สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ประวัติ,วัฒนธรรม,เศรษฐกิจ,องค์กรสังคม,การเมือง,ศาสนา,ความเชื่อ,ภาคเหนือ
Author Mohd. Razha Rashid, Pauline H. Walker
Title The Karen People: An Introduction
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดกลางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ Total Pages 11 Year 2518
Source Farmer in the Hills : Upland Peoples of North Thailand, Anthony R. Walker (Editor), p.87-97, จัดพิมพ์โดย The School of Comparative Social Sciences, พิมพ์ที่ Universiti Sains Malaysia Press.
Abstract

มีเนื้อหาครอบคลุม ประวัติความเป็นมา วัฒนธรรม องค์กรสังคม-การเมือง เศรษฐกิจ และศาสนา - ความเชื่อ ของชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโดยรวม กะเหรี่ยงเรียกตัวเองว่า "Pga K' Ngaw" มีความหมายว่า "มนุษย์" พูดตระกูลภาษา Sino-Tibetan linguistic ซึ่งรวมทั้งภาษา จีนและภาษาธิเบต-พม่า (Tibeto-Burman) ในกลุ่มภาษา Karenic มี 4 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ สะกอ โปว์ ปะโอ และ กะยา กะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่บนภูเขาเป็นชาวไร่แบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผา ส่วนกะเหรี่ยงพื้นราบ จะปลูกข้าวนาลุ่ม และปลูกพืชเศรษฐกิจ ตามปกติหมู่บ้านอยู่บนพื้นฐานครอบครัวขยายทางฝ่ายตระกูลแม่ สืบตระกูลทางฝ่ายแม่ ผู้นำในหมู่บ้านกะเหรี่ยง อาจมีหัวหน้าหนึ่งคนและผู้นำศาสนาหนึ่งคนหรือมากกว่า หรือตัวหัวหน้าเองอาจเป็นผู้นำศาสนาของชุมชนด้วย และโดยพื้นฐานแล้ว กะเหรี่ยงจะเหมือนกับชาวเขาอื่น ๆ คือเป็นพวกนับถือผี (animist)

Focus

พรรณนาประวัติความเป็นมา วัฒนธรรม - ความเชื่อ องค์กรสังคม - การเมือง และเศรษฐกิจ ของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง (Karen) ในภาพรวม

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

คำว่า Karen เป็นคำในภาษาอังกฤษได้มาจากชื่อเรียกกระเหรี่ยงเป็นภาษาพม่าว่า "Kayin" ชาวฉานและคนไทยทางเหนือเรียกกะเหรี่ยงว่า "Yang" ขณะที่คนไทยภาคกลางเรียก "กะเหรี่ยง" (Kariang) มีข้อสังเกตว่าชื่อในภาษาพม่าแตกแขนงมาจากรากศัพท์ "yine" มีความหมายว่า "ป่าเถื่อน ดุร้าย" (savage wild) หรือคำว่า "yin" หรือ "Yen" มีความหมายว่า "ก่อน" (prior) หรือ "อันดับแรก" (first) หรือหากมองว่าต้นกำเนิดเป็นคำในภาษาบาลีจะมีความหมายว่า "dirty feeders" ในภาษาสันสกฤต "Kirata" หมายถึง "ชนเผ่าป่าเถื่อน" (barbarian tribes) หรือคนภูเขา (mountaineers) กะเหรี่ยงเรียกตัวเองว่า "Pga K' Ngaw" มีความหมายว่า "มนุษย์" (men) ?กะเหรี่ยงมี 4 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ สะกอ (Sgaw), โปว์ (Pwo - ทางเหนือของไทยเรียก ปะหล่อง - Phlong), ปะโอ หรือ ตองสู (Pa -O หรือ Thaungthu) และ กะยา (Kayah, Karen - ni) ในจำนวนสี่กลุ่มย่อยนี้มีกะเหรี่ยง Sgaw และ Pwo ที่นิยมเรียกกันอย่างแพร่หลายว่า "Karen" อย่างไรก็ตาม สำหรับนักชาติพันธุ์วิทยาและมานุษยวิทยา คำว่า "Karen" จะกว้างขวางรวมถึงทุกคนที่พูดภาษา Karenic (หน้า 88)

Language and Linguistic Affiliations

กะเหรี่ยงพูดตระกูลภาษา Sino-Tibetan linguistic ซึ่งรวมทั้งภาษาจีนและภาษาธิเบต-พม่า (Tibeto-Burman) ในกลุ่มภาษา Karenic มีภาษาท้องถิ่นประเภทต่าง ๆ จำนวนมาก บางประเภทก็ไม่สามารถเข้าใจซึ่งกันและกันได้ และความสัมพันธ์ระหว่างภาษาพื้นเมืองเหล่านี้ยังคงคลุมเครือ ภาษากะเหรี่ยงไม่มีตัวเขียน ระบบการเขียนระบบแรกได้รับการพัฒนาในปี ค.ศ. 1832 โดยหมอสอนศาสนาชาวอเมริกัน ใช้ตัวอักษรพม่า เริ่มต้นใช้โดยกะเหรี่ยง Sgaw ต่อมาขยายไปสู่กะเหรี่ยง Pwo กะเหรี่ยงส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่บนที่สูงของไทยยังคงใช้ภาษาเดียว (monolingual) ส่วนกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่เขตพื้นที่ราบ (valley) โดยเฉพาะในเมืองและที่มีการติดต่อสัมพันธ์กับคนพื้นราบ มักจะสามารถพูดภาษาไทยได้ (หน้า 88-89)

Study Period (Data Collection)

เมษายน-พฤษภาคม ค.ศ. 1973

History of the Group and Community

มีความรู้น้อยมากเกี่ยวกับประวัติศาสตร์กะเหรี่ยงก่อนต้นคริสตศตวรรษที่ 19 (หน้า 89) บันทึกทางประวัติศาสตร์ที่เชื่อถือได้เพียงชิ้นเดียวจากคริสตศตวรรษที่ 19 คือข้อเขียนของเจ้าหน้าที่อังกฤษและหมอสอนศาสนาอเมริกันทิ้งไว้ระหว่างสงคราม Anglo-Burman ครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1854-1826) เมื่ออังกฤษได้ยะไข่ (Arakan) และ Tenasserim แล้ว กะเหรี่ยงและมอญถือโอกาสเป็นกบฏต่อต้านพม่า แต่ถูกโต้กลับโดยพม่า และหมู่บ้านจำนวนมากถูกทำลายในที่สุด ผลที่ตามมาภายหลังอีก 140 ปี กะเหรี่ยงมีกองกำลังของตนเองและเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังอังกฤษที่ใช้ต่อสู้กับพม่า หมอสอนศาสนาคริสต์ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนวิถีชีวิตของกะเหรี่ยงจำนวนมาก และคริสต์ศาสนิกสนับสนุนในการพัฒนาจิตสำนึกในเรื่องเชื้อชาติให้แก่กะเหรี่ยงและหันมามุ่งทางการเมือง ก่อตั้ง Karen National Association ขึ้นในปี ศ.ศ.1881 และผู้นำกะเหรี่ยงส่วนใหญ่เป็นกะเหรี่ยง Sgaw ที่เป็นคริสเตียน ตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่ของการเป็นอาณานิคม กะเหรี่ยงในพม่าสนับสนุนอังกฤษ หลังสงครามโลกครั้งที่สองต้นปี ค.ศ.1949 กะเหรี่ยงต่อต้านพม่าอย่างเต็มรูปแบบภายใต้องค์กร Karen National Defense Organization (KNDO) กบฎ KNDO ถูกทำลายเกือบสูญสิ้นในปี ค.ศ.1953 รัฐกะเหรี่ยง (Karen State) ก่อตั้งอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1954 บริเวณรอบ ๆ แม่น้ำสาละวินตอนล่าง ปัจจุบันกะเหรี่ยงบางส่วนยังคงต่อสู้อยู่ในองค์กรต่อต้านต่าง ๆ เพื่อต่อต้านพม่า สำหรับกะเหรี่ยงในประเทศไทยในยุคอดีตและยุคใกล้ ๆ นี้ ส่วนใหญ่มาจากพม่า กะเหรี่ยงในประเทศไทยมีท่าทีที่สงบต่อรัฐบาลไทยมากกว่าต่อพม่า (หน้า 90)

Settlement Pattern

บ้านยกใต้ถุนสูงมีเสาบ้าน หลังคามุงจาก พื้นและผนังบ้านมักทำด้วยไม้ไผ่ หลังคาเอียงลาดถึงระดับพื้น บ้านจะมีทางเข้าทางเดียว และทุกบ้านจะมีเฉลียงเป็นที่ซึ่งให้แขกผู้มาเยือนหย่อนใจ สำหรับกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่บนพื้นราบจะสร้างบ้านใต้ถุนสูงเช่นกัน (หน้า 89)

Demography

ปี ค.ศ.1961 กะเหรี่ยงในพม่ามีจำนวนประมาณระหว่าง 1,750,000-2,000,000 คน ปี ค.ศ.1931 พม่าสำรวจประชากรกะเหรี่ยง Sgaw มีจำนวน 500,000 คน กะเหรี่ยง Pwo 473,000 คน กะเหรี่ยง Pa-o 223,000 คน และกะเหรี่ยง Kayah 32,000 คน ในประเทศไทย ปี ค.ศ.1967 มีการสำรวจประชากรชาวเขาที่อาศัยอยู่ที่ความสูงตั้งแต่ 600 เมตรขึ้นไปใน 14 จังหวัดภาคเหนือ ด้วยการใช้วิธีสุ่มตัวอย่างคาดว่ามีกะเหรี่ยงจำนวน 123,380 คน คิดเป็นร้อยละ 44.8 ของประชากรชาวเขาทั้งหมดที่อาศัยอยู่สูงตั้งแต่ 600 เมตรขึ้นไป แต่สถิติจากโครงการควบคุมมาลาเรียของกรมอนามัยประมาณไว้ว่า จำนวนวกะเหรี่ยงทั้งหมดทางภาคเหนือมีประมาณ 200,000 คน และที่ไม่ได้อยู่ในภาคเหนือ 100,000 คน (หน้า 87-88)

Economy

กะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่บนภูเขาเป็นชาวไร่แบบโค่นถางต้นไม้แล้วเผา (slash-and-burn, swidden) ดำรงชีพด้วยการปลูกข้าวไร่ มีปลูกพืชอื่นเสริมเพื่อการบริโภคในท้องถิ่น เช่น พริก มันฝรั่งหวาน น้ำเต้า ข้าวโพด ฝ้าย เป็นต้น แต่ไม่มีจารีตปลูกฝิ่น การทำไร่ในลักษณะดังกล่าวทำให้กะเหรี่ยงบนเขาไม่สามารถใช้ไร่เดิมอย่างต่อเนื่อง แต่ได้พัฒนาระบบการปลูกพืชแบบหมุนเวียนเว้นช่วงเพาะปลูกเพื่อให้ที่ดินได้ฟื้นฟู สลับกับช่วงการเพาะปลูก ทำให้สามารถตั้งถิ่นฐานและเพาะปลูกในที่ดินได้ยาวนานกว่าชาวเขาอื่น ๆ ที่ทำไร่คล้ายกัน ส่วนกะเหรี่ยงพื้นราบ จะปลูกข้าวนาลุ่ม และปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ยาสูบ ผลไม้ที่เป็นที่นิยมและปลูกอ้อยเป็นรายได้เสริม นอกจากนี้ยังมีการทอผ้าและทำงานหัตถกรรมขาย กะเหรี่ยงบางคนเป็นเจ้าของช้าง ใช้ช้างเป็นพาหนะขนส่งและรับจ้างลากซุงบนที่สูง กะเหรี่ยงทั้งบนที่สูงและพื้นราบเป็นแรงงานรับจ้าง ใน บางครั้งเมื่อหมดภาระกิจการเพาะปลูกในไร่ กะเหรี่ยงเชี่ยวชาญในหารทำแร้ว บ่วง หลุมพราง และเครื่องดักสัตว์ และเป็นนักจับปลา (หน้า 93) แรงงาน ใช้สมาชิกในครัวเรือนเป็นแรงงานส่วนใหญ่ หากต้องการแรงงานจากภายนอก มักได้จากญาติผู้ชายที่ใกล้ชิด เช่นพี่น้องผู้ชายและเขย บางครั้งระหว่างเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวลูก ๆ ที่แต่งงานแล้วทั้งชายและหญิงอาจจะกลับมาร่วมเป็นแรงงานของครัวเรือน โดยทั่วไป การแลกเปลี่ยนแรงงานทุกกรณีตั้งอยู่บนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันอย่างเข้มงวด เช่น แรงงานรายวันต่อแรงงานรายวัน เป็นต้น (หน้า 90) พื้นที่ไร่ ที่ไม่ได้ทำการเพาะปลูกถูกควบคุมโดยชุมชน สมาชิกของหมู่บ้านเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้ทำไร่ในที่ใหม่ภายในอาณาเขตของหมู่บ้านได้ (หน้า 90)

Social Organization

ครัวเรือนเป็นหน่วยพื้นฐานทั้งทางการผลิตและการบริโภค สำหรับกะเหรี่ยง Pwo มักมีครอบครัวเดี่ยว ส่วนครอบครัวกะเหรี่ยง Sgaw จะประกอบด้วยสามี ภรรยา และลูกที่ยังไม่แต่งงานอยู่ร่วมกับลูกสาวที่แต่งงานแล้วพร้อมสามีและลูก ตามปกติหลังแต่งงานผู้ชายจะไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง (matrilocal) ครอบครัวเป็นครอบครัวขยาย สืบตระกูลทางฝ่ายแม่ และหมู่บ้านก็อยู่บนพื้นฐานครอบครัวขยายทางฝ่ายตระกูลแม่ แต่ในความเป็นจริง ขึ้นกับลักษณะผืนดินที่มีประสิทธิผลในการใช้งาน คู่หนุ่มสาวอาจอาศัยอยู่ในครอบครัวของสามีมากกว่าครอบครัวของภรรยาก็ได้ ครัวเรือนจะเป็นหน่วยใช้ที่ดิน และจัดพิธีกรรมหรือพิธีการที่สำคัญเพื่อบูชาวิญญาณของครอบครัว (bg ha) หญิงที่มีอายุมากที่สุดในตระกูลทางแม่เข้าร่วมในพิธีนี้ (หน้า 90-91) ส่วนกฎการสืบมรดกทั้งลูกชายและลูกสาวมีสิทธิ์เท่า ๆ กันในทรัพย์มรดก อย่างไรก็ตาม ลูกสาวที่อายุน้อยที่สุดจะได้ส่วนแบ่งมากกว่านิดหน่อย เพราะลูกสาวคนเล็กถูกคาดหวังว่าจะยังคงอยู่ที่บ้านและเป็นคนดูแลพ่อแม่ ส่วนลูกชายจะไปอยู่กับพ่อแม่ภรรยาอย่างน้อยที่สุด 2 ปีหลังแต่งงาน ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะย้ายออกไปตั้งครัวเรือนของตนเอง หรือพาภรรยากลับไปอยู่กับพ่อแม่ของตน (หน้า 91) ครัวเรือนส่วนใหญ่ที่อยู่ในหมู่บ้านสามารถสืบสายว่าร่วมในตระกูลเดียวกัน การจะเป็นสมาชิกในชุมชนต้องผ่านความเห็นชอบของหัวหน้าและผู้อาวุโสของชุมชน การตัดสินใจอนุญาตให้คนภายนอกเข้าร่วมในชุมชนขึ้นอยู่กับว่ามีที่ดินจะทำการเพาะปลูกหรือไม่ และจะเป็นที่ยอมรับหรือเปล่า อีกทางหนึ่งที่จะกลายเป็นสมาชิกได้ก็โดยการแต่งงานกับผู้หญิงที่สืบเชื้อสายมาจากหนึ่งในผู้ก่อตั้งชุมชน (หน้า 91) การแต่งงาน สังคมกะเหรี่ยงมีความมั่นคงในเรื่องการแต่งงาน การหย่าร้างเป็นเรื่องไม่ปกติ ไม่อนุญาตให้มีเมียหรือสามีหลายคน ไม่อนุญาตให้มีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน หากเกิดขึ้นและเรื่องเปิดเผย ทั้งสองจะแต่งงานกันและจะถูกปรับ การเป็นชู้จะถูกมองว่าล่วงเกินต่อผี จะทำให้เจ้าที่เจ้าทางโกรธ ต้องฆ่าสัตว์เซ่นไหว้เท่านั้นจึงจะทำให้หายโกรธได้ สุดท้าย ครัวเรือนที่เกี่ยวข้องอาจถูกกดดันให้ออกไปจากหมู่บ้าน มิเช่นนั้น ชุมชนทั้งหมดจะถูกสาปแช่งให้ประสบโชคร้าย (หน้า 91)

Political Organization

ผู้นำในหมู่บ้านกะเหรี่ยง อาจมีหัวหน้าหนึ่งคนและผู้นำศาสนาหนึ่งคนหรือมากกว่า หรือตัวหัวหน้าเองอาจเป็นผู้นำศาสนาของชุมชนด้วย ในกรณีนี้ ภารกิจของหัวหน้าจะรวมทั้งการประกอบพิธีต่าง ๆ ของหมู่บ้าน และการจัดการกับกรณีพิพาท อำนาจชอบธรรม (authority) ของหัวหน้าไม่ใช่อำนาจเบ็ดเสร็จ หัวหน้าต้องปฏิบัติตามการตัดสินของเสียงส่วนใหญ่ของที่ประชุมผู้อาวุโสของหมู่บ้าน โดยจารีตประเพณีแล้ว การอยู่ในตำแหน่งของหัวหน้าหมู่บ้าน อย่างน้อยที่สุดจะอยู่จนกระทั่งตราบเท่าที่เขายังเป็นผู้นำทางศาสนาของชุมชน ซึ่งเป็นการตกทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษในสายตระกูลผู้ชาย ในประเทศไทย เจ้าหน้าที่อำเภอเป็นผู้แต่งตั้งหัวหน้าที่เป็นทางการ (official headman) ของหมู่บ้านหรือกลุ่มหมู่บ้าน ซึ่งอาจเป็นคนเดียวกับหัวหน้าหมู่บ้านที่เป็นผู้นำทางศาสนาตามจารีตของหมู่บ้านหรือไม่ก็ได้ ? ในหมู่บ้านกะเหรี่ยง Pwo ไม่ค่อยมีใครต้องการจะเป็นหัวหน้าหมู่บ้านที่รัฐแต่งตั้ง เนื่องจากรู้สึกว่ามีแต่ตำแหน่งแต่ไม่มีอำนาจบารมีหรือความเคารพนับถือที่แท้จริง การเป็นหัวหน้าหมู่บ้านในกรณีนี้จึงเป็นภาระที่ยุ่งยาก (หน้า 91-92) ? กะเหรี่ยงติดต่อกับกลไกบริหารของท้องถิ่นผ่านทางหัวหน้าหมู่บ้านที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาล (หน้า 94)

Belief System

โดยพื้นฐานแล้ว กะเหรี่ยงเหมือนกับชาวเขาอื่น ๆ คือเป็นพวกนับถือผี (animist) เชื่อเรื่องผีหรือวิญญาณจำนวนมาก และมีแนวความคิดเรื่อง "ผู้มีอำนาจสูงสุด" (Supreme Being) "พระเจ้า" (Father God) และ "ผู้สร้างโลก" (Creator) "พระเจ้าผู้สร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ" (master creative deity) อย่างไรก็ตาม พระเจ้าไม่ได้มีบทบาทสำคัญในชีวิตปกติประจำวันของกะเหรี่ยง แต่ผีหรือวิญญาณ (spirits) เป็นสิ่งที่จะก่อให้เกิดอันตราย ต้องเซ่นไหว้ด้วยการฆ่าสัตว์เพื่อทำให้ผีหรือวิญญาณสงบ ผีที่สำคัญที่สุดคือผีของครอบครัว (Family Spirit - bgha) รองลงมาคือ พระภูมิเจ้าที่ (Spirit of the Area) และอันดับสามคือ เจ้าที่เจ้าทางที่เป็นเจ้าของแผ่นดินและทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนแผ่นดิน "Owner of the Land" - ผีของครอบครัว (bgha) ในความคิดร่วมกันของกะเหรี่ยงหมายถึงผีบรรพบุรุษที่ตายมานานแล้ว ช่วยปกป้องสมาชิกทุกคนในตระกูลที่สืบสายตระกูลทางฝ่ายผู้หญิง (matrilineage, matrilineal guardian spirit, ancestral spirits, the family Penates) หญิงที่มีอายุมากที่สุดเป็นผู้ประกอบพิธีเซ่นไหว้ และสมาชิกทุกคนของสายตระกูลทางแม่ (รวมถึงที่มาจากหมู่บ้านอื่นด้วย) จะต้องเข้าร่วมพิธีกรรมเลี้ยงผีครอบครัวหรือผีบรรพบุรุษ (bgha) บางครั้งอาจเซ่นไหว้ผีครอบครัวเมื่อสมาชิกในครอบครัวเกิดเจ็บป่วยหรือเกิดเคราะห์ร้าย โดยเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากการทำให้ผีครอบครัวโกรธเคือง หรืออาจประกอบพิธีเซ่นไหว้ผีครอบครัวปีละครั้ง เพื่อหลบหลีกความโชคไม่ดี - พระภูมิเจ้าที่ (the Spirit of the Area) และเจ้าที่เจ้าทาง (Owner of the Land) ในหมู่กะเหรี่ยง Pwo มีความสำคัญต่อพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการเพาะปลูกและพิธีอื่น ๆ ของหมู่บ้าน โดยมีหัวหน้าหมู่บ้านที่เป็นทั้งผู้นำการเมืองและศาสนาตามจารีตประเพณี รับผิดชอบการประกอบพิธี กะเหรี่ยงเชื่อเรื่องวิญญาณ (soul หรือ souls) ที่สามารถออกจากร่างกายมนุษย์ และเป็นสาเหตุของความเจ็บป่วยหรือความตาย กะเหรี่ยงเชื่อว่าวิญญาณประเภทนี้เป็นอมตะ เมื่อมนุษย์ตายวิญญาณแห่งชีวิต (vital souls) จะเดินทางสู่โลกหลังตาย วิญญาณในโลกหลังความตายสามารถตายในโลกหลังความตายได้ และเดินทางไปยังโลกหลังความตายอีกแห่งหนึ่ง แต่ในที่สุดแล้ว วิญญาณนี้จะไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์ ส่วนวิญญาณอื่นๆ (souls) อาจยังคงอยู่บนโลก แทนที่จะเดินทางไปยังโลกหลังความตาย กะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่บนพื้นราบจำนวนมากทั้งในพม่าและประเทศไทยนับถือพุทธศาสนา ส่วนศาสนาคริสต์ได้ดำเนินการเผยแพร่ศาสนาเข้าไปในหมู่กะเหรี่ยง Sgaw อย่างรวดเร็ว (หน้า 92)

Education and Socialization

หมอสอนศาสนาคริสต์ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนวิถีชีวิตกะเหรี่ยงจำนวนมากในพม่า และด้วยคัมภีร์คำสอนใหม่ (gospel) หมอสอนศาสนาคริสต์ทำให้กะเหรี่ยงได้เริ่มต้นการรู้หนังสือและการศึกษา สุดท้าย กะเหรี่ยงที่แต่เดิมชาวพม่าเรียกว่า "วัวภูเขา" (the cattle of the hills) สามารถเข้าเรียนถึงระดับมหาวิทยาลัยและมีตำแหน่งหน้าที่ในเมือง กลุ่มที่เป็นคริสต์ให้การสนับสนุนการพัฒนาจิตสำนึกในเชื้อชาติกะเหรี่ยง และหันมามุ่งทางการเมืองและนำไปสู่ความต้องการแยกออกเป็นรัฐกะเหรี่ยง (หน้า 90)

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ชายกะเหรี่ยง สวมกางเกงสามส่วนเป้าหย่อน แจ๊คเก้ตแบบหลวม ๆ ไม่มีแขนทรงสี่เหลี่ยม มีช่องเป็นรูปตัววีสำหรับสวมศีรษะและแขนสองข้าง ? หญิงกะเหรี่ยง ที่แต่งงานแล้วใส่แจ๊คเก้ตแบบเดียวกับของผู้ชายและนุ่งผ้าถุง โดยเสื้อตัวนอกเป็นผ้าทอเย็บปักลวดลายด้วยลูกปัดและไหมสีต่าง ๆ ส่วนเด็กสาวและหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานมีจุดแตกต่างตรงที่เสื้อตัวนอกเป็นสีขาวยาวถึงข้อเท้า เครื่องแต่งกายกะเหรี่ยงจะแตกต่างไปตามกลุ่มท้องถิ่น เช่น กะเหรี่ยงที่อยู่ในพื้นที่ราบต่าง ๆ จะไม่ใส่เครื่องแต่งกายตามจารีตประเพณี หันไปใส่เสื้อผ้าแบบพม่า แบบไทย หรือแบบฉาน (หน้า 88)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

กะเหรี่ยงมักจะตั้งหมู่บ้านโดดเดี่ยวจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ แต่ยังคงมีการติดต่อกับคนอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่บนที่สูง ตัวอย่างเช่น ในอำเภอแม่เสรียงมีการติดต่อกันระหว่างกะเหรี่ยงและเพื่อนบ้านลัวะ โดยข้อเท็จจริงกะเหรี่ยงและลัวะอาจจะอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน นอกจากลัวะแล้ว กะเหรี่ยงยังติดต่อกับม้งซึ่งพบในพื้นที่นั้น ในหมู่บ้านกะเหรี่ยง Mae Hto ผู้เขียนเห็นเด็กกะเหรี่ยงและ ม้งเรียนอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน พบควาญช้างกะเหรี่ยงใช้ช้างบรรทุกสินค้าไปขายม้ง สำหรับกะเหรี่ยงในเมือง กะเหรี่ยงและชาติพันธุ์กลุ่มอื่น ๆ มักจะอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิด กะเหรี่ยงบนที่สูงมีการติดต่อกับคนพื้นราบผ่านการค้าขาย กะเหรี่ยงไปตลาดพื้นราบ และพ่อค้าคนไทยก็ขึ้นไปที่หมู่บ้านกะเหรี่ยง นอกเหนือจากการค้ายังติดต่อกับกลไกบริหารของท้องถิ่นผ่านหัวหน้าหมู่บ้านที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาล และกิจกรรมของหมอสอนศาสนาคริสต์และปัจจุบันมีศาสนาพุทธด้วย ทำให้เกิดการติดต่อกับโลกภายนอก (หน้า 93-94)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

รูปภาพ : หลังหน้า 95 : 1. หมู่บ้านกะเหรี่ยง Sgaw (9a) 2. หมู่บ้านกะเหรี่ยง Pwo (9b) 3. หญิงกะเหรี่ยง Sgaw (10a) 4. ชายกะเหรี่ยง Pwo (10b) 5. เครื่องตำข้าวเปลือกหมู่บ้านกะเหรี่ยง Pwo (11a) 6. กะเหรี่ยง Pwo ฝัดข้าว (11b) 7. นาขั้นบันไดของกะเหรี่ยง (12a) 8. หญิงกะเหรี่ยง Sgaw กำจัดวัชพิชในนาข้าว (12b)

Text Analyst บุญสม ชีรวณิชย์กุล Date of Report 25 ก.ย. 2567
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), ประวัติ, วัฒนธรรม, เศรษฐกิจ, องค์กรสังคม, การเมือง, ศาสนา, ความเชื่อ, ภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง