|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
อาข่า,ประวัติ,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,เศรษฐกิจ,สังคม,การเมือง,ภาคเหนือ |
Author |
Syed Jamal Jaafar, Anthony R. Walker |
Title |
The Akha People: An Introduction |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
อ่าข่า,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดกลางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Total Pages |
13 |
Year |
2518 |
Source |
Farmer in the Hills : Upland Peoples of North Thailand, Anthony R. Walker (Editor) p.169-181, จัดพิมพ์โดย The School of Comparative Social Sciences, พิมพ์ที่ Universiti Sains Malaysia Press. |
Abstract |
มีเนื้อหาครอบคลุม วัฒนธรรม ความเชื่อ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ของชาติพันธุ์อาข่าในภาคเหนือของไทย โดยเน้นเรื่องโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรม - ความเชื่อของอาข่า บรรพบุรุษของอาข่าในพม่า ลาว และไทย มาจากยูนนานของจีน อาข่านิยมตั้งบ้านเรือนบนสันเขาอยู่สูง 1,200 เมตรหรือมากกว่า ทำการเกษตรแบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผา ปลูกข้าวไร่เป็นพืชยังชีพหลัก และพืชเสริม เช่น ข้าวโพด อ้อย งา ถั่วลิสง ยาสูบ และผักชนิดต่าง ๆ ปลูกฝิ่นเป็นพืชเศรษฐกิจหลัก สังคมอาข่า แบ่งเป็นตระกูล ๆ ที่สืบตระกูลทางพ่อ ชายที่สูงอายุที่สุดเป็นหัวหน้าครัวเรือน ในระดับหมู่บ้านมีหัวหน้าหมู่บ้าน และบางครั้งอาจมีผู้ช่วยหัวหน้าหมู่บ้านจำนวนหนึ่ง ปกครองดูแล หัวหน้าหมู่บ้านอาจจะสืบทอดตำแหน่งสู่ทายาทหรือได้รับเลือกมาโดยคณะผู้อาวุโสของหมู่บ้าน อาข่านับถือผี หมู่บ้าน จะมีสถานที่และสิ่งปลูกสร้างศักดิ์สิทธิ์ เช่น ประตูหมู่บ้าน สุสานฝังศพ ชิงช้าพิธี แหล่งน้ำ และแท่นบูชาเจ้าที่ (spirit of the locality) เป็นต้น พิธีกรรมของหมู่บ้าน จะนำโดยนักบวชของหมู่บ้าน (village priest หรือ dzon ma) นักบวชของหมู่บ้านเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในหมู่บ้าน |
|
Focus |
ศึกษา วัฒนธรรม ความเชื่อ โครงสร้างเศรษฐกิจ - สังคม - การเมือง ของชาติพันธุ์อาข่าในภาคเหนือของประเทศไทย |
|
Ethnic Group in the Focus |
อาข่าเรียกตัวเองว่าอาข่า (Akha) แต่ไม่ทราบรากศัพท์ของชื่อและไม่ทราบความหมาย ชาวฉานและคนไทยภาคเหนือรู้จัก อาข่าในชื่อ "อีก้อ" (E Kaw) โดยพื้นฐานทางภาษาแบ่งอาข่าออกเป็น 3 กลุ่ม คือ Jeu G'oe เป็นอาข่ากลุ่มใหญ่ที่สุด ชาวฉานเรียกว่า "Puli" กลุ่ม Jaw พูดภาษาถิ่นที่ใกล้เคียงกับกลุ่ม Jeu G'oe และ Kui ภาษาพูดยากต่อความเข้าใจของอาข่ากลุ่มอื่น (หน้า 169-170) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
อาข่าพูดภาษาในกลุ่มภาษา Tibeto-Burman เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับภาษาลาหู่และลีซอ แม้ว่าทั้ง 3 ภาษาจะไม่เข้าใจกันและกันดีก็ตาม ภาษาอาข่าพูดภาษาถิ่น 3 ภาษาหลัก ประชากรอาข่าส่วนใหญ่ในไทยพูดภาษาอาข่า Jeu G'oe อาข่าไม่มีภาษาเขียน แต่มีอาข่าคริสเตียนบางคนใช้อักษรโรมันทำเป็นภาษาเขียน ในประเทศไทยอาข่าจำนวนมากพูดภาษาลาหู่เป็นภาษาที่สอง และรู้ภาษาฉานและภาษาชาวเหนือของไทยอย่างกว้างขวางเช่นกัน (หน้า 170) |
|
Study Period (Data Collection) |
เมษายน - พฤษภาคม ค.ศ. 1973 |
|
History of the Group and Community |
อาข่า : บรรพบุรุษของอาข่าในพม่า ลาว และไทย มาจากยูนนานของจีน มีอาข่าอาศัยอยู่รัฐฉานในพม่าตั้งแต่ปี ค.ศ.1880 และปี ค.ศ. 1921 มีถิ่นที่อยู่ของอาข่าอย่างน้อย 2 แห่งในไทย และมีการอพยพจากจีนอย่างต่อเนื่องเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองอำนวย (หน้า 170) |
|
Settlement Pattern |
บ้านอาข่า จะสร้างในแนวขนานตามเส้นสันเขา บ้านเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า (Fig.7 หน้า 172) มีเสาและโครงเป็นไม้ ฝาบ้าน มักเป็นไม้ไผ่ บางครั้งเป็นปีกไม้ พื้นใช้ไม้ไผ่ หลังมุงด้วยหญ้า (cogon) บ้านมักสร้างบนเสาแม้ว่าจะอยู่บนพื้นลาดด้านหนึ่งอาจอยู่ติดพื้นก็ตาม เพื่อกันน้ำท่วมและเป็นที่หลบแดด - ฝนของสัตว์เลี้ยง บ้านจะแบ่งส่วนของผู้ชายและผู้หญิง แยกจาก กันโดยมีผนังไม้ไผ่กั้น มีทางขึ้นบ้านคนละด้าน ส่วนของผู้ชายจะติดกับเฉลียง แท่นบูชาบรรพชนตั้งอยู่ติดผนังกั้นด้านของผู้หญิง บางบ้านจะมีเตาไฟ (fireplace) ตั้งอยู่ทั้งด้านของผู้ชายและผู้หญิง บางบ้านอาจมีเตาไฟเตาเดียวตั้งอยู่ตรงกลาง ระหว่างส่วนของผู้ชายและผู้หญิง จะต้มชาและปรุงอาหารด้านผู้ชาย หุงข้าวด้านผู้หญิง และมักจะมีเตาไฟอีกเตาอยู่ในส่วน ด้านของผู้หญิงสำหรับต้มอาหารหมู ม้านั่งและโต๊ะกินข้าวจะทำด้วยหวายและไม้ไผ่ คนนอนบนพื้นบ้านแต่นั่งบนม้านั่งรอบโต๊ะกลมขนาดเล็กเพื่อรับประทานอาหาร ครัวเรือนส่วนใหญ่มีอุปกรณ์ทอผ้า เครื่องปั่นด้าย เครื่องทอ และเครื่องหว่านเมล็ดฝ้าย (cotton seeders) บริเวณบ้านล้อมรั้ว ภายในรั้วบ้านจะพบยุ้งเก็บข้าวและข้าวโพด และมีครกตำข้าวแบบใช้เท้า (foot - operated mortar) (หน้า 171-173) |
|
Demography |
อาข่า มีในจีน 48,700 คน (Halpern 1961) พม่า 40,407 คน (Bernatzik 1970) ลาว 4,500 คน (Roux & Tran 1954) ในประเทศไทยมี 9,611 คน (Pitchyagal 1972) อาข่าเป็นชนกลุ่มน้อยที่เป็นกลุ่มที่เล็กที่สุดในบรรดาชนกลุ่มน้อย ในภาคเหนือของไทย ส่วนใหญ่พบที่จังหวัดเชียงราย ทางเหนือของแม่น้ำกก (Mae Kok River) และมีหมู่บ้านจำนวนมากทางใต้ของแม่กก และหนึ่งหมู่บ้านในตำบลแม่อาย (Mae Aye) ทางเหนือของเมืองฝาง จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 169) |
|
Economy |
เศรษฐกิจของอาข่า ในประเทศไทยอยู่บนพื้นฐานการเกษตรแบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผา (swidden agriculture) ปลูกข้าวไร่เป็นพืชยังชีพหลัก ปลูกฝ้ายไว้ใช้ผลิตสิ่งทอ ยาสูบ และพืชเสริมเช่น พริก มะเขือเทศ ข้าวโพด อ้อย งา ถั่วลิสงและผักชนิดต่าง ๆ ปลูกฝิ่นเป็นพืชเศรษฐกิจหลัก (ในกรณีของฝิ่นนักวิชาการยังมีความเห็นไม่ตรงกัน เช่น บางท่านบอกว่าอาข่าในประเทศไทยปลูกฝิ่นน้อยมากและขายเกือบทั้งหมดสูบเองน้อยมาก บางท่านเห็นว่าฝิ่นเป็นหายนะภัยของอาข่าในประเทศไทยเหมือนกับในพม่าและในลาว มีการเสพกันมากส่งผลให้หมู่บ้านเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็วและหมู่บ้านมักจะค่อยๆ แตกสลายไป เป็นต้น) อาข่านิยมเพาะปลูกในพื้นที่ใกล้หมู่บ้านไม่ห่างจากที่อยู่อาศัยเป็นระยะทางเดินเกินสามชั่วโมง และสร้างเพิงพักเล็กๆ ไว้ในไร่เพื่อเป็นที่หลบแดดหลบฝน หากไร่อยู่ห่างจากหมู่บ้านมาก ชาวไร่นิยมนอนที่เพิงพักที่อยู่ในไร่มากกว่าการเดินทางไกลกลับหมู่บ้าน ไร่ที่จะใช้เป็นที่ปลูกข้าวจะสร้างศาลผี (spirit shrine) ไว้ใกล้กับเพิงพัก อาข่าไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ไม่สามารถเป็นเจ้าของแต่ใช้ได้ ไม่สามารถซื้อหรือขายที่ดินได้ และไม่อาจสืบทอดให้ลูกหลานได้ แต่ที่ดินไม่มีมากพอสำหรับทำไร่ตามจารีตอีกแล้ว เมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลแนะนำการปลูกข้าวแบบใช้น้ำชลประทานให้แก่ อาข่าที่แม่จัน จังหวัดเชียงราย นอกจากข้าวแล้ว พืชประเภทถั่วและยาสูบสามารถปลูกบนไร่ขั้นบันได อาข่าเลี้ยงสัตว์หลากชนิด เช่น ไก่ หมู และวัว เพื่อเป็นอาหารและใช้ในพิธีกรรม วัวนมและแพะเพื่อเป็นอาหาร เลี้ยงสุนัขไว้เฝ้าบ้านและเป็นอาหาร บางโอกาสสุนัขก็ถูกฆ่าเพื่อประกอบพิธีกรรม อาข่าได้ชื่อว่าเป็นนายพรานผู้ชำนาญ และชำนาญในการดักปลา ช่างตีเหล็กของหมู่บ้านเป็นสมาชิกที่มีความสำคัญของชุมชนหมู่บ้านอาข่า ผลิตและซ่อมอุปกรณ์ทำไร่ ชำนาญในการผลิตปืนที่ใส่กระสุนทางปากกระบอก ช่างตีเหล็กของหมู่บ้านจะได้รับส่วนแบ่งสัตว์ที่ถูกฆ่าโดยอาข่า (หน้า 179) |
|
Social Organization |
สังคมอาข่า แบ่งเป็นตระกูล ๆ ที่สืบตระกูลทางพ่อ (patrilineal clans) เด็กอาข่าจะสืบผีทางพ่อ หญิงที่แต่งงานแล้วเป็นของครอบครัวฝ่ายชาย ชายที่สูงอายุที่สุดเป็นหัวหน้าครัวเรือน หญิงที่แก่ที่สุดในบ้านถือว่าเป็น "แม่ของบ้าน" (mother of the house) ลูกและหลานที่เกิดในครัวเรือนจะมอบลูกคนแรกให้ผู้อาวุโสชายและหญิงของบ้าน แม้หลังจากลูกหลานดังกล่าวจะย้ายไปตั้งครัวเรือนของตนแล้วก็ตาม ในแต่ละหมู่บ้านอาข่าที่ตั้งขึ้นอย่างถูกต้องเหมาะสมสิ่งสำคัญคือ มีประชากรที่เป็นตัวแทนของอาข่าอย่างน้อย 3 ตระกูลที่แตกต่างกัน (หน้า 174) แนวคิดเรื่องครัวเรือนขนาดใหญ่ (large household) ของอาข่าจะประกอบด้วยหัวหน้า ภรรยา ลูกชายคนโตและลูกสะไภ้ หลาน และลูกชายคนเล็ก ส่วนลูกชายคนอื่นๆ จะได้รับการสนับสนุนให้แยก ไปมีครัวเรือนของตนเองเมื่อแต่งงานแล้ว ส่วนแนวคิดเรื่องครัวเรือนขนาดเล็ก (small household) ประกอบด้วยครอบครัวเดี่ยว (nuclear family) (หน้า 171) การแต่งงาน : วัยแต่งงานของชายอาข่าอยู่ระหว่าง 15-19 ปี หญิงระหว่าง 13-18 ปี ในหมู่บ้านอาข่าทุกแห่งที่ผู้วิจัยไปเยือน จะมีลานพบปะในเวลากลางคืนของหนุ่มสาวอาข่าที่ยังไม่ได้แต่งงาน - ก่อนแต่งงานจะต้องมีการตรวจสอบว่าทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในสายตระกูล (clan) หรือตระกูลย่อย (subclan) เดียวกัน ชายหนุ่มจะส่งเพื่อนที่อาวุโสหรือที่ใกล้ชิดไปสู่ขอต่อครอบครัวฝ่ายหญิง - พิธีแต่งงานจะเรียบง่าย เจ้าสาวจะสวมกระโปรงขาว ซึ่งใช้สวมเฉพาะในพิธีแต่งงานเท่านั้น เจ้าสาวจะถูกพาไปบ้านฝ่ายชาย โดยมีหัวหน้าหมู่บ้านร่วมทางไปกับเจ้าสาวด้วย (เข้าใจว่าในกรณีนี้หัวหน้าหมู่บ้านกับนักบวชของหมู่บ้าน "village priest" จะเป็นคนเดียวกัน) ณ ลานบ้านของฝ่ายชาย หัวหน้าหมู่บ้านจะกระทืบพื้นเพื่อขับไล่ผีร้ายที่เตร็ดเตร่อยู่บริเวณนั้น ก่อนคู่บ่าวสาวจะเดินขึ้นบันไดบ้านต้องรินน้ำล้างเท้า เป็นการแสดงความบริสุทธิ์ ภายในบ้านคู่บ่าวสาวนั่งบนตั่งที่นั่งอันเล็กใกล้กับเตาไฟ ต้มไข่ 1 ใบและส่งไข่ให้แก่กัน 3 ครั้ง ไข่เป็นสัญลักษณ์ของความรักและความอุดมสมบูรณ์ หลังพิธีแต่งงานจะฆ่าหมูเพื่อเป็นอาหารในงานเลี้ยงพิธีแต่งงาน บ่าวสาวจะนำเหล้าให้หัวหน้าหมู่บ้านเป็นลำดับแรก ลำดับต่อไปคือ หญิงอาวุโสของหมู่บ้าน และมีคำอวยพรอย่างเป็นพิธีการ มีการเลี้ยงฉลองสองวัน ชายอาข่ามีภรรยาได้มากกว่า 1 คน (หน้า 174-175) การหย่าร้าง เป็นเรื่องธรรมดาในสังคมอาข่า ก่อนการหย่า บรรดาผู้อาวุโสจะพยายามพูดคุยไกล่เกลี่ยให้ การหย่าร้างอาจต้อง มีการจ่ายค่าชดเชยโดยมีอัตราที่กำหนดตามสถานการณ์ของครอบครัว จ่ายโดยฝ่ายที่ขอหย่า อาข่าในพม่า หลังการหย่าฝ่ายหญิงจะสูญเสียสิทธิทั้งหมดในฐานะสมาชิกของครอบครัวแม้แต่ในเรื่องลูก ลูกเป็นของพ่อ หญิงที่หย่าร้างจะไม่สามารถกลับไปอยู่กับพ่อแม่ของตนได้อีก เพราะเมื่อแต่งงานแล้วก็ไม่ได้เป็นของพ่อแม่อีกต่อไป ดังนั้น ภายใน 12 วันหลังการหย่า หญิงนั้นจะแต่งงานใหม่หรือออกไปอยู่นอกรั้วหมู่บ้าน เป็นความเชื่อแต่เดิมว่า หากหญิงที่หย่าร้างตายในหมู่บ้าน ความโชคร้ายจะตกอยู่กับชุมชน หลังการหย่าร้างทั้งคู่จะถูกห้ามไม่ให้พูดคุยกันอีก อีกทั้งห้ามไม่ให้หญิงหรือชายที่หย่าร้างกันพูดคุยกับคู่ใหม่ของคนที่เคยเป็นสามีหรือภรรยา ลูกชายยังคงอยู่กับพ่อ แต่ไม่ได้กล่าวถึงชะตากรรมของลูกสาว และการชดใช้ตามธรรมเนียมมักถูกละเลย (หน้า 175-176) การมีลูก อาข่าสนใจเกี่ยวกับการมีลูกเป็นพิเศษ โดยเฉพาะลูกชาย เพราะจะเป็นผู้สืบสกุล หากไม่สามารถมีลูกได้ แก้ไขได้โดยการซื้อเด็กมาเลี้ยง หญิงอาข่ามักทำงานจนกระทั่งถึงเวลาคลอด เด็กจึงมักเกิดอยู่ในกระท่อมในไร่ หญิงชราอาข่าที่มีลูกชายมากๆ จะทำหน้าที่เป็นหมอตำแย สามีจะช่วยทำคลอดด้วยหากจำเป็น เมื่อเด็กเกิดจะไม่ถูกอุ้มขึ้นมาจนกว่าจะร้อง 3 ครั้ง เป็นการขอพร ขอวิญญาณ (soul) และช่วงเวลาของชีวิต (life span) จากพระเจ้า หลังทารกร้องสามครั้งหมอตำแยต้องตั้งชื่อให้ทันที เพื่อป้องกันผีตั้งชื่อให้และอ้างเอาเด็กเป็นของตน หมอตำแยตัดสะดือเด็กด้วยไม้ไผ่แผ่นบางและอาบน้ำเด็ก การฝังรกเป็นภารกิจของพ่อ โดยนำไปฝังไว้ใต้ถุนบ้านที่ตรงกับใต้แท่นบูชาบรรพบุรุษ (หน้า 176 - ความเชื่อเรื่องการเกิดจะอยู่ในหัวข้อ Belief Systems - Text Analyst) ไม่มีพิธีกรรมอย่างเป็นทางการที่แสดงถึงการเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่วัยหนุ่มสาว หมวกที่ใส่จะเป็นสัญลักษณ์ของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ อาข่าเชื่อในการมีเพศสัมพันธ์กันตั้งแต่อายุยังน้อย พออายุผ่าน 40 ปีอาข่าถือว่าเป็นวัยใกล้ชรา ผ่าน 50 ปีถือว่าเป็นวัยชรา ในชุมชนอาข่าครอบครัวจะดูแลผู้สูงอายุ มีความเชื่อว่าเป็นภารกิจศักดิ์สิทธิ์ในการทำให้ผู้ชรามีความสุขในยามแก่เฒ่า (หน้า 176-177) |
|
Political Organization |
หมู่บ้านอาข่าทุกแห่งมีหัวหน้าหมู่บ้าน (headman) และบางครั้งอาจมีผู้ช่วยหัวหน้าหมู่บ้านจำนวนหนึ่ง หัวหน้าหมู่บ้านอาวุโสเรียกว่า "djew-ma" หรือ "primary headman" ผู้ช่วยหัวหน้าหมู่บ้านเรียกว่า "djew-ya" หรือ "secondary headman" หัวหน้าหมู่บ้านอาจจะสืบทอดตำแหน่งสู่ทายาทหรือได้รับเลือกมาโดยคณะผู้อาวุโสของหมู่บ้าน ภารกิจของหัวหน้าหมู่บ้านอาข่า จะรวมถึงการตัดสินข้อพิพาท พิจารณาคดีและบังคับปรับตามความเหมาะสม หัวหน้าหมู่บ้านจะจัดเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้านสองครั้งต่อปีโดยในการเลี้ยงแต่ละครั้งจะมีการฆ่าหมู ส่วนผู้ช่วยหัวหน้าหมู่บ้านจะจัดเลี้ยงปีละครั้งจะมีการฆ่าหมูเป็นอาหารเช่นกัน หัวหน้าหมู่บ้านไม่ใช่คนที่มีอำนาจมากที่สุดในหมู่บ้าน อำนาจที่แท้จริงเป็นของนักบวชของหมู่บ้าน (village priest) ปัจจุบันหมู่บ้านอาข่าในประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของระบบการปกครองส่วนภูมิภาคของไทย หัวหน้าหมู่บ้านได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการโดยเจ้าหน้าที่ของจังหวัด และอยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงของกำนันไทย หรือหัวหน้ากิ่งอำเภอ (Subdistrict head) (หน้า 177) |
|
Belief System |
สิ่งเหนือธรรมชาติของอาข่า มีเทพเจ้าสูงสุด 1 องค์ที่เรียกว่า "Apoe mi yeh" ผีและผีบรรพบุรุษ ผีทุกตนอยู่ภายใต้ Apoe mi yeh ทั้งสิ้น เทพเจ้าสูงสุดร่วมรับเครื่องเซ่นไหว้ทั้งหมดที่อาข่าเซ่นไหว้บูชา เครื่องบูชาพิเศษสำหรับเทพเจ้าสูงสุดถือว่าไม่จำเป็น ประเภทของผีหลักๆ มี 4 ประเภท คือ 1. ผีผู้ยิ่งใหญ่ (great spirits) ซึ่งรวมถึงผีพระอาทิตย์ และผีพระจันทร์ ซึ่งจะไม่ทำร้ายคน แต่จะสามารถช่วยคนได้หากเซ่นไหว้บูชาอย่างเหมาะสม 2. ผีอุปถัมภ์ (Ower - spirits) เป็นผีที่ดูแลปศุสัตว์หรือสัตว์ที่เลี้ยงไว้ ข้าวเปลือก ผู้คนและอื่น ๆ อาข่าสวดอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากผีเหล่านี้ 3. ผีร้าย (afflicting spirits) เป็นผีที่อาศัยอยู่นอกอาณาบริเวณของหมู่บ้าน เช่น ผีหนองน้ำ (Swamp Spirit) ผีจอมปลวก (Termite - hill Spirit) ผีลม (Wind Spirit) ผีสายฟ้า (Lighting - bolt Spirit) ผีน้ำพุร้อน (Hot - springs Spirit) และอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งสามารถทำให้ชาวบ้านเจ็บป่วยได้ หากผีเหล่านี้ถูกล่วงเกิน 4. ผีสิง (spirits who enter people) ผีที่เข้าสิงคน ผีร้ายเหล่านี้ต้องถูกไล่ออกจากร่างทันที มิฉะนั้น ผู้ถูกผีเข้าสิงจะตาย อาข่าเชื่อว่าทุกคนมีวิญญาณ (soul) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในร่าง แต่อาจออกจากร่างเมื่อเกิดตกใจกลัว หากไม่สามารถนำวิญญาณกลับเข้าร่างได้ เจ้าของร่างนั้นก็จะตาย หมอผี (shamans) อาข่าสามารถค้นหาวิญญาณของคนเป็นที่ท่องเที่ยวไปในแดนของผี (spirit) ให้กลับคืนมาได้ เมื่อคนตาย หมอผีจะเป็นผู้นำทางให้วิญญาณของผู้ตายได้รับและยอมรับการชี้นำของนักบวชที่จัดการเรื่องวิญญาณ (spirit priest) เพื่อให้วิญญาณผู้ตายเดินทางไปสู่แดนของบรรพบุรุษ (หน้า 177-178) ผู้เชี่ยวชาญด้านพิธีกรรม (ritual specialists) หมู่บ้านอาข่าปกติจะมีผู้เชี่ยวชาญด้านพิธีกรรมอยู่ 3 คน ที่สำคัญที่สุดคือ นักบวชของหมู่บ้าน (village priest หรือ dzon ma) - นักบวชของหมู่บ้านเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในหมู่บ้าน มีภารกิจหลักคือ เรื่องศาสนาและดูแลสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ 6 แห่งของหมู่บ้าน ได้แก่ ประตูหมู่บ้าน ประตูที่สองของหมู่บ้าน ชิงช้าพิธี แหล่งน้ำ สุสานของหมู่บ้าน และสถานที่บูชาเซ่นไหว้ วิญญาณของแผ่นดินและน้ำ (offering place) นักบวชของหมู่บ้านจะเป็นคนแรกที่จะกัดกินอาหารในพิธีต่าง ๆ หนึ่งคำ บ้านของนักบวชจะเป็นบ้านแรกที่สร้างขึ้นในหมู่บ้านใหม่ เป็นคนแรกที่ลงมือปลูกข้าว เป็นคนแรกที่เริ่มสร้างประตูและชิงช้าพิธีของหมู่บ้าน เป็นคนแรกที่โยน "โดมิโน" ระหว่างการประชุมเสี่ยงทายในวันปีใหม่ ในส่วนของครัวเรือนหัวหน้าครัวเรือนจะแสดงบทบาทในฐานะนักบวชของครัวเรือน - นักบวชด้านวิญญาณ (spirit priest, boe maw) เป็นผู้สามารถติดต่อกับวิญญาณได้ สามารถแก้ต่างหรือข่มขู่วิญญาณตามแต่โอกาสที่ได้รับมอบอำนาจเป็นตัวแทนของลูกค้าที่มาใช้บริการ - หมอผีของหมู่บ้าน (shaman, nyi pa) ซึ่งมักจะเป็นผู้หญิง ภารกิจเฉพาะของหมอผีคือ เดินทางไปสู่ดินแดนของผี เพื่อค้นหาว่าผี (spirits) อะไรที่พาวิญญาณ (soul) ของชาวบ้านไป และพยายามนำวิญญาณ (soul) นั้นกลับมาสู่ร่าง อาข่าเชื่อว่า แต่ละคนจะมี "ต้นไม้แห่งชีวิต" อยู่ในโลกของวิญญาณ (Spirit World) และเมื่อต้นไม้แห่งชีวิตโค่นล้มลง บุคคลนั้นจะตาย เมื่อหมอผีเข้าไปเยือนโลกแห่งวิญญาณ หมอผีสามารถเห็นต้นไม้แห่งชีวิตนี้ได้ หมอผีจะได้รับค่าตอบแทนจากผู้ที่มาใช้บริการ หมู่บ้านหนึ่งอาจมีหมอผีหลายคน หรือหมอผีคนหนึ่งอาจให้บริการหลาย ๆ หมู่บ้าน พิธีกรรมของหมู่บ้าน จะนำโดยนักบวชของหมู่บ้าน จะมีประมาณ 9 หรือบางหมู่บ้าน 12 เทศกาลประจำปี แต่จะสนใจพิธีกรรมทางศาสนาก่อน การซ่อมประตูของหมู่บ้าน เทศกาลเพาะปลูก เทศกาลเก็บเกี่ยว และอื่นๆ (หน้า 178) - ประตูหมู่บ้าน เป็นที่สถิตของผีที่ปกป้องผู้ชาย - ผู้หญิงและอาณาเขตของหมู่บ้านและต่อต้านการบุกรุกของผีร้าย ตั้งอยู่ปลายสุดด้านบนและด้านล่างของหมู่บ้านประกอบด้วยเสาไม้ 1 คู่หรืออาจมากกว่า 1 คู่ก็ได้ เสาแต่ละคู่พาดด้วยคาน (Pl.25b หน้า 182) แต่ละปีชาวบ้านจะสร้างเสาประตูหมู่บ้านใหม่ไว้ที่ท้ายหมู่บ้านทั้งสองด้าน โดยเสาคู่เก่ายังปล่อยไว้ตามเดิม มีไม้แกะสลักเป็นรูปทรงมนุษย์ชาย - หญิงพร้อมกับอวัยวะเพศที่เกินจริงวางไว้ด้านนอกหมู่บ้านถัดจากเสาประตูหมู่บ้าน เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์อย่างต่อเนื่อง มีรูปแกะสลักอื่นๆ ติดอยู่ที่เสาและคานเหนือเสา เช่น นกแกะสลักอย่างหยาบๆ สัตว์ต่างๆ แม้แต่เฮลิคอปเตอร์ เป็นต้น ทะลุผ่านเข้าไปภายในประตูหมู่บ้านจะพบประตูหมู่บ้านอีกชั้นหนึ่งแต่ทำประณีตน้อยกว่า (มีทั้งสองฝั่งของหมู่บ้าน) ทำขึ้นเพื่อเป็นการปกป้องคนในหมู่บ้านเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง และเป็นที่สิงสถิตของผีคุ้มครองชายและหญิงเช่นกัน (หน้า 173) - ชิงช้าพิธี มีไม้ที่แกว่งได้ มักอยู่ใกล้กับประตูหมู่บ้านชั้นในสุดที่อยู่ปลายด้านบนของหมู่บ้าน จะมีพิธีประจำปี 3 - 4 วัน ชิงช้าพิธีจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ และทุกคนในหมู่บ้านนำโดยนักบวชของหมู่บ้านจะทำพิธีโล้ชิงช้าพิธี พิธีนี้ฉลองรวงข้าวสุกและแสดงความขอบคุณต่อบรรพบุรุษ ผ่านประตูรั้วด้านบนสุดของหมู่บ้านออกไปในป่าจะตั้งแท่นบูชาเจ้าที่ (หน้า 173) สุสานฝังศพของหมู่บ้าน มักเป็นพื้นที่ของหมู่บ้านซึ่งถูกละทิ้งแล้ว ไม่เคยถูกเผา ต้นไม้ใกล้สุสานจะต้องไม่ถูกตัดออก คนเข้าไปไม่ได้ นอกจากเข้าไปฝังศพเท่านั้น ทุกหมู่บ้านอาข่ามีสุสานฝังศพ (หน้า 173-174) แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ อยู่ภายนอกหมู่บ้าน ซึ่งเป็นคนละที่กับแหล่งน้ำที่ชาวบ้านใช้ประจำวัน แต่เป็นแหล่งน้ำที่ใช้ในโอกาสประกอบพิธีกรรม แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นที่สถิตของผีน้ำ (water spirit) (หน้า 173) ความเชื่อเรื่องการเกิด ระหว่างตั้งครรภ์ทั้งสามีภรรยาจะต้องคอยควบคุมดูแลเพื่อป้องกันการเกิดลูกที่ถือว่าเป็น Human rejects ของอาข่า เช่น ลูกแฝด หรือลูกที่มีอวัยวะและหน้าตาที่ไม่สมประกอบ หญิงตั้งครรภ์จะหลีกเลี่ยงคนที่มีอำนาจจิตและงดการเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนา พิธีฝังศพ และการล่าสัตว์ ถ้าเด็กเกิดมามีลักษณะเป็น Human rejects เด็กจะถูกฆ่าในทันทีและบ้านที่ใช้ทำคลอดจะถูกทำลาย พ่อแม่จะถูกเข้าใจว่าเป็นพวกมีความผิดบาปน่ากลัวบางอย่างที่ก่อให้เกิดโชคร้าย ต้องออกจากหมู่บ้านไป และต้องผ่านพิธีทำให้ตนเองบริสุทธิ์ในป่าก่อน จึงจะได้รับการยอมรับให้เข้าสู่สังคมหมู่บ้านได้อีกครั้ง สุดท้ายตัวหมู่บ้านเอง ก็ต้องถูกทำให้บริสุทธิ์ด้วย (หน้า 176) พิธีศพ จะมีการชำระล้างศพและแต่งตัวให้ศพอย่างเหมาะสม ขั้นต่อไปเป็นหน้าที่ของบุตรชายผู้ตาย ลูกชายควรจะอ่านลำดับศักดิ์ของวงศ์ตระกูล (genealogy) ผู้ตายต่อสาธารณะ หากผู้ตายเป็นหญิงลำดับศักดิ์ของวงศ์ตระกูลเป็นของสามี หรือหากเธอไม่ได้แต่งงานก็เป็นลำดับศักดิ์วงศ์ตระกูลของพ่อของเธอ นักบวชด้านวิญญาณ (spirit priest, boe maw) ประกอบพิธีเซ่นไหว้ในพิธีศพ เซ่นไหว้บรรพบุรุษ (Great Ancestor) และสวดคาถาสำหรับผู้ตาย สวดสองวันสามคืน ผู้อาวุโสในหมู่บ้านรับผิดชอบการฝัง ใส่ศพในโลงและวางลงในหลุมศพ ต่อจากนั้น เป็นพิธีกรรมหลังการฝัง (post-mortuary rite) โดยจะมีคนเข้าแทนที่ผู้ตาย เข้าไปในบ้านของผู้ตาย ไม่มีใครพูดคุยด้วย รับประทานอาหารมื้อสุดท้าย หลังจากนั้น เขาจะพลิกโต๊ะกินข้าวกลับเอาขาโต๊ะขึ้น พิธีกรรมนี้เป็นเชิงสัญลักษณ์แสดงถึงการสิ้นสุดความสัมพันธ์ระหว่างคนที่มีชีวิตอยู่กับคนตาย (หน้า 177) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
อาข่าสวมเสื้อผ้า ที่ทำด้วยผ้าฝ้ายหรือป่านทอเอง ทอมือและย้อมสีน้ำเงินเข้มหรือดำด้วยสีย้อมที่มาจากพืช - ชายอาข่า สวมเสื้อแจ๊กเก้ตสั้นหลวมๆ และกางเกงหลวมเป้าหย่อน บางครั้งสวมหมวกแบบผ้าโพก ในโอกาสมีงานเทศกาล ผู้ชายจะสวมเสื้อแจ๊คเก้ตสั้นที่มีลายเย็บปักริมขอบที่ประณีตมีสีสันมากขึ้น อาจสวมเครื่องประดับเงินหรือทองเหลืองที่คอและกำไลมือ เด็กชายสวมชุดแบบผู้ใหญ่แต่ตัวเล็กกว่า สวมหมวกผ้าที่มีหลากสีสัน เด็กเล็กไม่สวมกางเกง ในโอกาสที่เป็นทาง การมากชายอาข่าจะใส่ traditionally wear a short queue - ชุดหญิงอาข่า จะประณีตมากกว่า สวมแจ๊คเก้ตสั้น breast - band กระโปรงสั้น สวมสนับแข้ง ผ้าโพกศีรษะ กระโปรงสีพื้นน้ำเงินเข้มหรือดำ ด้านหน้าเรียบ ด้านหลังเป็นจีบ ใส่ต่ำกว่าสะดือ ชายกระโปรงมักอยู่เหนือเข่าคล้าย ๆ กระโปรงสั้นในชุดสมัยใหม่ (mini skirt) breast-band เป็นผ้าแถบกว้างสีน้ำเงินเข้ม ผูกไว้ด้านข้างลำตัว เสื้อแจ๊คเก้ตสวมแบบเปิดด้านหน้าปล่อยชายอย่างหลวม ๆ สนับแข้งผ้า-ยาวจากใต้เข่าถึงข้อเท้า ลักษณะโดดเด่นที่สุดของเครื่องแต่งกายของหญิงอาข่าคือ หมวกที่ประดับอย่างประณีตและไม่เคยถอดออก เด็กหญิงสวมหมวกผ้าซึ่งปิดหูทั้งสองข้าง (head-hugging cloth cap) เริ่มแรกหมวกยังไม่มีการประดับ แต่เมื่อเด็กหญิงใกล้ถึงวัยสาว จะแสดงการสร้างสรรค์ของตนด้วยการตกแต่งกระดุมเงินและballs ลูกปัดสีและพู่ การเข้าสู่วัยสาว หญิงสาวอาข่าสมมติให้หมวกเป็นเครื่องหมายของหญิงสาวเต็มวัย - อาข่าส่วนใหญ่ในไทยหมวกจะมีทรงกรวยกลม หุ้มด้วยแถวของกระดุมกลม ลูกปัด ไผ่ และตกแต่งด้วยขนลิงย้อมสี ด้านล่างของหมวกเป็นแถบผ้ากว้างที่พันหน้าผากห้อยเหรียญเงินรูปีของอินเดียเป็นแถว นอกเหนือจากผ้าโพกศีรษะแล้ว เครื่องประดับของหญิงสาวยังเปลี่ยนแปลงตามอายุ หญิงสาวที่แต่งงานแล้วใส่เครื่องประดับน้อยกว่าหญิงที่ยังไม่แต่งงาน และหญิงสูงอายุใส่เครื่องประดับน้อยลง (หน้า 170-171) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
อาข่าอาจเป็นชาวเขาทางเหนือของไทยที่มีความต้องการน้อยมากที่จะสมาคมกับคนพื้นล่าง อาข่าเชื่อว่า คนนอกโดยเฉพาะที่มาจากพื้นราบจะนำผีชั่วร้ายที่เป็นภัยคุกคามมาด้วย ผีร้ายนี้อาจสิงคนอาข่า อาข่ายังคงนิยมค้าขายกันอยู่ในหมู่บ้านของตนมากกว่าที่จะค้าขายกับคนภายนอก ในทางตรงข้าม อาข่าที่อาศัยอยู่ใกล้กับที่อยู่อาศัยของคนพื้นราบ จะต้อนรับพ่อค้าชาวพื้นล่างเข้าไปในหมู่บ้าน และมักจะไปเยือนตลาดของคนพื้นล่างบ่อยครั้ง (หน้า 180) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
1. แผนผังและภาพลายเส้น : แผนผังบ้านอาข่า (หน้า 174) 2. รูปภาพ : หลังหน้า 181 : 2.1 หมู่บ้านอาข่ายามเช้า (25a) 2.2 ประตูรั้ววิญญาณที่ปกป้องทางเข้าหมู่บ้านอาข่า(25b) 2.3 รูปสลักไม้สัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ของอาข่า (26a) 2.4 ลานพบปะหนุ่มสาวและ ritual swing ของอาข่า (26b) 2.5 อาข่าเจาะดินและลงเม็ดข้าว (27a) 2.6 หญิงอาข่าเลี้ยงหมู (27b) 2.7 หมอผีอาข่าสวดหลังฆ่าสุนัขเพื่อเซ่นไหว้ (28a) 2.8 คู่แต่งงานอาข่า (28b) |
|
|