|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,ความคิด,ปรัชญา,ภาษิต |
Author |
ยุทธพงษ์ สืบศักดิ์วงศ์ |
Title |
ความคิดทางปรัชญาในภาษิตม้ง |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
126 |
Year |
2526 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาปรัชญา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
การศึกษาความคิดทางปรัชญาในภาษิตม้งมีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาแนวคิดทางอภิปรัชญาและจริยศาสตร์ของม้ง โดยศึกษาจากตัวบทภาษิตและการแปลความหมายจากการสัมภาษณ์ผู้รู้ม้ง จากนั้นจึงสังเกตปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมม้งแล้วนำมาเชื่อมโยงกับความหมายในภาษิตแล้วนำมาวิเคราะห์ความคิดทางปรัชญา ผลการศึกษาพบว่า ม้งมีแนวคิดทางด้านอภิปรัชญาว่า โลกประกอบด้วยลักษณะ 2 ส่วนที่ปฏิสัมพันธ์กันคือ ส่วนที่เป็น "รูปธรรม" ซึ่งแสดงผลให้เราได้เห็นผ่านประสาทสัมผัส เช่น ร่างกายมนุษย์และสัตว์ ต้นพืช โลก ดวงดาว สสารและพลังงานต่างๆ เป็นต้น เมื่อมองในลักษณะองค์รวมก็คือ ระบบโลกและจักรวาลทั้งหมดที่เราได้รับรู้เฉพาะแต่ด้านกายภาพเท่านั้นซึ่งม้งเรียกว่า " โลกมนุษย์" อีกส่วนคือส่วน "นามธรรม" ซึ่งม้งถือว่าเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัส เช่น ขวัญหรือวิญญาณ และ ผี เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ได้ปรากฎอยู่ใน "โลกแห่งผี" และสัมพันธ์กับมนุษย์และสรรพสิ่งบนโลกมนุษย์ ในเรื่องชีวิตโดยเฉพาะชีวิตมนุษย์ ชีวิตมีส่วนประกอบทั้งส่วนที่เป็นรูปธรรมได้แก่ ส่วนร่างกาย และส่วนที่เป็นนามธรรม ได้แก่ ขวัญหรือวิญญาณ ใจ และชีวิต เป็นต้น ทั้งสามส่วนนี้เมื่อมนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ล้วนมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ม้งถือว่าขวัญหรือวิญญาณเป็นส่วนสำคัญที่สุด เพราะเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดชีวิตและร่างกาย เมื่อตายไปขวัญหรือวิญญาณจะถูกกำหนดภาคออกเป็นสาม ภาคหนึ่งไปสิงสถิตที่หลุมศพ อีกภาคหนึ่งสถิตที่ "ดินแดนแห่งผีบรรพบุรุษ" อีกภาคหนึ่งไปเวียนว่ายตายเกิด อย่างไม่มี ที่สิ้นสุด อันแสดงแนวคิดเรื่องวัฎจักรทางกฎแห่งกรรม ม้งยังมีแนวคิดอีกว่าไม่เพียงแต่มีขวัญหรือวิญญาณปรากฎอยู่ในร่างกายมนุษย์และสัตว์เท่านั้น แต่ยังมีที่สิงสถิตอยู่ในธรรมชาติเช่น ป่า ก้อนหิน ผืนดิน และแม่น้ำ ซึ่งม้งเรียกว่าผีป่า และที่สิงสถิตอยู่ในบ้านเรียกว่าผีบ้าน โดยผีเหล่านี้จะอาศัยอยู่ในโลกแห่ง ผีซึ่งเป็นโลกทางฝ่ายนามธรรมล้วนๆ ผีมีตั้งแต่ในระดับชั้นเทพเจ้า จนถึงผีในระดับชั้นสามัญซึ่งก็คือผีป่าและผีบ้านที่สัมพันธ์กับมนุษย์เป็นประจำ ม้งมักมองสรรพสิ่งในลักษณะคู่กัน เช่น พ่อกับแม่ ฟ้ากับดิน มืดสว่าง โลกมนุษย์โลกแห่งผี เป็นต้น โดยไม่นิยมมองโลกแบบ ลดทอน เช่น การเริ่มต้นจากเอกภพ จักรวาล โลก มนุษย์ จนถึงหน่วยย่อยที่สุดคือปฐมธาตุ ดังนั้นม้งจึงไม่ได้ให้ความสำคัญแก่การแสวงหา "ปฐมเหตุ" ซึ่งการมองโลกแบบนี้สอดคล้องกับปรัชญาจีนเรื่อง หยิน หยาง ส่วนแนวคิดด้านจริยศาสตร์ ม้งสร้างข้อปฏิบัติหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องด้วยมนุษย์กับมนุษย์และมนุษย์กับผีซึ่งสืบเนื่องมาจากแนวคิดด้านอภิปรัชญา สังเกตได้จากกฎทางศีลธรรมและหลักจริยธรรมบางข้อที่สัมพันธ์อยู่กับผี เช่น ข้อห้ามในการพาผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานมาร่วมหลับนอนในบ้านฝ่ายชายซึ่งถือว่าผิดผี ผิดจารีต และผิดศีลธรรม ผู้ฝ่าฝืนต้องถูกลงโทษ การเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษถือได้ว่าเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความกตัญญูของบุตรหลานที่มีต่อบรรพชน แนวคิดความกตัญญู การเคารพ ผู้อาวุโสถือเป็นหลักการสำคัญ แนวคิดทางด้านจริยศาสตร์และอภิปรัชญาในทัศนะของม้งจึงเป็นทัศนะการมองโลกแบบองค์รวมครอบคลุมและเกี่ยวเนื่องด้วยทั้งส่วนรูปธรรมและนามธรรม (หน้า ง-จ) |
|
Focus |
ค้นหาแนวคิดทางอภิปรัชญาและจริยศาสตร์ของม้ง โดยศึกษาจากตัวบทภาษิตและการตีความของผู้รู้ม้งและพิจารณาเชื่อมโยงกับปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมม้งเพื่อวิเคราะห์ความคิดทางปรัชญาของม้ง (หน้า ง) |
|
Theoretical Issues |
งานวิจัยชิ้นนี้มีขอบเขตของการศึกษาอยู่ที่การค้นหาความคิดทางปรัชญาในภาษิตม้งเพื่อตอบคำถาม 3 ข้อได้แก่ ชีวิตคืออะไร? เป้าหมายของชีวิตคืออะไร? เราควรดำเนินชีวิตอย่างไรเพื่อให้เข้าใจและบรรลุเป้าหมายชีวิต โดยจะใช้ข้อมูลเอกสารจากหนังสือสุภาษิตคำสอนม้ง รวบรวมและแปลโดย ประสิทธิ์ ลีปรีชา และหนังสือ Niaj txhis piv txoj lus โดย Vam Thaiv Yaj ตลอดจนเอกสารทางวิชาการที่เกี่ยวข้องและสัมภาษณ์ผู้นำพิธีกรรมจำนวน 10 คน ในตำบลเข็กน้อย อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อให้ทราบความหมายของภาษิตโดยละเอียด งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเอกสาร (Documentary Research) และการสัมภาษณ์แบบกำหนดเฉพาะแนวทางการสัมภาษณ์ (Interview Guide) โดยไม่มีคำถามและรายละเอียดของคำถาม โดยจะนำภาษิตที่ได้จากเอกสาร หนังสือสุภาษิตคำสอนม้ง และหนังสือ Niaj txhis piv txoj lus ไปแปลความหมาย แล้วนำไปตรวจสอบความหมายที่ถูกต้องกับผู้รู้และผู้นำพิธีกรรม จากนั้นนำมาศึกษาวิเคราะห์และจัดระบบความคิดโดยอาศัยอภิปรัชญาและจริยศาสตร์เป็นกรอบ (หน้า 6) สรุปได้ว่า ม้งมองโลกและชีวิตในลักษณะทวินิยม แบบหยินหยาง คือ เป็นโลกมนุษย์และโลกแห่งผี ซึ่งอยู่คู่กันไปแบบอาศัยซึ่งกันและกัน โลกทัศน์ดังกล่าวทำให้ม้งมองสรรพสิ่งต่าง ๆ เป็น 2 ด้าน |
|
Ethnic Group in the Focus |
งานชิ้นนี้ศึกษา ชนเผ่าม้ง ในตำบลเข็กน้อย อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยศึกษาผ่านภาษิตของม้ง |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้งมีภาษาพูดเป็นของตัวเองโดยมีสำเนียงหลักอยู่สองสำเนียงคือภาษาม้งขาวและม้งเขียวหรือม้งดำแต่ไม่มีตัวอักษร (กล่าวถึงม้งในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) จนกระทั่งมีบาทหลวงชาวฝรั่งเศสท่านหนึ่งชื่อ Yves Bertrais ได้เทียบเสียงภาษาม้งในระบบการออกเสียงแบบโรมัน (Romanized Phonetic Alphabet) และได้แต่งพจนานุกรมฉบับภาษาม้ง-ฝรั่งเศสขึ้นด้วย ภาษาม้งขาวมีพยัญชนะทั้งหมด 57 ตัว มีสระทั้งหมด 14 ตัว และวรรณยุกต์อีก 7 เสียง นักวิชาการบางท่านได้กำหนดว่าภาษาม้งเป็นภาษาหนึ่งที่แยกสาขามาจากภาษาตระกูลไซโนทีเบตัน (Sino-Tibetan) บางท่านก็ว่าเป็นสาขาที่จัดอยู่ด้วยกันกับภาษาออสโตรเนเซียน (Austronesian) และเจแปนนิส/ริวคาน (Japanese/Ryukan) ในฐานะที่เป็นภาษาตระกูลเดียวกับภาษาที่เรียกว่าออสโตรเนเซียน/ไทย (Austronesian/Tai) (หน้า 13-14) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับม้งที่เป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งถูกบันทึกโดยคนม้งเองนั้นมีน้อยมาก คนม้งมักถ่ายทอดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้กลายเป็นการเล่าขานเป็นเทพนิยาย นิทาน ภาษิต บทเพลงแคน บทสวดพิธีกรรม เป็นต้น บาทหลวงชาวฝรั่งเศสชื่อ เอฟเอ็ม ซาวีน่า (F.M. Savina) ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ม้งเล่มหนึ่งชื่อ (Histoire du Miao) โดยหนังสือเล่มนี้ซาวีน่าไม่ได้ใช้คำว่า "ม้ง" (Hmong) แต่ใช้คำว่า "เมียว" (Miao) ตามทัศนะของซาวีนาคนเหมียวได้ถูกกล่าวถึงเมื่อประมาณ 2,700 ปีก่อนคริสตกาล ในสมัยนั้นคนเหมียวได้อยู่กันอย่างปรองดอง เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งที่เขาเริ่มวิตกกังวลที่จีนได้เพิ่มจำนวนประชากรมากขึ้นและได้ขยายอาณาเขตอย่างรวดเร็วและในที่สุดก็ได้รุกรานคนเหมียว ในระยะแรกเหมียวสามารถเอาชนะได้บ้าง แต่ในที่สุดจีนภายใต้การนำของฮวนหยวน (Huanyuan) ได้เข้าโจมตีเหมียว และเป็นฝ่ายรบชนะซึ่งในขณะนั้นคนเหมียวมีผู้นำชื่อ เชอโหย่ว (Tcheu - you) (หน้า 7-10) บันทึกทางประวัติศาสตร์ของจีนได้บันทึกว่าชนเผ่าม้งอาจถูกเนรเทศไปตามส่วนโค้งของแม่น้ำเหลืองไปจนถึงเขตมณฑลเฉินซี (Chen-si) และกานสู (Kan-Sou) ในช่วงศตวรรษที่ 20 จากการรบกับจีน และจากที่ราบลุ่มแม่น้ำหวยข้ามแม่น้ำเงิน (Le fleuve Bleu) มุ่งไปยังทะเลสาบตงติง (Tongt'ing) และทะเลสาบโปหยาง (Pouoyang) ร่อนเร่ไปมณฑลหูเป่ย (Hou-pe) เกียงซี (Kiang-si) และหูนาน (Hou-nan) ในปัจจุบัน ต่อมาจนจรดทิวเขาซึ่งแบ่งแยกระหว่างที่ราบลุ่มแม่น้ำเงินจากส่วนที่อยู่ตะวันตกและพวกเขาก็อาศัยจนถึงมณฑลกีซู (Koui-Tcheou) ที่ซึ่งจีนไม่เคยสามารถรุกรานและเป็นที่ที่ยังอาศัยอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ นอกจากนี้ ยังมีบันทึกอีกว่าม้งเป็นกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินจีนมาเป็นเวลานานแล้วและยังได้อาศัยอยู่ก่อนคนจีน เพราะประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า 5,000 ปีก่อนนั้น คนจีนยังอาศัยอยู่เหนือแผ่นดินจีนในปัจจุบันขึ้นไปทางทิศตะวันตก และในขณะที่ม้งได้ดำรงชีวิตอยู่ในใจกลางแผ่นดินจีนแล้ว และจักรพรรดิของม้งมีชื่อว่า Chi-You หรือที่ม้งเรียกว่า จี๋เหย่อ (Txiv Yawg) เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งให้กับม้งดังเช่น ขนบธรรมเนียมประเพณี กฎหมาย อาวุธ เครื่องมือทางการเกษตรและพืชผล จากกลางศตวรรษที่ 19 ความสัมพันธ์ระหว่างม้งและจีนแย่ลง มองได้จากการกดขี่และการกบฎอย่างต่อเนื่อง สันนิษฐานได้ว่าการกดขี่อย่างทารุณทำให้เกิดการอพยพถิ่นฐานของประชากรม้งส่วนหนึ่งมุ่งไปทางใต้ข้ามจากเขตภาคใต้ของประเทศจีนมายังประเทศเวียดนามและลาวและท้ายที่สุดคือประเทศไทย สงครามนองเลือดระหว่างม้งและจีนเกิดขึ้นช่วงระหว่างปี ค.ศ.1855 และ ค.ศ.1881 มีรายงานอีกว่าม้งได้ต่อสู้กับชาวอันหนำและชาวไตยในตงฉิน (Tonkin) ระหว่างทศวรรษ 1860 ในประเทศลาวคนม้งลุกขึ้นต่อต้านเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1918 การต่อต้านได้ยุติลงในปี ค.ศ.1921 เมื่อฝรั่งเศสได้แต่งตั้งหัวหน้าม้งเป็นผู้ปกครองเขตพื้นที่ม้งในฐานะที่เป็นตัวแทนของเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศส การเคลื่อนย้ายของม้งมายังตอนเหนือของประเทศไทยเกิดขึ้นเมื่อราวปี ค.ศ. 1885 ประมาณปี ค.ศ.1929 มีม้งในเขตจังหวัดตาก ตากเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ปลายทิวเขาซึ่งทอดยาวไปทางเหนือไปยังเขตจังหวัดทางตอนใต้ของประเทศจีนที่ซึ่งม้งส่วนใหญ่ยังคงอาศัยอยู่ ดังนั้นดูเหมือนว่าม้งได้กระจายข้ามทิวเขาเกือบทั้งหมดจากประเทศจีนข้ามภาคเหนือของเวียดนามและลาวมาจนอีกไม่เกิน 300 กิโลเมตรก็ถึงกรุงเทพฯภายในช่วงระยะเวลาเพียง 50 ปีเท่านั้น (หน้า 7-10) |
|
Social Organization |
สังคมม้งถือสถาบันครอบครัวเป็นศูนย์กลางคล้ายกับสังคมจีน มีภาษิตที่มุ่งสั่งสอนคนในครอบครัวโดยเน้นเรื่องการเคารพผู้อาวุโส การเคารพตามลำดับรุ่น เป็นต้น สังคมม้งมองว่าลูกชายดีกว่าลูกสาวเพราะเมื่อฝ่ายหญิงแต่งงานต้องไปอยู่บ้านฝ่ายชายและเปลี่ยนแซ่และนามสกุล ลูกผู้หญิงจึงไม่ได้เป็นผู้ถือเสาผีหรือเสาเรือน และไม่ได้เป็นผู้เลี้ยงดูฝ่ายบิดามารดาไปจนชั่วชีวิต กล่าวคือบิดามารดาไม่ได้ตายในบ้านลูกสาวของตนเอง นอกเสียจากว่าลูกสาวคนนั้นไม่ได้แต่งงานและอยู่กับฝ่ายบิดามารดาจนแก่เฒ่า ลูกสาวเมื่อแต่งงานไปอยู่กับฝ่ายชายเมื่อต้องการมาเยี่ยมบ้านตัวเองต้องได้รับอนุญาตจากสามีเสียก่อน เมื่อแต่งงานแล้วจึงหมายความว่าไปแล้วต้องไปอยู่กับเขา สังคมม้งเห็นว่ามีลูกชายคนเดียวดีกว่ามีลูกสาวอยู่ 9 คน เพราะลูกชายก็ยังอยู่ที่บ้านคอยเป็นผู้ถือเสาหลักอยู่ดูแลบิดามารดาและเป็นผู้สืบตระกูลต่อไป (หน้า 85) ศูนย์กลางแห่งชีวิตของม้งอยู่ที่ครอบครัว ม้งไม่มีวัดหรือสถานที่ประกอบพิธีกรรมอันเป็นส่วนรวม สถานที่ประกอบพิธีกรรมคือบ้านแต่ละบ้าน สมาชิกในครอบครัวจะเป็นผู้เตรียมงานต่างๆ โดยมีญาติพี่น้องคอยช่วยเหลือ ปัจจุบันในบ้านจะมีหิ้งบูชาหรือ "สื่อก๊า" ประจำแต่ละครัวเรือน บ้านของม้งเปรียบเสมือนแบบจำลองของโลกมนุษย์และสวรรค์ โดยตั้งแต่เพดานลงมาเปรียบได้กับโลกมนุษย์ ส่วนตั้งแต่เพดานขึ้นไปข้างบนเปรียบได้กับสวรรค์ เสาหลักกลางบ้านถือว่าเป็นเสาค้ำระหว่างโลกทั้งสองหรือเสาค้ำฟ้านั่นเอง บ้านและครอบครัวจึงเป็นศูนย์กลางของระบบชีวิตและโลกทั้งโลกมนุษย์และโลกของผีให้เป็นหนึ่งเดียว เนื่องด้วยม้งเกิด ดำรงชีวิต (บางส่วน) และตายที่บ้านนั่นเอง ม้งจึงให้ความสำคัญกับความเป็นพี่น้องและผีบรรพบุรุษ (หน้า 90) สังคมม้งถือสามีหรือฝ่ายชายเป็นหลัก เมื่อแต่งงานกันแล้วฝ่ายหญิงจะต้องมาอยู่กินร่วมกันกับฝ่ายชาย ส่วนฝ่ายชายสามารถมีภรรยาน้อยได้แต่ก็จะต้องแต่งงานมีพิธี การมีภรรยาน้อยไม่ได้ถือว่าเป็นประเพณี (หน้า 106) การแต่งงานเพื่อนเจ้าบ่าวต้องเป็นผู้ที่มีแซ่และศักดิ์รุ่นเดียวกับเจ้าบ่าว หากเจ้าบ่าวเป็นรุ่นอาจะให้ญาติของเจ้าบ่าวซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวไม่ได้ และเป็นคนต่างแซ่ก็ไม่ได้ ม้งจึงมีแนวคิดการจัดระเบียบสังคมโดยการเคารพลำดับรุ่นที่เรียกว่า "ชั้นลำดับรุ่น" (หน้า 95-96) |
|
Political Organization |
ม้งถือกฎของสังคมที่มีผู้เฒ่าผู้แก่โดยเฉพาะผู้ชายซึ่งม้งเรียกว่า "จื้อเลาเหน่ง" (txwj laus neeg) คอยตัดสินคดีความและเรื่องราวระหว่างลูกบ้านและคนในครอบครัว (หน้า 22) ผู้ทำหน้าที่ตัดสินข้อพิพาทระหว่างคนในสังคมได้แก่ผู้นำในตระกูลนั้นที่ได้รับการยอมรับจากลูกบ้านซึ่งส่วนใหญ่คือผู้เฒ่าผู้แก่ จากภาษิตของม้งกระบวนการปกครองและการตัดสินคดีม้งใช้วลีว่า "เก๋จื้อเลาเหน่ง" หรือ "เก๋จื้อเก๋เลา" ซึ่งมีความหมายว่า "ทางแห่งผู้เฒ่าผู้แก่" เมื่อตีความแล้วน่าจะหมายถึง "ทางแห่งกระบวนการพิจารณาตัดสินหรือทางแห่งกระบวนการยุติธรรม" หากมีคดีหรือข้อพิพาทเกิดขึ้นระหว่างคู่กรณีและหาข้อยุติไม่ได้เรื่องราวทั้งหมดผู้เฒ่าผู้แก่จะเป็นผู้ตัดสิน (หน้า 97) |
|
Belief System |
ม้งเชื่อว่าโลกประกอบด้วย 2 โลกคือ "โลกมนุษย์" และ "โลกแห่งผี" โดยความสัมพันธ์ของโลกทั้ง 2 นี้ต้องอิงอาศัยกันและกัน ม้งมีแนวคิดว่าทุกสรรพสิ่งมีสิ่งที่เราสามารถมองเห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าคือสารวัตถุและสิ่งที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสคือ "ด๊า" หรือผีและวิญญาณหรือขวัญ ผีนี้มีทั้งที่แฝงในธรรมชาติไม่ว่าจะเป็น ผืนดิน ผืนน้ำ ก้อนหิน ต้นไม้ ป่าเขา ท้องฟ้าและสายลม เป็นต้น และที่แฝงอยู่ในบ้านเรือนไม่ว่าจะเป็นประตูบ้าน เสา และเตาไฟ เป็นต้น มีหมอทรงหรือ "จี๋เน้ง" เป็นสื่อกลางติดต่อระหว่างโลก 2 โลก แต่การปรากฎของผีสามารถปรากฎให้กับคนธรรมดาก็ได้ อาจจะปรากฎทางความฝันแล้วหมอทรงจะเป็นผู้อธิบายความหมายโดยการประกอบพิธีกรรม "ทรงเจ้า" แนวคิดและพิธีกรรมของม้งเช่นนี้ทำให้นักวิชาการหลายท่านกำหนดให้ม้งเป็นพวกวิญญาณนิยม (Animism) (หน้า 22-23) ผีที่ม้งนับถือหากไม่ระวังตัวและไปลบหลู่ก็จะถูกทำร้ายให้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ผีป่าที่ม้งให้ความสำคัญคือเจ้าที่ หรือ "ถือติ" ซึ่งจะต้องมีการเซ่นสรวงเป็นประจำทุกปี ส่วนผีที่สิงประจำอยู่ในบ้านและผีบรรพบุรุษ ม้งจะเรียกว่า "ผีที่เป็นมิตร" ซึ่งผีเหล่านี้จะคอยปกป้องดูแลคนในครอบครัว (หน้า 52) ม้งมีแนวคิดเรื่องการบูชาบรรพบุรุษซึ่งม้งเรียกว่า "การถือหลักการแห่งผีบรรพบุรุษหรือ จ้อเก๋ใจด๊าคัว" ม้งทุกคนที่เกิดมา (หากยังไม่เปลี่ยนศาสนา) เมื่อตายไปก็จะถูกกำหนดให้เป็นผีบรรพบุรุษ (หน้า 53) ตามแนวคิดของม้งเมื่อมนุษย์ถือกำเนิดมาก็จะได้รับหนังสือกำหนดอายุจากยมบาลมาด้วย โดยมนุษย์และสัตว์จะเวียนว่ายตายเกิดในลักษณะวนรอบ 120 ปี ซึ่งนับตามอายุของมนุษย์คู่แรกที่มีอายุถึง 120 ปี เมื่อครบ 120 ปีแล้วจะมีการนับรอบใหม่ วนไปเช่นนี้เรื่อยๆ เช่น ถ้านาย ก มาเกิดบนโลกมนุษย์มีอายุได้ 50 ปี เมื่อเขาเสียชีวิตลงอายุรอบต่อไปก็จะเหลือเพียง 70 ปี เมื่อเขากระทำกรรมใดไว้ก็จะได้รับการตัดสินจากยมบาล แล้วยมบาลก็จะกำหนดอายุในรอบต่อไป สมมติว่าชาติปัจจุบันนาย ก ได้กระทำความชั่วมาก ชาติต่อไปได้ไปเกิดเป็นสัตว์ สมมติว่าสัตว์ตัวนั้นอายุเพียง 10 ปี เวลารอบที่เหลือของนาย ก ก็จะเท่ากับ 60 ปี และเมื่อนาย ก ที่เกิดเป็นสัตว์ได้ตายไปแล้วไปเกิดเป็นมนุษย์อีกก็จะมีอายุไม่เกิน 60 ปี แล้วเมื่อครบ 120 ปีแล้วก็วนรอบใหม่ เวลาของมนุษย์ในแนวคิดม้งจึงสัมพัทธ์กับการกระทำโดยมีจำนวนรอบ 120 ปี เป็นหน่วยอ้างอิง คนม้งจึงถือว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดา เพราะม้งเชื่อว่ามนุษย์เกิดแล้วตายแล้วก็เกิดเช่นนี้ไปเรื่อย (หน้า 83) สังคมม้งมีเกณฑ์แห่งการวัดค่าของคนโดยถือจริยธรรมในระดับที่ถือ "เก๋ใจ" หรือจารีต ประเพณี และกฎหมาย เป็นเกณฑ์ในการตัดสินพฤติกรรมของคนในสังคมและถือสำนึกแห่งกฎเกณฑ์จริยธรรมนี้ด้วย กล่าวคือผู้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านี้อย่างเคร่งครัดและถือเป็นสำนึกของหน้าที่ย่อมถือว่าเป็นคนดี ไม่ว่าจะเป็นเกณฑ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเองหรือเกณฑ์ระหว่างมนุษย์กับผี โดยเฉพาะกฎเกณฑ์ที่เนื่องด้วยคุณธรรม เช่น เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว เรื่องการแต่งงานระหว่างแซ่เดียวกัน การนำผู้หญิงอื่นที่ยังไม่ได้แต่งงานด้วยมาร่วมหลับนอนในบ้าน เรื่องการละเลยต่อการประพฤติตามหลักการแห่งผีบรรพบุรุษ เช่น การไม่ประกอบพิธีเซ่นไหว้ ซึ่งเกณฑ์เหล่านี้ม้งถือว่าเมื่อบุคคลปฏิบัติแล้วย่อมถือว่ามี "เจตนาดี" หรือ "สำนึกดี" เกณฑ์การวัดค่าความดีงามของม้งจึงถือการประพฤติตามหลักปฏิบัติด้วยความสำนึกในหน้าที่แห่งการกระทำนั้น (หน้า 111) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
เรื่องราวการสร้างโลก อาจนำมาจากนิทานเรื่องหนึ่งคือ เรื่องเทพเจ้าสร้างมนุษย์ โดยก่อให้เกิดน้ำท่วมโลกแล้วเหลือสองพี่น้องที่รอดตายโดยเข้าไปอาศัยอยู่ในกลองจนกระทั่งน้ำลดลงแล้วทั้งสองจึงออกมา จากนั้นทั้งสองจึงไปขอความเห็นจากเทพเจ้าเรื่องการแต่งงาน เทพเจ้าจึงแนะวิธีการให้ ในที่สุดทั้งคู่ก็ได้แต่งงานกันแต่ปรากฎว่าลูกที่เกิดมากลับเป็นเพียงก้อนเนื้อ เทพเจ้าเลยแนะให้เอาก้อนเนื้อนั้นหั่นเป็นทั้งหมด 12 ชิ้น จึงเกิดเผ่าพันธุ์ม้ง ซึ่งนิทานแต่ละเรื่องก็มีเนื้อหาต่างกันไป บ้างก็ว่าลูกที่เกิดมานั้นเป็นฟักทอง (หน้า 63) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
รูปภาพ 1.ภาพจำลองบ้านหลังหนึ่งของม้ง (หน้า 54) 2.แผนภาพแสดงวงจรผลกระทบต่อกันและกันจากการกระทำซึ่งข้ามภาพข้ามชาติ (หน้า 78) 3.แผนภาพแบบจำลองโครงสร้างจักวาลวิทยาเกี่ยวกับโลกมนุษย์และโลกแห่งผี (หน้า 89) รูปในภาคผนวก 1.การแต่งกายของม้ง (หน้า 136) 2.หญิงม้งขาว (หน้า 136) 3.พิธีกรรมสะเดาะเคราะห์ (หน้า 137) 4.การตำข้าวปุ้หรือฉัว (หน้า 1337) 5.ประเพณีสงกรานต์ (หน้า 138) 6.กีฬาฟุตบอล (หน้า 138) 7.การศึกษา (หน้า 139) 8.พิธีกรรมศพ (หน้า 139) 9.การเคารพศพเพื่อบุญกุศล (หน้า 140) 10.การเคารพศพที่เรียกว่า "เป" (หน้า 140) 11.การแสดงความขอบคุณ (หน้า 141) 12.การคำนับกัน (หน้า 141) 13.การชี้ทางให้วิญญาณ (หน้า 142) 14.แคนและกลอง (หน้า 142) 15.สัตว์เลี้ยงที่ใช้ฆ่าในพิธีกรรม (หน้า 143) 16.ส่งวิญญาณสัตว์ (หน้า 143) 17.การเคารพศพ (หน้า 144) 16.หลุมศพ (หน้า 144) 17.จื้อเน้งจื้อใหญ่ (หน้า 145) 18.ศาลของผีเน้งและผีสื่อก๊า (หน้า 145) 19.อุปกรณ์เซ่นไหว้ผีเน้ง (หน้า146) 20.สิ่งแทนของผีเน้ง (หน้า 146) 21.การประกอบพิธีกรรมทรงเจ้าหรืออัวเน้ง (หน้า 147) 22.ผีที่ประจำอยู่ในธรรมชาติ (หน้า 147) 23.การเซ่นไหว้ผีประจำธรรมชาติ (หน้า 148) 24.ภาพบรรยากาศพิธีกรรมดงเซ้ง (หน้า 148) |
|
|