สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),การศึกษานอกโรงเรียน,กาญจนบุรี
Author จินตนา สังวรณ์
Title การศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการด้านการศึกษานอกโรงเรียนของชาวไทยภูเขาเผ่ากะเหรี่ยงในจังหวัดกาญจนบุรี
Document Type ปริญญานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 104 Year 2531
Source หลักสูตรปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
Abstract

การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาสภาพและความต้องการทีเกี่ยวกับการศึกษานอกโรงเรียนรวมทั้งความคิดเห็นของประชาชน และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติงานในชุมชนกะเหรี่ยงในเขต 4 หมู่บ้านของ จ.กาญจนบุรี ผลการศึกษาพบว่า สภาพของหมู่บ้านเป้าหมายใน 4 หมู่บ้านมีครัวเรือนทั้งหมด 187 ครัวเรือน ด้านที่ดินทำกินทุกครัวเรือนไม่มีสิทธิ์เอกสารสิทธิ์ในที่ดิน เนื่องจากตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนฯและพื้นที่อนุรักษ์ฯ และยังไม่มีไฟฟ้าใช้ สภาพบ้านเรือนโดยมากไม่ค่อยคงทน และสร้างด้วยวัสดุธรรมชาติ เช่น มุงหลัง คาด้วยหญ้าคา อาชีพหลักนั้นคือการทำไร่ข้าว เพื่อบริโภคเป็นหลัก ทั้งนี้ยังมีพืชเสริมจำพวกพืชไร่ระยะสั้น ด้านสาธารณสุขจะมีการจัดกองทุนยาและเวชภัณฑ์หมู่บ้าน และมีหน่วยงานของตำรวจตระเวนชายแดนชุดพลเรือน ตำรวจ ทหาร (พตท.) ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาเข้ามาช่วยเหลือด้านการศึกษา กะเหรี่ยงส่วนใหญ่จะจบในระดับ ป.4 แต่ก็มีบางส่วนที่เรียนไม่จบ ส่วนกิจกรรมการฝึกอบรมนอกโรงเรียนได้แก่ เรื่องด้านความมั่นคงของชาติ ด้านอาชีพ ด้านศึกษา และด้านสุขภาพ ทั้งนี้สรุปปัญหา ที่สำคัญของทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ 1.ปัญหาน้ำเพื่อการเกษตร 2.ปัญหาผลผลิตจากการทำไร่ 3.ปัญหาสุขภาพและอนามัย 4.ปัญหาสุขลักษณะในหมู่บ้าน 5.ปัญหาขาดการให้บริการความรู้ของรัฐ 6.ปัญหาเรื่องระดับการศึกษาของประชาชน สำหรับข้อเสนอแนะแนวคิดในการจัดการศึกษา ใน 7 ประเด็น คือ 1.การพัฒนาความรู้พื้นฐาน 2.การพัฒนาด้านข่าวสารข้อมูล 3.การพัฒนาด้านอาชีพ 4.ช่วงเวลาในการจัดกิจกรรมทางการศึกษานอกโรงเรียน 5.การพัฒนาด้านเทคโนโลยี 6.การพัฒนาองค์กรท้องถิ่น 7.การพัฒนาระบบการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

Focus

มุ่งศึกษาถึงสภาพปัญหาและความต้องการที่เกี่ยวกับการศึกษานอกโรงเรียนทั้งความคิดเห็นของประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติงานในชุมชนไทยภูเขาเผ่ากะเหรี่ยงในจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อนำข้อมูลมากำหนดแนวทางและข้อเสนอแนะในการจัดการศึกษาอย่างเหมาะสมกับสภาพของชุมชน

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ผู้เขียนให้คำเรียกกะเหรี่ยงไว้หลายคำ อย่าง กะเหรี่ยง กะหร่าง เป็นคำเรียกของคนไทยภาคกลาง คนไทยภาคเหนือเรียก ยาง พม่าเรียกกันว่า กะยิ่น ภาษาอังกฤษใช้ Karen จัดอยู่ในตระกูลทิเบต - พม่า (หน้า 21)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่า เดิมกะเหรี่ยงอยู่ทางภาคตะวันออกของธิเบตแล้วอพยพเข้ามาอยู่ในจีน ชาวจีนเรียกว่า ชนชาติโจว ภายหลังถูกรุกรานจึงหนีลงมาอยู่ตามแม่น้ำโขงและสาละวินในพม่า ต่อมาในปี พ.ศ. 2428 อังกฤษได้ยึดครองพม่า กะเหรี่ยงจึงอพยพเข้ามาอยู่ในไทยจำนวนมาก และกระจัดกระจายอยู่ใน 15 จังหวัด ซึ่งมีมากที่สุดในเชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน และนอกนั้น เช่น กาญจนบุรี ตาก กำแพงเพชร เพชรบุรี อุทัยธานี เป็นต้น (หน้า 22)

Settlement Pattern

กะเหรี่ยงจะอยู่บนภูเขาสูงตั้งแต่ 1,500-3,000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล และมีความเชื่อในเรื่องผีและวิญญาณ โดยจะนับถือศาสนาพุทธควบคู่ไปด้วย (หน้า 22) บ้านของกะเหรี่ยงมักนิยมสร้างยกพื้นสูง 1-3 เมตร โดยใช้วัสดุที่หาได้ในท้องถิ่นพวกไม้ไผ่ และไม้ยืนต้น มาทำพื้นและฝาบ้าน ส่วนหลังคามักมุงด้วยสังกะสี จาก หญ้าคาและไม้ไผ่ สภาพของบ้านมีความคงทนอยู่ได้นานกว่า 5 ปี มีจำนวนเท่าๆ กับสภาพบ้านที่ไม่คงทนถึง 5 ปี บริเวณบ้านเป็นลานดิน เหมือนในหมู่บ้านชนบททั่วไป สำหรับปล่อยสัตว์เลี้ยงพวกเป็ด ไก่หรือหมู ไว้ตามใต้ถุนบ้าน ไม่มีน้ำโสโครกขังเฉอะแฉะในบริเวณครัวเรือน เพราะมีการทำร่องดิน เพื่อระบายน้ำทิ้งจากการประกอบอาหารและล้างภาชนะ แต่ก็มีบางครัวเรือนที่ปล่อยให้ใต้ถุนสกปรก เลอะด้วยมูลสัตว์และน้ำโสโครก (หน้า 57)

Demography

ด้านจำนวนประชากร - บ้านทิพุเยประกอบด้วย 36 ครัวเรือน ประชากร 225 คน แบ่งเป็น ชาย 122 คน และหญิง 103 คน จำนวนสมาชิกต่อครอบครัวเฉลี่ยคิดเป็น 6.25 - บ้านสะเนพ่องประกอบด้วย 39 ครัวเรือน ประชากร 276 คน แบ่งเป็น ชาย 162 คน และหญิง 114 คน จำนวนสมาชิกต่อครอบครัวเฉลี่ยคิดเป็น 7.1 - บ้านบ้องตี้ล่าง ประกอบด้วย 36 ครัวเรือน ประชากร 225 คน แบ่งเป็น ชาย 122 คน และหญิง 103 คน จำนวนสมาชิกต่อครอบครัวเฉลี่ยคิดเป็น 4.8 - บ้านเข้าเหล็ก ประกอบด้วย 44 ครัวเรือน ประชากร 275 คน แบ่งเป็น ชาย 138 คน และหญิง 1137 คน จำนวนสมาชิกต่อครอบครัวเฉลี่ยคิดเป็น 6.25 ข้อมูลสำรวจในปี พ.ศ. 2531 (จากตารางหน้า 33)

Economy

การประกอบอาชีพ - ประชากรทุกครัวเรือนทำนาเป็นอาชีพหลัก ซึ่งเป็นการทำไร่ข้าวเพื่อยังชีพ ใช้วิธีการปลูกแบบดั้งเดิม ดังนั้นจึงต้องพึ่งพาน้ำฝนเป็นหลัก ซึ่งในปัจจุบันฝนไม่ตกตามฤดูกาลหรือมีปริมาณน้อย เนื่องจาก การทำลายป่า ผลผลิตที่ได้จึงมีปริมาณต่ำนอกจากนี้กะเหรี่ยงยังไม่มีการใช้ปุ๋ยและพันธุ์พืชของทางราชการ นอกจากทำไร่ข้าวบ้านบ้องตี้ล่างมีการทำไร่ฝ้าย ซึ่งใช้พันธุ์พืชและยาฆ่าแมลงจากพ่อค้าคนพื้นราบ โดยการแลกเปลี่ยนระหว่างผลผลิตกับผลิตภัณฑ์เหล่านั้นรวมทั้งข้าวของเครื่องใช้อย่างอื่น ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาหนี้สินตามมา นอกจากนี้ ทุกครัวเรือนยังปลูกพืชไร่เสริมอย่างอื่น เช่น ข้าวโพด พริก ถั่วเหลืองและงา เพื่อยังชีพและถ้ามีผลผลิตมากพอก็จะขายให้แก่พ่อค้าที่มารับซื้อ โดยพื้นที่ทำกินนั้นประชาชนสามารถจับจองได้ตามกำลังการผลิต ทุกครัวเรือนไม่มีเอกสารสิทธิ์ เนื่องจากอยู่ในเขตพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าและเขตป่าสงวนแห่งชาติ การเลี้ยงสัตว์เลี้ยง - สัตว์พวกเป็ด ไก่หรือหมู ในบางหมู่บ้าน เช่น บ้านสะเนพ่องมีข้อห้ามเลี้ยงถือว่าเป็นการผิด "ผีโกเต็ง" แต่ละครัวเรือน ส่วนใหญ่เลี้ยงวัวหรือควาย โดยมีการเลี้ยงหมู และเป็ดหรือไก่ มากน้อยตามลำดับ สำหรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคแก่สัตว์เลี้ยงในบางหมู่บ้านมีเจ้าหน้าที่เขาไปฉีดให้ถึงบ้าน แต่ไม่ครบทุกครัวเรือน และพันธุ์สัตว์ที่ชาวบ้านเลี้ยงยังเป็นพันธุ์ที่มีอยู่ในท้องถิ่น ไม่มีการนำมาจากทาง (หน้า 58-62)

Social Organization

การเป็นสมาชิกกลุ่ม - มีการเป็นสมาชิกกลุ่มกองทุนพัฒนาหรืกองทุนเฉพาะกิจ เช่น กองทุนยา ธนาคารข้าว รวมจำนวน 21 ราย รองลงมาเป็นกลุ่มพัฒนาหมู่บ้าน เช่น กลุ่มเยาวชน กลุ่มแม่บ้าน รวมจำนวน 15 ราย และเป็นสมาชิกกลุ่มอาชีพ เช่น กลุ่มยุวเกษตรกร เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการฝึกอบรมโดยศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา ในด้านเกษตรกรรมและเทคนิคการทำไร่ทำสวน และมีผู้หญิงบางส่วนที่ได้รับฝึกอบรมวิชาช่างตัดเย็บเสื้อผ้า ทั้งนี้ กะเหรี่ยงให้ความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับความต้องการในการอบรมด้านต่างๆ เช่น ด้านเกษตรกรรมวิชาตัดเย็บเสื้อผ้า ช่างเสริมสวยและตัดผมชาย และช่างซ่อมเครื่องยนต์ (หน้า 60)

Political Organization

ในส่วนทบทวนวรรณกรรมของผู้วิจัย กล่าวว่า ในแต่ละชุมชนจะมีสถาบันปกครองเป็นอิสระ มีหัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้นำที่มีหน้าที่ในการดูแลลูกบ้าน ส่วนผู้นำตามธรรมชาติมักเป็นกลุ่มอาวุโสและหมอผี มีหน้าที่ให้ความเห็นในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหัวหน้าหมู่บ้านที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ (หน้า 17)

Belief System

ในแต่ละชุมชนมีข้อห้ามในการเลี้ยงสัตว์บางประเภท เช่น บ้านสะเนพ่องไม่นิยมเลี้ยงไก่ โดยเชื่อว่าเป็นการผิด "ผีโกเต็ง" เป็นต้น (หน้า 58)

Education and Socialization

ในหมู่บ้านกะเหรี่ยง 4 หมู่บ้านที่ศึกษา มีโรงเรียนประถมศึกษาของตำรวจตระเวนชายแดน 2 แห่ง ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ ชาวเขา 2 แห่ง มีหมู่บ้านเดียวที่มีหอกระจายข่าวและที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้าน แต่ไม่มีหนังสือพิมพ์ให้อ่าน มีนักเรียนที่กำลังเรียนชั้นประถมศึกษาจำนวน 158 คน (37.7%) กำลังเรียนระดับมัธยมศึกษา 5 คน (1.9%) และที่กำลังเรียนสูงกว่าระดับมัธยมศึกษา 1 คน (0.2%) มีนักเรียนไม่จบชั้นประถมศึกษา 47 คน (11.2%) จบชั้นประถมศึกษาแต่ไม่เรียนต่อ 199 คน (47.5%) เรียนจบชั้นมัธยมศึกษา 9 คน (2.2%) นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมฝึกอบรมนอกโรงเรียน ในรอบ 2 ปี มีการฝึกอบรมด้านความมั่นคงของชาติ 8 ครั้ง ด้านอาชีพ 6 ครั้ง ด้านการศึกษา 3 ครั้ง ด้านสุขภาพ 1 ครั้ง (หน้า 77)

Health and Medicine

สภาพภายในบ้านส่วนใหญ่ข้าวของ เสื้อผ้า และที่นอนมักปล่อยทิ้งไว้ ไม่เป็นระเบียบ สำหรับน้ำดื่มน้ำใช้ชาวบ้านตักมาจากลำห้วยโดยมีภาชนะใส่น้ำจำพวกแกลลอน กระบอกไม้ไผ่ และโอ่งซึ่งไม่มีผาปิด สำหรับการเก็บของใช้ในครัว เครื่องหุงต้มต่างๆ มีการเก็บไว้เป็นระเบียบและมิดชิดพอสมควร ในการเก็บสารพิษ เช่น ยาฆ่าแมลง ยาปราบศัตรูฝ้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านบ้องตี้ล่างพบว่า มีการเก็บไว้ปลอดภัยพอควร การใช้ส้วมยังไม่เป็นที่นิยมในหมู่บ้านกะเหรี่ยง (หน้า 57-58) บริการด้านสาธารณสุข ภายในหมู่บ้าน ได้แก่ ตู้ยา ของกองทุนยาและเวชภัณฑ์ของศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาบ้าง หรือของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้าง และมีสถานีอนามัยไม่ห่างจากหมู่บ้านนัก แต่ไม่มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ถ้าเจ็บป่วยรุนแรงสามารถไปใช้บริการที่โรงพยาบาลของรัฐ โดยใช้เวลาเดินทางนานกว่า 2 ชั่วโมง (หน้า 43,45, 47,49) ดังนั้น ปัญหาสุขลักษณะในหมู่บ้านจึงถือเป็นปัญหาหลักอีกอย่างของกะเหรี่ยง

Art and Crafts (including Clothing Costume)

จากการค้นคว้าทางเอกสารของผู้วิจัยกล่าวถึง การแต่งกายของกะเหรี่ยงในหมู่บ้านเขาเหล็ก อ.ศรีสวัสดิ์ ไว้ว่า การแต่งกายหญิงและชายมักแต่งตามคนไทยพื้นราบ เด็กนักเรียนหญิงจะแต่งชุดกะเหรี่ยงไปเรียน ทั้งนี้ ยังนิยมแต่งชุดกะเหรี่ยงไปวัดในวันพระ ส่วนผู้ชายไม่มีชุดกะเหรี่ยงแล้ว จะอนุโลมใส่โสร่งไปวัดแทนกางเกง มีคนเฒ่าคนแก่ผู้หญิงบางคนไม่ยอมนุ่งผ้าถุงคนไทย แต่จะใส่เสื้อคอกระเช้า (หน้า 26-27)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

มีกะเหรี่ยงบางส่วนมักติดต่อกับเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ ประจำทุกเดือน เพื่อรับข้อมูลข่าวสาร โดยเนื้อหาที่กะเหรี่ยงต้องการรู้ได้แก่ การเกษตร ราคาสินค้าผลผลิตการเกษตร และข่าวสารบ้านเมือง นอกจากนี้ อาศัยวิธีการฟังวิทยุ อ่านหนังสือและหนังสือพิมพ์ (หน้า 63-64)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ผู้วิจัยเสนอแนวความคิดในการจัดการศึกษานอกโรงเรียนในหมู่บ้านชาวไทยภูเขาเผ่ากะเหรี่ยงในจังหวัดกาญจนบุรี ดังนี้ 1. การพัฒนาด้านความรู้พื้นฐาน : ชุมชนกะเหรี่ยงมีความต้องการในการเรียนหนังสือให้อ่านออกเขียนได้ และการพูดภาษาไทย ผู้เขียนเห็นว่า รูปแบบการจัดการการศึกษาที่ควรนำมาทดลองใช้ คือ การศึกษาแบบครูอาสาสมัครเดินสอนเช่นเดียวกับในโครงการศูนย์การศึกษา เพื่อชุมชนในเขตภูเขา (ศศช.) จะได้เปิดโอกาสด้านการศึกษาแก่ชุมชนในถิ่นทุรกันดาร และสอดคล้องกับความต้องการของหน่วยงานในพื้นที่และความต้องการของชุมชน ที่ต้องการให้มีบุคลากรการศึกษานอกโรงเรียนประจำในพื้นที่ ส่วนในหมู่บ้านที่ยังไม่สามารถใช้รูปแบบ ศศช.ได้ ควรจัดให้มีการฝึกอบรมครูสอนระดับเบ็ดเสร็จขั้นพื้นฐานขึ้นในหมู่บ้าน (หน้า 81-82) 2. การพัฒนาด้านข่าวสารข้อมูล : ควรจัดให้มีสิ่งพิมพ์ข่าวสารประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะข่าวสารด้านการเกษตร ราคาสินค้า พืชผลต่าง ๆ ความรู้ด้านอนามัย และข่าวสารบ้านเมือง เป็นต้น ทุกหมู่บ้านควรมีที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้าน สำหรับชุมชนกะเหรี่ยงที่บ้านเรือนอยู่กระจัดกระจาย ควรให้มีหอกระจายข่าวที่มีรายการวิทยุทั้งภาคภาษาไทยและภาษากะเหรี่ยง ในคลื่นความถี่ที่ชุมชนกะเหรี่ยงสามารถฟังได้ (หน้า 82-83) 3. การพัฒนาด้านอาชีพ : จัดฝึกอบรมนอกเหนือจากด้านการเกษตรที่มีอยู่แล้ว เช่น ฝึกอบรมอาชีพช่างตัดเย็บเสื้อผ้า ช่างเสริมสวย ช่างซ่อมเครื่องยนต์ เป็นต้น (หน้า 83-84) 4. ช่วงเวลาในการจัดกิจกรรมการศึกษานอกโรงเรียน : ควรจัดช่วงเย็น หลังเลิกงานประจำวัน หรือหลังฤดูเก็บเกี่ยว (หน้า 84) 5. การพัฒนาด้านเทคโนโลยีชนบท เช่น พัฒนาเรื่องการใช้เชื้อเพลิง เป็นต้น 6. การพัฒนาองค์กรท้องถิ่น : จัดให้มีการฝึกอบรมแก่คณะกรรมการหมู่บ้านและประชาชนกลุ่มต่าง ๆ เช่น กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มยุวเกษตรกร เป็นต้น เพื่อส่งเสริมให้องค์กรเหล่านี้ ได้มีส่วนช่วยพัฒนาหมู่บ้านและงานการศึกษานอกโรงเรียนในชุมชนกะเหรี่ยง (หน้า 84) 7. พัฒนาระบบการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง : เพื่อให้เกิดความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ด้านการศึกษานอกโรงเรียนให้แก่ชาวบ้าน ในการพัฒนางานการศึกษานอกโรงเรียนสำหรับชุมชนกะเหรี่ยง จึงควรมีการประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อทำความเข้าใจนโยบายการศึกษานอกโรงเรียนที่หน่วยงานนั้น ๆ เกี่ยวข้อง แผนปฏิบัติงาน และการใช้ทรัพยากร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินการ (หน้า 85)

Map/Illustration

ภาพสภาพภูมิประเทศและเส้นทาง (หน้า 99) ภาพสภาพบ้านเรือนของชุมชนกะเหรี่ยง (หน้า 100) ภาพการแต่งตัวของผู้หญิงกะเหรี่ยง (หน้า 101) แผนที่แสดงที่ตั้งหมู่บ้านเป้าหมายในการวิจัยในจ.กาญจนบุรี (หน้า 102) แผนผังโดยสังเขป แสดงที่อยู่อาศัยของชุมชนกะเหรี่ยงในหมู่บ้านเป้าหมาย (หน้า 103-104) ตารางจำนวน 13 ตาราง (หน้า 8, 14, 25, 33, 54, 56, 59, 61, 63, 65, 66, 69, 73)

Text Analyst ศรายุทธ โรจน์รัตนรักษ์ Date of Report 30 มิ.ย 2560
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), การศึกษานอกโรงเรียน, กาญจนบุรี, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง