สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,ประวัติ,วัฒนธรรม,โครงสร้างสังคม,การเมือง,วิถีการผลิต,นโยบายของรัฐ,ภาคเหนือ
Author Syed Jamal Jaafar
Title The Meo People: An Introduction
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดกลางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 12 Year 2518
Source Farmer in the Hills : Upland Peoples of North Thailand, Anthony R. Walker (Editor) p.61-72, จัดพิมพ์โดย The School of Comparative Social Sciences, พิมพ์ที่ Universiti Sains Malaysia Press.
Abstract

มีเนื้อหาครอบคลุม วิถีการผลิตด้านเกษตรกรรม วัฒนธรรม ความเชื่อ องค์กรสังคม - การเมือง และนโยบายของรัฐบาลต่อชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ม้งบนเขา

Focus

นำเสนอวิถีการผลิตในทางเกษตรกรรม วัฒนธรรมความเชื่อ องค์กรสังคม - การเมือง เศรษฐกิจ และนโยบายของรัฐบาลต่อชาติพันธุ์ม้งบนเขาทางภาคเหนือของไทย

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ผู้เขียนเรียกว่า "แม้ว" (Meo) แบบเดียวกับชาวจีน และคนไทยก็เรียก แต่ม้งเรียกตัวเองว่า "ม้ง" (Hmong) หมายถึง "อิสระชน" (free man) ส่วนคำว่าแม้วเป็นภาษาจีน ซึ่งอาจหมายถึงปราดเปรียวเหมือนแมว หรือ อาจหมายถึง "ลูกชายหรือหน่ออ่อนของแผ่นดิน" (Sons of the soil) หรือ "ผู้พลิกฟื้นแผ่นดิน" (tillers of the soil) ม้งในประเทศไทยอาจแบ่งเป็นกลุ่มย่อยคือ "ม้งน้ำเงิน" (Blue - ซึ่ง แบ่งเผ่าย่อยออกเป็น ม้งดอก , ม้งดำ และ ม้งลาย) "ม้งขาว" (White) และ "Gua M'ba Meo ในจีนมี 5 เผ่าย่อยคือ ม้งดำ ม้งขาว ม้งน้ำเงิน ม้งแดง และม้งดอก (หน้า 61-62)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาม้งใช้พยางค์เดียวเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับภาษาเย้า และระดับเสียงม้งยืมมาจากภาษาจีนและจากภาษาของชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ที่ม้งติดต่อสัมพันธ์ด้วย ม้งไม่มีภาษาเขียน มีความพยายามที่จะออกแบบตัวหนังสือภาษาเขียน เช่น หมอสอนศาสนาโปรเตสแตนท์ออกแบบภาษาเขียนเป็นอักษรโรมันเพื่อเผยแพร่ศาสนาในรูปของหนังสือ หรือในรูปอักษรจีน หรืออักษรไทย เป็นต้น แต่ไม่มีระบบใดเหล่านี้ที่ม้งใช้อย่างกว้างขวาง ส่วนม้งสูงอายุในประเทศไทยพูดภาษายูนนาน ในเชียงใหม่ภาษาฉานเป็นภาษาสำคัญอันดับสองสำหรับม้ง และจากการที่ต้องติดต่อกับคนพื้นราบมากขึ้น ทำให้ม้งพูดภาษาไทยกว้างขวางขึ้น (หน้า 62-63)

Study Period (Data Collection)

เมษายน - พฤษภาคม ค.ศ. 1973

History of the Group and Community

ตามข้อสันนิษฐาน แหล่งที่อยู่อาศัยของม้งยุคก่อนประวัติศาสตร์อยู่ตอนกลางของเอเซีย ในภูมิภาคระหว่าง the Pamir, the Caspian sea และ อ่าวเปอร์เซีย แต่ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์สนับสนุนสมมุติฐานนี้ จีนยุคต้นบันทึกไว้ว่า ม้งอาศัยอยู่ในที่ราบตอนกลางของแยงซี (Yangtse) ราว ๆ 2,200 ปีก่อนคริสตศักราช แต่ไม่สามารถแยกแยะม้งออกจากชาติพันธุ์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่ชาวฮั่น ซึ่งจีนเรียกว่า "man" หมายถึงคนป่าเถื่อน ในคริสศตวรรษที่ 12 ม้งอาศัยอยู่ทางตะวันตกของเหอหนาน (Hunan) เมื่อชาวจีนฮั่นขยายไปทางใต้ ม้งเริ่มไปอยู่แถบภูเขาของ Kwangtung Hunan และ Kwangsi และพบใน Kweichow ในคริสตศตวรรษที่ 13 ? ม้งต่อต้านการยึดครองของจีน และต้องลุกขึ้นสู้บ่อยครั้งในสมัยราชวงศ์ชิง (Ch'ing - Manchu dynasty) แต่ในที่สุดก็ถูกตีแตกในปี ค.ศ.1870 ต้นศตวรรษที่ 19 ม้งอพยพขนานใหญ่เข้าสู่ตอนเหนือของเวียดนาม ในขณะที่ปี ค.ศ.1850 ม้งอื่นๆ ไปตั้งถิ่นฐานในเขตเนินเขารอบๆ หลวงพระบางในลาว และอพยพเข้าไทย ส่วนใหญ่ในช่วง 50 ปีหลังนี้ (หน้า 62)

Settlement Pattern

บ้านม้ง (ภาพหน้า 64) สร้างบนพื้นดินรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ผนังทำด้วยไม้กระดานและพื้นบ้านเป็นดินอัดแน่น หลังคามุงด้วยแผ่นไม้ที่ผ่าออกหรือมุงด้วยหญ้าหรือจาก แต่มีบ้านจำนวนมากในหมู่บ้านม้งมุงด้วยสังกะสีแบบสมัยใหม่ นอกจากขนาดบ้านแล้ว บ้านม้งมีการเปลี่ยนแปลงในด้านโครงสร้างของบ้านน้อยมาก ภายในบ้านม้ง (แผนผังหน้า 64) มีห้องหลักของบ้านซึ่งเป็นห้องใหญ่ มีส่วนที่ใช้ทำครัวและรับประทานอาหาร ห้องนอนยกพื้นกั้นห้องแยกต่างหาก เฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านประกอบด้วยที่นอน ตั่งหวาย โต๊ะยาวสำหรับรับประทานอาหารและม้านั่ง ?เข้าบ้านผ่านประตู ด้านขวาเป็นเครื่องตำข้าว ด้านซ้ายมีโรงเก็บอาหารหมู มีตะกร้าหวายสำหรับใส่อาหารเลี้ยงสัตว์ และถังน้ำอยู่ในบริเวณครัว มีคอกม้า เล้าหมู สุ่มไก่ และที่เก็บรักษาพืชที่เป็นอาหารซึ่งสร้างสูงจากพื้นไว้ที่ภายนอกด้านหลังบ้าน (หน้า 65)

Demography

มีม้งในจีน 2,680,000 คน (Moseley 1966) เวียดนามเหนือ 233,000 คน (Halpern 1961) ลาว 350,000 คน (Garrett 1974) พม่า 830 คน (Bernatzik 1970) ในประเทศไทยมีม้งจำนวน 53,031 คน (United Nations 1967) ในปี ค.ศ. 1967 ม้งในประเทศไทยมีประมาณ 53,031 คน หรือร้อยละ 19.3 ของประชากรชาวเขาทั้งหมดในประเทศ เป็นชาติพันธุ์กลุ่มน้อยที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่อยู่บนที่สูงทางภาคเหนือของประเทศไทย ม้งแยกได้เป็นกลุ่มย่อย 3 กลุ่มหลักในประเทศไทยคือ ม้งน้ำเงิน (Blue Meo) ส่วนใหญ่อยู่ที่จังหวัดน่าน เชียงราย แพร่ พิษณุโลก เชียงใหม่ เลย ตอนใต้ของจังหวัดตาก และตอนเหนือของเพชรบูรณ์ ม้งขาว (White Meo) ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดน่าน เชียงราย ตาก และแพร่ ส่วนม้ง Gua M'ba พบเพียงทางตอนเหนือของจังหวัดน่าน (หน้า 61)

Economy

เศรษฐกิจของม้งในประเทศไทยอยู่บนพื้นฐานของการทำเกษตรแบบโค่นถางต้นไม้และเผา (swidden) พืชเศรษฐกิจหลักคือฝิ่น ส่วนพืชสำหรับยังชีพได้แก่ข้าว (chill padi) ข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่ว แตงกวา ยาสูบ ใยป่าน ฝ้าย พริก ผลไม้หลากชนิด ฯลฯ ? ตามจารีตของม้ง ที่ดินที่เว้นช่วงการเพาะปลูก (fallow land) ที่อยู่ในอาณาเขตของหมู่บ้านทั้งหมดเป็นของหัวหน้าหมู่บ้าน หัวหน้าครัวเรือนต่าง ๆ จะได้ครอบครองที่ดินก็โดยการทำการเพาะปลูกบนที่ดินนั้น และสามารถสืบทอดสิทธิ์สู่ทายาทได้ ม้งมีการเลี้ยงสัตว์ เช่น ม้า วัว แพะ หมู และสัตว์ปีกด้วย แต่การเลี้ยงสัตว์ของม้งเป็นเรื่องทางสังคมมากกว่าเป็นทางเศรษฐกิจ ในแง่ที่ใช้ในพิธีต่าง ๆ นอกจากนี้ มีการล่าสัตว์และตกปลามาเป็นอาหาร มีการทำงานหัตถกรรม (หน้า 69) วงจรการเพาะปลูกประจำปีของม้ง กุมภาพันธ์ - เลือกที่ทำไร่ การคัดเลือกไร่เป็นงานปกติของหัวหน้าครัวเรือนซึ่งจะชิมและสัมผัสดินก่อนตัดสินใจเลือกและปักเขตเป็นกรรมสิทธิ์ การอ้างกรรมสิทธิ์ในที่ดินใช้ไม้ซีกเสียบเข้าไปในรอยบากของต้นไม้ มีนาคม - ลงมือตัดต้นไม้ถางให้เตียนด้วยมีดและขวาน ปลายเมษายน - ซากไม้ทั้งหลายแห้งพอที่จะเผา ก่อนฝนแรกในเดือนพฤษภาคม - จะปลูกข้าวโพดร่วมกับพืชประเภทน้ำเต้าไว้เป็นอาหารเพิ่มเติมและป้องกันดิน ไร่ข้าวโพดไม่ต้องกำจัดวัชพืช เพราะเป็นพืชโตเร็วจึงโตล้ำหน้าวัชพืช มิถุนายน - ปลูกข้าว (dry hill rice) ซึ่งเป็นพืชยังชีพหลัก และปลูกแซมด้วยพืชประเภทน้ำเต้าและมันฝรั่งหวาน กรกฎาคม - นาข้าวจะต้องกำจัดศัตรูพืช ซึ่งต้องใช้แรงงานของสมาชิกทุกคนในครอบครัว เมื่อพืชผลเริ่มสุกสมาชิกบางคนในครอบครัวต้องไปนอนเฝ้าที่กระท่อมในไร่ สิงหาคม - เตรียมไร่ฝิ่น และหว่านเมล็ดปลูก ตุลาคม - เก็บเกี่ยวข้าวโพด และเก็บไว้ในที่เก็บซึ่งสร้างสูงจากพื้นดินอยู่ในไร่ ภายหลังจึงบรรทุกหลังม้านำกลับไปยังหมู่บ้าน ข้าวโพดใช้เลี้ยงหมูเป็นหลัก แต่คนก็กินเช่นกันหากเกิดขาดแคลนข้าว พฤศจิกายน - เก็บเกี่ยวข้าว (ข้าวที่เก็บเกี่ยวมาถูกปล่อยให้แห้งจนเดือนธันวาคม - ลงมือนวดข้าว) เป็นเดือนที่ต้นฝิ่นโต จะปลูกพืชประเภทถั่ว ผักโขม และยาสูบแซมไว้ พืชประเภทถั่วไม่เพียงเป็นอาหารเท่านั้นแต่การสะสมไนโตรเจนจะช่วยเติมปุ๋ยให้แก่ดิน และเดือนพฤศจิกายนนี้อาจปลูกฝิ่นรอบสอง (ซึ่งจะเก็บผลผลิตในเดือนเมษายนหรือต้นเดือนพฤษภาคมในปีถัดไป) ธันวาคม - กำจัดวัชพืชในไร่ฝิ่น มกราคม - เก็บผลผลิตพืชประเภทถั่ว ผักโขม และยาสูบ แล้วปล่อยให้ฝิ่นเติบโตด้วยตัวเอง กลีบดอกฝิ่นจะร่วงเดือนกุมภาพันธ์และต้นเดือนมีนาคม ซึ่งจะเป็นสัญญาณเริ่มกรีดยางฝิ่น ต้องใช้เวลา 4-5 สัปดาห์จึงสิ้นสุด เมื่อการเก็บผลผลิตฝิ่นสิ้นสุดลง จะเป็นสิ้นสุดปีของการเพาะปลูกด้วย (หน้า 70) ? เมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลไทยแนะนำวิธีทำนาแบบขั้นบันไดทำนา wet farm ผู้วิจัยเข้าไปในชุมชนม้งอำเภอแม่แตงจังหวัดเชียงใหม่ ที่เริ่มทดลองทำการเกษตรแบบขั้นบันได ชาเป็นพืชอีกประเภทที่มีการแนะนำให้ปลูก แต่ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าม้งจะยอมรับการเปลี่ยนแปลงรากฐานการเกษตรแบบจารีตอย่างถาวรหรือไม่ (หน้า 69)

Social Organization

องค์กรทางสังคม ที่สำคัญที่สุดสำหรับม้งมี 2 หน่วยคือ ครอบครัวและวงศ์ตระกูล (clan) ในระดับหมู่บ้านครอบครัวเป็นหน่วยทางสังคมที่เด่นชัดที่สุด แต่เหนือระดับท้องถิ่นขึ้นไปในวงศ์ตระกูล มีอิทธิพลอยู่ในจิตใจของม้ง ตามความคิดของม้ง ม้งมีความสัมพันธ์ทางสายวงศ์ตระกูลเชื่อมโยงกันให้ม้งเป็นหนึ่งเดียว วงศ์ตระกูลม้ง แบ่งออกเป็นกลุ่มนามสกุลที่สืบมาจากพ่อซึ่งมีการแต่งงานกันนอกตระกูล ชื่อนามสกุลที่ใช้ยืมมาจากจีน หญิงที่แต่งงานจะเข้าไปอยู่ในตระกูลของสามี ในประเทศไทยวงศ์ตระกูลม้งกระจายไปตามหมู่บ้านหนึ่งหรือหลายหมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่งอาจมีตัวแทนของ 4-6 วงศ์ตระกูล สมาชิกของวงศ์ตระกูลที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านโดดหรือกลุ่มหมู่บ้านที่ใกล้กัน มีแนวโน้มที่จะทำเพาะปลูกในละแวกเดียวกันและมักแลกเปลี่ยนแรงงานกัน นอกจากนี้ มีความร่วมมือทางเศรษฐกิจของสมาชิกของวงศ์ตระกูลในท้องถิ่นจะมีร่วมกันปีละครั้งหรือสองครั้งในงานพิธีและงานแต่งงาน - งานศพ ในงานเทศกาลปีใหม่จะมีการเยี่ยมเยือนกันในระหว่างสมาชิกของวงศ์ตระกูลที่แยกไปอยู่ต่างหมู่บ้าน ความสัมพันธ์แบบการเยี่ยมเยือนญาติลักษณะนี้จะลดลงเมื่อเวลาผ่านไปหลังสิบหรือสิบห้าปี การรับสมาชิกใหม่เข้าสู่ตระกูลนอกจากการเกิด เช่น การเป็นพี่น้องร่วมสาบานโดยทำพิธีดื่มเลือด (blood - brother ritual) แต่จะไม่ได้กลายเป็นผู้สืบทอดในทรัพย์สิน เป็นต้น ครอบครัว ในระดับหมู่บ้าน ครัวเรือนขยายมักจะเป็นหน่วยทางการเมือง ครัวเรือนหนึ่ง ๆ จะประกอบด้วยคู่สามีภรรยาเป็นจุดกำเนิดครอบครัว ลูก ๆ ที่ยังไม่แต่งงานและลูกชายที่แต่งงานแล้วอยู่ร่วมกับภรรยา หญิงม้งที่แต่งงานแล้วจะเข้าไปอยู่ในตระกูลและบ้านของสามี บางครั้งครัวเรือนหนึ่งจะมีสมาชิกถึงสี่รุ่น โดยมีชายที่สูงอายุที่สุดเป็นหัวหน้าครอบครัวขยายนั้น ในสังคมม้งการเลี้ยงดูลูก ๆ เป็นความรับผิดชอบของพ่อแม่ การแต่งงาน หนุ่มสาวม้งได้รับอนุญาตให้มีอิสระในเรื่องทางเพศ แม้จะตั้งครรภ์ก็จะไม่ถูกกดดันให้แต่งงาน วัยแต่งงานของผู้ชายม้งประมาณอายุ 16-17 ปี คู่แต่งงานบางครั้งอาจแก่กว่า 4 ปี ชายม้งมีภรรยาได้หลายคน แต่ต้องแต่งงานกับคนนอกตระกูล ห้ามแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องที่เป็นลูกของพี่น้องของพ่อที่เป็นผู้ชาย (parallel cousin) และห้ามแต่งงานกับภรรยาหม้ายของบิดา หากคู่แต่งงานไม่มีลูกชาย มีแต่ลูกสาว ลูกสาวคนหนึ่งเมื่อแต่งงานแล้วจะอยู่ที่บ้าน ทำให้สามีต้องมาอยู่กับภรรยาในบ้านพ่อภรรยา เทศกาลปีใหม่เป็นเทศกาลหาคู่ที่สำคัญของหนุ่มสาวม้ง คู่หนุ่มสาวจะร่วมเล่นเกมของคู่รัก คือการโยนลูกช่วง (cloth ball) อีกวิธีหนึ่งของการหาคู่ของหนุ่มม้งคือ การฉุด (capture) หญิงสาว แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตามในการนำหญิงสาวมาเป็นภรรยา พ่อแม่ฝ่ายชายจะต้องจ่ายค่าสินสอดแก่พ่อแม่ฝ่ายหญิง โดยครอบครัวฝ่ายหญิงต้องเป็นผู้จัดงานเลี้ยงแต่งงาน การหย่าร้างไม่ค่อยเกิดขึ้นในสังคมม้ง การคลอดลูก สามีจะร่วมอยู่ทำคลอดด้วย รกจะใส่ไว้ในกล่องไม้ไผ่ฝังไว้ในพื้นดินใต้พื้นบ้าน เด็กแฝดเป็นสิ่งน่ากลัวในหมู่อาข่า แต่จะมีค่าเหมือนนิมิตแห่งความโชคดีในหมู่ม้ง หลังเกิด 3 วันจะมีพิธีตั้งชื่อ ในพิธีจะมีการฆ่าไก่สองตัวและอธิบายนิมิตรับเอาทารกเข้ามาอยู่ในครอบครัว พี่น้องชายหญิงในวัยหนุ่มสาวจะนอนแยกกัน เมื่อมีสมาชิกในครอบครัวตาย จะประกาศด้วยการตีกลองและส่งข่าวกัน ศพจะได้รับการดูแลรักษาโดยญาติใกล้ชิด เช่น พ่อแม่ พี่น้องชายหญิง คู่ชีวิต และลูก ๆ ญาติใกล้ชิดเหล่านี้จะร้องไห้และไว้ทุกข์ให้ศพ ศพจะถูกฝังไว้ในหลุมฝังศพตื้น ๆ นอกหมู่บ้าน หลุมศพม้งจะมีไม้ไผ่และกองหินเป็นเครื่องหมาย (หน้า 65-67)

Political Organization

ผู้นำม้งได้มาจากการชักชวน และขึ้นอยู่กับความเห็นพ้องต้องกันอย่างเป็นเอกฉันท์ของคนในหมู่บ้าน ผู้นำม้งไม่ควรอ่อนวัยเกินไป และต้องให้ความสำคัญกับคำปรึกษาของบรรดาผู้อาวุโสของหมู่บ้าน ผู้ชายเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ฝ่ายหญิงที่อาวุโสก็มีอิทธิพล โดยเฉพาะหากเป็นหม้ายของผู้อาวุโสของชุมชนหรือหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านม้ง ในกรณีที่เป็นหมู่บ้านตระกูลเดียว สมาชิกที่อาวุโสที่สุดในตระกูลจะได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้า และสืบทอดตำแหน่งไปยังลูกชายและต่อไปถึงรุ่นหลาน หากในหมู่บ้านมีมากกว่าหนึ่งตระกูล อาจจะมีผู้นำมากกว่าหนึ่งคนหรือผู้นำ (leader) ของตระกูลที่ใหญ่ที่สุดเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน แต่มีเหมือนกันที่ตระกูลเล็ก ๆ รวมตัวกันแล้วเลือกหัวหน้าหมู่บ้านจากผู้นำในหมู่ตระกูลเล็ก และมีหัวหน้าหมู่บ้านบางแห่งในจังหวัดน่านที่มีอำนาจเหนือหมู่บ้านอื่น ๆ จำนวนมาก ผู้นำม้งบางคนได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลไทยให้เป็นผู้ใหญ่บ้าน ในกรณีนี้ หัวหน้าหมู่บ้านจะมีบทบาทจำกัดตามกฏหมายและรับผิดชอบโดยตรงต่อรัฐบาล หนึ่งในภารกิจที่สำคัญที่สุดของผู้นำม้ง คือการจัดการข้อพิพาทในหมู่บ้านที่หัวหน้าครัวเรือนและผู้อาวุโสของหมู่บ้านไม่สามารถระงับได้ และหากหัวหน้าหมู่บ้านไม่สามารถระงับได้ก็จะนำเรื่องให้หัวหน้าหมู่บ้านที่อาวุโสกว่าที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันพิจารณา หรือส่งไปให้ศาลของรัฐพิจารณา ด้วยความเคารพนับถือผู้อาวุโสในสังคมม้ง การตัดสินใจต่าง ๆ ของหัวหน้าหมู่บ้านจะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาหรือขอความเห็นจากผู้อาวุโสของหมู่บ้าน (หน้า 68) หมอผี แม้ว่าหมอผีจะมีบทบาททางการเมืองไม่ชัดเจนในสังคมม้ง แต่มีรายงานว่าหมอผีมีอิทธิพลอย่างมากต่อหัวหน้าหมู่บ้าน โดยเฉพาะถึงเวลาที่จะต้องย้ายหมู่บ้าน หาที่ตั้งหมู่บ้านใหม่ (หน้า 68-69)

Belief System

ศูนย์กลางความเชื่อของม้งตามจารีตขึ้นอยู่กับการดำรงอยู่ของผีทั้งที่ดีและที่ร้าย แนวคิดเกี่ยวกับผีมีผสมหลายชนิด ผีอาจแบ่งได้เป็นสี่กลุ่มหลัก คือ สองกลุ่มเป็นผีประเภทมีเมตตาซึ่งรวมถึงผีบรรพบุรุษและผีประจำครัวเรือนหรือเจ้าที่ ผีประจำประตู เตาไฟ บริเวณที่ใช้ก่อไฟ เสาบ้าน เสาหลังคา และท้องฟ้า เป็นต้น อีกสองกลุ่มเป็นประเภทผีร้าย รวมผีป่า ผีแห่งท้องทุ่ง ผีประจำหุบเขาและลุ่มน้ำ และผีเมือง เป็นต้น ผีพ่อแม่ถือว่าอยู่เหนือผีอื่น ๆ เป็นเสมือนกษัตริย์ (king) ม้งมีมโนคติเรื่อง "pli" หรือพลังชีวิตที่ม้งเชื่อว่ามนุษย์แต่ละคนมีขวัญประจำในหลายแห่ง แต่จำนวนยังไม่แน่ชัด หากขวัญหายไปจะเป็นสาเหตุทำให้ตาย นอกจากจะทำพิธีเรียกขวัญกลับจึงจะรอด ความสนใจของคนที่มีชีวิตอยู่คือการที่วิญญาณของผู้ตายได้รับการชี้ทางที่ถูกต้องไปสู่ดินแดนของคนตายและได้รับการปกป้องจากผีร้าย พิธีกรรมต่าง ๆ จึงเน้นไปที่การชี้ทางที่ถูกต้องต่อวิญญาณผู้ตาย ซึ่งค่อนข้างละเอียดประณีต ระหว่างพิธีศพจะมีการฆ่าหมูและไก่ และรายละเอียดของพิธีกรรมมีความแตกต่างกันในแต่ละตระกูล (หน้า 68) หมอผี (shaman) มีความเชื่อว่าหมอผีได้รับเลือกโดยวิญญาณ เพราะมีคำกล่าวว่าบุคคลหนึ่งอาจกลายเป็นหมอผีได้เพียงวิญญาณดวงหนึ่งเข้าไปสิงสู่ในกายของเขา ภารกิจสำคัญของหมอผีคือการเซ่นไหว้ผี การขับไล่ปีศาจร้าย การพยากรณ์ ทำนายลางสังหรณ์ ตีความความฝัน และทำยันต์ป้องกันตัว ตลอดจนทำสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าหมอผีจะมีบทบาททางการเมืองไม่ชัดเจน แต่มีรายงานว่าหมอผีมีอิทธิพลอย่างมากต่อหัวหน้าหมู่บ้าน โดยเฉพาะถึงเวลาที่จะต้องย้ายหมู่บ้านหาที่ตั้งหมู่บ้านใหม่ ชุมชนม้งอาจมีหมอผีหรือผู้เชี่ยวชาญทางศาสนาที่เป็นทั้งผู้ชายและผู้หญิง พิธีกรรม สำคัญประจำปีสำหรับม้ง คือการฉลองปีใหม่และการจัดพิธีศพ ?การฉลองปีใหม่ จะมีขึ้นหลังการเก็บเกี่ยวของเดือนธันวาคม งานปีใหม่จะมีประมาณหนึ่งสัปดาห์หรือมากกว่านั้น พิธีกรรมในงานฉลองปีใหม่ จะมีการฆ่าหมู ไก่ เซ่นไหว้ เลี้ยงฉลอง ดื่ม เต้นรำ และอวยพรกัน และเป็นช่วงเวลาสำคัญของการเลือกคู่ (หน้า 68-69)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

เครื่องแต่งกาย ตามประเพณี ม้งปลูกป่าน และฝ้าย ปั่นด้าย ทอ และย้อมเสื้อผ้าเอง เย็บปักเส้นไหมและผ้า เสื้อผ้าที่สวมใส่จะแตกต่างตามเผ่าที่แยกย่อยออกไป - ชายม้ง สวมกางเกงเป้าหย่อนสีกรมท่า และเสื้อแจ๊คเก้ตสั้นติดกระดุมข้าง เสื้อแจ๊คเก้ตม้งขาวจะสั้นกว่าของม้งน้ำเงินหลายนิ้ว ส่วนหมวกมีสีดำแบบจีน และสายคาดเอวเป็นผ้าผืนกว้างปล่อยชายไว้ข้างหน้า ด้านหน้าของแจ๊คเก้ตและชายผ้าคาดเอวจะตกแต่งด้วยลายปักครอสตีทช์มีสีสัน - หญิงม้งน้ำเงิน สวมเสื้อคลุมสั้นและหลวม แขนยาว สีกรมท่า (dark blue) สาบเสื้อป้ายข้ามอกสอดเข้าไปในกระโปรงจีบบานยาวแค่เข่า มีชิ้นผ้าขนาดประมาณผ้ากันเปื้อนห้อยอยู่ด้านหน้ากระโปรง คอเสื้อแบบกลาสีเรือรูปทรงเลขาคณิตขนาดเล็กสีดำมีลายปักที่ขอบ ปล่อยชายผ้าคาดเอวที่ปักลายมีพู่ห้อยทั้งสองชายทอดยาวไว้ด้านหลัง กระโปรงมีลายเขียนเทียนรูปทรงเลขาคณิต และมีลายปักครอสติทช์ใกล้ขอบชายกระโปรง หญิงแม้วน้ำเงินไม่ค่อยใส่หมวก แต่จะรวบผมไว้บนศีรษะมัดด้วยเส้นผ้า ส่วนหญิงม้งขาวใส่เสื้อเหมือนกัน ใส่กางเกงสีน้ำเงินและบางเวลาใส่กระโปรงขาว มีชิ้นผ้าปิดอยู่ด้านหน้าและด้านหลัง สวมผ้าโพกศีรษะแบบกว้างทำอย่างประณีตเป็นพิเศษในโอกาสมีงานเทศกาล ทั้งชายและหญิงม้งสวมใส่เครื่องประดับเงิน (หน้า 63)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

การค้าเป็นสื่อสำคัญที่ม้งใช้รักษาสายสัมพันธ์กับโลกภายนอก ม้งได้สมญาว่าเป็นนักธุรกิจที่ "ใจกล้าและรวดเร็ว" ไม่ถูกคนพื้นราบหลอกได้ง่าย ๆ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างม้งและคนไทยพื้นราบที่ปรากฏไม่ได้จริงใจเสมอไป สำหรับคนไทยแล้วม้งเป็นคนป่าเถื่อน แต่ม้งกลับดูถูกคนไทย ความเป็นปฏิปักษ์กันทางจารีตประเพณีระหว่างคนไทยและม้ง มีสภาพเลวร้ายมากขึ้นเมื่อรัฐบาลออกกฏหมายให้ผู้ปลูกฝิ่นเป็นคนนอกกฏหมาย เพราะสำหรับม้งฝิ่นเป็นพืชเศรษฐกิจ และเมื่อม้งบางกลุ่มเข้าร่วมกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ก็ยิ่งขัดแย้งกับรัฐมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเห็นว่า นโยบายของรัฐบาลไทย เช่น การสร้างถนน จัดให้มีโรงเรียน แนะนำพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่เป็นทางเลือก และเทคโนโลยีการเกษตรใหม่ ๆ อาจช่วยลดความเป็นปฏิปักษ์กันระหว่างชาติพันธุ์ลงได้ (หน้า 70-71)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แบบบ้านม้งน้ำเงิน (หน้า 64)

Text Analyst บุญสม ชีรวณิชย์กุล Date of Report 25 ก.ย. 2567
TAG ม้ง, ประวัติ, วัฒนธรรม, โครงสร้างสังคม, การเมือง, วิถีการผลิต, นโยบายของรัฐ, ภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง