|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,นโยบายบูรณาการ,ความสัมพันธ์,ชนกลุ่มน้อย,ชนกลุ่มใหญ่,ฟิลิปปินส์,ประเทศไทย |
Author |
Peter G. Gowing |
Title |
Moro and Khak: Positions of Muslim in the Philippines and Thailand |
Document Type |
จุลสาร |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
48 |
Year |
2518 |
Source |
มูลนิธิโกมลคีมทอง |
Abstract |
ผู้นำของประเทศฟิลิปปินส์และไทยพยายามจะประกาศความเป็นเอกภาพแห่งชาติโดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างของกลุ่มชาติพันธุ์ แต่ทัศนคติของกลุ่มมุสลิมมิได้เห็นคล้อยตามนโยบายของรัฐบาลแม้แต่น้อย ทำให้เกิดช่องว่างขึ้นระหว่างนโยบาย กับความรู้สึกที่แท้จริงของชาวฟิลิปปินส์ในเรื่องเอกภาพแห่งชาติ (หน้า 28) |
|
Focus |
ผู้เขียนได้ศึกษาเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างชนกลุ่มใหญ่ และชนกลุ่มน้อยมุสลิมในประเทศฟิลิปปินส์และประเทศไทย โดยพิจารณาการใช้นโยบายบูรณาการทางการเมืองเศรษฐกิจ และสังคมของรัฐบาลของประเทศทั้งสอง ที่มีต่อชนกลุ่มน้อยมุสลิม ในการที่จะนำมาซึ่งความเป็นปึกแผ่น ความมั่นคงของชาติเป็นสำคัญ (หน้า13) |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนเน้นการวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้มุสลิมเป็นจำนวนมากเข้าร่วมในขบวนการแบ่งแยกดินแดนได้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในฟิลิปปินส์และไทย ทำให้นำไปสู่การขาดเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์โดยรวม และก่อผลเสียต่อเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์และไทยโดยเฉพาะ และได้อธิบายว่ามีสาเหตุสำคัญๆ 3 ประการ คือ นโยบายบูรณาการทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมของรัฐ ทัศนคติระหว่างชนกลุ่มน้อยและกลุ่มใหญ่ และจิตสำนึกความเป็นอิสลามของชนกลุ่มน้อยมุสลิมซึ่งมีความสำคัญต่อการขจัดความขัดแย้งที่มีอยู่ร่วมกัน (หน้า 39-40) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้เขียนเน้นการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกเรียกว่า "มุสลิม" ที่อยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทยและทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ (หน้า 13-15) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
เนื่องจากผู้เขียนเน้นศึกษาเกี่ยวกับการบูรณาการทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ของประเทศฟิลิปปินส์และประเทศไทยต่อชนกลุ่มน้อยมุสลิม ผู้เขียนจึงไม่ได้กล่าวถึงข้อมูลของระบบภาษาในงาน เพียงแต่กล่าวถึงเพียงความหมายของคำว่า โมโร และแขก ไว้เท่านั้น (ดูในหัวข้อ Ethnicity/Ethnic Relation ) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
มุสลิมในฟิลิปปินส์หลังจากสเปนเข้าครอบครองฟิลิปปินส์แล้ว สเปนก็ต้องทำสงครามกับมุสลิมอยู่เป็นเวลานาน เริ่มตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 และยืดเยื้อมานาน 300 ปี ก่อนที่สุลต่านแห่งรัฐมินดาเนา และรัฐซูลจะยอมแพ้ต่อสเปน ต่อมาเมื่อสหรัฐฯปกครองฟิลิปปินส์ต่อจากสเปน สหรัฐฯ จึงได้วางขั้นตอนดำเนินการตามนโยบายไว้ให้ฟิลิปปินส์ปกครองตนเองในรูปสาธารณรัฐอย่างเต็มที่ ซึ่งชาวฟิลิปปินส์ที่เป็นคริสเตียนก็สามารถเข้าไปปกครองดินแดนมุสลิมได้อย่างมีประสิทธิภาพตามเจตนารมณ์ของสหรัฐฯ มุสลิมในไทยมีการต่อสู้ระหว่างรัฐสยาม (ประเทศไทยในปัจจุบัน) กับรัฐมาเลย์เล็กๆ ตามบริเวณด้านเหนือของคาบสมุทรมาเลย์มาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 และแม้ว่ารัฐมาเลย์เล็กๆ ดังกล่าวจะยอมอยู่ใต้การปกครองของไทย แต่ไม่ได้หมายความว่าไทยเข้าไปมีอำนาจเหนือได้โดยง่าย ทั้งนี้เพราะไทยต้องเสียเลือดเนื้อในการต่อสู้กับมุสลิมไปเป็นอันมากเช่นกัน แต่ในที่สุด ปรากฏว่า เมื่อไทยได้ทำสนธิสัญญากับอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้ปกครองประเทศมลายู (ปัจจุบันมาเลเซีย) ในปี พ.ศ. 2447 และ 2452 ไทยก็ต้องเสียรัฐมลายู 4 รัฐไปให้แก่อังกฤษ และอังกฤษยอมให้ไทยมีอำนาจเหนือรัฐมาเลย์อื่น ๆ ด้านเหนือของเขตแดนประเทศมลายูตามที่ตกลงกันไว้ ซึ่งได้แก่ จังหวัดสตูล ยะลา ปัตตานี และนราธิวาสในปัจจุบัน ทำให้จังหวัดดังกล่าวมีมุสลิมเชื้อสายมลายูเป็นกลุ่มคนที่ส่วนใหญ่ (หน้า13-15) |
|
Settlement Pattern |
มุสลิมในประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศไทยมีข้อแตกต่างกับมุสลิมในอินเดียอยู่ประการหนึ่งคือ มุสลิมอินเดียนั้นกระจัดกระจายอยู่ในชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศอินเดีย ส่วนมุสลิมฟิลิปปินส์และไทย (2,200,000 คนในฟิลิปปินส์ และ 1,500,000 คนในไทย) รวมกันอยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อน คือ อยู่ในภาคใต้ของประเทศเหมือนกัน และเขตแดนภาคใต้ของฟิลิปปินส์และไทยก็ติดต่อกับประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย (หน้า 9) |
|
Demography |
ในงานเขียนผู้เขียนไม่ได้ระบุข้อมูลเกี่ยวกับประชากรที่แน่นอน เพียงแต่กล่าวโดยรวมว่าเป็นชนกลุ่มใหญ่ และชนกลุ่มน้อยมุสลิมในประเทศฟิลิปปินส์และประเทศไทย (อย่างไรก็ตาม จากในวงเล็บจำนวนมุสลิมที่ปรากฏในหัวข้อ Settlement Pattern มีมุสลิมจำนวน 2,200,000 คนในฟิลิปปินส์ และจำนวน 1,500,000 คนในไทย) |
|
Economy |
การดำเนินการบูรณาการทางด้านบริหาร รัฐบาลฟิลิปปินส์ และรัฐบาลไทยก็ดำเนินการบูรณาการทางด้านเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วย ทั้งนี้โดยการรวมดินแดนมุสลิมภาคใต้เข้ามาไว้ในจุดมุ่งหมายแห่งการพัฒนาประเทศด้วย สำหรับการวางมาตรการดำเนินการในบูรณาการทางด้านเศรษฐกิจนี้ เริ่มแรก รัฐบาลของประเทศทั้งสองพยายามอย่างยิ่งที่จะป้องกันไม่ให้การบริหารดินแดนมุสลิมภาคใต้เป็นภาระในด้าน งบประมาณแห่งชาติมาเกินไป วิธีการที่จะทำให้การบริหารดินแดนมุสลิมภาคใต้ไม่เป็นภาระในด้านงบประมาณแห่งชาติ ที่รัฐบาลของทั้งสองประเทศนำมาใช้ คือ การจัดเก็บภาษีรูปต่าง ๆ ภายในดินแดนมุสลิมภาคใต้ เหมือนกับจังหวัดอื่น ๆ โดยทั่วไป นอกจากการจัดเก็บภาษีดังกล่าวรัฐบาลของประเทศทั้งสองยังวางนโยบายในการนำทรัพยากรต่าง ๆ ในดินแดนมุสลิมภาคใต้ไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติอีกด้วย (หน้า 16) |
|
Political Organization |
รัฐบาลของทั้งสองประเทศมุ่งที่จะนำดินแดนมุสลิมภาคใต้เข้ามาไว้ในระบบการเมืองแห่งชาติ อันเป็นระบบการเมืองที่รวมอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง ซึ่งเป็นการมองข้ามผู้นำดั้งเดิมของสังคมอิสลามไปอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากผู้นำดั้งเดิมไม่ได้รับการผนวกไว้ในโครงสร้างทางการเมืองแห่งชาติ ในฟิลิปปินส์แม้ผู้นำมุสลิมดั้งเดิมจะมีโอกาสเข้าไปอยู่ในโครงสร้างทางการเมืองแห่งชาติ โดยการเลือกตั้งบ้างและการแต่งตั้งบ้าง แต่จำนวนผู้นำมุสลิมดั้งเดิมที่มีโอกาสเช่นนี้ก็มีน้อยมาก จะเห็นได้ว่าก่อนทศวรรษระหว่างปี พ.ศ. 2493-2502 ผู้ว่าราชการจังหวัดมุสลิมภาคใต้ทุกคนเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งออกไปจากส่วนกลาง และผู้ว่าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งออกไปจากส่วนกลางส่วนมากเป็นคริสต์ศาสนิกชน สำหรับในประเทศไทยนั้นปรากฏว่าตั้งแต่ต้นมาจนกระทั่งบัดนี้ ยังไม่เคยมีผู้ว่าราชการจังหวัดภาคใต้คนใดเลยที่เป็นมุสลิม (หน้า 15-16) ผู้เขียนอธิบายถึงการที่ประเทศไทย และประเทศฟิลิปปินส์ได้เริ่มดำเนินการบูรณาการทางด้านการเมือง ซึ่งมุ่งเน้นที่จะนำดินแดนมุสลิมภาคใต้เข้ามาไว้ในระบบการเมืองแห่งชาติ อันเป็นระบบการเมืองที่รวมอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง ศูนย์กลางแห่งอำนาจทางการเมืองของฟิลิปปินส์อยู่ที่กรุงมะนิลา ส่วนของไทยอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่โดยที่มุสลิมในฟิลิปปินส์และไทยยังไม่มีประสบการณ์กับระบบการเมืองแห่งชาติ รัฐบาลฟิลิปปินส์จึงจำเป็นต้องส่งชาวฟิลิปปินส์ที่เป็นคริสเตียนออกไปปกครองดินแดนมุสลิมภาคใต้ และรัฐบาลไทยก็จำต้องส่งชาวไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชนออกไปปกครองดินแดนมุสลิมภาคใต้เช่นเดียวกัน (หน้า 15) |
|
Belief System |
ธรรมดาทั่วไปมุสลิมในฟิลิปปินส์และไทย ยังเป็นผู้ที่ไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งเกี่ยวกับศาสนา ปรัชญา และกฎหมายอิสลาม นอกจากนี้ บางครั้งก็สับสนถือเอาลัทธิเชื่อโชคลางบางประการที่มีอยู่ก่อนการเกิดขึ้นของศาสนาอิสลาม และขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม ว่าเป็นสาระสำคัญของศาสนาอิสลาม แต่ถึงกระนั้นก็ดี มุสลิมส่วนมากทราบดีถึงคำสอนและหน้าที่พื้นฐานตามหลักของศาสนาอิสลาม และสำนึกดีว่าศาสนาอิสลาม ทำให้ตนเองแตกต่างจากผู้อื่น และเป็นเครื่องผูกพันพวกตนเข้าไว้ด้วยกันเป็นชุมชนหนึ่งต่างหาก และอย่างน้อยในอุดมคติ ก็ถือว่าศาสนาอิสลามครอบคลุมชีวิตความเป็นอยู่ทุกด้านของตนเอาไว้ (หน้า 32) ในศาสนาอิสลาม คำว่า อุมมะ (Umma) หมายถึงชุมชนทางสังคมของศาสนาอิสลาม อุมมะเป็นอุดมการทางศาสนาซึ่งพระผู้เป็นเจ้าประทานให้แก่มุสลิม ในชุมชนสังคมของศาสนาอิสลามซึ่งเรียกว่า อุมมะนี้ สมาชิกของชุมชนมีหลักธรรมคำสอน ขนบธรรมเนียมและกฎหมายสำหรับปฏิบัติเหมือนกัน มุสลิมทุกคน โดยที่มีฐานะเป็นมุสลิมจึงเป็นสมาชิกของชุมชนอุมมะ อันเป็นชุมชนทางด้านจิตใจ ไม่ใช่ชุมชนทางดินแดนของศาสนาอิสลามทั่วโลก โดยไม่คำนึงว่ามุสลิมจะอาศัยอยู่ในที่ใด ๆ ในโลก (หน้า 34) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในฟิลิปปินส์ คนส่วนใหญ่เรียกมุสลิมว่า โมโร ส่วนในไทย คนส่วนมากเรียกมุสลิมว่า แขก ทั้งคำว่า โมโร และ แขก ซึ่งคนส่วนมากใช้เรียกมุสลิมนั้นเป็นคำที่มีความหมายไม่ดี และเป็นคำที่ใช้แสดงให้เห็นว่ามุสลิมมีฐานะต่ำกว่าชนกลุ่มใหญ่โดยทั่วไปทั้งในฟิลิปปินส์ และไทย (หน้า 24) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในด้านการบูรณาการทางวัฒนธรรมของรัฐบาลฟิลิปปินส์และรัฐบาลไทย ที่มีเจตนารมณ์ในการดำเนินการผสมกลมกลืนวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อยภายในประเทศ รวมทั้งชนกลุ่มน้อยมุสลิม ปรากฏว่าเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและลึกซึ้งยากแก่การที่จะวิเคราะห์ออกมาให้เห็นได้ชัดเจนว่ามีผลอย่างไร (หน้า 18) |
|
|