|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง, ประวัติ, เศรษฐกิจ, สังคม, นโยบายพัฒนาของรัฐ, เชียงใหม่ |
Author |
Anthony R. Walker |
Title |
Two Blue Meo Communities in North Thailand |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดกลางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
7 |
Year |
2518 |
Source |
Farmer in the Hills : Upland Peoples of North Thailand, Anthony R. Walker (Editor), p.73-79, จัดพิมพ์โดย The School of Comparative Social Sciences, พิมพ์ที่ Universiti Sains Malaysia Press. |
Abstract |
มีเนื้อหาเน้นสภาวะเศรษฐกิจ - สังคมของม้งรวมทั้งนโยบายพัฒนาของรัฐบาล โดยเน้นการศึกษาที่บ้านผาปู่จอม ดอยเชียงดาว แม่แตง และบ้าน Pa Khia อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ม้งบ้านผาปู่จอม ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิตตามจารีตในสถานการณ์ที่ขาดแคลนปัจจัยการผลิต ทำให้ผลผลิตในพืชผลลดต่ำลง และผลจากการขาดแคลนพื้นที่ป่าทำให้การทำไร่ข้าวและฝิ่นไม่ได้ผล ก่อความยากจนเรื้อรัง ส่งผลให้ม้งที่เคยรักอิสระ ต้องไปเป็นแรงงานในไร่ชา ในปี ค.ศ.1970 รัฐบาลใช้หมู่บ้านผาปู่จอมเป็นศูนย์กลางของหมู่บ้านนำร่อง 5 ปี "โครงการพัฒนาเฉพาะพื้นที่" แต่เวลายังสั้นเกินกว่าจะประเมินผลได้ บ้าน Pa Khia มีความอุดมสมบูรณ์กว่า มีข้าวเป็นอาหารหลัก มีฝิ่นเป็นพืชเศรษฐกิจ มีมันฝรั่งเป็นพืชเศรษฐกิจอันดับสองรองจากฝิ่น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไม่มีที่ดินป่าให้เคลื่อนย้ายได้อีก ม้งบ้าน Pa Khia ได้พัฒนาการปลูกพืชหมุนเวียนในไร่ โดยเพาะปลูก 1 ปี แล้วปล่อยให้ไร่ว่าง 4 หรือ 5 ปีเพื่อปลูกฝิ่น และปล่อยที่ดินให้ว่างอีก 6 - 8 ปีเพื่อปลูกข้าว แต่วงจรนี้ก็ไม่ได้ถือปฏิบัติเสมอไป ส่งผลให้ป่าไม่สามารถเกิดขึ้นมาใหม่ได้ในผืนดินที่ปล่อยว่างเพื่อการฟื้นฟู ผู้เขียนให้ความเห็นว่า เทคนิคการทำไร่แบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผาตามจารีตของม้งไม่ว่าจะมีการปรับปรุงอย่างไร ก็จะไม่สามารถรับมือกับแรงกดดันของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นในขณะที่พื้นดินที่อุดมสมบูรณ์มีน้อยลง การเปลี่ยนแปลงเทคนิคการเกษตรจำเป็นต้องเปลี่ยนโครงสร้างและสถาบันทางสังคมด้วย |
|
Focus |
นำเสนอสภาวะเศรษฐกิจ - สังคมของม้ง และนโยบายของรัฐบาล โดยศึกษาที่บ้านผาปู่จอม ดอยเชียงดาว แม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และบ้าน Pa Khia อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ |
|
Ethnic Group in the Focus |
ม้งน้ำเงินที่บ้านผาปู่จอมและบ้าน Pakhia |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
เมษายน - พฤษภาคม ค.ศ. 1973 |
|
History of the Group and Community |
บ้านผาปู่จอม : ม้งบ้านผาปู่จอม ให้ข้อมูลว่ามาตั้งถิ่นฐานครั้งแรกในดอยแม่แตง - เชียงดาวเมื่อ 5 ชั่วอายุคนที่แล้ว หากเป็นจริงตามคำบอกเล่า บรรพบุรุษของม้งบ้านผาปู่จอมเข้ามาในไทยก่อนม้งส่วนใหญ่ที่อพยพเข้าไทยเมื่อช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ในปี ค.ศ.1950 ม้งบ้านผาปู่จอมย้ายไปอยู่ร่วมกับญาติในสายตระกูลเดียวกันในอำเภออมก๋อย ซึ่งมีระยะทางห่างออกไปร้อยกว่ากิโลเมตร เนื่องจากขาดแคลนที่ดินทำกินและหนีชาวไทยภูเขาที่บุกรุกเข้าไปในที่ดินของตน แต่ที่ดินที่อมก๋อยไม่มีคุณภาพสำหรับการเพาะปลูกและค่อนข้างไม่เหมาะต่อการปลูกฝิ่นให้ได้ผลตามที่คาดหวัง สภาพผืนดินดังกล่าวไม่อำนวยให้พ้นจากความยากจนได้ ผ่านไป 10 ปี ม้งเหล่านี้ได้ย้ายกลับมาที่บ้านผาปู่จอม ด้วยเงินของเจ้าของไร่ชาผืนใหญ่ที่เข้าไปอยู่ใหม่ในหมู่บ้าน และต้องการแรงงานในไร่ชา แต่ที่ดินที่เป็นไร่เดิมของม้งถูกลาหู่เข้าครอบครองแล้ว ม้งบ้านผาปู่จอมจึงเคลื่อนย้ายหมู่บ้านอีกครั้งห่างออกไปทางตะวันตกหลายกิโลเมตร (หน้า 74) บ้าน Pa Khia : ครัวเรือนเริ่มแรกของบ้าน Pa Khia ทำไร่บนพื้นที่นี้มากว่า 30 ปี แต่ส่วนใหญ่ (มากกว่าร้อยละ 60 ของครัวเรือน) อพยพจากที่อื่นมาอยู่ชุมชนใน 10 ปีหลังนี้ ในช่วงสามสิบกว่าปีที่ผ่านมาที่ม้งบ้าน Pa Khia ได้เข้าทำไร่ที่นี่ ได้ครอบครองพื้นที่สองหมู่บ้าน ในช่วง 10 ปีแรกมีครัวเรือนเริ่มต้น 8-10 ครัวเรือน อาศัยอยู่ห่างจากที่ตั้งปัจจุบันออกไปทางทิศใต้ 5 กิโลเมตร แต่อยู่สูงกว่าและใกล้ดอยเชียงดาวมากกว่า จากภาวะขาดแคลนน้ำและการเพิ่มขึ้นของประชากรทำให้ต้องหาที่ตั้งหมู่บ้านใหม่ซึ่งคือที่ตั้งปัจจุบัน แต่บางครัวเรือนยังคงทำไร่อยู่ในบริเวณเดิม หมู่บ้าน Pa Khia ตั้งอยู่ ณ สถานที่ปัจจุบันมากว่า 20 ปีแล้ว (หน้า 76) |
|
Demography |
บ้านผาปู่จอม สำรวจเมื่อปี ค.ศ. 1969 มีประชากร 116 คน 20 ครัวเรือน ผู้วิจัยสันนิษฐานว่าในปีที่วิจัยมีประชากรมากกว่า 130 คนเศษ มีบ้าน 28 หลัง (หน้า 73) บ้าน Pa Khia มี 42 ครัวเรือน ประชากร 329 คน โดยแบ่งหมู่บ้านออกเป็น 2 กลุ่มบ้าน กลุ่มหลักมี 28 ครัวเรือน และกลุ่มรองมี 14 ครัวเรือน (หน้า 76) |
|
Economy |
บ้านผาปู่จอม ไม่มียุ้งฉางที่อุดมสมบูรณ์ ไม่มีฝูงม้าที่แข็งแรง และมีหมูผอม ๆ อยู่ไม่กี่ตัว ไม่มีงานเครื่องเงินที่ประณีต เศรษฐกิจของหมู่บ้านขึ้นกับการเพาะปลูกตามจารีตทำไร่แบบโค่นถางและเผา ในช่วง 10 ปีหลังจากย้ายกลับจากอมก๋อย การเพาะปลูกข้าวและฝิ่นไม่ได้ผลดี เป็นผลให้ชุมชนเกิดความยากจนเรื้อรัง และม้งจำนวนมากต้องเป็นแรงงานรับจ้างในไร่ชา แต่ม้งในไร่ชาไม่มีความสุขนัก เนื่องจากมีปัญหากับหัวหน้าคนงานที่เป็นคนไทย (หน้า 73-74) การไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิตตามจารีตในสถานการณ์ที่ขาดแคลนปัจจัยการผลิต ทำให้ผลผลิตในพืชผลลดต่ำลง ส่งผลต่อมาตรฐานด้านอาหารและสุขภาพที่ลดต่ำลงด้วย ซึ่งกลับไปซ้ำเติมต่อการลดลงของความสามารถในการผลิต จึงเพิ่มความรุนแรงของความตกต่ำของหมู่บ้าน ในปี ค.ศ.1970 รัฐบาลใช้หมู่บ้านผาปู่จอมเป็นศูนย์กลางของหมู่บ้านนำร่อง 5 ปี "โครงการพัฒนาเฉพาะพื้นที่" (Zonal Development Project) แต่ยังสรุปไม่ได้ถึงผลกระทบหรือผลสำเร็จ (หน้า 76) บ้าน Pa Khia มีพื้นที่ทำไร่ครอบคลุมมากกว่า 70 ตารางกิโลเมตร มีทุ่งเลี้ยงสัตว์ที่ระดับความสูง 900 เมตร และมีไร่ฝิ่นใกล้กับยอดดอยเชียงดาวระดับความสูง 2,000 เมตร (หน้า 76) ? ม้งบ้าน Pa Khia สามารถสร้างการรับรู้ที่ยาวนานของขอบเขตไร่ (swidden) ของบ้าน Pa Khia ในหมู่บ้านใกล้เคียงอื่น ๆ เช่น ลีซอ ลาหู่ ม้ง และชุมชนคนไทยภูเขา และทุกชาติพันธุ์ยอมรับอาณาบริเวณที่ม้ง Pa Khia อ้างสิทธิ์การทำไร่ของตน หากใครจะเข้าใช้พื้นที่ในอาณาบริเวณของบ้าน Pa Khia เพาะปลูก ต้องขอความเห็นชอบจากหัวหน้าหมู่บ้าน Pa Khia ก่อน การอนุญาตเป็นการให้ใช้โดยไม่เรียกเก็บค่าตอบแทน และในปี ค.ศ. 1969 มีไร่ฝิ่นของลีซอ 5 รายกระจายอยู่ในบริเวณไร่ของบ้าน Pa Khia บ้าน Pa Khia มีที่ดินอุดมสมบูรณ์เหมาะสำหรับการปลูกฝิ่น มีข้าวเป็นอาหารหลัก มีฝิ่นเป็นพืชเศรษฐกิจ ฝิ่นเกือบทั้งหมดใช้ขาย และปลูกพืชเสริมอื่นๆ เช่น ข้าวโพด มันฝรั่ง ถั่ว แคร์รอท กล้วย มะละกอ กะหล่ำปลี เป็นต้น ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967 บ้าน Pa Khia มีมันฝรั่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ รายได้จากมันฝรั่งเป็นอันดับสองรองจากฝิ่น มีรายงานการสำรวจที่ทำในเดือนกุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 1970 ระบุว่า มี 26 ครัวเรือนที่เก็บผลผลิตมันฝรั่งได้จำนวน 15,980 กิโลกรัม เพื่อนำไปขายในจังหวัดเชียงใหม่ ในราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 15 เซนอเมริกัน ส่วนพืชอื่น ๆ ใช้บริโภค ข้าวโพดใช้เลี้ยงสัตว์และทำเหล้าข้าวโพด เลี้ยงหมูและสัตว์ปีกไว้ใช้ในพิธีกรรมนอกเหนือจากใช้บริโภค ม้าและฬ่อใช้บรรทุกสินค้า วัวเลี้ยงไว้ให้คนพื้นราบเช่าในฤดูทำนา เมื่อทำนาเสร็จ ม้งจะได้รับวัวคืนพร้อมกับข้าวสาร 400 ลิตร เนื่องจากไม่มีที่ดินป่าให้เคลื่อนย้ายได้อีก ในปี ค.ศ. 1969 มีไร่เพียง 2 แห่งที่โค่นถางต้นไม้ในป่าสมบูรณ์ (climax forest) แล้วเผาทำไร่ ไร่ทั้งสองแห่งอยู่สูงขึ้นไปต้องเดินด้วยเท้าประมาณ 3 ชั่วโมง ซึ่งเจ้าของไร่ตระหนักว่าพื้นที่นั้นจวนจะถึงจุดขีดจำกัดแล้ว เพราะข้อจำกัดด้านงานขนส่งข้าวกลับบ้าน ในปีเดียวกันนั้นต้องทำไร่ฝิ่นจากทุ่งหญ้ากันทั้งหมด เพราะไม่มีพื้นที่ใหม่ที่พอจะเดินถึงได้ และพื้นที่ที่จะย้ายหมู่บ้านไปตั้งถิ่นฐานก็ไม่มีอีกแล้ว ทุกพื้นที่ที่อยู่รอบๆ ดอยหลวงเชียงดาวถูกครอบครองโดยชาวไร่กลุ่มอื่น ๆ และชาวสวนชา เพื่อที่จะใช้ไร่เดิมเพาะปลูกต่อไปได้ ม้งบ้าน Pa Khia ได้พัฒนาการปลูกพืชหมุนเวียนในไร่ โดยเพาะปลูก 1 ปี แล้วปล่อยให้ไร่ว่าง 4 หรือ 5 ปีเพื่อปลูกฝิ่น และปล่อยที่ดินให้ว่างอีก 6 - 8 ปีเพื่อปลูกข้าว แต่วงจรนี้ไม่เป็นกติกาเสมอไป ถ้าได้ผลดีก็มักจะมีการปลูกซ้ำแทนการปล่อยพื้นดินให้ว่างเพื่อการฟื้นฟู และการควบคุมการเผาเพื่อทำไร่ก็ประสบความล้มเหลว ส่งผลให้ป่าไม่สามารถเกิดขึ้นมาใหม่ได้ในผืนดินที่ปล่อยว่างเพื่อการฟื้นฟู อย่างไรก็ตาม ม้งบ้าน Pa Khia ได้แสดงถึงการมีความริเริ่มปรับเทคนิคการทำไร่มากกว่าบ้านผาปู่จอม ผู้เขียนให้ความเห็นว่า เทคนิคการทำไร่แบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผาตามจารีตของม้งไม่ว่าจะมีการปรับปรุงอย่างไร ก็จะไม่สามารถรับมือกับแรงกดดันของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นในขณะที่พื้นดินที่อุดมสมบูรณ์มีน้อยลง ความจำเป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงเทคนิคการเกษตรจำเป็นต้องเปลี่ยนโครงสร้างและสถาบันทางสังคมด้วย (หน้า 77-78) |
|
Political Organization |
หมู่บ้านม้งน้ำเงินผาปู่จอม และบ้าน Pa Khia เป็นพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ "นิคมสงเคราะห์ชาวเขาเชียงดาว" มักเรียกกันว่า "นิคมเชียงดาว" ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1961 เป็นหนึ่งในสี่นิคมที่อยู่บนดอย มีภาระกิจให้การสนับสนุนชุมชนที่อยู่รอบ ๆ นิคม นิคมประกอบด้วยสำนักงาน และบ้านพักเจ้าหน้าที่ซึ่งรวมทั้งผู้อำนวยการนิคม เจ้าหน้าที่แพทย์ พยาบาล ฯลฯ และอีก 211 ตารางกิโลเมตรของชนบทบนเนินเขาที่มีม้ง มูเซอ ลีซอ และคนไทยภูเขา (Hill Thai) อยู่ก่อนที่จะตั้งนิคม (หน้า 73) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
ไม่มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับด้านสุขภาาพและการรักษาพยาบาลของม้งโดยรวม อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนได้พรรณนาถึงการติดฝิ่นของม้งบ้านผาปู่จอม ผู้วิจัยพบว่า มีระดับการติดฝิ่นในหมู่ผู้หญิงสูงพอ ๆ กับในหมู่ผู้ชาย และในวัยหนุ่มสาวพอ ๆ กับคนแก่ มีผู้ติดฝิ่นในชายม้งวัยผู้ใหญ่มากกว่าร้อยละ 86 และมีประชากรมากกว่าร้อย 55 ของประชากรผู้ใหญ่ทั้งหมดติดยาเสพติด ความยากจนและความตกต่ำของขวัญและกำลังใจที่บ้านผาปู่จอม เป็นแรงกดดันให้เกิดการพึ่งพาฝิ่น แต่การสูบฝิ่นกลับซ้ำเติมความทุกข์กายทุกข์ใจให้หนักยิ่งขึ้น การเพาะปลูกล้มเหลว เพราะม้งที่ติดยาเอาใจใส่ไร่ของตนน้อยลง และโดยข้อเท็จจริงผลผลิตฝิ่นถูกนำไปใช้เพื่อการเสพมากกว่าเพื่อขาย ทำให้รายได้ที่เป็นเงินสดของชุมชนลดต่ำลง เมื่อไม่มีเงินที่จะซื้ออาหาร สุขภาพจึงเสื่อมทรุดลงอย่างต่อเนื่อง (หน้า 75) ส่วนที่บ้าน Pa Khia มีผู้ติดยาเพียง 3 คนตรงข้ามกับบ้านผาปู่จอม (หน้า 77) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ม้งบ้านผาปู่จอม : ผลจากการขาดแคลนพื้นที่ป่าทำให้การทำไร่ข้าวและฝิ่นไม่ได้ผล ก่อความยากจนเรื้อรัง ส่งผลให้ม้งที่เคยรักอิสระ ต้องไปเป็นแรงงานในไร่ชา ซึ่งจะถูกควบคุมโดยหัวหน้างานคนไทย และเข้าสู่การพึ่งพาการสงเคราะห์จากรัฐบาลโดยผ่านนิคม จากที่เคยมีการวิจัยไว้หลายปีมาแล้วว่าชาวผาปู่จอม ส่วนใหญ่ตระหนักว่าจะต้องตั้งถิ่นฐานถาวร และเชื่อว่ารัฐบาลจะจัดหาที่ดินให้ ซึ่งเป็นท่าทีที่ค่อนข้างแปลกสำหรับม้ง (หน้า 75) แต่สำหรับ ม้งบ้าน Pa Khia มีพื้นที่มากกว่าและอุดมสมบูรณ์กว่าที่บ้านผาปู่จอมมี แต่โดยข้อเท็จจริงชาวบ้าน Pa Khia ก็ไม่มีที่อื่นจะไปเหมือนกับม้งบ้านผาปู่จอม ม้งบ้าน Pa Khia ได้พัฒนาการใช้ที่ดินแบบหมุนเวียนโดยใช้ที่ดินเดิมซ้ำ ปลูกปีหนึ่งปล่อยว่าง 4-5 ปีเพื่อปลูกฝิ่น และทิ้งให้ว่าง 6-8 ปีเพื่อปลูกข้าว (หน้า 77-78) |
|
Map/Illustration |
รูปภาพ : หลังหน้า 80 : 1. หมู่บ้านม้งน้ำเงิน (5a) 2. ท่อส่งน้ำไม่ไผ่ผ่าครึ่งหมู่บ้านม้งน้ำเงิน (5b) 3. แท่นบูชาบรรพบุรุษม้งน้ำเงิน (6a) 4. เด็กม้งน้ำเงิน (6b) 5. ศพหญิงม้งน้ำเงิน (7a) 6. ม้งน้ำเงินเป่าแคนในงานศพ (7b) 7. หญิงม้งปั่นด้าย (8a) 8. หญิงม้งปักลายกระโปรง (8b) |
|
|