|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),การศึกษานอกโรงเรียน,กาญจนบุรี |
Author |
จินตนา สังวรณ์ |
Title |
การศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการด้านการศึกษานอกโรงเรียนของชาวไทยภูเขาเผ่ากะเหรี่ยงในจังหวัดกาญจนบุรี |
Document Type |
ปริญญานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
104 |
Year |
2531 |
Source |
หลักสูตรปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร |
Abstract |
การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาสภาพและความต้องการทีเกี่ยวกับการศึกษานอกโรงเรียนรวมทั้งความคิดเห็นของประชาชน และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติงานในชุมชนกะเหรี่ยงในเขต 4 หมู่บ้านของ จ.กาญจนบุรี ผลการศึกษาพบว่า สภาพของหมู่บ้านเป้าหมายใน 4 หมู่บ้านมีครัวเรือนทั้งหมด 187 ครัวเรือน ด้านที่ดินทำกินทุกครัวเรือนไม่มีสิทธิ์เอกสารสิทธิ์ในที่ดิน เนื่องจากตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนฯและพื้นที่อนุรักษ์ฯ และยังไม่มีไฟฟ้าใช้ สภาพบ้านเรือนโดยมากไม่ค่อยคงทน และสร้างด้วยวัสดุธรรมชาติ เช่น มุงหลัง คาด้วยหญ้าคา อาชีพหลักนั้นคือการทำไร่ข้าว เพื่อบริโภคเป็นหลัก ทั้งนี้ยังมีพืชเสริมจำพวกพืชไร่ระยะสั้น ด้านสาธารณสุขจะมีการจัดกองทุนยาและเวชภัณฑ์หมู่บ้าน และมีหน่วยงานของตำรวจตระเวนชายแดนชุดพลเรือน ตำรวจ ทหาร (พตท.) ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาเข้ามาช่วยเหลือด้านการศึกษา กะเหรี่ยงส่วนใหญ่จะจบในระดับ ป.4 แต่ก็มีบางส่วนที่เรียนไม่จบ ส่วนกิจกรรมการฝึกอบรมนอกโรงเรียนได้แก่ เรื่องด้านความมั่นคงของชาติ ด้านอาชีพ ด้านศึกษา และด้านสุขภาพ ทั้งนี้สรุปปัญหา ที่สำคัญของทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ 1.ปัญหาน้ำเพื่อการเกษตร 2.ปัญหาผลผลิตจากการทำไร่ 3.ปัญหาสุขภาพและอนามัย 4.ปัญหาสุขลักษณะในหมู่บ้าน 5.ปัญหาขาดการให้บริการความรู้ของรัฐ 6.ปัญหาเรื่องระดับการศึกษาของประชาชน สำหรับข้อเสนอแนะแนวคิดในการจัดการศึกษา ใน 7 ประเด็น คือ 1.การพัฒนาความรู้พื้นฐาน 2.การพัฒนาด้านข่าวสารข้อมูล 3.การพัฒนาด้านอาชีพ 4.ช่วงเวลาในการจัดกิจกรรมทางการศึกษานอกโรงเรียน 5.การพัฒนาด้านเทคโนโลยี 6.การพัฒนาองค์กรท้องถิ่น 7.การพัฒนาระบบการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง |
|
Focus |
มุ่งศึกษาถึงสภาพปัญหาและความต้องการที่เกี่ยวกับการศึกษานอกโรงเรียนทั้งความคิดเห็นของประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติงานในชุมชนไทยภูเขาเผ่ากะเหรี่ยงในจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อนำข้อมูลมากำหนดแนวทางและข้อเสนอแนะในการจัดการศึกษาอย่างเหมาะสมกับสภาพของชุมชน |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้เขียนให้คำเรียกกะเหรี่ยงไว้หลายคำ อย่าง กะเหรี่ยง กะหร่าง เป็นคำเรียกของคนไทยภาคกลาง คนไทยภาคเหนือเรียก ยาง พม่าเรียกกันว่า กะยิ่น ภาษาอังกฤษใช้ Karen จัดอยู่ในตระกูลทิเบต - พม่า (หน้า 21) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่า เดิมกะเหรี่ยงอยู่ทางภาคตะวันออกของธิเบตแล้วอพยพเข้ามาอยู่ในจีน ชาวจีนเรียกว่า ชนชาติโจว ภายหลังถูกรุกรานจึงหนีลงมาอยู่ตามแม่น้ำโขงและสาละวินในพม่า ต่อมาในปี พ.ศ. 2428 อังกฤษได้ยึดครองพม่า กะเหรี่ยงจึงอพยพเข้ามาอยู่ในไทยจำนวนมาก และกระจัดกระจายอยู่ใน 15 จังหวัด ซึ่งมีมากที่สุดในเชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน และนอกนั้น เช่น กาญจนบุรี ตาก กำแพงเพชร เพชรบุรี อุทัยธานี เป็นต้น (หน้า 22) |
|
Settlement Pattern |
กะเหรี่ยงจะอยู่บนภูเขาสูงตั้งแต่ 1,500-3,000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล และมีความเชื่อในเรื่องผีและวิญญาณ โดยจะนับถือศาสนาพุทธควบคู่ไปด้วย (หน้า 22) บ้านของกะเหรี่ยงมักนิยมสร้างยกพื้นสูง 1-3 เมตร โดยใช้วัสดุที่หาได้ในท้องถิ่นพวกไม้ไผ่ และไม้ยืนต้น มาทำพื้นและฝาบ้าน ส่วนหลังคามักมุงด้วยสังกะสี จาก หญ้าคาและไม้ไผ่ สภาพของบ้านมีความคงทนอยู่ได้นานกว่า 5 ปี มีจำนวนเท่าๆ กับสภาพบ้านที่ไม่คงทนถึง 5 ปี บริเวณบ้านเป็นลานดิน เหมือนในหมู่บ้านชนบททั่วไป สำหรับปล่อยสัตว์เลี้ยงพวกเป็ด ไก่หรือหมู ไว้ตามใต้ถุนบ้าน ไม่มีน้ำโสโครกขังเฉอะแฉะในบริเวณครัวเรือน เพราะมีการทำร่องดิน เพื่อระบายน้ำทิ้งจากการประกอบอาหารและล้างภาชนะ แต่ก็มีบางครัวเรือนที่ปล่อยให้ใต้ถุนสกปรก เลอะด้วยมูลสัตว์และน้ำโสโครก (หน้า 57) |
|
Demography |
ด้านจำนวนประชากร - บ้านทิพุเยประกอบด้วย 36 ครัวเรือน ประชากร 225 คน แบ่งเป็น ชาย 122 คน และหญิง 103 คน จำนวนสมาชิกต่อครอบครัวเฉลี่ยคิดเป็น 6.25 - บ้านสะเนพ่องประกอบด้วย 39 ครัวเรือน ประชากร 276 คน แบ่งเป็น ชาย 162 คน และหญิง 114 คน จำนวนสมาชิกต่อครอบครัวเฉลี่ยคิดเป็น 7.1 - บ้านบ้องตี้ล่าง ประกอบด้วย 36 ครัวเรือน ประชากร 225 คน แบ่งเป็น ชาย 122 คน และหญิง 103 คน จำนวนสมาชิกต่อครอบครัวเฉลี่ยคิดเป็น 4.8 - บ้านเข้าเหล็ก ประกอบด้วย 44 ครัวเรือน ประชากร 275 คน แบ่งเป็น ชาย 138 คน และหญิง 1137 คน จำนวนสมาชิกต่อครอบครัวเฉลี่ยคิดเป็น 6.25 ข้อมูลสำรวจในปี พ.ศ. 2531 (จากตารางหน้า 33) |
|
Economy |
การประกอบอาชีพ - ประชากรทุกครัวเรือนทำนาเป็นอาชีพหลัก ซึ่งเป็นการทำไร่ข้าวเพื่อยังชีพ ใช้วิธีการปลูกแบบดั้งเดิม ดังนั้นจึงต้องพึ่งพาน้ำฝนเป็นหลัก ซึ่งในปัจจุบันฝนไม่ตกตามฤดูกาลหรือมีปริมาณน้อย เนื่องจาก การทำลายป่า ผลผลิตที่ได้จึงมีปริมาณต่ำนอกจากนี้กะเหรี่ยงยังไม่มีการใช้ปุ๋ยและพันธุ์พืชของทางราชการ นอกจากทำไร่ข้าวบ้านบ้องตี้ล่างมีการทำไร่ฝ้าย ซึ่งใช้พันธุ์พืชและยาฆ่าแมลงจากพ่อค้าคนพื้นราบ โดยการแลกเปลี่ยนระหว่างผลผลิตกับผลิตภัณฑ์เหล่านั้นรวมทั้งข้าวของเครื่องใช้อย่างอื่น ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาหนี้สินตามมา นอกจากนี้ ทุกครัวเรือนยังปลูกพืชไร่เสริมอย่างอื่น เช่น ข้าวโพด พริก ถั่วเหลืองและงา เพื่อยังชีพและถ้ามีผลผลิตมากพอก็จะขายให้แก่พ่อค้าที่มารับซื้อ โดยพื้นที่ทำกินนั้นประชาชนสามารถจับจองได้ตามกำลังการผลิต ทุกครัวเรือนไม่มีเอกสารสิทธิ์ เนื่องจากอยู่ในเขตพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าและเขตป่าสงวนแห่งชาติ การเลี้ยงสัตว์เลี้ยง - สัตว์พวกเป็ด ไก่หรือหมู ในบางหมู่บ้าน เช่น บ้านสะเนพ่องมีข้อห้ามเลี้ยงถือว่าเป็นการผิด "ผีโกเต็ง" แต่ละครัวเรือน ส่วนใหญ่เลี้ยงวัวหรือควาย โดยมีการเลี้ยงหมู และเป็ดหรือไก่ มากน้อยตามลำดับ สำหรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคแก่สัตว์เลี้ยงในบางหมู่บ้านมีเจ้าหน้าที่เขาไปฉีดให้ถึงบ้าน แต่ไม่ครบทุกครัวเรือน และพันธุ์สัตว์ที่ชาวบ้านเลี้ยงยังเป็นพันธุ์ที่มีอยู่ในท้องถิ่น ไม่มีการนำมาจากทาง (หน้า 58-62) |
|
Social Organization |
การเป็นสมาชิกกลุ่ม - มีการเป็นสมาชิกกลุ่มกองทุนพัฒนาหรืกองทุนเฉพาะกิจ เช่น กองทุนยา ธนาคารข้าว รวมจำนวน 21 ราย รองลงมาเป็นกลุ่มพัฒนาหมู่บ้าน เช่น กลุ่มเยาวชน กลุ่มแม่บ้าน รวมจำนวน 15 ราย และเป็นสมาชิกกลุ่มอาชีพ เช่น กลุ่มยุวเกษตรกร เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการฝึกอบรมโดยศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา ในด้านเกษตรกรรมและเทคนิคการทำไร่ทำสวน และมีผู้หญิงบางส่วนที่ได้รับฝึกอบรมวิชาช่างตัดเย็บเสื้อผ้า ทั้งนี้ กะเหรี่ยงให้ความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับความต้องการในการอบรมด้านต่างๆ เช่น ด้านเกษตรกรรมวิชาตัดเย็บเสื้อผ้า ช่างเสริมสวยและตัดผมชาย และช่างซ่อมเครื่องยนต์ (หน้า 60) |
|
Political Organization |
ในส่วนทบทวนวรรณกรรมของผู้วิจัย กล่าวว่า ในแต่ละชุมชนจะมีสถาบันปกครองเป็นอิสระ มีหัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้นำที่มีหน้าที่ในการดูแลลูกบ้าน ส่วนผู้นำตามธรรมชาติมักเป็นกลุ่มอาวุโสและหมอผี มีหน้าที่ให้ความเห็นในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหัวหน้าหมู่บ้านที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ (หน้า 17) |
|
Belief System |
ในแต่ละชุมชนมีข้อห้ามในการเลี้ยงสัตว์บางประเภท เช่น บ้านสะเนพ่องไม่นิยมเลี้ยงไก่ โดยเชื่อว่าเป็นการผิด "ผีโกเต็ง" เป็นต้น (หน้า 58) |
|
Education and Socialization |
ในหมู่บ้านกะเหรี่ยง 4 หมู่บ้านที่ศึกษา มีโรงเรียนประถมศึกษาของตำรวจตระเวนชายแดน 2 แห่ง ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ ชาวเขา 2 แห่ง มีหมู่บ้านเดียวที่มีหอกระจายข่าวและที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้าน แต่ไม่มีหนังสือพิมพ์ให้อ่าน มีนักเรียนที่กำลังเรียนชั้นประถมศึกษาจำนวน 158 คน (37.7%) กำลังเรียนระดับมัธยมศึกษา 5 คน (1.9%) และที่กำลังเรียนสูงกว่าระดับมัธยมศึกษา 1 คน (0.2%) มีนักเรียนไม่จบชั้นประถมศึกษา 47 คน (11.2%) จบชั้นประถมศึกษาแต่ไม่เรียนต่อ 199 คน (47.5%) เรียนจบชั้นมัธยมศึกษา 9 คน (2.2%) นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมฝึกอบรมนอกโรงเรียน ในรอบ 2 ปี มีการฝึกอบรมด้านความมั่นคงของชาติ 8 ครั้ง ด้านอาชีพ 6 ครั้ง ด้านการศึกษา 3 ครั้ง ด้านสุขภาพ 1 ครั้ง (หน้า 77) |
|
Health and Medicine |
สภาพภายในบ้านส่วนใหญ่ข้าวของ เสื้อผ้า และที่นอนมักปล่อยทิ้งไว้ ไม่เป็นระเบียบ สำหรับน้ำดื่มน้ำใช้ชาวบ้านตักมาจากลำห้วยโดยมีภาชนะใส่น้ำจำพวกแกลลอน กระบอกไม้ไผ่ และโอ่งซึ่งไม่มีผาปิด สำหรับการเก็บของใช้ในครัว เครื่องหุงต้มต่างๆ มีการเก็บไว้เป็นระเบียบและมิดชิดพอสมควร ในการเก็บสารพิษ เช่น ยาฆ่าแมลง ยาปราบศัตรูฝ้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านบ้องตี้ล่างพบว่า มีการเก็บไว้ปลอดภัยพอควร การใช้ส้วมยังไม่เป็นที่นิยมในหมู่บ้านกะเหรี่ยง (หน้า 57-58) บริการด้านสาธารณสุข ภายในหมู่บ้าน ได้แก่ ตู้ยา ของกองทุนยาและเวชภัณฑ์ของศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาบ้าง หรือของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้าง และมีสถานีอนามัยไม่ห่างจากหมู่บ้านนัก แต่ไม่มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ถ้าเจ็บป่วยรุนแรงสามารถไปใช้บริการที่โรงพยาบาลของรัฐ โดยใช้เวลาเดินทางนานกว่า 2 ชั่วโมง (หน้า 43,45, 47,49) ดังนั้น ปัญหาสุขลักษณะในหมู่บ้านจึงถือเป็นปัญหาหลักอีกอย่างของกะเหรี่ยง |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
จากการค้นคว้าทางเอกสารของผู้วิจัยกล่าวถึง การแต่งกายของกะเหรี่ยงในหมู่บ้านเขาเหล็ก อ.ศรีสวัสดิ์ ไว้ว่า การแต่งกายหญิงและชายมักแต่งตามคนไทยพื้นราบ เด็กนักเรียนหญิงจะแต่งชุดกะเหรี่ยงไปเรียน ทั้งนี้ ยังนิยมแต่งชุดกะเหรี่ยงไปวัดในวันพระ ส่วนผู้ชายไม่มีชุดกะเหรี่ยงแล้ว จะอนุโลมใส่โสร่งไปวัดแทนกางเกง มีคนเฒ่าคนแก่ผู้หญิงบางคนไม่ยอมนุ่งผ้าถุงคนไทย แต่จะใส่เสื้อคอกระเช้า (หน้า 26-27) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
มีกะเหรี่ยงบางส่วนมักติดต่อกับเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ ประจำทุกเดือน เพื่อรับข้อมูลข่าวสาร โดยเนื้อหาที่กะเหรี่ยงต้องการรู้ได้แก่ การเกษตร ราคาสินค้าผลผลิตการเกษตร และข่าวสารบ้านเมือง นอกจากนี้ อาศัยวิธีการฟังวิทยุ อ่านหนังสือและหนังสือพิมพ์ (หน้า 63-64) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
ผู้วิจัยเสนอแนวความคิดในการจัดการศึกษานอกโรงเรียนในหมู่บ้านชาวไทยภูเขาเผ่ากะเหรี่ยงในจังหวัดกาญจนบุรี ดังนี้ 1. การพัฒนาด้านความรู้พื้นฐาน : ชุมชนกะเหรี่ยงมีความต้องการในการเรียนหนังสือให้อ่านออกเขียนได้ และการพูดภาษาไทย ผู้เขียนเห็นว่า รูปแบบการจัดการการศึกษาที่ควรนำมาทดลองใช้ คือ การศึกษาแบบครูอาสาสมัครเดินสอนเช่นเดียวกับในโครงการศูนย์การศึกษา เพื่อชุมชนในเขตภูเขา (ศศช.) จะได้เปิดโอกาสด้านการศึกษาแก่ชุมชนในถิ่นทุรกันดาร และสอดคล้องกับความต้องการของหน่วยงานในพื้นที่และความต้องการของชุมชน ที่ต้องการให้มีบุคลากรการศึกษานอกโรงเรียนประจำในพื้นที่ ส่วนในหมู่บ้านที่ยังไม่สามารถใช้รูปแบบ ศศช.ได้ ควรจัดให้มีการฝึกอบรมครูสอนระดับเบ็ดเสร็จขั้นพื้นฐานขึ้นในหมู่บ้าน (หน้า 81-82) 2. การพัฒนาด้านข่าวสารข้อมูล : ควรจัดให้มีสิ่งพิมพ์ข่าวสารประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะข่าวสารด้านการเกษตร ราคาสินค้า พืชผลต่าง ๆ ความรู้ด้านอนามัย และข่าวสารบ้านเมือง เป็นต้น ทุกหมู่บ้านควรมีที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้าน สำหรับชุมชนกะเหรี่ยงที่บ้านเรือนอยู่กระจัดกระจาย ควรให้มีหอกระจายข่าวที่มีรายการวิทยุทั้งภาคภาษาไทยและภาษากะเหรี่ยง ในคลื่นความถี่ที่ชุมชนกะเหรี่ยงสามารถฟังได้ (หน้า 82-83) 3. การพัฒนาด้านอาชีพ : จัดฝึกอบรมนอกเหนือจากด้านการเกษตรที่มีอยู่แล้ว เช่น ฝึกอบรมอาชีพช่างตัดเย็บเสื้อผ้า ช่างเสริมสวย ช่างซ่อมเครื่องยนต์ เป็นต้น (หน้า 83-84) 4. ช่วงเวลาในการจัดกิจกรรมการศึกษานอกโรงเรียน : ควรจัดช่วงเย็น หลังเลิกงานประจำวัน หรือหลังฤดูเก็บเกี่ยว (หน้า 84) 5. การพัฒนาด้านเทคโนโลยีชนบท เช่น พัฒนาเรื่องการใช้เชื้อเพลิง เป็นต้น 6. การพัฒนาองค์กรท้องถิ่น : จัดให้มีการฝึกอบรมแก่คณะกรรมการหมู่บ้านและประชาชนกลุ่มต่าง ๆ เช่น กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มยุวเกษตรกร เป็นต้น เพื่อส่งเสริมให้องค์กรเหล่านี้ ได้มีส่วนช่วยพัฒนาหมู่บ้านและงานการศึกษานอกโรงเรียนในชุมชนกะเหรี่ยง (หน้า 84) 7. พัฒนาระบบการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง : เพื่อให้เกิดความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ด้านการศึกษานอกโรงเรียนให้แก่ชาวบ้าน ในการพัฒนางานการศึกษานอกโรงเรียนสำหรับชุมชนกะเหรี่ยง จึงควรมีการประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อทำความเข้าใจนโยบายการศึกษานอกโรงเรียนที่หน่วยงานนั้น ๆ เกี่ยวข้อง แผนปฏิบัติงาน และการใช้ทรัพยากร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินการ (หน้า 85) |
|
Map/Illustration |
ภาพสภาพภูมิประเทศและเส้นทาง (หน้า 99) ภาพสภาพบ้านเรือนของชุมชนกะเหรี่ยง (หน้า 100) ภาพการแต่งตัวของผู้หญิงกะเหรี่ยง (หน้า 101) แผนที่แสดงที่ตั้งหมู่บ้านเป้าหมายในการวิจัยในจ.กาญจนบุรี (หน้า 102) แผนผังโดยสังเขป แสดงที่อยู่อาศัยของชุมชนกะเหรี่ยงในหมู่บ้านเป้าหมาย (หน้า 103-104) ตารางจำนวน 13 ตาราง (หน้า 8, 14, 25, 33, 54, 56, 59, 61, 63, 65, 66, 69, 73) |
|
|