สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มลายูมุสลิม,จีน,การปฏิสัมพันธ์,ยะลา
Author แพร ศิริศักดิ์ดำเกิง
Title ปฎิสัมพันธ์ระหว่างมลายูมุสลิมและจีนในย่านสายกลาง จังหวัดยะลา
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
หอสมุด มหาวิทยาลัยศิลปากร
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 249 Year 2546
Source บัณฑิตวิทยาลัย สาขาวิชามานุษยวิทยา ภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
Abstract

จากการศึกษาปฎิสัมพันธ์ระหว่างมลายูมุสลิมและจีนในย่านสายกลาง เขตเทศบาลนครยะลาซึ่งทั้ง 2 กลุ่มจะพบปะสังสรรค์กันในพื้นที่ธุรกิจหรือย่านตลาด พบว่าทั้ง 2 กลุ่มมีกระบวนการให้ความหมายและสร้างตัวตนของกลุ่มเพื่อจำแนกกลุ่มของตนจากอีก กลุ่มอย่างชัดเจนโดยมีค่านิยมร่วมกันและมีกลไกปรับตัวและลดความขัดแย้งในการอาศัยร่วมกันโดยมลายูได้ปรับอัตตลักษณ์ ของคนในการอยู่ร่วมกับจีน

Focus

ปฎิสัมพันธ์และความสำนึกในชาติพันธุ์ระหว่างมลายูมุสลิมและจีนในย่านสายกลาง (ย่านการค้าในเขตเทศบาล) จังหวัดยะลา ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยภายในสังคม และการเปลี่ยนแปลงภายนอกที่เกิดจากการแสทุนนิยม (หน้า 5)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

มลายูมุสลิมและคนจีนในย่านสายกลาง (ย่านการค้าในเขตเทศบาล) จังหวัดยะลา โดยมลายูมุสลิม คือ คนที่นับถือศาสนา อิสลาม เชื้อสายมลายูซึ่งเป็นคนท้องถิ่นดั้งเดิม มักประกอบอาชีพเกษตรกรรมคือ สวนยางพาราและสวนผลไม้ มักอาศัย อยู่ในชนบทถึงร้อยละ 80 คนจีนคือ คนที่มีเชื้อสายจีน ทั้งที่อพยพมาจากเมืองจีนหรือคนจีนที่เกิดในเมืองไทย ในยะลามีประมาณ 3 รุ่นคือ รุ่นปู่ย่าตายายที่พูดภาษาจีนเป็นหลัก มักถูกเรียกว่า "คนจีน" และรุ่นลูกหลาน ที่ถูกเรียกว่า "ลูกจีน" มัก นับถือศาสนาพุทธ มีพิธีกรรมนับถือเทพเจ้าของคนจีน มีอำนาจทางเศรษฐกิจโดยประกอบอาชีพค้าขาย (หน้า 7-8)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารทั่วไประหว่างชาติพันธุ์ต่างๆ คือ ภาษาไทยภาคกลาง โดยมลายูมุสลิมส่วนใหญ่โดยเฉพาะ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไป ไม่สามารถพูดภาษาไทยท้องถิ่นได้ แต่จะใช้ภาษามลายูท้องถิ่นในการสื่อสารกันเองซึ่งจะมีสำเนียงแตกต่างกับภาษามลายูกลางหรือภาษามาเลย์ที่ใช้ในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ซึ่งคนมลายูในเขตเทศบาลส่วนใหญ่จะพูดภาษาไทยได้ชัดเจน แต่นอกเขตออกไปจะพูดไม่ชัดเจน - สำหรับภาษาไทยถิ่นใต้ จะใช้ในคนไทยส่วนใหญ่เนื่องจากมีภูมิลำเนาที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงมีหลายสำเนียง ปัจจุบัน หนุ่มสาวไทยและจีนในเขตเทศบาลเกือบครึ่งหนึ่งพูดภาษาใต้ไม่ได้ มักใช้ภาษาไทยภาคกลางแทน - สำหรับคนจีนมีการใช้ภาษาจีนที่แตกต่างกันออกไป แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่มีอายุมากกว่า 50 ปี สามารถใช้ภาษาจีนกลางเป็นหลักในการสื่อสารกับกลุ่มคนจีนด้วยกันและสามารถพูดภาษาจีนเฉพาะกลุ่ม เช่น กวางตุ้ง แต้จิ๋ว แคะ ไหหลำ และฮกเกี้ยนได้ ส่วนกลุ่มที่มีอายุน้อยกว่า 50 ปี มักจะฟังภาษาจีนได้แต่เวลาพูดจะใช้ภาษาไทยใต้ หรือไทยกลางแล้วแต่ความถนัด (หน้า45-46)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ในอดีต คนไทยมุสลิม คนจีน คนพื้นเมืองจะไม่เข้ามาอยู่ในเมืองแต่จะอยู่ตามชนบทโดยรวมกลุ่มกันอยู่ เมืองยะลาเริ่มสร้างในช่วงรัชกาลที่ 6 จากประวัติเทศบาลนครยะลาเกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อมีเส้นทางคมนาคมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางรถไฟ และการย้ายเมืองประมาณทศวรรษที่ 2460 ทำให้มีการจับจองที่ในเมือง ย่านตลาดแห่งแรกคือ ย่านสายกลางตั้งใกล้ทางรถไฟสันนิษฐานว่า ชื่อ "ย่านสายกลาง" เพราะเป็นศูนย์กลางการค้าของเมืองยะลา การตัดถนนช่วงแรกคือ ถนน "สิโรรส" และถนน "พิพิธภักดี" ในปี พ.ศ.2504 ซึ่งมีถนน "ยะลา" คั่นอยู่ตรงกลางในพื้นที่ย่านสายกลางจะเป็นที่สาธารณะในการพบปะกันอย่างไม่เป็นทางการของคนหลายเชื้อชาติ ตลาดขายของสดแห่งแรกคือ "ตลาดรัฐกิจ" หรือตลาดหน้าสถานีรถไฟ และถนนพังงา ซึ่งเป็นห้องแถวไม้รับซื้อขายยางพารา ขายของชำและของเบ็ดเตล็ด เจ้าของที่ดินจะเป็นเอกชนมลายูมุสลิมที่มีภูมิลำเนาเดิมจากปัตตานี คือ "พระรัฐกิจ" ซึ่งเชิญชวนให้คนตามหมู่บ้านต่างๆ จากหลายเชื้อชาติมาค้าขาย และเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านนิบง โดยคนที่เช่าแผงในตลาดจะเป็นคนจีน ซึ่งมลายูมุสลิมจะวางสินค้าอยู่รอบนอกของตลาดบนทางเท้า มีผู้จับจ่ายสินค้าเป็นคนไทยและคนจีนเกือบทั้งหมดเพราะตลาดแห่งนี้มีแผงขายหมู ภายหลังที่ดินมรดกได้ถูกขายแบ่งให้กับคนจีนบางคนเพื่อนำเงินไปใช้ในการลงเลือกตั้ง แต่ที่ดินส่วนใหญ่ยังเป็นของลูกหลานมุสลิม ตลาดที่คนมลายูนิยมไปคือตลาดเอกชนซึ่งเป็นตลาดนัดข้างทางรถไฟ ครั้งแรกเปิด 3 วันต่อ1 สัปดาห์ ต่อมากลายเป็นตลาดถาวร ชื่อว่า "ตลาดเสรี" ซึ่งคนไทยและคนจีนไม่นิยมมาซื้อของเนื่องจากมีความรู้สึกว่าสินค้าและตลาดสกปรกปี พ.ศ. 2540 ได้เลิกกิจการเนื่องจากพ่อค้าแม่ค้าไม่มีพื้นที่ค้าขาย ต่อมาได้เปิดตลาดเสรีแห่งใหม่ขนาดเล็กกว่าเดิมด้านเหนือของสถานีรถไฟแต่ไม่คึกคักเท่าตลาดเดิม ราวต้นทศวรรษที่ 2500 การรถไฟได้จัดสร้างตลาดรถไฟและเปิดประมูลที่ดินให้เอกชนสร้างตึกแถวเพื่อทำธุรกิจการค้า แต่ไม่มีพ่อค้าแม่ค้าไปขายของ ทางเทศบาลและการรถไฟจึงพยายามผลักดันให้คนขายของจากตลาดรัฐกิจไปจับจองแผงค้าขายจนมีความขัดแย้งกัน แต่สุดท้ายตลาดสดก็ได้ย้ายไปอยู่ที่ตั้งของตลาดรถไฟจนถึงปัจจุบัน ตลาดรถไฟจะสามารถแบ่งได้ 4 แผง แผงที่อยู่ใกล้ทางรถไฟมากที่สุดคือ แผง 4 เรียกว่า "ตลาดเนื้อ" โดยมุสลิมขายร้อยละ 95 และมีสินค้าอื่นๆ ยกเว้นเนื้อหมู ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นมุสลิม ส่วนแผงที่ 1,2,3 เป็นตลาดหมู คนขายส่วนใหญ่เป็นคนไทยและคนจีน ทางรถไฟในอดีตเหมือนกับเส้นแบ่งพื้นที่ระหว่างมลายูมุสลิมกับจีนและไทย โดยจีนที่อยู่ตลาดเก่าจะสามารถพูดภาษามลายูได้ รองลงมาคือจีนที่อยู่ใกล้ตลาดเก่าหรือตลาดรถไฟ ส่วนคนที่อยู่ไกลออกไปจะพูดได้น้อยมากหรือไม่ได้เลย แต่ในปัจจุบันทางรถไฟไม่เป็นเส้นแบ่งเขตอีกเนื่องจากคนมลายูมุสลิมได้ย้ายมาอยู่บริเวณฝั่งตลาดมากขึ้นปะปนกันกับจีน ปัจจุบันมีตลาดเทศบาลแห่งใหม่ เรียกว่า "ตลาดเมืองใหม่" เป็นตลาดผลไม้ที่เทศบาลพยายามผลักดันเป็นตลาดศูนย์กลางการซื้อขายของจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสงขลา มีขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดยะลาซึ่งจะคึกคักในช่วงเย็น ทำให้ตลาดสดช่วงเช้ามีความสำคัญต่อคนท้องถิ่นเหมือนเดิม เมื่อประมาณ 40 ปีก่อนมลายูมุสลิมประกอบกิจการค้าในย่านสายกลาง ร้อยละ 5 คือ 6 ร้านจากจำนวน 115 ร้าน แต่ในปัจจุบัน (พ.ศ.2546) คิดเป็นร้อยละ 26 คือ 28 ร้านจากจำนวน 106 ร้าน เริ่มจากในปี พ.ศ. 2520 เกิดไฟไหม้บริเวณถนนระนอง เผาไหม้บ้านส่วนใหญ่ในย่านสายกลางแต่ก็มีการสร้างบ้านตามแบบผังเมืองเดิม เจ้าของพื้นที่ซึ่งเป็นมุสลิมได้ฉวยโอกาสเปลี่ยนให้มุสลิมเช่าพื้นที่และเพิ่มมากขึ้นจนถึงปัจจุบันเกิดการแทนที่ร้านค้ามากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีการที่จ้างลูกจ้างมุสลิมมะฮและมุสลิมมีนมากขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (หน้า46-59)

Settlement Pattern

ย่านสายกลาง เป็นย่านธุรกิจในเทศบาลนครยะลามีถนนหลายสายได้แก่ ถนนรถไฟ ถนนยะลา ถนนพิพิธภักดี ถนนปราจิณ และถนนระนอง ประกอบด้วยบ้านเรือนที่เป็นอาคารพาณิชย์ขายสินค้าต่างๆ เช่น เสื้อผ้า เครื่องสำอาง รองเท้า เครื่องเขียน ทอง ฯลฯ (หน้า7) มีการแบ่งพื้นที่หลัก 4 พื้นที่คือ 1. เริ่มจากทางเหนือสุดของเทศบาลคือ "ตลาดเก่า" ซึ่งเป็นย่านของมุสลิมขนาดใหญ่ เป็นที่อยู่อาศัยโดยมีมัสยิด ตลาดอาหารและบริการ โรงเรียนทั้งระดับประถมและโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม และโรงงานขนาดย่อม 1-2 โรง มีร้านค้าของคนจีนจำนวนน้อย 2. ฝั่งใต้ของทางรถไฟ คือ "ตลาด" ประกอบด้วย ตลาดสด ยานสายกลาง ถนนพิพิธภักดี ซึ่งเป็นย่านธุรกิจการค้า เจ้าของร้านส่วนใหญ่เป็นคนจีน บางส่วนเป็นมุสลิม โดยมีมัสยิดขนาดเล็ก 1 แห่ง 3. "คุรุ" หรือย่านการศึกษา ที่นักเรียนและนักศึกษานิยมมาเช่าหอพักและบ้านในบริเวณนี้ มีร้านขายอาหารของคนไทยเป็นส่วนใหญ่โดยมีรถเข็นตั้งโต๊ะของมุสลิมเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน 4. พื้นที่ทางตอนใต้ เป็นสถานที่ราชการและบ้านพักของราชการ (หน้า44-45)

Demography

จำนวนประชากรในจังหวัดยะลาในเดือนกันยายนปี พ.ศ. 2546 มีจำนวน 465,617 คน เป็นชาย 232,929 คน หญิง 232,688 คน ประชากรในเทศบาลยะลาในเดือนตุลาคม ปี พ.ศ. 2546 มีจำนวน 76,415 คน เป็นชาย 37,608 คน เป็นหญิง 38,812 คน จาก 19,673 ครัวเรือน คิดเป็นประชากรต่อพื้นที่ 4,044 คน/ตารางกิโลเมตร โดยในเขตเทศบาลหรือย่านตลาดจะมีคนจีนและคนไทยอยู่มากกว่าในชนบทซึ่งจะเป็นมลายู (หน้า 29)

Economy

โครงสร้างทางเศรษฐกิจของจังหวัดยะลาจะขึ้นอยู่กับการเกษตรกรรมเพราะมีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นชนบท โดยมีพืชเศรษฐกิจที่สำคัญคือ ยางพารา, ทุเรียน, ลองกอง, และส้มโชกุน ส่วนในเทศบาลยะลาจะมีโครงสร้างทางเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับการพาณิชย์ การบริการ การคมนาคมขนส่ง การอุตสาหกรรม การเกษตร และการก่อสร้างเป็นหลัก ซึ่งมีพื้นที่ถือครองการเกษตรร้อยละ 3 ของพื้นที่ทั้งหมดและมีแนวโน้มลดลงจากกิจกรรมอื่นๆ (หน้า 33-35) ในอดีตเจ้าของร้านในย่านสายกลางมักเดินทางไปซื้อสินค้าจากประเทศมาเลเซียหรือสิงค์โปร์นำไปส่งให้ชุมชนและซื้อสินค้าของชุมชนเช่นพืชผัก หัตถกรรมชุมชนและของป่ากลับมาขาย (หน้า148) ซึ่งในเขตเทศบาลมีโอกาสในการพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจเพื่อเป็นตลาดกลางผลไม้ของ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (หน้า 33-35) เดิมการค้าจะอยู่ในกลุ่มคนจีนโดยมีคนมลายูเป็นเจ้าของพื้นที่ แต่ปัจจุบันมีคนมลายูประกอบอาชีพค้าขายมากขึ้นจากการที่ได้ติดต่อค้าขายกับคนจีน และการศึกษาที่มากขึ้น (หน้า 157) โดยตั้งเป็นชมรมธุรกิจการค้ามุสลิมจังหวัดยะลาในปีพ.ศ. 2543 แต่ปิดตัวลงเนื่องจากอุปสรรคในการดำเนินการเมื่อปี พ.ศ. 2546 (หน้า 164)

Social Organization

เทศบาลยะลาประกอบไปด้วย 18 ชุมชน คือ ชุมชนหลังวัดเมืองยะลา ชุมชนวัดเวฬุวัน ชุมชนหัวสะพานเต็ง ชุมชนหลังวัดยะลาธรรมาราม ชุมชนหลังโรงเรียนเทศบาล 5 ชุมชนจารูพัฒนา ชุมชนบ้านตลาดเก่าซอย 8 ชุมชนประชานุกูล ชุมชนคุปตาสา ชุมชนมุสลิมสัมพันธ์ ชุมชนร่วมใจพัฒนา ชุมชนห้าแยกกำปงโงย ชุมชนบ้านจารุนอก ชุมชนเมืองทอง (ฝั่งธน) ชุมชนสันติสุข ชุมชนคูหามุข ชุมชนสามัคคี และชุมชนหลังโรงเรียนจีน (หน้า31) - สังคมของคนมุสลิม - แบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มเจ้าของร้าน,กลุ่มลูกจ้างในร้านค้า, กลุ่มลูกค้า - โครงสร้างทางสังคมแบ่งออกเป็นความสัมพันธ์ของคนมุสลิมด้วยกันและความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติ ความสัมพันธ์ของคนมุสลิมด้วยกัน ลักษณะเด่นคือมีความรักต่อเพื่อนฝูงและพี่น้องร่วมศาสนา ทำให้เกิดการรักพวกพ้องสูง โดยมีมัสยิดเป็นศูนย์กลางชุมชน ความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติ สำคัญในการควบคุมกฎเกณฑ์ในสังคมโดยจะนับญาติทั้ง 2 ฝ่ายทั้งพ่อและแม่ ซึ่งจะแตกแขนงจากบรรพบุรุษ 3 คนที่บุกเบิกซื้อที่ดินในย่านสายกลาง และกระจายอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีการจัดงานพบปะสังสรรค์กันอยู่บ่อยครั้ง - สังคมของคนจีน - มีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยวโดยลูกผู้หญิงเมื่อแต่งงานจะไปอยู่บ้านสามี ซึ่งลูกที่จะได้รับมรดกร้านค้าคือลูกชายคนโต ส่วนลูกที่ไม่ได้แต่งงานจะอยู่กับพ่อแม่และพี่น้องที่ได้รับมรดกร้านต่อไป ปัจจุบันลูกหลานคนจีนจะแยกไปทำงานที่อื่น ซึ่งหลายร้านมีแนวโน้มจะปิดตัวลงเนื่องจากไม่มีลูกหลานสืบทอด - โครงสร้างทางอาชีพของคนจีน ประกอบด้วย 1. จีนฮกเกี้ยนเป็นกลุ่มแรกที่เข้ามาในเมืองยะลา และมีจำนวนมากที่สุด โดยเข้ามาทำเหมืองแร่ดีบุก และต่อมาได้ ทำการค้ายางพารา 2. จีนแต้จิ๋วเข้ามาภายหลัง ย้ายมาจากกรุงเทพหรือเพชรบุรีเพื่อค้าขายของชำเบ็ดเตล็ด 3. จีนไหหลำ เป็นเจ้าของโรงแรม ร้านกาแฟและร้านทอง 4. จีนกวางตุ้งเป็นช่างทุกประเภท 5. จีนแคะ รับจ้างทั่วไป และบางส่วนเป็นเจ้าของร้านวัสดุก่อสร้าง สมาคมแซ่ มูลนิธิและศาลเจ้า - เป็นองค์กรสังคมที่เกิดจากการรวมตัวของคนชาติพันธุ์เดียวกันเพื่อช่วยเหลือกันในด้านสืบทอดวัฒนธรรมต่างๆ อีกทั้งสร้างอำนาจต่อรองทางการเมืองและสังคม เพื่อให้ได้มีพื้นที่แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเพื่อช่วยเหลือกัน ในจังหวัดยะลามีการรวมตัวเป็นสมาคมภาษาเมื่อ 20 ปีก่อน ต่อมาได้ล้มเลิกไปหมดและตั้งใหม่ สมาคมคือ สมาคมปั้วซัวแคะ และสมาคมเตียอาน - สมาคมแซ่เป็นองค์กรที่มีการจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายเกิดขึ้นในบริบทของการปราบปรามการแพร่หลายของคอมมิวนิสต์โดยรัฐบาลไทย ซึ่งมีการจับกุมคนจีนในข้อหาคอมมินิสต์และเนรเทศออกนอกประเทศไทยเป็นแรงกดดันทำให้คนจีนในยะลารวมตัวกันเพื่อสร้างความเข้มแข็ง ในตอนแรกมีเพียงสมาคมจงหัว (ภาษาจีนกลาง) กงฮุ้ย (ภาษาจีนแต้จิ๋ว) ต่อมาคนจีนมากขึ้นได้แตกเป็นสมาคมแซ่ต่างๆ เรียงจากสมาชิกมากไปน้อยคือ สมาคมแซ่ตั้ง, แซ่อึ้ง, แซ่ลิ้ม, แซ่โง้ว, แซ่เจ็ง-หลอ-ไล่ กิจกรรมคือพบปะสังสรรค์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง มีการบริจาคเงินเข้าสมาคมในรูปแบบต่างๆ เพื่อช่วยเหลือสมาชิกเช่นทำบุญงานศพ การศึกษาของลูกหลานสมาชิก - มูลนิธิศาลเจ้าที่จีนนับถือเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจมี 4 แห่งใหญ่คือ 1. ศาลเจ้าแม่ลิ้มก่อเหนี่ยว (มูลนิธิฉือเซียงตั้ง) 2. ศาลเจ้าแม่ทับทิม ยะลา (มูลนิธิบ๋วยเต็งเนี่ยง) 3. ศาลเจ้าแม่กวนอิม 4. ศาลเจ้าแม่โพธิสัตว์ (มูลนิธิพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรยะลา) ศาลเจ้าต่างๆ เหล่านี้เป็นศูนย์รวมของคนจีนภาษาเดียวกันให้ได้รู้จักพบปะกัน และช่วยเหลือผู้ยากไร้กว่าซึ่งอาจเป็นคนเชื้อชาติอื่นๆ เช่นคนไทย คนมลายูมุสลิม โดยงานประจำปีจะเปิดโอกาสให้คนจีนภาษาอื่นๆ เข้ามาสักการะบูชาได้ และในช่วงวิกฤตที่แตกต่างกัน จะมีการสักการะเทพเจ้าที่มีความศักดิ์สิทธิ์เฉพาะทาง - โรงเรียนจีน - เป็นเครื่องมือหนึ่งในการช่วยธำรงรักษาความเป็นจีนทางภาษาและวัฒนธรรมต่างๆ (หน้า 95-126)

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

ศาสนา - จากการสำรวจ ปี พ.ศ. 2546 ในจังหวัดยะลามีผู้นับถือศาสนาอิสลามร้อยละ 76.59 ศาสนาพุทธ ร้อยละ 22.74 และศาสนาอื่นๆ ร้อยละ 0.67 ในเขตเทศบาลยะลามีผู้นับถือศาสนาพุทธร้อยละ 55 ศาสนาอิสลาม ร้อยละ 43 และศาสนาอื่นๆ เช่น คริสต์และซิกข์ ร้อยละ 2 โดยมุสลิมจะอาศัยอยู่ในเขตชนบทมากกว่า (หน้า 29) - มาลายูมุสลิมนับถือศาสนาอิสลาม เป็นหลักความเชื่อครอบคลุมวิถีชีวิตในระดับปัจเจก ครอบครัว การเมือง สังคม และเศรษฐกิจ ซึ่งรวมไปถึงหลักในการประกอบอาชีพอย่างสุจริตเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการดำรงชีพ (หน้า 158-164) และมีพิธีกรรมตามหลักศาสนาในวันสำคัญต่างๆ ที่เป็นกิจกรรมในรอบปีและพิธีกรรมต่าง ๆ ในช่วงชีวิต โดยสิ่งที่ต้องทำสม่ำเสมอคือการละหมาดประจำวันและการละหมาดที่มัสยิดในวันศุกร์ (หน้า 201-202) - คนจีนในยะลานับถือและมีความเชื่อในพุทธศาสนานิกายเถรวาทและมหายาน ผสมกับความเชื่อการบูชาบรรพบุรุษ ความเชื่อ ในลัทธิขงจื้อและการนับถือเทพเจ้าต่าง ๆ โดยเฉพาะเจ้าแม่ลิ้มก่อเหนี่ยวซึ่งไม่เป็นเพียงเทพเจ้า แต่เป็นบรรพบุรุษคนหนึ่งของจีนในจังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาสอีกด้วย พิธีกรรมที่สำคัญ ในแต่ละปีจะมีเทศกาลไหว้เจ้าหลัก ๆ 8 ครั้ง โดยไหว้เทพเจ้าหรือไหว้เจ้าคือ ไหว้บรรพบุรุษ ไหว้ผีไม่มีญาติ ไหว้ขุนนาง ไหว้พระจันทร์ โดยขึ้นอยู่กับความสมัครใจของแต่ละครอบครัวโดยอย่างน้อยต้องไหว้เจ้าและบรรพบุรุษในวันสำคัญ 3 วันคือ วันตรุษจีน วันเช้งเม้ง วันสารทจีน (หน้า 107) - มูลนิธิศาลเจ้าที่จีนนับถือเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจมี 4 แห่งใหญ่คือ 1. ศาลเจ้าแม่ลิ้มก่อเหนี่ยว (มูลนิะฉือเซียงตั้ง) 2. ศาลเจ้าแม่ทับทิม ยะลา (มูลนิธิบ๋วยเต็งเนี่ยง) 3. ศาลเจ้าแม่กวนอิม 4. ศาลเจ้าแม่โพธิสัตว์ (มูลนิธิพระโพะสัตว์อวโลกิเตศวรยะลา) โดยจะมีกิจกรรมและประเพณีต่างๆ แตกต่างกันไปในแต่ละศาลเจ้า(หน้า 126) การไหว้เจ้าที่ของจีนมีพื้นฐานความเชื่อว่าในการทำการค้าจะต้องไหว้เจ้าและบรรพบุรุษอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ส่งผลดีต่อกิจการของตนเอง โดยมี "ตี่จู่เอี๊ย" หรือเจ้าที่ซึ่งมีลักษณะเป็นบ้านหลังเล็กทาด้วยสีแดงทั้งหลัง ตั้งไว้ใกล้พื้นประตูชั้นใน เจ้าของบ้าน จะเซ่นไหว้ด้วยอาหารและผลไม้ตามวาระโอกาส โดยการตั้งเจ้าที่นี้ต้องมีซินแส หรือผู้ที่มีความรู้และเชี่ยวชาญทางด้านเทพเจ้าและฮวงจุ้ยหรือคนทรงเจ้า เป็นที่ปรึกษา โดยจีนในยะลาจะเชื่อว่ามี "เจ้าที่แขก" หรือเจ้าที่มีเชื้อสายที่ต้องเซ่นไหว้ด้วยอาหารที่ไม่มีเนื้อหมู โดยนิยมไหว้ ด้วยผลไม้และดอกไม้ (หน้า 153)

Education and Socialization

คนมลายูมุสลิมนิยมส่งลูกไปเรียนระดับประถมในโรงเรียนของรัฐและเอกชน และส่งไปเรียนอัลกุรอานที่มัสยิดในย่านตลาดเก่าหรือบ้านโต๊ะครูในเวลากลางคืนของวันธรรมดา ส่วนในเวลากลางวันหรือวันเสาร์อาทิตย์จะสอนหลักศาสนา เมื่อเรียนมัธยมจะส่งไปเรียนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามสำหรับนักเรียนชาย หรือโรงเรียนสำหรับนักเรียนหญิง ทั้งสองโรงเรียนเป็นโรงเรียนของญาติของกลุ่มเครือญาติในย่านสายกลาง (หน้า97-98) คนจีนจะมีโรงเรียนจีนเป็นเครื่องมือหนึ่งในการช่วยธำรงรักษาความเป็นจีนทางภาษาและวัฒนธรรมต่าง ๆ ของจีนในทุกภาษาและให้โอกาสทางการศึกษาโดยทั่วไป เช่น มูลนิธิยะลาบำรุงประชาซึ่งมีโรงเรียนจีน 4 แห่ง ซึ่งแต่เดิมนักเรียนเป็นลูกหลานคนจีนและข้าราชการต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีอัตราส่วนของนักเรียนมลายูมุสลิมมากขึ้น เนื่องจากมีชื่อเสียงว่าเป็นโรงเรียนมีคุณภาพและพ่อแม่มุสลิมเปลี่ยนทัศนคติจากไม่อยากให้ลูกหลานเรียนเนื่องจากกลัวว่า "ลูกหลานจะกลายเป็นไทย" เป็นต้องการให้เรียนเพื่อมีโอกาสเรียนต่อในโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามในระดับมัธยมศึกษาต่อไป นอกจากนี้โรงเรียนจีนไม่มีการสอบคัดเลือกเหมือนโรงเรียนของรัฐบาลทั่วไป ค่าใช้จ่ายก็ไม่สูง (เนื่องจากมีมูลนิธิฯ ช่วยสนับสนุนโรงเรียน) และยังอนุโลมให้นักเรียนหญิงแต่งกายตามหลักศาสนาได้ แตกต่างกับโรงเรียนเอกชนศาสนาคริสต์ หรือโรงเรียนเอกชนอื่น ๆ ที่มีค่าใช้จ่ายสูง ในอดีตโรงเรียนในระดับมัธยม มีโรงเรียนชายล้วนและโรงเรียนหญิงล้วน คือโรงเรียนคณะราษฎร์บำรุงจังหวัดยะลาและโรงเรียนสตรียะลา อย่างละ 1 โรง และมีโรงเรียนผดุงประชาเป็นโรงเรียนสหศึกษา ส่วนใหญ่นักเรียนเชื้อสายจีนจะเรียนเพียงระดับมัธยมศึกษาตอนต้นก่อนออกไปประกอบอาชีพ ภายหลังในปี พ.ศ. 2506 ได้เปลี่ยนระบบเป็นโรงเรียนสหศึกษา ทำให้นักเรียนส่วนมากต้องการเรียนที่โรงเรียนคณะราษฎร์บำรุงฯ เพราะมีชื่อเสียงในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมากกว่า และมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่โรงเรียนคณะราษฎร์บำรุงฯ มีนักเรียนมลายูมุสลิมมาก แต่ปัจจุบันไปเรียนในโรงเรียนธรรมที่แยกชายหญิงของศาสนา อิสลามมากขึ้น (หน้า126-131)

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกายของมลายูมุสลิม ผู้หญิงจะแต่งกายมิดชิด คลุมผมด้วย "ฮิญาป" ให้ผู้อื่นเห็นเพียงใบหน้าและฝ่ามือเวลาอยู่บ้านจะใส่เสื้อแขยาวและผ้าถุงที่เรียกว่า "ผ้าปาเต๊ะ" เมื่อออกไปทำงานจะใส่เสื้อชุดกระโปรงยาวที่นิยมมี 2 แบบคือ "ชุดบานง" เป็นชุดเสื้อ-กระโปรง ตัวเสื้อเข้ารูปยาวผ่าหน้าติดกระดุมหรือเข็มกลัด และ "ชุดกูรง" เป็นชุดเสื้อ-กระโปรง ตัวเสื้อผ่าหน้าลงมาระดับอก ผู้สูงอายุมักใส่เสื้อแขนยาวเหนือเสื้อผ้าลูกไม้กับผ้าปาเต๊ะ โดยหญิงจีนในท้องถิ่นอายุ 70 ปีขึ้นไปก็นิยมใส่เช่นกัน ผู้ชายมุสลิมต้องแต่งกายเรียบร้อย สวมเสื้อผ้าตั้งแต่เข่าลงมา โดยทั้งชายหญิงจะมีบทบัญญัติทางศาสนาที่เคร่งครัด ตรวจสอบโดยกลไกทางสังคม (หน้า200)

Folklore

ตำนานเจ้าแม่ลิ้มก่อเหนี่ยว - เป็นที่มาของศาสนสถานที่สำคัญ 3 แห่งคือ มัสยิดกรือแซะ สุสานและศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เป็นตำนานของความสัมพันธ์ของจีนและมลายูเชื้อสายกรือแซะ ตำนานจะมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันเล็กน้อย โดยมีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่สรุปว่าลิ้มโต๊ะเคี่ยมมาถึงเมืองปัตตานีได้เข้าทำงานกับเจ้าเมืองปัตตานี สมรสกับธิดาของเจ้าเมืองและเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามและตั้งรกรากอยู่ที่จังหวัดปัตตานี ได้ช่วยก่อสร้างมัสยิดและปืนใหญ่ ทางเมืองจีนแม่ของลิ้มโต๊ะเคี่ยมล้มป่วยลง น้องสาวคือ ลิ้มก่อเหนี่ยวจึงอาสามาตามพี่ชายถึงเมืองปัตตานีแต่พี่ชายไม่ยอมกลับไปเนื่องจากกำลังสร้างมัสยิดกรือแซะอยู่ ลิ้มก่อเหนี่ยวเสียใจมากจึงผูกคอตายใต้ต้นมะม่วงหิมพานต์ (ภายหลังนำมาแกะสลักเป็นรูปเคารพเจ้าแม่ลิ้มก่อเหนี่ยวในเศาลเจ้าเล่งจูเกียง) ก่อนตายได้สาปแช่งไม่ให้สร้างมัสยิดได้สำเร็จ หากมีการก่อสร้างต่อเติมครั้งใดก็จะมีปรากฎการณ์ธรรมชาติฟ้าผ่าลงมาทุกครั้ง ส่วนลิ้มโต๊ะเคี่ยมเสียชีวิตจากการทดลองปืนใหญ่ แต่เนื่องจากตำนานคำสาปแช่งทำให้เกิดความไม่พอใจในกลุ่มมุสลิม ส่วนมีตำนานที่เป็นลายลักษณ์อักษรอีกฉบับไม่ปรากฎมีเรื่องราวคำสาปแช่งแต่อย่างใด (หน้า171-173)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

คนในเทศบาลยะลา จะมี 3 กลุ่มคือ มลายูมุสลิม จีนและไทย ซึ่งหากแบ่งตามเกณฑ์ทั่วไปแล้วมลายูมุสลิมจะจัดอยู่ระดับล่างของระดับชั้นทางสังคม โดยมี คนจีนอยู่ในระดับสูงสุดเพราะมีฐานะทางเศรษฐกิจและพยายามให้ลูกหลานเรียนสูง ในส่วนของคนไทยที่รับราชการจะมีการศึกษาสูงไม่แบ่งแยกกับคนจีนชัดนัก แต่คนไทยในชนบทซึ่งเป็นคนดั้งเดิมจะอยู่ระดับเดียวกับมุสลิม ส่วนในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันจะมีการแบ่งกลุ่มย่อยออกไป คือ ในกลุ่มมุสลิมที่เคร่งครัดในประเพณีจะแบ่งระดับชั้นตามสถานภาพทางสังคมที่สืบมาตามเชื้อสาย แต่ปัจจุบันเปลี่ยนมาใช้เกณฑ์ความสำเร็จ กล่าวคือ การศึกษาและฐานะทางเศรษฐกิจ ส่วนคนจีนจะพิจารณาฐานะจากเศรษฐกิจเป็นสำคัญ และคนไทยให้ความสำคัญกับนามสกุล การศึกษา และการรับราชการ จากการวิจัยผู้วิจัยได้อธิบายการแบ่งระดับชั้นของมลายูมุสลิมและจีน ดังนี้ การแบ่งระดับชั้นของมลายูมุสลิม มีเกณฑ์จำแนกระดับชั้นตามความรู้ความเชี่ยวชาญทางศาสนา ผู้นำที่มีบทบาทคือ - โต๊ะอิหม่าม (ผู้นำการละหมาดรวมทีมัสยิด) - โต๊ะครู (ผู้ทรงความรู้ด้านศาสนาและเจ้าของปอเนาะ-โรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม) - อุสตัช (ครูสอนศาสนาอิสลาม) ปัจจุบันการจัดชั้นในสังคมจะเน้นให้ความสำคัญกับการศึกษาและฐานะทางเศรษฐกิจมากขึ้น โดยมุสลิมที่เป็นเจ้าของร้านค้าในตลาดเมืองยะลาจะเป็นกลุ่มคนที่มีระดับสูงของสังคมซึ่งนิยมให้ลูกหลานเรียนสูง ๆ โดยมีการแบ่งระดับชั้นตามแหล่งที่อยู่อาศัยเช่น มุสลิมในตลาดสายกลางจะมีมุมมองว่ามุสลิมในตลาดเก่าและกำปง (หมู่บ้าน) อยู่ต่างระดับชั้นกัน การแบ่งระดับชั้นของคนจีน - มักให้คุณค่ากับฐานะทางเศรษฐกิจมากกว่าศาสนาและความเชื่อ คนจีนในยะลาเกือบทั้งหมดจะอยู่ในย่านการค้าโดยอาจมีบางส่วนที่รับราชการหรือทำงานเอกชน และส่วนน้อยที่ทำอาชีพเกษตร กลุ่มที่อยู่ในระดับสูงจะเป็นนักธุรกิจที่มีฐานะ แบ่งลงมาเรื่อย ๆ ตามขนาดและความมั่งคั่ง (หน้า131-135) ปฎิสัมพันธ์ของมลายูมุสลิมและคนจีนในย่านสายกลาง - มีปฎิสัมพันธ์อย่างยาวนานโดยมีวิวัฒนาการร่วมกันส่งผลต่อการสร้างสำนึกทางชาติพันธุ์ของทั้ง 2 กลุ่ม ซึ่งปรับเปลี่ยนไปตามรูปแบบและลักษณะการปฎิสัมพันธ์ของคนกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เฉพาะในแต่ละพื้นที่อีกด้วย โดยแนวทางในการผูกสัมพันธ์กับคนดั้งเดิมของคนจีนมีหลายแนวทางตั้งแต่ การเรียนรู้ภาษาวัฒนธรรมของคนท้องถิ่น และการแต่งงานกับคนในท้องถิ่น (หน้า152-153) โดยความสัมพันธ์ในช่วงแรกจะเป็นความสัมพันธ์แบบเพื่อนบ้านมากกว่าเครือญาติโดยไปมาหาสู่กันในบางวาระเช่น งานแต่งงาน, งานศพ, เจ็บป่วย, เปิดร้านใหม่ (หน้า175,181-182) และมีการมองมลายูมุสลิมและจีนที่ค้าขายในย่านสายกลางเป็นคนค้าขายระดับเดียวกัน (หน้า 215) การแต่งงานข้ามสายพันธุ์ - ตามศาสนบัญญัติ คนมุสลิมจะแต่งงานกับคนต่างศาสนาไม่ได้นอกจากคน ๆ นั้นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามเสียก่อน ดังนั้น คนจีนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะไม่แต่งกับมุสลิม แต่ในอดีต มีการแต่งงานระหว่างชาติพันธุ์เกิดขึ้นบ้าง เช่น ตำนานเจ้าแม่ลิ้มก่อเหนี่ยวที่มีการแต่งงานระหว่างชายจีนและหญิงมุสลิม และยังมีปรากฎในปัจจุบันบ้างว่า การแต่งงานระหว่างมุสลิมกับคนจีนมีทางเป็นไปได้มากกว่าชนชาติอื่น อีกทั้งสะใภ้จีนจะไม่มีพันธะกับครอบครัวเดิม และเขยจีนไม่ดื่มเหล้าเหมือนเขยไทย นอกจากนี้ยังพบกรณีที่มลายูมุสลิมรับเด็กหญิงจีนเป็นลูกบุญธรรม ย่านธุรกิจการค้า - โดยย่านสายกลางและตลาดยะลาทำหน้าที่เป็นตลาดกลางระหว่างดินแดนชายฝั่งทะเลกับส่วนที่ลึกเข้าไปในแผ่นดินเป็นพื้นที่ปฎิสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันทางเศรษฐกิจ พัฒนาเป็นความสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมอาชีพ เพื่อนบ้านและความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ในการซื้อขายคนจีนต้องเรียนรู้ลักษณะความต้องการและข้อจำกัดของลูกค้ามุสลิมตามลักษณะของวัฒนธรรมด้วยเพื่อการสร้างความสัมพันธ์อันดีมากกว่าการเป็นลูกค้า และมีการเปลี่ยนบทบาทการซื้อขายบ้าง เช่น เมื่อขายของใช้ให้มุสลิมแล้ว ต้องรับซื้อสินค้าจากชุมชน เช่น พืชผัก หัตถกรรม ของป่าจากมุสลิม และต้องเช่าพื้นที่จากมุสลิมเนื่องจากเป็นผู้ที่มีกรรมสิทธิ์ในพื้นที่ (หน้า138-149) คนจีนรุ่นปู่ย่าตายาย (อายุ70-90 ปี) จะเรียนรู้ภาษามลายูเพื่อให้สามารถติดต่อค้าขายกับคนในชุมชนมุสลิมได้ แต่คนในรุ่นพ่อแม่ (อายุ 40-69 ปี) จะยังพูดภาษาจีนและมลายูได้บ้างแต่จะจ้างลูกจ้างมลายูมุสลิมมาช่วยขายของ ส่วนคนจีนรุ่นหลาน (อายุ 20-39 ปี) ยังฟังและพูดภาษาจีนพอได้แต่ไม่สามารถฟังภาษามลายูได้เลย โดยคนในรุ่นลูก-หลานจะไม่ลงในชุมชนเพื่อค้าขายทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนักบคนมลายูห่างเหินกันไปในที่สุด (หน้า 152-153) ทัศนคติการค้าระหว่างชาติพันธุ์ - คนจีนมองมลายูมุสลิมที่เข้ามาทำธุรกิจในย่านสายกลางว่า เนื่องจากไม่ต้องเสียค่าเช่าที่ และมีอาชีพอื่นคือการเกษตรรองรับอยู่ และการศึกษาที่สูงขึ้น (หน้า166-168) ในอนาคตอาจจะทำให้จีนค้าขายลำบากขึ้นเนื่องจากมุสลิมมักอุดหนุนร้านมุสลิมเพราะความรู้สึกเป็นเครือญาติ (หน้า177) และไม่ต้องกังวลเรื่องหลักศาสนา แต่ก็ยังมองว่ามุสลิมยังมีวิธีค้าขายล้าหลัง ไม่มีความอดทนและไม่วางแผนระยะยาว เช่น นำเงินมารวมกลุ่มกันค้าขายเมื่อได้ผลประโยชน์มากจะแตกแยกกันเลิกกิจการไป และขาดประสบการณ์ในการค้าขาย อีกทั้งมีทุนค้าขายน้อย (หน้า166-168) - มลายูมุสลิมมองพ่อค้าคนจีนว่า ค้าขายเก่ง ขยันทำงาน มีวิธีค้าขายหลายอย่าง และรู้จักจัดการหมุนเวียนสินค้า และได้เปรียบที่สามารถพูดภาษามลายูได้ทำให้คนมลายูรู้สึกว่า "เป็นพี่น้องกัน" แต่คนมลายูพูดภาษาจีนไม่ได้ อีกทั้งในการทำการค้าคนมุสลิมจะมีศาสนาบัญญัติ เช่น ห้ามกักตุนสินค้า แต่จีนกักตุนสินค้าได้ ทำให้ค้าขายได้ดีกว่า ในภาพรวมคนมลายูมีทัศนคติในด้านบวกกับพ่อค้าคนจีน เช่น เป็นผู้เชี่ยวชาญ น่าเรียนรู้ เป็นต้น (หน้า168-170) ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของร้านจีนกับลูกค้ามุสลิม ซึ่งถือว่าเป็นคนนอกพื้นที่ - ในสมัยก่อนจะมองว่าลูกค้าเป็นผู้ไม่มีความรู้ด้านการคำนวณเป็นกลุ่มคนที่ด้อยกว่าบางส่วนเป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างผู้รู้และไม่รู้แฝงอยู่ จึงสร้างความรู้สึกเสมือนว่ามุสลิมมาพึ่งพาคนจีน และไว้ใจคนจีนมาก โดยทัศนคติของคนจีนมองว่าลูกค้ามุสลิมเป็นคนซื่อสัตย์ ซื้อของง่ายไม่จุกจิก ส่วนลูกค้ามุสลิมจะมองว่าคนจีนจะค้าขายเอากำไรมาก แต่ส่วนใหญ่จะประทับใจในบริการและการต้อนรับของคนจีนมากกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของร้านมุสลิมกับลูกค้าที่ไม่ใช่มุสลิม เจ้าของร้านมลายูจะมองว่าลูกค้าจีนซื้อของยากที่สุด ต่อรองราคามากที่สุด ส่วนลูกค้าไทยจะเหมือนลูกค้ามุสลิมคือไม่ต่อรองมาก ส่วนใหญ่ลูกค้าจีนจะซื้อของในร้านคนมุสลิมด้วยเหตุผลว่าราคาถูกกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของร้านจีนกับลูกจ้างมุสลิม ร้านค้าต่าง ๆ จะจ้างลูกจ้างมุสลิม เริ่มในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาจนปัจจุบันคิดเป็นร้อยละ 80 ของร้านค้าทั้งหมด ส่วนใหญ่มาจากนอกเมืองหรือต่างอำเภอ (เรียกว่ากำปง) ช่วงอายุ 18-25 ปี การศึกษาประถม 6 จนถึงปริญญาตรีเนื่องจากเศรษฐกิจตกต่ำหางานทำไม่ได้โดยได้เงินเดือนระหว่าง 3,000- 5,000 บาท สาเหตุสำคัญคือนำมาดึงดูดลูกค้ามุสลิมเพราะมีความสามารถในการพูดภาษาท้องถิ่น มีคุณภาพดี และค่าจ้างถูกกว่าลูกจ้างคนไทย อีกทั้งสามารถออกส่งของนอกตัวเมืองได้สะดวก โดยนายจ้างจะยินยอมให้ปฎิบัติตามกรอบของศาสนา เช่น การแต่งกาย การละหมาด และการถือศีลอด แต่จะมีวันหยุดต่าง ๆ มาก บางร้านจึงเปลี่ยนการจ่ายเงินเป็นรายวัน ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของร้านมุสลิมกับลูกจ้างมุสลิม เจ้าของร้านมีการแบ่งชนชั้นและมีมุมมองว่าลูกจ้างมลายูมุสลิมส่วนใหญ่จะ "ขี้เกียจ ไม่มานะอดทน ชอบสบาย ไม่หัวหมอ ค่อนข้างซื่อ" ลาหยุดงานบ่อยแต่ก็เป็นที่เข้าใจกันตามหลักศาสนา ความสัมพันธ์ระหว่าเจ้าของร้านมุสลิมกับลูกจ้างที่ไม่ใช่มุสลิม มักไม่ค่อยพบลูกจ้างชนชาติไทยและจีน เนื่องจากคนจีนจะมีการศึกษาสูงมีโอกาสหางานทำได้มากกว่า และคนไทยนิยมทำงานก่อสร้างมากกว่าเป็นลูกจ้าง และมีมุมมองว่า ลูกจ้างคนไทย "หัวหมอ และชอบขโมยของ" (หน้า184-191)

Social Cultural and Identity Change

- มลายูมุสลิมจากเดิมที่มีทัศนคติที่ไม่อยากให้ลูกหลานเรียนหนังสือเพราะ "ลูกจะกลายเป็นไทย" ส่งเสริมให้ลูกหลานเรียนหนังสือในโรงเรียนจีนมากขึ้นเนื่องจากโรงเรียนมีคุณภาพ ค่าเล่าเรียนถูกและสามารถแต่งกายตามหลักศาสนาได้ และนิยมให้เรียนสูงมากขึ้นเพื่อให้ได้ประกอบอาชีพที่ดี (หน้า129-130) - ปัจจุบันลูกหลานจีนจะแยกไปทำงานที่อื่น ซึ่งร้านจีนหลายร้านมีแนวโน้มจะปิดตัวลงเนื่องจากไม่มีลูกหลานสืบทอด (หน้า109)และมีการพูดภาษาจีนน้อยลง (หน้า205) - ความสัมพันธ์แบบพึ่งพิงทางการค้าเปลี่ยนไปเป็นการทำธุรกิจที่แท้จริงมากขึ้น (หน้า150) - บางส่วนของชุมชนเกิดการเสื่อมโทรม เช่น ตลาดเก่า ในทัศนะของคนฝั่งตลาดมองว่าตลาดเก่าเป็นที่รวมของความเสื่อมโทรมทางสังคม ยาเสพติ บ่อนการพนันและแก๊งค์ต่าง ๆ (หน้า134)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนที่ - จังหวัดยะลา (หน้า 28) รูปภาพ - ชุมชนและกิจกรรมในชุมชนในอดีต (หน้า 46,48,62,87,90,114,115,125,129) - เศรษฐกิจการค้าขาย (หน้า 51,55,59,166,169)

Text Analyst ปิยวรรณ สามเพชรเจริญ Date of Report 31 ม.ค. 2561
TAG ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู, มลายูมุสลิม, จีน, การปฏิสัมพันธ์, ยะลา, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง