญ สายศาสนา ความสามารถในการใช้ภาษาไทยและอาชีพของกลุ่มตัวอย่าง(หน้า77) -ประเภทของห้องพักโรคหรืออาการเจ็บป่วยและระยะเวลาที่นอนพักรักษาในโรงพยาบาลครั้งนี้ของกลุ่มตัวอย่าง(หน้า80) -จำนวนครั้ง จำนวนวันที่เคยพักรักษาและโรงพยาบาลที่เคยพักรักษาในรอบปีที่ผ่านมาของกลุ่มตัวอย่าง(หน้า81) -ประสบการณ์การพักห้องพิเศษและห้องสามัญของกลุ่มตัวอย่าง(หน้า83) -ประสบการณ์รวมในด้านการตรวจวินิจฉัยโรค ในด้านการตรวจปัสสาวะหรืออุจจาระ ตรวจเลือดและตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษของกลุ่มตัวอย่าง(หน้า84) -ประสบการณ์รวมในด้านการตรวจภายในและตรวจเต้านมของกลุ่มตัวอย่าง(หน้า86) -ประสบการณ์รวมในด้านการรับประทานยาและการได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำของกลุ่มตัวอย่าง(หน้า87) -ประสบการณ์รวมในด้านการรับเลือด การผ่าตัดและการคลอดที่โรงพยาบาลของกลุ่มตัวอย่าง(หน้า88) -ระดับความรู้สึกและระดับการยอมรับของการปรับตัวเชิงวัฒนธรรมโดยรวม(90) -ระดับการปรับตัวเชิงวัฒนธรรมระหว่างการพักรักษาในโรงพยาบาลของผู้ป่วยสตรีไทยมุสลิม(หน้า90) -ระดับความรู้สึกและระดับการยอมรับของการปรับตัวเชิงวัฒนธรรมด้านการตรวจวินิจฉัยโรค(หน้า92) -ระดับการปรับตัวเชิงวัฒนธรรมในด้านการตรวจวินิจฉัยโรค(หน้า92) -ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนการปรับตัวเชิงวัฒนธรรม ในด้านการวินิจฉัยโรค(หน้า93) -การปรับตัวเชิงวัฒนธรรมระหว่างการพักรักษาในโรงพยาบาลของผู้ป่วยสตรีไทยมุสลิมในด้านการตรวจวินิจฉัยโรคจำแนกตามรายข้อ(หน้า99) -ระดับความรู้สึกและระดับการยอมรับของการปรับตัวเชิงวัฒนธรรมในด้านการรักษาพยาบาล(หน้า101) -ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนการปรับตัวเชิงวัฒนธรรม ในด้านการรักษาพยาบาล(หน้า101) -การปรับตัวเชิงวัฒนธรรมระหว่างการพักรักษาในโรงพยาบาลของผู้ป่วยสตรีไทยมุสลิมในด้านการรักษาพยาบาล จำแนกตามรายข้อ(หน้า108) -ระดับความรู้สึกและระดับการยอมรับของการปรับตัวเชิงวัฒนธรรมในด้านการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน(หน้า109) -ระดับการปรับตัวเชิงวัฒนธรรมในด้านการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน(หน้า110) -ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนการปรับตัวเชิงวัฒนธรรม ในด้านการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน(หน้า110) -การปรับตัวเชิงวัฒนธรรมระหว่างการพักรักษาในโรงพยาบาลของผู้ป่วย สตรีไทยมุสลิมในด้านการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน จำแนกตามรายข้อ(หน้า117) -การปรับตัวเชิงวัฒนธรรมจำแนกตามลักษณะทางประชากร(หน้า119) -การปรับตัวเชิงวัฒนธรรมจำแนกตามประสบการณ์ความเจ็บป่วยในครั้งนี้(หน้า121) -การปรับตัวเชิงวัฒนธรรม จำแนกตามประสบการณ์ความเจ็บป่วยในรอบปีที่ผ่านมา(หน้า122) -การปรับตัวเชิงวัฒนธรรม จำแนกตามประสบการณ์รวมที่เคยพักห้องพิเศษและห้องสามัญ(หน้า123) -การปรับตัวเชิงวัฒนธรรม จำแนกตามประสบการณ์รวมในด้านการตรวจวินิจฉัยโรค(หน้า124) การปรับตัวเชิงวัฒนธรรม จำแนกตามประสบการณ์รวมในด้านการรักษาพยาบาล(หน้า125) รายละเอียดของตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย(หน้า127) การวิเคราะห์ถดถอยพหุในการพยากรณ์การปรับตัวเชิงวัฒนธรรม(หน้า130) แผนภาพ -กรอบแนวคิด แสดงความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางประชากรรวมทั้งประสบการณ์ความเจ็บป่วยกักการปรับตัวเชิงวัฒนธรรมของผู้ป่วยสตรีไทยมุสลิม(หน้า65) - แสดงการพล็อตกราฟฮีสโตแกรม ระหว่างตัวแปรตามกับค่าความคลาดเคลื่อน(Histogram-Standardized Residual)( หน้า182) - ความสัมพันธ์แบบเส้นตรงระหว่างตัวแปรอิสระกับค่าความคลาดเคลื่อน (Normal Probability (p - p) plot)( หน้า183) - การพล็อตกราฟระหว่างตัวแปรตามกับค่าความคลาดเคลื่อน (Standardized Scatter plot)( หน้า184) |
|
|