|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาหู่,มูเซอแดง,ข่าวสาร,วีถีชีวิต,แม่ฮ่องสอน |
Author |
พัชรินทร์ ประสนธิ์ |
Title |
ความต้องการข่าวสาร เพื่อปรับปรุงวิถีชีวิตของชุมชนมูเซอแดง : กรณีศึกษา บ้านปางตอง ตำบลนาปู่ป้อม จังหวัดแม่ฮ่องสอน |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Total Pages |
101 |
Year |
2541 |
Source |
หลักสูตรปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ผู้วิจัยศึกษาขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมของชุมชนมูเซอแดง และผลการศึกษาการรับรู้ข้อมูลข่าวสารในชุมชน ได้แก่ แหล่งที่มา ความเข้าใจ ความน่าเชื่อถือ และตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับความต้องการข่าวสาร คือ อายุ ระดับฐานะ ระดับการพูดภาษาไทย การติดต่อกับเจ้าหน้าที่ การได้ฟังวิทยุ และการเดินทางเข้าเมือง และพบว่าในเพศที่ต่างกันจะมีความต้องการข่าวสารต่างกัน |
|
Focus |
ศึกษาขนบธรรมเนียมประเพณีและระบบเกษตรของชุมชนมูเซอแดง รวมทั้งความต้องการข่าวสารในการนำไปปรับปรุงวิถีชีวิต |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้วิจัยเรียกชาติพันธุ์ที่ศึกษาว่า เผ่ามูเซอแดง (ที่มาและความสำคัญของปัญหา หน้า 2) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาพูดคือภาษามูเซอและภาษาไทยใหญ่ ปัจจุบันใช้ภาษาไทย (ภาษาเมือง) เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ เข้ามาติดต่อมาก (หน้า 42) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้วิจัยได้อาศัยในหมู่บ้านในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม (หน้า 32,44) และบันทึกการสัมภาษณ์ เดือนพฤศจิกายน 2540 (หน้า34, 35, 37, 41, 42) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติของหมู่บ้านตามคำบอกเล่าของผู้อาวุโสในหมู่บ้าน มีการย้ายถิ่นจากแหล่งอื่น สาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของประชากร ทำให้มีปัญหาเรื่องพื้นที่การเกษตรไม่พอเพียง โดยแต่เดิมอาศัยอยู่ที่หัวน้ำของ ติดประเทศพม่า ได้ย้ายมาอยู่ที่คะปี่โหล (ตอนเหนือของหมู่บ้านปางบอนในปัจจุบัน) ในปี พ.ศ. 2518 ได้ย้ายถิ่นฐานอีกครั้งโดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มแรกคือชาวบ้าน ที่ย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านปางตองเก่าจำนวน 11 ครอบครัว และกลุ่มที่ 2 คือชาวบ้านที่ย้ายไปอยู่ที่หมู่บ้านผาแดงน้อย จำนวน 5 ครอบครัว ในปี พ.ศ. 2527 ชาวบ้านในกลุ่มแรกได้เพิ่มจำนวนเป็น 20 ครอบครัว จึงได้ย้ายมาอยู่ในพื้นที่ปัจจุบันรวมกับชาวบ้านที่มาจากกลุ่มที่ 2 เป็นหมู่บ้านปางตองใหม่ จนปี พ.ศ.2528 หมู่บ้านปางตองจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหมู่บ้านอย่างเป็นทางการ (หน้า14-15) |
|
Settlement Pattern |
มีครัวเรือนทั้งหมด 75 ครัวเรือน 60 ครัวเรือนสร้างบ้านอยู่ใกล้กันโดยไม่มีการกั้นบริเวณบ้านที่แน่นอน แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มของผู้มีฐานะดีซึ่งเป็นเครือญาติของผู้นำหมู่บ้านจะอยู่บริเวณส่วนหน้าของหมู่บ้าน ถัดมาในส่วนกลางหมู่บ้านจะเป็นกลุ่มที่มีฐานะปานกลาง และกลุ่มที่ยากจนจะอยู่ในส่วนลึกเข้าไปถึงท้ายหมู่บ้าน ลักษณะการปลูกสร้างจะมีทั้ง บ้านที่มุงหลังคากระเบื้องหรือสังกะสี มีฝาและพื้นไม้จำนวน 23 หลัง และบ้านส่วนใหญ่จะสร้างตามแบบของมูเซอ คือ หลังคาที่มุงด้วยหญ้าคาหรือใบลานภาษาชาวบ้านเรียกว่า "ต๊อกก่อ" ฝาและพื้นทำด้วยไม้ไผ่ มีส้วมราดน้ำที่ใช้ได้ 15 ครัวเรือน ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ แต่มีไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของโรงเรียน (หน้า15) มีสิ่งก่อสร้างสาธารณสถานและของบุคคลไว้บริการชุมชน (หน้า16) |
|
Demography |
จากการรวบรวมข้อมูลของสถาบันวิจัยชาวเขา (พ.ศ. 2540) พบว่ามีชาวเขาเผ่ามูเซอ 447 หมู่บ้าน 15,025 หลังคาเรือน คิดเป็นร้อยละ 11.02 ของชาวเขาในประเทศไทยทั้งหมด (หน้า21) โดยประชากรชุมชนมูเซอแดงบ้านปางตอง มีทั้งหมด 305 คน ชาย 169 คน หญิง 136 คน มีประชากรในวัยเด็กมากที่สุดคือ ช่วงอายุ 10-14 ปี จำนวน 53 คน คิดเป็นร้อยละ 17.4 (ตารางที่ 3 หน้า21) |
|
Economy |
เดิมชาวบ้านปางตองปลูกฝิ่นเป็นหลัก เก็บเกี่ยวในเดือนเมษายนเพื่อขายให้พ่อค้าไทยใหญ่และจีนฮ่อที่เดินทางมาซื้อในหมู่บ้าน มีการปลูกผักแซมในแปลง เช่น กระหล่ำ ผักกาด ผักชีเพื่อบริโภค รองลงมาคือการปลูกข้าวไร่ ข้าวโพด เพื่อบริโภค มีการนำเงินที่ได้จากการขายฝิ่นซื้อเครื่องใช้ต่างๆ เช่นเสื้อผ้า ปืน ทอง ฯลฯ ภายหลังได้มีหน่วยงานต่างๆ เข้ามาทำงานพัฒนา และมีการติดต่อกับสังคมภายนอกเริ่มเน้นการผลิตเพื่อรายได้ มีพืชเศรษฐกิจ ได้แก่ ข้าว ข้าวโพด ถั่วแปยี กระเทียม ถั่วแดง ถั่วแขก แครอท เผือก ขิง (ตารางที่ 6 หน้า 30 ) ข้าวที่ปลูกเพื่อบริโภคจะปลูกข้าวเจ้าเป็นหลัก มี 3 ชนิดคือ พันธุ์หนัก (ระยะเวลาปลูก-เก็บเกี่ยว 6 เดือน) พันธุ์กลาง (5 เดือน) พันธุ์เบา (3 เดือน) มีการปลูกข้าวเหนียวบ้าง ใช้พันธุ์หนักชนิดเดียว การปลูกมีกิจกรรมตลอดปี (ตารางที่7 หน้า 32 ) มีการเลี้ยงสัตว์เพื่อการค้า เช่น โค กระบือ สุกร และการหาผลผลิตจากป่ามาขาย เช่น การขายเปลือกต้นก่อ (หน้า 29-32) |
|
Social Organization |
การแต่งงาน - ผู้ใหญ่ของฝ่ายชายจะเป็นผู้สู่ขอกับผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงและจะจัดพิธีแต่งงานที่บ้านฝ่ายหญิงในตอนกลางคืนของวันนั้น โดยไม่มีการเรียกสินสอดทองหมั้น มีการฆ่าไก่ฝ่ายละ 3-4 ตัวเพื่อเลี้ยงญาติผู้ใหญ่ที่มาร่วมในงาน ปู่จองจะเป็นผู้ทำพิธีโดยจุดเทียนอวยพรให้คู่บ่าวสาวและผู้ข้อมือด้วยด้ายที่ผ่านการสวดพรแล้ว ภายหลังจากแต่งงานฝ่ายสามีต้องอยู่ช่วยงานฝ่ายภรรยา 1 ปี และพาภรรยามาช่วยงานที่บ้านอีก 1 ปีแล้วจึงแยกครอบครัวออกมา โดยฝ่ายสามีจะต้องเตรียม เสา ไม้ ให้พร้อม และผู้ชายในหมู่บ้านจะมาช่วยกันสร้างบ้านภายใน 1 วัน หลังจากนั้นฝ่ายสามีจะต้องสร้างบ้านต่อเองจนเสร็จ ด้วยความเชื่อที่ว่า ผู้ชายมูเซอถ้าจะแต่งงานต้องสามารถสร้างบ้านเองได้ (หน้า 27) โดยจะสร้างบ้านอยู่ในบริเวณหมู่ญาติกัน (หน้า15) |
|
Political Organization |
ฐานเดิมผู้นำในการปกครองคือผู้นำในการสร้างหมู่บ้าน และต่อมาจะคัดเลือกกันเองจากฐานความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติกับ ผู้นำอาวุโส โดยมีผู้นำทางศาสนาที่นับถือผี เรียกว่า "ปู่จอง" เป็นผู้นำในจารีตประเพณี พิธีการต่างๆ และเป็นที่นับถือของชาวบ้าน(หน้า 15,25) จนเมื่อได้ตั้งเป็นหมู่บ้านอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ.2528 ผู้นำหมู่บ้านจึงเป็นผู้ใหญ่บ้านและมีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและคณะกรรมการหมู่บ้านทำหน้าที่ติดต่อประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อรับนโยบายมาปฎิบัติและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่างๆ (หน้า 15) หน่วยงานที่เข้ามาเริ่มจากกรมประชาสงเคราะห์และโครงการพัฒนาที่สูงไทย-เยอรมัน จากนั้นคือกรมส่งเสริมการเกษตร กรมอนามัย กรมการศึกษานอกโรงเรียน กรมป่าไม้ และกรมพัฒนาที่ดิน เข้ามาดำเนินโครงการต่างๆ |
|
Belief System |
ศาสนา - นับถือผี เป็นศาสนาหลักมีผู้นำในการประกอบพิธีกรรม เรียกว่า "ปู่จอง" ซื่งต้องเป็นผู้ที่รักษาศีลบริสุทธิ์ทั้งกายใจ โดยในหมู่บ้านจะมีปู่จอง 2 คน ทำหน้าที่ติดต่อเทวราชสูงสุดของมูเซอคือ "หงื่อซา" และเทวราชีนีคือ "ไอมา" นอกจากการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ตามประเพณีแล้วยังเป็นผู้นำในการอบรมสั่งสอนและตัดสินปัญหาต่างๆของชุมชน - ศาสนาคริสต์ มีการนับถือ 2 ครัวเรือนโดยเป็นชาวบ้านที่ย้ายมาจากหมู่บ้านยาป่าแหนซึ่งมีญาติฝ่ายหญิงอยู่ที่บ้านป่าตอง โดยทุกวันอาทิตย์จะไปร่วมพิธีที่โบสถ์บ้านปางบอน พิธีกรรม - โดยทั่วไปคนในชุมชนได้ถือเอาวันศีล (แรม 14 - 15 ค่ำ และข้างขึ้น 15 ค่ำ) เป็นวันพักผ่อนอยู่บ้าน งดการตำข้าว งด การกินเนื้อสัตว์ ไม่ทำงานนอกหมู่บ้าน การเกิด - บ้านที่มีเด็กเกิดใหม่จะมี การป้องกันผีร้ายโดยใช้ "ตะแหลว" เป็นไม้ไผ่สานเป็นแผ่นแบน เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 20 เซนติเมตร ปักติดปลายไม้ไว้ที่บันได และห้ามคนแปลกหน้าขึ้นบ้าน โดยตะแหลว 1 อันใช้กับเด็กแรกเกิด 1 คนและเก็บรวมไว้ในบ้าน ฉลองปีใหม่มูเซอ - ไม่มีการกำหนดวันที่แน่นอน โดยจะเลือกช่วงต้นปีในเวลาที่คนในชุมชนเสร็จภารกิจจากการเก็บเกี่ยวแล้ว จะมีการฉลองโดยการฆ่าสุกรเพื่อนำหัวและเนื้อบูชาเทพเจ้าหงื่อซา และนำมาปรุงอาหารเลี้ยงกัน มีการทำ "ข้าวปุ้ก" คือข้าวเหนียวนึ่งตำใส่งา กินฉลองกันตลอดเทศกาล ประมาณ 7 วัน แยกเป็นปีใหม่หญิง 4 วัน ปีใหม่ชาย 3 วัน เนื่องจากในสมัยก่อนผู้ชายมูเซอต้องออกไปปฎิบัติภารกิจนอกหมู่บ้าน เช่น สงคราม ค้าขาย ล่าสัตว์ ทำให้กลับมาร่วมงานไม่ทัน สถานที่ประกอบงานปีใหม่คือลานกว้างในหมู่บ้านกลางวันจะมีการละเล่น เช่น การขว้างลูกข่างของผู้ชาย การเล่นสะบ้าของผู้หญิง การโยนลูกบอลที่ทำจากผ้าเย็บห่อแกลบหรือรำข้าว ร่วมกันของหนุ่มสาว มีการเต้นรำที่เรียกว่า "จะคึ" บรรเลงเพลงปีใหม่ตลอดกลางคืนจนถึงเช้า กินข้าวใหม่ - ไม่มีการกำหนดวันแน่นอนโดยเป็นการฉลองผลผลิตข้าวหลังการเก็บเกี่ยวข้าวใหม่ มักอยู่ในช่วงเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน ผู้นำทางศาสนาจะจุดเทียนขึ้ผึ้งสวดขอบคุณและขอพรต่อองค์เทพเจ้าหงื่อซา มีการฆ่าสุกรและไก่เพื่อปรุงอาหารฉลองแขกที่มาบ้านโดยแขกสามารถขึ้นไปรับประทานอาหารได้ทุกบ้าน และมีการร้องรำกันเป็นที่สนุกสนาน ทำบุญ - ในแต่ละครัวเรือนจะทำบุญให้คนในบ้านอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ถ้ามีการเจ็บป่วยต้องทำบุญอีกในปีนั้น โดยการหุงข้าวให้พอกับจำนวนคนในหมู่บ้านที่ได้บอกข่าวไว้ และปรุงอาหารโดยฆ่าสุกรนำมาต้มกับพริกและเกลือ แขกที่มาร่วมงานจะร่วมกินอาหารหรือนำกลับไปกินที่บ้านและเตรียมด้ายขาวมาผูกข้อมือคนในบ้านให้ครบ ถ้าเจ้าบ้านเตรียมอาหารไว้พอเพียงกับแขกหรือมีเหลือ คนในบ้านจะอยู่อย่างสงบสุขไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มูเซอเชื่อว่ามีความรู้ด้านตัวอักษรน้อยกว่าคนพื้นเมืองและคนในเมืองโดยเทวราชหงื่อซาเรียกบรรพบุรุษชนชนชาติต่างๆ เข้าเฝ้าเพื่อให้พรเกี่ยวกับตัวอักษรและวิทยาการ โดยเขียนลงบนกระดาษสา เมื่อบรรพบุรุษมูเซอเข้าเฝ้าเป็นคนสุดท้ายปรากฏว่ากระดาษหมด เทพเจ้าจึงเขียนลงในข้าวปุ้ก (ข้าวเหนียวตำใส่งา) เมื่อเดินทางกลับเกิดความหิวบรรพบุรุษมูเซอจึงเผลอกินข้าวปุ้กจนหมด ด้วยเหตุนี้จึงถือว่าความรู้ต่างๆ อยู่ในท้อง สามารถเรียนรู้ได้โดยไม่ต้องเรียน ความเชื่อนี้มีอิทธิพลต่อการศึกษาของเด็กทำให้มีเด็กมาเรียนที่โรงเรียนน้อย (หน้า25-29) |
|
Education and Socialization |
หมู่บ้านปางตอง มีโรงเรียนของหน่วยงานกรมการศึกษานอกโรงเรียน 1 แห่ง เปิดสอน 3 ระดับชั้นคือ ระดับอนุบาล ประถมศึกษาปีที่1 และประถมศึกษาปีที่ 2 นักเรียนจำนวน 46 คน คิดเป็นร้อยละ 15.2 ส่วนที่เรียนในระดับประถมศึกษาตอนปลายและในระดับมัธยม ไม่ได้เรียนที่หมู่บ้านแห่งนี้ ประชากรส่วนใหญ่ร้อยละ 59.0 ซึ่งอยู่ในกลุ่มของผู้ใหญ่ กลุ่มคนรุ่นเก่า ไม่ได้รับการศึกษา (หน้า 23) (ตารางที่ 4 หน้า 23, ตารางที่ 5 หน้า 24) |
|
Health and Medicine |
มูเซอแดงเชื่อว่าต้องมีการทำบุญให้กับคนในบ้านปีละ 1 ครั้งหรือมากกว่าถ้ามีคนเจ็บในบ้าน ถ้าเจ้าบ้านเตรียมอาหารไว้พอเพียงกับแขกหรือมีเหลือ คนในบ้านจะอยู่อย่างสงบสุขไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ (หน้า 28) โดยความเชื่อนี้ยังถือปฎิบัติอยู่แม้ว่าในปัจจุบัน จะมีการจัดตั้งศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชนในปี พ.ศ.2528 โดยมีอาสาสมัครสาธารณสุขมูลฐานชุมชน 5 คน ซึ่งมาจากผู้มีฐานะปานกลาง-รวย และมีกองทุนยาในหมู่บ้านซึ่งมาจากหุ้นของครัวเรือน 16 ครัวเรือนจัดจำหน่ายยาสามัญประจำบ้านรักษาโรคในเบื้องต้น ซึ่งถ้าป่วยหนักจะต้องเดินทางไปที่อนามัย และมีเจ้าหน้าที่จากศูนย์มาเลเรียออกมาตรวจในหมู่บ้านบ้าง (หน้า 37-38) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
มูเซอแดงมีการละเล่นในงานปีใหม่คือ การขว้างลูกข่างของผู้ชาย การเล่นสะบ้าของผู้หญิง การโยนลูกบอลที่ทำจากผ้าเย็บห่อแกลบหรือรำข้าว ร่วมกันของหนุ่มสาว มีการเต้นรำที่เรียกว่า "จะคึ" บรรเลงเพลงปีใหม่ตลอดกลางคืนจนถึงเช้า โดยจะทำการ ละเล่นต่างๆที่ลานกว้างของหมู่บ้าน (หน้า27) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ชุมชนบ้านปางตองได้รับผลกระทบจากการใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา ส่วนหนึ่งเกิดจากการพัฒนาที่มุ่งเน้นเศรษฐกิจและผสานให้ชาวเขากลายเป็นคนไทย โดยเปลี่ยนการเกษตรจากฝิ่นเป็นพืชเศรษฐกิจเพื่อขายเป็นเงินสด เพิ่มวัตถุและโครงสร้างพื้นฐาน เช่นโรงเรียน สถานีอนามัย ถนน เป็นผลให้เกิดช่องว่าระหว่างรายได้ระหว่างคนรวยกับคนจนมากขึ้น และเกิดความขัดแย้งในชุมชน เช่น การไม่ได้รับสัญชาติไทย การไม่มีกรรมสิทธิในที่ทำกิน ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลาย และปัญหาสังคมต่างๆ เช่น ยาเสพติด โสเภณี และปัญหาจากการหลั่งไหลเข้ามาของความเจริญจากหน่วยงานต่างๆ ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของมูเซอแดงเปลี่ยนไป เช่น เน้นผลิตมากขึ้นเพื่อหาเงินมาจับจ่ายมากขึ้น การบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น เหล้า เบียร์ การเปลี่ยนมาพูดภาษาไทยมากขึ้น การมีลูกน้อยลงในครอบครัว (หน้า 41-42) |
|
Other Issues |
ความต้องการข่าวสารของชาวบ้านในชุมชนจะแตกต่างกันตามเพศ คือ เพศชายจะต้องการข่าวสารด้านการประกอบอาชีพและสุขภาพ และให้ความเชื่อถือกับแหล่งข่าวมากกว่าเพศหญิง (บทคัดย่อหน้า จ) |
|
Map/Illustration |
แผนที่หมู่บ้านปางตอง (หน้า 20) รูปภาพบ้านมูเซอแดง (หน้า99-100) ตารางประชากรและครัวเรือน (หน้า19,21,45,46,47,49,51) ตารางการศึกษา (หน้า23,24,48) ตารางอาชีพ (หน้า30,32) ตารางการรับข้อมูลข่าวสาร(หน้า51,53,57,59,61,63,64,68,70,72,75) |
|
|