|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไทยมุสลิม,ความเป็นอยู่,ประเพณี,ผู้นำชุมชน,กรุงเทพมหานคร |
Author |
สรัญ เพชรรักษ์ |
Title |
บทบาทผู้นำชุมชนมุสลิมในกรุงเทพมหานคร : กรณีศึกษาชุมชนสุเหร่าบ้านดอน |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
103 |
Year |
2542 |
Source |
หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยศิลปากร |
Abstract |
มีเนื้อหาครอบคลุมหลายประเด็น คือ ประวัติความเป็นมาของมุสลิมสุเหร่าบ้านดอน สภาพปัจจุบัน การคมนาคม ระบบครอบครัวเครือญาติ การแต่งกาย ชุมชนกับระบบศาสนา บทบาทของผู้น้ชุมชน |
|
Focus |
ศึกษาผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสังคมในชุมชนสุเหร่าบ้านดอนที่มีต่อบทบาทของผู้นำเฉพาะอิหม่ามและคณะกรรมการชุมชน (หน้า 5) |
|
Theoretical Issues |
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมของชุมชนจากชุมชนชนบทไปสู่ชุมชนเมือง ซึ่งทำให้มีพัฒนาการในเรื่องความชำนาญเฉพาะด้านมากขึ้นมีการแบ่งงานกันทำมากขึ้น มีส่วนสำคัญในการแบ่งบทบาทผู้นำ คือ อิหม่ามทำหน้าที่ผู้นำทางศาสนาและคณะกรรมการชุมชนทำหน้าที่อื่น ๆ ทางเศรษฐกิจและสังคมของชีวิตในชุมชน (หน้า 5-23) |
|
Ethnic Group in the Focus |
มุสลิมซึ่งคนในชุมชนเล่ากันว่าสืบเชื้อสายมาจาก "แขกตานี" หรือ "แขกปัตตานี" (หน้า 34) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
มุสลิมในชุมชนสุเหร่าบ้านดอนเปลี่ยนมาใช้ภาษาไทยแต่ยังคงนิยมเรียกเครือญาติด้วยภาษายาวี (หน้า 47-49, 51-52, 79-90) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้วิจัยไม่ได้ระบุช่วงเวลากล่าวแต่เพียงเข้าไปอาศัยอยู่ในชุมชนเป็นเวลา 1 ปี 4 เดือน (หน้า ฆ) |
|
History of the Group and Community |
ผู้เขียนได้อ้างข้อสันนิษฐานของเสาวนีย์ จิตต์หมวด (2531, 113) ว่าในสมัย รัชกาลที่ 1 ได้มีการอพยพมุสลิมจากจังหวัดปัตตานีมาไว้ตามที่ต่างๆ และจากการสัมภาษณ์ผู้อาวุโสในชุมชนสุเหร่าบ้านดอนซึ่งบอกว่าบรรพบุรุษมีมาจากปัตตานี ผู้เขียนจึงประมาณว่าสุเหร่าบ้านดอนอาจเก่าแก่ถึง 206-211 ปี ซึ่งผู้บุกเบิกได้เข้ามาจับจองที่ทำนา ในบริเวณที่เป็นชุมชนในปัจจุบันและเรียกชุมชนตนเองว่า "บ้านดอน" เนื่องจากเป็นที่ดอนและในสมัย รัชกาลที่ 3 ได้มีการขุดคลองแสนแสบชาวบ้านได้ย้ายเข้าไปอยู่ใกล้คลองมากขึ้น ซึ่งขณะนั้นมี 20-30 ครัวเรือนและพวก "ไบ๋" จากอินเดียซึ่งมีอาชีพเลี้ยงควายนมมาอยู่ร่วมด้วยบ้าง (หน้า 35-37) |
|
Settlement Pattern |
ลักษณะบ้านเรือนของคนในชุมชนสุเหร่าบ้านดอนค่อนข้างหลากหลายส่วนใหญ่จะปลูกบ้าน 2 ชั้น ชั้นล่างก่ออิฐถือปูน ชั้นบนสร้างด้วยไม้ที่เป็นบ้านชั้นเดียวหรือเป็นเรือนไทยมีสภาพเก่าแก่หรือทรุดโทรมมาก ส่วนบ้าน 3 ชั้นและอพาร์ทเมนท์จะมีสภาพใหม่เอี่ยม ชุมชนมีสภาพแออัดมาก ส่วนมัสยิดติดกับคลองแสนแสบและมีโป๊ะข้ามฟากบริการ 24 ชั่วโมง (หน้า 38, 48) |
|
Demography |
ข้อมูลจากงานพัฒนาชุมชน สำนักงานเขตคลองเตย ระบุว่ามีพื้นที่ทั้งหมด 15 ไร่ จำนวนครัวเรือน 500 หลังคาเรือน จำนวนครอบครัว 1,350 ครอบครัว จำนวนประชากร 3,750 คน สภาพการถือครองที่ดินส่วนใหญ่เช่าที่ปลูกบ้านและเป็นบ้านเช่า (หน้า 38) |
|
Economy |
จากสภาพแวดล้อมที่เป็นเส้นทางผ่านสายสำคัญๆ เป็นทำเลที่ดีในการประกอบอาชีพค้าขายโดยเฉพาะอาหารการกินเกือบทั้งหมดผู้หญิงเป็นคนทำ ผู้ชายในชุมชนมักมีรายได้ต่ำ ประกอบอาชีพขับรถรับจ้าง นอกจากนี้ ยังมีการประกอบอาชีพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลานเช่าที่จอดรถ ร้านตัดผม ร้านเช่าหนังสือ ร้านเช่าวีดีโอ มีตลาดนัดทุกวันเสาร์และพุธ การประกอบกิจการที่หลากหลายเช่นนี้ทำให้มีสภาพเศรษฐกิจที่พึ่งพาแลกเปลี่ยนกันเองในชุมชนได้ (หน้า 43-44,49 ) |
|
Social Organization |
การเลือกคู่ครอง ชาวสุเหร่าบ้านดอนไม่ยินยอมให้เกิดการสมรสกับคนนอกศาสนาจะแต่งงานกับคนมุสลิมด้วยกัน คนในชุมชนจึงมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ปัจจัยทางเศรษฐกิจและพื้นที่อยู่อย่างจำกัดมีอิทธิพลต่อรูปแบบครอบครัว เมื่อประชากรเพิ่มขึ้นไม่สามารถขยับขยายออกไปตั้งครัวเรือนใหม่ได้นอกจากขยายบ้านขึ้นไปในทางสูง แต่ในกรณีที่กำลังทรัพย์ไม่เพียงพอก็จะอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวรวมเป็นส่วนใหญ่ บางครอบครัวมีสมาชิกในครอบครัวถึง 3 รุ่น แต่มีบางส่วนที่มีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยว การที่มีที่ดินจำกัดทำให้มีการตั้งถิ่นฐานหลังการแต่งงานที่หลากหลาย (หน้า 44-48) |
|
Political Organization |
บทบาทของผู้นำ จากเดิมมีอิหม่ามเป็นผู้นำทั้งในด้านศาสนาและเป็นผู้นำชุมชน ต่อมาหน่วยงานของรัฐได้จัดให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการชุมชนขึ้นรองรับนโยบายของภาครัฐ ตลอดจนแต่งตั้งผู้มีความรู้ความสามารถเหมาะสมเป็นที่ปรึกษาหรือคณะทำงานในฝ่ายต่าง ๆ ทำให้เกิดการแยกย่อยและการแบ่งงานทางโครงสร้างของผู้นำในชุมชนขึ้น จากที่เคยมีอิหม่ามเป็นผู้นำกลายเป็นมีผู้นำในชุมชน 2 ประเภท บทบาทในการเป็นผู้นำของอิหม่ามเฉพาะในด้านที่นอกจากเรื่องศาสนาจึงลดลง เนื่องจากมีคณะกรรมการชุมชนเข้าทำหน้าที่แทน (หน้า 2-3,68-87,89) บทบาทของอิหม่าม อิหม่ามเป็นผู้นำในการละหมาดในมัสยิด การจะเป็นอิหม่ามได้นั้นต้องผ่านการเลือกตั้งจากปวงสัปปุรุษ เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้วต้องอยู่ในตำแหน่งจนตลอดชีวิต เว้นแต่ชราจนไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือทุพพลภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง ในชุมชนอิหม่ามมีบทบาท คือ เป็นคณะกรรมการมัสยิด ก่อสร้างมัสยิด ก่อสร้างโรงเรียนสอนศาสนา ให้ความร่วมมือระหว่างชุมชน จัดตั้งกลุ่มยุวชน กรณีพิพาทเรื่องท่าเรือข้ามฟากทำให้คนในชุมชนกลุ่มใหญ่ไม่ชอบอิหม่าม เนื่องจากขัดผลประโยชน์ของคนกลุ่มหนึ่ง คณะกรรมการชุมชนเกิดขึ้นใน พ.ศ. 2528 สมัยที่นายดำรง ลัทธพิพัฒน์เป็นผู้ว่าการเคหะแห่งชาติได้ดำเนินนโยบายปรับปรุงทางเท้าเปลี่ยนสภาพที่เคยเป็นสะพานไม้พาดมาเป็นราดคอนกรีต รวมทั้งดำเนินการให้มีการก่อสร้างศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนและอำนวยการให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการชุมชนขึ้น หน้าที่นี้ต่อมาได้โอนให้สำนักงานเขตแต่งตั้งเจ้าหน้าที่มาอย่างน้อย 7 คน มาทำหน้าที่อำนวยการแทน ในทางปฏิบัติกิจกรรมของคณะกรรมการชุมชนขึ้นอยู่กับบุคลิกของคณะกรรมการบางคนมากกว่าคณะกรรมการโดยรวม บทบาทของคณะกรรมการในชุมชน คือ จัดตั้งหน่วยบรรเทาสาธารณภัยบ้านดอน งานด้านกีฬาและต่อต้านยาเสพติด จัดอบรมอาชีพผ้าบาติก นำประท้วงปิดคลองแสนแสบ ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ คนในชุมชนไม่ค่อยสนใจเข้าร่วมกิจกรรมที่คณะกรรมการชุมชนจัดขึ้น สิ่งนี้ไม่ได้มาจากความเพิกเฉยของคนในชุมชน หากคณะกรรมการชุมชนเป็นผู้นำในกิจกรรมที่สอดคล้องกับความต้องการของคนส่วนใหญ่จริงๆ คนจำนวนมากก็พร้อมที่จะเข้าร่วม สภาพความสัมพันธ์ระหว่างอิหม่ามและคณะกรรมการชุมชนมีความพยายามในการผสมผสานกันระหว่างบทบาทของตนเข้ากับบทบาทของอีกฝ่ายหนึ่งในกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน (หน้า 68-95) |
|
Belief System |
ชาวชุมชนสุเหร่าบ้านดอนนับถือศาสนาอิสลามยึดหลักศรัทธา 6 ประการ คือ 1.ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า 2.ศรัทธาในบรรดามลาอิกะห์ 3.ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ 4.ศรัทธาในบรรดาศาสนทูต 5.ศรัทธาในวันพิพากษา 6.ศรัทธาในกำหนดสภาวการณ์ และหลักปฏิบัติ 5 ประการ คือ 1.การปฏิญาณตน 2.การละหมาด 3.การถือศีลอด 4.การบริจาคซะกาต 5.การประกอบพิธีฮัจญ์ อิทธิพลของศาสนาที่มีต่อประเพณีเกี่ยวกับชีวิต เช่น ประเพณีการเกิด มุสลิมถือว่าบุตรถือของขวัญที่พระเจ้าประทานมาให้ มุสลิมจะ "อะซาน" และ "อิกอมะห์" ที่หูซ้ายขวาของเด็กแรกเกิด พิธีกรรมนี้จึงนับว่าเป็นการต้อนรับเด็กเข้าสู่ความเป็นมุสลิมในเบื้องต้น ประเพณีการแต่งงาน มุสลิมจะให้ความสำคัญมาก โดยอัลกุรอ่านกล่าวไว้ว่า "สูเจ้าทั้งหลายอย่าอยู่ร่วมกันโดยไม่มีการนิก๊ะห์ (แต่งงาน) อย่างเด็ดขาด" ในพิธีอิหม่ามจะต้องร่วมอยู่ด้วยเสมอทำหน้าที่เป็นตัวแทนผู้ปกครองของฝ่ายเจ้าสาว ส่วนตัวเจ้าสาว จะไม่มาร่วมในพิธีแต่จะไปรออยู่ในห้องหอจนกว่าขั้นตอนจะเสร็จสิ้น ประเพณีการตาย เมื่อมีคนตายจะต้องนำศพไปฝังภายใน 24 ชั่วโมงมีการขอดูอา (ขอพร) ให้ศพซึ่งเรียกว่า มัยยัต อิหม่ามจะเป็นผู้นำทุกครั้ง เมื่อทราบข่าวว่ามีคนตายถือเป็นหน้าที่ที่คนรู้จักต้องไปเยี่ยมศพโดยไม่ต้องมีการเชิญ ใกล้เวลาของดูอาจึงค่อยนำศพไปบนสุเหร่า จากนั้น จึงเดินแถวนำศพไปฝัง พิธีฝังศพสามารถเป็นบทลงโทษสำหรับไว้ป้องกันมุสลิมเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นได้ กล่าวคือ พวกที่เปลี่ยนศาสนาถือว่าละทิ้งศรัทธา 5 ประการ เมื่อตายลงบรรดาพ่อแม่พี่น้องจะไม่ทำพิธีศพให้ มุสลิมเชื่อในดวงวิญญาณผู้ที่ได้รับการศึกษาทางศาสนาอิสลามจะทราบว่าเมื่อคนตายแล้วดวงวิญญาณจะออกจากร่างไปรวมกันอยู่ที่หนึ่งและจะยังไม่ไปเกิดจนถึงวาระสุดท้ายของโลกหรือวันพิพากษา พระเจ้าจะตัดสินว่าดวงวิญญาณนั้นได้ทำความดี ความชั่วมามากน้อยเท่าใดต้องไปตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ (หน้า 54-67) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
ผู้วิจัยไม่ได้กล่าวถึง เนื่องจากชุมชนสุเหร่าบ้านดอนอยู่ในพื้นที่ที่เป็นเมือง มีการคมนาคมสะดวก สันนิษฐานได้ว่าชาวชุมชนน่าจะไปโรงพยาบาลหรือคลินิกเมื่อเกิดอาการเจ็บป่วย (หน้า 4-5) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายของผู้ชายห้ามใส่เครื่องประดับนิยมสวมหมวกครึ่งวงกลม เมื่อทำพิธีกรรมทางศาสนา นุ่งโสร่ง ผู้หญิงมุสลิมไม่ได้เคร่งครัดเรื่องการแต่งกายตามข้อกำหนดทางศาสนา จะแต่งกายก็เฉพาะตอนทำละหมาดเท่านั้น ปกติจะแต่งตัวเหมือนคนไทยอยู่กับบ้านนิยมนุ่งโสร่ง หากเป็นวัยรุ่นเมื่อออกนอกบ้านก็แต่งตัวตามสมัยนิยม ส่วนหญิงวัยกลางคนเมื่อออกนอกบ้านหรือไปร่วมงานประเพณี เช่น งานศพ งานแต่งงานจะแต่งฮิญาบและนุ่งโสร่ง แต่หลายรายมักนิยมสวมหมวกคลุมผมที่ทำด้วยไหมพรมแทนการคลุมหน้า ในส่วนของเด็ก ๆ ทั้งหญิงและชายจะแต่งกายเหมือนเด็กไทยทั่วไป แต่เมื่อต้องทำละหมาดก็จะนุ่งโสร่งสวมหมวก (หน้า 50-52 ) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ชาวชุมชนสุเหร่าบ้านดอนรู้สึกว่าแตกต่างจากคนไทยโดยทั่วไปที่นับถือศาสนาพุทธจะเรียกตนเองว่า "คนอิสลาม" หรือ มุสลิม แต่จะไม่เรียกตัวเองว่าแขกและไม่ชอบที่ถูกคนไทยเรียกว่า "แขก" (หน้า 63) |
|
Social Cultural and Identity Change |
เดิมที่เคยอยู่กันเป็นกลุ่มก้อนประกอบอาชีพทางเกษตรกรรม ที่คลองแสนแสบเป็นแหล่งอาหารและเส้นทางคมนาคมหลักที่ทำให้การติดต่อกับคนภายนอกเป็นไปอย่างจำกัด ส่วนใหญ่เป็นการแลกเปลี่ยนอาหารและสิ่งจำเป็นในการดำรงชีพ ต่อมาเมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนแปลง วิถีชีวิตของคนค่อยๆ เปลี่ยนตาม เมื่อมีการตัดถนนสุขุมวิทและถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ที่ดินราคาสูงขึ้น มีปัญหาทำนาได้ผลผลิตต่ำ น้ำในคลองแสนแสบเริ่มเน่าเสีย เงินตราเข้ามามีบทบาทสำคัญทำให้คนในชุมชนขายที่ออกไปมากและเลิกทำนาในที่สุด ผู้คนจากที่ต่าง ๆ เข้ามาอยู่อาศัยและเปิดกิจการต่างๆ อยู่อาศัยร่วมกับคนต่างวัฒนธรรม และการปฏิบัติทางศาสนาหย่อนยานไปบ้าง เช่น ไม่สามารถละหมาดได้ครบทุกเวลา บทบาทของอิหม่ามก็เปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเป็นผู้นำทั้งศาสนาและชุมชน เมื่อหน่วยงานของรัฐมีนโยบายจัดให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการชุมชนขึ้น การยอมรับบทบาทผู้นำของอิหม่ามจึงคงเห็นเด่นชัดเฉพาะการเป็นผู้นำทางศาสนา (หน้า 36-37, 52-53, 88-94 ) |
|
Map/Illustration |
ภาพที่ 2 ท่าเรือข้ามฟากหน้ามัสยิดดารุ๊ลมัวะห์ซีนีน ภาพที่ 6 การแต่งกายเพื่อทำพิธีทางศาสนาของชายมุสลิมในชุมชนสุเหร่าบ้านดอน ภาพที่ 7 การละหมาดวันศุกร์ในมัสยิดดารุ๊ลมัวะซีนีน แผนที่ 1 ชุมชนสุเหร่าบ้านดอนบริเวณซอยประเสริฐสิทธิ์ แผนที่ 2 ชุมชนสุเหร่าบ้านดอนบริเวณซอยแสงเงินและซอยพร้อมพรรค (หน้า 39,40,41,51,58 ) |
|
|