|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,การเมือง,การปกครอง,น่าน |
Author |
โชคชัย สินศุภรัตน์ |
Title |
วัฒนธรรมทางการเมืองของชาวเขาเผ่าม้งในหมู่บ้านมณีพฤกษ์ จังหวัดน่าน |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Total Pages |
86 |
Year |
2543 |
Source |
หลักสูตรปริญญารัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการเมืองการปกครอง บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ชาวเขาเผ่าม้งในหมู่บ้านมณีพฤกษ์ ตำบลงอบ จังหวัดน่าน มีวัฒนธรรมการเมืองแบบผสมระหว่างแบบคับแคบและแบบไพร่ฟ้า
อีกทั้งยึดมั่นกับรูปแบบการปกครองและขนบประเพณีดั้งเดิม ซึ่งมีการยอมรับอำนาจรัฐ มีทัศนคติไปในทางที่ดีต่อการเมืองการปกครองไทย แต่มีความเข้าใจทางการเมืองและพฤติกรรมที่มีส่วนร่วมทางการเมืองต่ำ |
|
Focus |
ศึกษาวัฒนธรรมทางการเมือง ความรู้ความเข้าใจ ทัศนคติเกี่ยวกับระบอบการเมือง การปกครองไทยในปัจจุบัน และการมีส่วนร่วมของม้งในหมู่บ้านมณีพฤกษ์ ตำบลงอบ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน (วัตถุประสงค์ในการศึกษา หน้า 4) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้วิจัยเรียกชาติพันธุ์ที่ศึกษาว่า ชาวเขาเผ่าม้ง เป็นชนเผ่ากลุ่มเดียวกับเมี้ยวในประเทศจีน สันนิษฐานว่าเข้ามาสู่ประเทศไทยประมาณ 100 ปี โดยอยู่ในบริเวณที่ราบเชิงเขาในเขตจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ น่าน อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และกำแพงเพชร โดยมีจำนวนมากเป็นอันดับ 2 รองจากชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยง ม้งได้มีส่วนในการต่อสู้ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์
แห่งประเทศไทยกับรัฐบาลไทย รัฐบาลจึงมีนโยบายรวมกลุ่มชาวเขาให้อยู่เป็นหมู่บ้านมีหลักแหล่งแน่นอน สนับสนุนด้าน
อาชีพและสร้างความสัมพันธ์ให้ชาวเขารู้สึกเป็นคนไทยเพื่อการพัฒนาบ้านเมืองต่อไป
ม้งหมู่บ้านมณีพฤกษ์จัดเป็นกลุ่มม้งดำ ม้งน้ำเงิน หรือม้งจั๊วะ มีภาษาพูดและการแต่งกายแตกต่างกับม้งขาว หรือม้งเดอว (หน้า 1-3,37) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ชาวบ้านในชุมชนพูดภาษาม้งเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่มีภาษาเขียนเป็นของตนเอง (หน้า36,ตารางที่10 หน้า 47) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ชาวบ้านในชุมชนเคยเป็นผู้ที่เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งได้เข้ามอบตัวต่อทางราชการเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ตามคำสั่งที่ 66/2523 ของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยระยะแรกอยู่บริเวณบ้านกอก ตำบลพระธาตุ อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน ต่อมาในปี พ.ศ. 2526 ทางราชการได้ย้ายให้มาอยู่ในบริเวณบ้านฉงไผ่ โดยตั้งเป็นหมู่บ้านที่มีการปกครองอย่างเป็นทางการ ให้ชื่อหมู่บ้านว่า "บ้านมณีพฤกษ์" (หน้า 3) |
|
Settlement Pattern |
ลักษณะบ้านไม้เป็นบ้านชั้นเดียวปลูกติดกับพื้นดิน มีครัวอยู่ในบ้าน มีประตูเพียงประตูเดียวไม่มีหน้าต่าง ที่นอนภายในจะยกพื้นขึ้น แต่ในปัจจุบัน บ้านที่มีฐานะดีจะแยกครัวและห้องน้ำต่อเติมนอกบ้าน และปลูกเป็นบ้าน 2 ชั้น มีหน้าต่างประตู เนื่องจากพื้นที่อยู่อาศัยมีอย่างจำกัดจึงมีความหนาแน่นของบ้านในชุมชนมากขึ้น (หน้า 36,60) |
|
Demography |
ประชากรในหมู่บ้านในเดือนเมษายน - พฤษภาคม ปี พ.ศ. 2541 นับเฉพาะผู้อายุ 18 ปีขึ้นไปและได้รับสัญชาติไทย มีจำนวน 954 คน เพศชาย 502 คน เพศหญิง 452 คน จำนวน 102 หลังคาเรือน 170 ครอบครัว (หน้า39) มีประชากรที่ถือแซ่เดียวกันจำนวนมากจัดเป็น 3 แซ่คือ แซ่ท้าว แซ่ม้า และแซ่ย่าง มีผู้นำประจำแซ่ (หน้า40) |
|
Economy |
ทางการจำกัดที่ทำกินครอบครัวละ 10-15 ไร่ เนื่องจากภูมิอากาศเย็นจึงปลูกพืชไร่ เช่น ข้าวไร่ ข้าวโพดไม่ได้ผลนัก รายได้ทั้งหมดจึงมาจากการปลูกผัก ผลไม้เมืองหนาว เช่น ลูกท้อ ลูกไหน โดยเฉพาะกะหล่ำปลี ซึ่งปลูกกันมากแต่มีปัญหาเรื่องราคาตกต่ำไม่คุ้มทุน (หน้า 62) |
|
Social Organization |
สถาบันครอบครัวเป็นระบบครอบครัวใหญ่ จะให้ความสำคัญกับเพศชายซึ่งเป็นผู้นำครอบครัว จะสามารถมีภรรยาได้หลายคนหากเลี้ยงดูผู้หญิงได้ โดยสิทธิสตรีมีน้อยกว่าผู้ชายมาก มีประชากรที่ถือแซ่เดียวกันจำนวนมากจัดเป็น 3 แซ่คือ แซ่ท้าว แซ่ม้า และแซ่ย่าง มีผู้นำประจำแซ่ และมีการเคารพผู้อาวุโสเห็นได้จากประเพณีการไกล่เกลี่ยเป็นลำดับขั้นจากผู้เฒ่าประจำแซ่ กรรมการหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านและกำนัน โดยใช้หลักจารีตประเพณี เว้นแต่บุคลนั้นทำผิดหลายครั้งไม่หลาบจำก็จะแจ้งเจ้าหน้าที่บ้านเมือง (หน้า 36,40,60) |
|
Political Organization |
หมู่บ้านมณีพฤกษ์ จัดตั้งเมื่อปี พ.ศ.2526 มีการปกครองอย่างเป็นทางการประกอบด้วยผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปปกครองแบบเดียวกับการปกครองแบบท้องถิ่นอื่นๆ และมีการปกครองตัวเองโดยขนบธรรมเนียม ประเพณี และระบบอาวุโส โดยจะปลูกฝังให้เชื่อฟังผู้นำครอบครัว คือสามี และมีผู้นำในแต่ละแซ่ และกรรมการหมู่บ้านซึ่งประกอบด้วยคนจากหลายแซ่ร่วมกันตัดสินความและไกล่เกลี่ยภายในหมู่บ้าน ก่อนจะส่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยในหมู่บ้านมีแซ่ใหญ่ 3 แซ่คือ แซ่ท้าว แซ่ม้า และแซ่ย่าง มีแซ่เล็กๆ อีก 2 แซ่คือ แซ่โซ้ง 2 ครอบครัว และแซ่ลี 3 ครอบครัว
ในการปกครองระดับท้องถิ่น ผู้วิจัยพบว่าในการลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลในที่ประชุมหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านและผู้นำหมู่บ้านจะปรึกษาหารือในที่ประชุมเพื่อเสนอผู้ที่จะลงสมัคร เมื่อตกลงกันแล้ว ชาวบ้านจะลงเลือกผู้ที่ได้รับการเสนอ โดยไม่มีผู้สมัครเข้าแข่งขันหรือหาเสียงเพิ่มเติม (หน้า 3,60,75) |
|
Belief System |
ศาสนา - ส่วนมากคนในชุมชนจะนับถือผี โดยในหมู่บ้านไม่มีวัด โบสถ์คริสต์ หรือสุเหร่า แต่มีแนวโน้มได้รับอิทธิพลจากศาสนาคริสต์เนื่องจากผู้ใหญ่บ้านนับถือศาสนาคริสต์ (หน้า37)
ประเพณี
- ประเพณีการเลี้ยงผี - นับถือผีบรรพบุรุษและผีป่า โดยการถ่ายทอดจากสถาบันครอบครัว
- ประเพณีการผิดผี - เช่น การห้ามปลูกบ้านบังกัน ห้ามให้ศพคนตายผ่านบ้าน ปัจจุบันผ่อนคลายลงอย่างมากเนื่องจากพื้นที่อยู่อาศัยจำกัดต้องอยู่กันแบบหนาแน่น
- ประเพณีการไกล่เกลี่ยในชุมชน - มีการไกล่เกลี่ยเป็นลำดับขั้นจากผู้เฒ่าประจำแซ่,กรรมการหมู่บ้าน,ผู้ใหญ่บ้านและกำนัน โดยใช้หลักจารีตประเพณี เว้นแต่บุคลนั้นทำผิดหลายครั้งไม่หลาบจำก็จะแจ้งเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
ประเพณีงานศพ งานแต่งงาน และวันปีใหม่ - ยังถือปฎิบัติอย่างเคร่งครัด
(หน้า 59-60) |
|
Education and Socialization |
มีโรงเรียน 1 แห่งในหมู่บ้านสอนในระดับประถมศึกษาปีที่ 1-6 หากจะศึกษาต่อระดับมัธยมต้องลงมาเรียนในโรงเรียนพื้นราบที่ห่างจากหมู่บ้าน 15 กิโลเมตรซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการศึกษาต่อของประชาชน โดยประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปซึ่งเติบโตมาในช่วงที่มีการสู้รบกับทางราชการจะไม่มีการศึกษา จากการวิจัยพบว่าประชากรในกลุ่มตัวอย่างไม่ได้รับการศึกษามากที่สุด รองลงมาคือการศึกษาระดับประถมศึกษา, มัธยมศึกษาและปริญญาตรี ตามลำดับ และพบว่าเพศชายจะมีการศึกษาดีกว่าเพศหญิง ที่ส่วนมากเมื่อไม่จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก็จะแต่งงาน (หน้า 35,45) |
|
Health and Medicine |
ในหมู่บ้านมีสถานีอนามัย 1 แห่งซึ่งมีแต่เจ้าหน้าที่อนามัย ถ้าชาวบ้านเจ็บป่วยมากต้องส่งตัวไปที่โรงพยาบาลทุ่งช้าง โดยส่วนมากชาวบ้านจะรักษาร่วมกันทั้งทางวิทยาศาสตร์และความเชื่อแบบดั้งเดิมคือ รับประทานยาแผนปัจจุบันร่วมกับการให้หมอผีประจำหมู่บ้านรักษา และมีการเลี้ยงผีเมื่อหายเจ็บป่วย โดยมีหมอผีในหมู่บ้าน 5 คน (หน้า 36, 62-63) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
วัฒนธรรมการแต่งกายเดิมชายจะใส่กางเกง และหญิงใส่กระโปรงสีดำมีปกคอหลังขนาดใหญ่และมีลายปักดอกจากด้านขวาโค้งไปที่หน้าอกซ้าย ในชุมชนการแต่งกายยังมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองแม้จะเริ่มผ่อนคลายไปบ้างในปัจจุบันเพราะได้รับอิทธิพลจากสื่อต่างๆ และการติดต่อกับคนพื้นราบ วัยรุ่นแต่งกายแบบทันสมัยมากขึ้น หรือใส่ปนกัน โดยแต่ละคนจะมีชุดม้ง 1 ชุดไว้ใส่
ในงานปีใหม่หรืองานแต่งงานเท่านั้น ชาวบ้านให้เหตุผลว่าชุดประจำเผ่าซักล้างยาก ในปัจจุบันการตัดเย็บจากทำในครัวเรือนจะเปลี่ยนเป็นอุตสาหกรรมครัวเรือนเพื่อการจำหน่ายเป็นส่วนใหญ่ (หน้า 59-60, 75) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ม้งต้องการบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อจะได้มีสิทธิเท่าเทียมคนไทยและเพื่อความสะดวกสบาย เช่นการรักษาพยาบาล การเดินทางไปในที่ต่างๆ (หน้า75) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ชาวบ้านยังยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีและการประกอบพีธีกรรมต่างๆ อย่างเคร่งครัดโดยการหล่อหลอมจากครอบครัว เช่น การนับถือผู้นำครอบครัวเพศชาย การไกล่เกลี่ยในหมู่บ้านด้วยระบบอาวุโส การแต่งงาน งานศพ และวันขึ้นปีใหม่แต่พบว่ามีการผ่อนคลายในหลายเรื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่นการปลูกบ้านบังกัน การเคลื่อนย้ายศพผ่านบ้าน เนื่องจากความจำกัดของพื้นที่อยู่อาศัยทำให้มีความหนาแน่นของบ้านเรือนมากขึ้น และการแต่งกาย เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากสื่อ การติดต่อกับคนภายนอกมากขึ้น และการได้รับการศึกษามากขึ้นของคนรุ่นใหม่ (หน้า 59, 75) |
|
Map/Illustration |
ตาราง - ข้อมูลพื้นฐาน (หน้า 43-46)
วัฒนธรรมทางการเมือง (หน้า 11,14,25,47,49,51,53-55,57-58,)
ตารางสรุปผลสถิติ (หน้า66-67) |
|
|