สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มอญ,ทะแยมอญ,การดนตรี,วัฒนธรรม,การเปลี่ยนแปลง,บางกระดี่,กรุงเทพมหานคร
Author ชโลมใจ กลั่นรอด
Title ทะแยมอญ : วัฒนธรรมการดนตรีของชาวมอญชุมชนวัดบางกระดี่
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 272 Year 2541
Source หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวัฒนธรรมศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล
Abstract

จากผลการวิจัยพบว่า ทะแยมอญเป็นการละเล่นของมอญที่มีการด้นกลอนเป็นคำร้องประกอบดนตรีซึ่งมี 2 รูปแบบคือ รูปแบบโบราณ และรูปแบบใหม่ ในด้านองค์ประกอบพบว่าบทร้องที่เป็นภาษามอญโบราณ และคำบาลีทำให้จำกัดผู้ชมอยู่ในกลุ่มมอญผู้สูงอายุเท่านั้น ส่วนมอญหนุ่มสาวไม่ให้ความสนใจเนื่องจากไม่เข้าใจภาษาในบทร้อง จำนวนผู้แสดงลดน้อยลง เพราะขาดการสืบทอดทำให้เพลงเก่าจำนวนหนึ่งต้องสูญไป อีกทั้งในปัจจุบัน การละเล่นทะแยมอญได้กลายมาเป็นการแสดงที่มีผู้จ้างวาน มีการประยุกต์เพลงสมัยใหม่เข้าไปใช้ร้อง มีทั้งเนื้อร้องที่เป็นภาษามอญ และภาษาไทย ส่วนดนตรีที่ใช้บรรเลงเรียกว่า "โกรจยาม" นั้น เป็นการบรรเลงคลอไปกับเสียงของคนร้อง เสียงของดนตรีมีลักษณะทุ้มต่ำ เพลงมีลักษณะเป็นทำนองสั้นๆ มีการซ้ำทำนองในขณะที่เนื้อร้องเปลี่ยนไป สำหรับด้านความสัมพันธ์กับดนตรีไทยนั้นพบว่า โกรจยามมีพื้นฐานการผสมวง และการบรรเลงคล้ายเครื่องสายไทย มีการนำทำนองเพลงไทยบางเพลงไปใช้ อีกทั้งในด้านเครื่องดนตรียังมีการพัฒนารูปร่างลักษณะของ "จยาม" ให้มีลักษณะเหมือนจะเข้ของไทย สำหรับทะแยมอญแล้วนั้น ผู้วิจัยได้เสนอว่า ทะแยมอญถือว่ามีบทบาทต่อชุมชนบางกระดี่ร่วมด้วย โดยทำหน้าที่ให้ความบันเทิงและขัดเกลาทางสังคม จากเนื้อร้องที่แฝงไว้ด้วยการอบรมสั่งสอนศีลธรรมจรรยาขนบประเพณี และการเกี้ยวพาราสีของฝ่ายชายและฝ่ายหญิงนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตาม การพัฒนาทะแยมอญยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจน อีกทั้งยังไม่ได้รับการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งอาจมีผลต่อการสูญสิ้นของวัฒนธรรมการดนตรีมอญด้านเครื่องสายแหล่งสุดท้ายของมอญในประเทศไทยก็เป็นได้ (หน้า 241 - 247)

Focus

ศึกษารูปแบบองค์ประกอบของทะแยมอญ รวมทั้งประวัติความเป็นมา สภาพทางสังคม วัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ของชุมชนมอญวัดบางกระดี่ที่มีผลต่อวัฒนธรรมการดนตรี และการเล่นทะแยมอญ ตลอดจนศึกษาลักษณะทางดนตรีในทะแยมอญ ที่มีความสัมพันธ์กับดนตรีไทย (หน้า 3-4)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ผู้วิจัยได้เลือกพื้นที่ชุมชนมอญวัดบางกระดี่ แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ในการศึกษา ความเชื่อ พิธีกรรม ประเพณีต่างๆ และศึกษาองค์ประกอบต่างๆ ของทะแยมอญของคณะทะแยมอญ "หงส์ฟ้ารามัญ" ซึ่งเป็นทะแยมอญคณะเดียวของชุมชนมอญวัดบางกระดี่ที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน (หน้า 19)

Language and Linguistic Affiliations

ในยามปกติของชีวิตประจำวัน มอญบางกระดี่จะติดต่อสื่อสารกันด้วยภาษามอญเป็นภาษาแรก และภาษาไทยเป็นภาษารอง จากการศึกษาพบว่า ประชากรรุ่นอายุ 40 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่จะมีความรู้ด้านเขียนอ่านภาษามอญได้ดี นอกเหนือจากการพูด ซึ่งตรงข้ามกันผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี น้อยคนที่จะเขียนอ่านภาษมอญได้ แม้เจ้าอาวาสวัดบางกระดี่จะมีการเปิดสอนภาษามอญขึ้นก็ตาม แต่ด้วยทุกคนต่างมีภาระหน้าที่ที่รับผิดชอบแตกต่างกัน อีกทั้งสภาพสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจไม่เอื้อ ดังนั้น จึงส่งผลให้การเรียนการสอนภาษามอญแก่เด็กและผู้ที่สนใจต้องเป็นอันสิ้นสุดลง คงจำกัดวงแคบอยู่เฉพาะพระภิกษุสามเณรที่วัดบางกระดี่ที่ยังคงมีการเรียนการสอนภาษามอญ และสวดมนต์ภาษามอญ (หน้า 43-44)

Study Period (Data Collection)

ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2540 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2541 รวมใช้เวลาในการวิจัยทั้งสิ้น 21 เดือน (หน้า 5)

History of the Group and Community

ชุมชนบางกระดี่เกิดขึ้นจากการขยายที่ทำมาหากินของกลุ่มมอญบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร และมอญปากลัด จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งมีความสัมพันธ์ติดต่อกัน โดยอาศัยคลองมหาชัยเป็นเส้นทางคมนาคม ต่างเห็นว่าพื้นที่แถบแสมดำมีป่าชายเลน และป่าจากเหมาะที่จะเป็นแหล่งวัตถุดิบในการประกอบอาชีพ ตัดฟืน และเย็บจากส่งขายกรุงเทพมหานครได้เป็นอย่างดี จึงทยอยกันอพยพมาตั้งรกรากเพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นชุมชน (หน้า 28)

Settlement Pattern

มอญบางกระดี่ จะปลูกบ้านเป็นแนวตามฝั่งคลองสนามไชยทั้งสองฝั่งอย่างหนาแน่น ลักษณะของบ้านนั้นคล้ายๆ กับบ้านของคนไทย คือ มีทั้งเรือนไทยใต้ถุนสูง ซึ่งทำด้วยไม้ทั้งหลัง และที่เป็นครึ่งตึกครึ่งไม้ รวมถึงเรือนแบบเก่าที่มุงด้วยใบจาก (หน้า 48) บ้านของมอญบางกระดี่จะมีเสาเรือนอยู่ 3 ต้น ที่สำคัญคือ เสาแรกซึ่งเป็นเสาเอกเรียกว่า "เสาตัวผู้" เป็นเสาผีบรรพบุรุษ หรือที่เรียกว่า "เสาปาโหนก" เสาที่สองเป็นเสาโทเรียกว่า "เสาตัวเมีย" และเสาที่สามเป็นเสาพระ ซึ่งจะอยู่ทางทิศตะวันออกของตัวบ้าน ในกรณีที่จะขยายบริเวณบ้านให้กว้างออกไปนั้น ตามโบราณที่ยึดถือกันมาคือ ให้ขยายได้เฉพาะด้านที่อยู่ด้านทิศตะวันตก และทิศใต้เท่านั้น ส่วนทางทิศตะวันออกกับทางทิศเหนือห้ามขยายเด็ดขาด นอกจากนี้ การสร้างบ้านหลังที่สองที่ต่อเติมจากหลังแรกนั้น พื้นบ้านและหลังคาจะต้องต่ำจากหลังแรกด้วย สิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือบ้านทุกหลังจะมีบันไดขึ้น-ลงไว้หน้าบ้าน ทั้งนี้ ได้รับการบอกเล่าจากชาวบ้านว่า เพื่อสะดวกในการนำศพลงจากบ้าน เพราะประเพณีของมอญที่ปฏิบัติกันมานั้นนิยมนำศพลอดใต้ถุนบ้าน ถ้าบ้านใดไม่มีบันไดนอกตัวบ้านดังกล่าว ก็จะทำทางโดยเจาะช่องไว้สำหรับนำศพลงจากเรือน ไม่นิยมนำศพออกทางประตู เชื่อว่าไม่เป็นมงคล (หน้า 48)

Demography

ชุมชนมอญวัดบางกระดี่มี 3 หมู่บ้านเท่านั้น ประกอบด้วย หมู่ที่ 2 , 8 และ 9 ซึ่งตั้งอยู่ทั้งสองฝั่งของคลองสนามไชยในพื้นที่แขวงแสมดำ และส่วนใหญ่จะเป็นประชากรที่บางกระดี่โดยกำเนิด โดยมีจำนวนประชากร ตามรายงานสถิติจำนวนประชากรจากหลักฐานทะเบียนราษฎร์ของสำนักงานทะเบียนท้องถิ่น เขตบางขุนเทียน ณ เดือนธันวาคม พ.ศ. 2540 ทั้งสิ้น 4,559 คน แยกตามพื้นที่ ดังนี้ พื้นที่หมู่ที่ 2 ชาย 1,205 คน หญิง 1,222 คน รวม 2,427 คน พื้นที่หมู่ที่ 8 ชาย 622 คน หญิง 651 คน รวม 1,273 คน พื้นที่หมู่ที่ 9 ชาย 435 คน หญิง 424 คน รวม 859 คน รวมทั้งสิ้น 4,559 คน (หน้า 39)

Economy

ผู้วิจัยได้เสนอว่า แต่เดิมนั้นมอญบางกระดี่มีอาชีพทำนา ตัดฟืน เย็บจาก และจับสัตว์น้ำ แต่เนื่องจากปัจจุบัน (ปี พ.ศ. 2540) พื้นที่ส่วนใหญ่ได้ขายให้แก่นายทุนเพื่อสร้างเป็นโรงงานอุตสาหกรรม และบ้านจัดสรร การประกอบอาชีพทางเกษตรกรรมของประชาชนที่บางกระดี่จึงเปลี่ยนไปเป็นการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม ธุรกิจปลูกบ้านให้คนงานโรงงานเช่า อาชีพรับราชการ ทำบ่อปลา วังกุ้ง และอาชีพขับรถรับจ้าง ปัจจุบันประชาชนส่วนใหญ่ที่บางกระดี่มีฐานะดี อันเนื่องมาจากการค้าขายที่ดินให้นายทุน (หน้า 45)

Social Organization

สังคมของชุมชนมอญวัดบางกระดี่นี้เป็นลักษณะความสัมพันธ์ทางครอบครัว แบบเครือญาติ เป็นครอบครัวขนาดใหญ่ประกอบด้วย พ่อ แม่ พี่ น้อง ปู่ ย่า ตา ยาย หากสมาชิกคนใดแต่งงานมีครอบครัว ก็จะยังไม่แยกบ้าน คงอยู่รวมกันภายใต้ความสัมพันธ์ ที่แน่นแฟ้น โดยมีผู้ที่เป็นหัวหน้าครอบครัวแต่ละครอบครัวซึ่งโดยปกติจะเป็นพ่อ แต่ถ้าไม่มีพ่อผู้เป็นแม่ก็จะเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ สังคมมอญวัดบางกระดี่ก็เช่นเดียวกับสังคมมอญทั้งหลายที่นิยมยกย่องชาย สังเกตจากการทำบุญที่วัด ผู้ชายจะนั่งอยู่สูงกว่าผู้หญิง ในกรณีที่พื้นเป็นชั้นลดหลั่น ในด้านการครองเรือน ผู้หญิงจะต้องเป็นผู้ตามที่ดี ไม่ทำอะไรที่นำหน้าสามี นอกจากนี้ ยังห้ามผู้หญิงเข้าโบสถ์ในพิธีบวชนาค ผู้เป็นมารดาจะส่งผ้าไตรให้นาคอุ้มเข้าโบสถ์ และนั่งคอยอยู่ด้านนอกจนกว่านาคนั้นจะบวชเรียบร้อยเป็นพระภิกษุออกมาแล้ว มารดาก็จะถวายดอกไม้ อีกทั้งยังห้ามผู้หญิงเข้าห้องน้ำห้องส้วมของพระสงฆ์อีกด้วย (หน้า 46)

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

มอญนับถือศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ในชุมชนมอญทุกแห่งจะสร้างวัดมอญไว้สำหรับเป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เป็นที่พบปะสังสรรค์ของคนในชุมชน และใช้เป็นสถานที่ให้การศึกษาแก่เด็กๆ มอญมีความเคร่งครัดในศาสนามาก ในวันสำคัญๆ ทางศาสนาจะพากันไปทำบุญอย่างเนืองแน่น สัญลักษณ์ที่เป็นเครื่องหมายของวัดมอญคือ เจดีย์แบบมอญ และเสาหงส์ (หน้า 40) นอกจากนี้ผู้วิจัยยังได้เสนอต่อว่า ความเชื่อ ศรัทธา และความกลัวในสิ่งที่เหนือธรรมชาติ เป็นพื้นฐานสำคัญที่ก่อให้เกิดพิธีกรรม เพื่อคลายจากความกังวลใจ คลายจากความกลัว และมีความมั่นใจในความปลอดภัยของชีวิต มนุษย์จึงต้องคอยระวังเซ่นไหว้สังเวยสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ มนุษย์เชื่อว่าเบื้องหลังสิ่งที่เหนือธรรมชาติมีผู้คอยบงการอยู่ และผู้คอยบงการนี้มนุษย์เรียกว่า "ผี" (หน้า 104) ความเชื่อและพิธีกรรมของมอญบางกระดี่ ได้แก่ การนับถือผีบรรพบุรุษ ที่เรียกว่า "อะโหนก" หรือ "ปาโหนก" แปลว่า พ่อปู่ ซึ่งหมายถึง ผีบรรพบุรุษนั่นเอง โดยจะมีสัญลักษณ์อยู่ที่เสาเอกของบ้าน และปาโหนกของมอญบางกระดี่ จะอยู่กับลูกชายคนเล็กเท่านั้น ยกเว้นกรณีที่มีลูกชายคนเดียวก็อนุโลมได้ แต่ถ้าไม่มีลูกชายเลย ปาโหนกนั้นก็จะต้องอยู่กับญาติพี่น้องที่เป็นตระกูลเดียวกัน ซึ่งเหตุที่ไม่ให้ผู้หญิงรับปาโหนกเพราะมีคติความเชื่อที่ว่า ผู้หญิงนั้นเป็นผีตามกิน คือ เมื่อแต่งงานแล้วก็ต้องไปนับถือผีข้างสามี ในปีหนึ่งๆ จะมีการเซ่นบูชาปาโหนก 1 ครั้ง ส่วนมากมักจะกระทำกันหลังสงกรานต์ อีกทั้งจากที่ผู้วิจัยได้สอบถามมอญบางกระดี่ได้พบว่า ผีมอญของชาวบางกระดี่นี้ ประกอบด้วย ผีเต่า ผีงู ผีไก่ และผีข้าวเหนียว เป็นต้น และความเชื่อในเรื่องผีมอญนี้ ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนจะทำให้มีเหตุเภทภัย เป็นต้นว่าเกิดเจ็บป่วยโดยไม่รู้สาเหตุ ซึ่งจะต้องแก้ด้วย "พิธีรำผีมอญ" (หน้า 106-107)

Education and Socialization

ชุมชนมอญวัดบางกระดี่ เป็นชุมชนที่เห็นความสำคัญด้านการศึกษา ในสมัยก่อนผู้ชายจะได้ร่ำเรียนวิชาที่วัด ซึ่งต่อมาวัดได้มอบที่ดินจำนวน 3 ไร่ 1 งาน 55 ตารางวา ให้แก่ทางราชการเพื่อสร้างโรงเรียนวัดบางกระดี่ ส่วนผู้หญิงนั้นเดิมต้องทำงานอยู่กับบ้าน จึงได้รับการส่งเสริมให้ได้เรียนทัดเทียมกับผู้ชายในเวลาต่อมา จากการศึกษาพบว่า ได้มีการพัฒนาด้านการศึกษาให้แก่เด็กก่อนวัยเรียนด้วย โดยแบ่งการศึกษาออกเป็น 2 ระดับ คือ ระดับอนุบาล และระดับประถมศึกษา กล่าวคือ ระดับอนุบาล มีโรงเรียนอนุบาลนพรัตน์ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนก่อนวัยเรียนมี 3 ระดับชั้นเรียน คือ อนุบาล 1, 2 และ 3 ส่วนระดับประถมศึกษา มีโรงเรียนวัดบางกระดี่เป็นโรงเรียนประจำชุมชน ซึ่งให้การศึกษาแก่ประชาชนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดกรุงเทพมหานคร และปัจจุบันนี้ได้ขยายระดับการศึกษาจนถึงมัธยมศึกษาตอนต้นปีที่ 3 อีกด้วย นับเป็นศูนย์กลางของชุมชนที่คู่กับวัดบางกระดี่มาแต่ดั้งเดิม นอกจากการศึกษา 2 ระดับที่กล่าวแล้ว ชุมชนมอญวัดบางกระดี่ยังมีเอกชนเปิดดำเนินการเป็นสถานรับเลี้ยงเด็กชื่อว่า "สถานรับเลี้ยงเด็กบ้านรักเด็กบางกระดี่" ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของหมู่ที่ 8 ประชาชนส่วนใหญ่จะมีการศึกษาอยู่ในระดับประถมศึกษาปีที่ 4 และประถมศึกษาปีที่ 6 ส่วนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและระดับปริญญานั้นมีเป็นส่วนน้อย (หน้า 41)

Health and Medicine

ผู้วิจัยได้เสนอว่า ตามธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้น ย่อมต้องการที่จะปลดเปลื้องให้หายจากอาการป่วยเหล่านั้น และโดยเฉพาะสภาพสังคมที่ห่างไกลการแพทย์แผนปัจจุบัน การพึ่งยาสมุนไพร และการพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือสิ่งเหนือธรรมชาติย่อมเป็นหนทางบำบัดรักษาการเจ็บป่วยที่ดีที่สุด ชุมชนมอญวัดบางกระดี่นั้น แต่ก่อนเป็นชุมชนที่ห่างไกลความเจริญ การคมนาคมติดต่อไปมาลำบาก ในการรักษาโรคจึงต้องพึ่งหมอพื้นบ้าน (หน้า 121)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

วัฒนธรรมการแต่งกายของมอญวัดบางกระดี่ ในยามปกตินั้นไม่แตกต่างจากคนไทยมากนักทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก ซึ่งทางผู้วิจัยได้ให้รายละเอียดถึงวัฒนธรรมการแต่งกายของมอญเพิ่มเติมประกอบ เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นดังนี้ (หน้า 50 - 51) การแต่งกายของผู้ชาย ทรงผม ผู้ชายมอญบางกระดี่จะไว้ทรงผมแบบชายไทยทั่วไป เสื้อชายมอญบางกระดี่ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งผู้สูงอายุ โดยทั่วไปจะสวมเสื้อตามสมัยนิยม แต่ถ้ามีงานตามประเพณีหรือตามเทศกาลต่างๆ จะสวมเสื้อคอพวงมาลัย ซึ่งมีทั้งที่เป็นพื้นเรียบๆ และลายดอกหลากสีสวยงาม กางเกง ส่วนใหญ่นิยมนุ่งกางเกงขาก๊วย ซึ่งมีทั้งขาสั้นสามส่วน และขายาว สีที่นิยมคือ สีดำ น้ำตาล และน้ำเงิน ส่วนเด็กๆ และวัยรุ่นก็จะแต่งตามสมัยนิยม แต่ถ้ามีงานตามประเพณี หรือตามเทศกาลต่างๆ ผู้ชายมอญจะสวมผ้าโสร่งแบบพื้น และแบบลายตาหมากรุกหลากสี ลักษณะของการนุ่งโสร่งนั้นมอญบางกระดี่เรียกว่า "นุ่งลอยชาย" คือเป็นการนุ่งให้มีจีบอยู่ด้านหน้า แล้วปล่อยชายพกให้เป็นพู่ห้อยลงมา ลักษณะคล้ายการนุ่งผ้าตัวนางของละครไทยที่เรียกว่า "จีบหน้านาง" ผ้าพาดไหล่ หรือผ้าคล้องคอนั้น ส่วนใหญ่จะใช้ผ้าขาวม้า เรียกว่า "หยาดอะบัว" ซึ่งจะมีวิธีพาดหรือคล้องอยู่ 3 แบบคือ แบบที่ 1 การห้อยพาดข้างเดียว จะเป็นข้างใดข้างหนึ่งก็ได้สำหรับชีวิตประจำวันธรรมดา แบบที่ 2 เป็นการพาดคล้องไหล่ทั้งสองข้าง สำหรับงานรื่นเริงต่างๆ โดยปล่อยให้ชายผ้าทั้งสองข้างทิ้งไปด้านหลัง แบบที่ 3 การพาดพันตัวเป็นสไบเฉียง การพาดแบบนี้จะปฏิบัติกันทุกคนเมื่อเวลาเข้าวัด เป็นการแสดงความสุภาพ และเคารพต่อพระภิกษุ ทั้งยังใช้เป็นผ้ากราบอีกด้วย การแต่งกายของผู้หญิง ทรงผม ปัจจุบันนี้สาวมอญบางกระดี่นิยมไว้ทรงผมแบบสมัยนิยมมากขึ้น แต่ก็มีบางส่วนที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ไว้คือ การเกล้ามวยผม โดยเฉพาะสตรีผู้สูงอายุทุกคน และที่มวยผมนั้นในยามปกติจะมีอุปกรณ์อยู่ 2 ชิ้น คือ ชิ้นหนึ่งมีลักษณะคล้ายเกือกม้า เรียกว่า "อะนดซก" ใช้เสียบแนวตั้ง อีกชิ้นหนึ่งมีลักษณะคล้ายใบไผ่ เรียกว่า "หะเลียงซก" ใช้เสียบแนวนอน แต่ถ้าไปงานบุญหรือไปงานต่างๆ จะประดับมวยผมด้วยดอกไม้หรือลูกปัดที่มีภู่ห้อยหลากสีสวยงาม เรียกว่า "แหมะแกวปาวซก" เสื้อ ในยามปกติผู้หญิงมอญจะสวมเสื้อตามสมัยนิยม ยกเว้นผู้สูงอายุมักจะใส่เสื้อชั้นในคอกระเช้าแบบหลวมๆ และแบบรัดทรงมีกระดุมด้านหน้า ผ้านุ่ง หญิงมอญบางกระดี่จะนุ่งผ้านุ่งไม่ว่าหญิงสาวหรือผู้สูงอายุ ยกเว้นหญิงสาวที่ไปธุระนอกบ้านจะแต่งกายตามสมัยนิยม ผ้าสไบเฉียง มีลักษณะการห่ม 3 แบบเช่นเดียวกับผู้ชาย คือ แบบพาดไหล่เพียงด้านเดียว แบบคล้องคอห้อยชายผ้าทั้งสองไว้ด้านหลัง และแบบสไบเฉียง เมื่อเวลาเข้าวัดทำบุญ ผ้าที่ใช้สไบเฉียงนี้จะเรียกว่า "หะเหริ่มโต๊ะ" เนื่องจากริมของผ้าสไบเฉียงนี้จะมีการปักแบบลายปักริมผ้าปูโต๊ะ แต่ละคนจะมีด้วยกันหลากสีและหลากลาย ล้วนแต่เป็นงานที่ทำด้วยฝีมือทั้งสิ้น ผ้าหะเหริ่มโต๊ะนี้นับเป็นเอกลักษณ์ของบางกระดี่ สำหรับการแต่งกายของเด็กมอญบางกระดี่ จะเหมือนกับเด็กไทย ต่างกันตรงที่เด็กเล็กมอญตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 7 ขวบ จะนิยมไว้ทรงผมอันเป็นเอกลักษณ์อยู่ 2 แบบคือ เด็กผู้หญิงไว้จุก ซึ่งจะไว้ผมโดยปล่อยให้ยาวและมัดจุกไว้ตรงกลางกระหม่อม ค่อนมาข้างหน้า ส่วนบริเวณอื่นนั้นโกนทิ้ง ในเด็กชายก็เช่นกันจะไว้ผมจุกเฉพาะตรงขวัญ ซึ่งค่อนไปทางด้านหลัง เรียกว่า"เปีย" อีกทั้งสมัยก่อนนั้นเด็กหญิงจะมีแผ่นโลหะถักทำด้วยเงินเป็นรูปห้าเหลี่ยม โดยทิ้งมุมมาทางด้านล่างเพื่อปกปิดอวัยวะเพศ เรียกว่า "ตะปิ้ง" และในเด็กชายก็จะมีดอกจำปีเล็กๆ ห้อยไว้ที่เอวเรียกว่า "ลูกพริก" เพราะมอญมีความเชื่อว่า เพื่อป้องกันเขี้ยวเล็บจากสัตว์ต่างๆ ได้ แต่ปัจจุบันนี้ตะปิ้ง และลูกพริกไม่มีให้เห็นแล้ว แต่ยังเหลือไว้เฉพาะการไว้จุก และเปียที่มีให้เห็นในปัจจุบัน

Folklore

ในประเพณีต่างๆ ของมอญบางกระดี่ล้วนแล้วมีประวัติความเชื่อเป็นตำนานนิทานเล่าสืบต่อกันมา จนสามารถทำให้มอญบางกระดี่ ยังคงมีขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมให้เห็นจนปัจจุบัน อาทิเช่น ประเพณีตักบาตรน้ำผึ้ง มีคติความเชื่อในผลานิสงส์ของการได้ถวายน้ำผึ้งแก่พระสงฆ์นั้นสืบเนื่องมาจากตำนานที่ว่า "มีพระปัจเจกโพธิ์รูปหนึ่งอาพาธ ประสงค์ที่จะได้น้ำผึ้งมาผสมโอสถ เพื่อบำบัดอาการอาพาธนั้น วันหนึ่งได้ไปบิณฑบาตในชนบทที่ใกล้ชายป่า มีชาวบ้านป่าผู้หนึ่งเกิดกุศลจิตหวังจะถวายทานแด่พระปัจเจกโพธิ์ จึงนำน้ำผึ้งที่ตนเก็บไว้ถวายด้วยจิตศรัทธาที่มีอย่างเปี่ยมล้นแรงกล้า ครั้นรินน้ำผึ้งลงในบาตร เกิดปรากฏการณ์อัศจรรย์ น้ำผึ้งเกิดเพิ่มพูนจนล้นบาตร ขณะนั้นเองมีหญิงชาวบ้านผู้หนึ่งกำลังทอผ้าอยู่ เห็นความอัศจรรย์นั้น ด้วยจิตศรัทธาเกรงว่าน้ำผึ้งจะเปื้อนมือพระปัจเจกโพธิ์ จึงนำผ้านั้นถวายซับน้ำผึ้งที่ไหลล้นนั้น ทั้งชายที่ถวายน้ำผึ้งและหญิงที่ถวายผ้า ได้ตั้งจิตอธิษฐานถวายแด่พระปัจเจกโพธิ์ แล้วเมื่อถึงกาลมรณะได้มาเกิดใหม่ในมนุษย์โลก โดยชายผู้ถวายน้ำผึ้งได้เป็นพระราชาที่มั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติ ส่วนหญิงที่ถวายผ้าได้เกิดเป็นพระธิดาของพระราชาอีกเมืองหนึ่ง ที่มีความงามและมั่งคั่งเช่นกัน" มอญเชื่อในอานิสงส์นี้ จึงได้มีการตักบาตรน้ำผึ้งสืบเนื่องมาช้านาน (หน้า 101) ประเพณีตักบาตรดอกไม้ ซึ่งคนมอญมีคติความเชื่อสืบเนื่องจากพุทธประวัติ เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพุทธมารดาบนเทวโลกตลอดระยะเวลา 3 เดือน ที่เข้าพรรษานั้น บรรดาประชาราษฎร์ทั้งโลกต่างคิดถึง และรอคอยการเสด็จกลับมาของพระพุทธองค์ ครั้งถึงวันที่พระพุทธองค์เสด็จกลับมาชาวเมืองต่างก็ดีใจ และเตรียมการต้อนรับอย่างมโหฬาร พร้อมทั้งจัดเตรียมบุปผามาลา เครื่องสักการะต่างๆ เพื่อเป็นพุทธบูชาแด่พระพุทธองค์ และจากสาระในพุทธประวัติส่วนนี้ จึงเกิดเป็นประเพณีตักบาตรดอกไม้ในเทศกาลออกพรรษา ซี่งถือปฏิบัติเป็นประเพณีสำคัญตลอดมาจนปัจจุบัน (หน้า 103)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

จากการที่ผู้เขียนได้ศึกษารูปแบบการเล่นทะแยมอญในปัจจุบัน (พ.ศ. 2540) พบว่าแตกต่างจากสมัยก่อนทั้งในด้านรูปแบบการแสดงและบทบาทต่อสังคม รูปแบบการแสดงที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นสืบเนื่องมาจากการสืบทอดเพลงโบราณขาดช่วง หานักร้องที่จะร้องเพลงโบราณไม่ได้ นอกจากนี้บทร้องทะแยมอญดั้งเดิม ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา ใช้คำมอญโบราณและคำบาลีที่ยากที่คนมอญรุ่นใหม่จะเข้าใจ จึงกลายเป็นสาเหตุของการนำเพลงประยุกต์มาใช้เพื่อเอาใจคนฟังในที่สุด สิ่งเหล่านี้มีผลทำให้เกิดแนวคิดสวนทางกันระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ ดังนั้น ภาพลักษณ์ของทะแยมอญในขณะนี้ จึงเป็นการก้ำกึ่งระหว่างการอนุรักษ์และการพัฒนา (หน้า 244) จะพบว่าทะแยมอญในปัจจุบัน (พ.ศ. 2540) ได้มีการลดบทบาทลง เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ การศึกษา และเทคโนโลยี ตลอดจนวัฒนธรรมภายนอกที่ได้หลั่งไหลเข้ามาทำให้วิถีชีวิตชาวบางกระดี่เปลี่ยนไป ประกอบกับผู้เล่นในปัจจุบันต่างมีอาชีพที่กำหนดเวลาแน่นอน ไม่มีเวลาที่จะทุ่มเทฝึกฝนทะแยมอญได้เต็มที่ดังแต่ก่อนอีกด้วย (หน้า 244) ผู้วิจัยได้เสนออีกว่า สภาพของทะแยมอญที่มีการพัฒนาจากการละเล่นสู่ระบบการจัดการแสดง มีผลทำให้เกิดการประเมินคุณค่าของศิลปะการเล่นเป็นการตอบแทน การแสดงส่วนใหญ่แทบทุกครั้งที่มีผู้หามาแสดงจะมีค่าจ้างตอบแทน ที่เป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้แสดง ถึงแม้จะไม่ได้ยึดเป็นอาชีพหลัก แต่ก็ยังถือว่าเป็นรายได้เสริม ดังนั้น สภาพของการเล่นที่ผู้ขับร้อง และนักดนตรีทุ่มเทแสดงด้วยใจสนุกสนานเป็นสิ่งมอบให้สังคมนั้น ได้กลายมาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อผลตอบแทน ย่อมมีผลทำให้การแสดงมุ่งพัฒนาเพื่อเอาใจผู้ชมและนำมาซึ่งความก้าวหน้า และการยกระดับทะแย มอญขึ้นเป็นอาชีพในที่สุด และในส่วนของผู้ชมเองในปัจจุบันโดยเฉพาะมอญรุ่นหลังๆ มีผู้รู้ภาษามอญน้อยลง ดังนั้นการแสดงทะแยมอญซึ่งเคยใช้ภาษามอญในการร้อง จึงเป็นข้อจำกัดผู้ชมให้อยู่เฉพาะมอญที่รู้จักภาษามอญเท่านั้น ในการพัฒนารูปแบบการแสดง จึงมีการนำบทร้องภาษาไทยเข้าไปสอดแทรกเพื่อเอาใจผู้ชม ซึ่งทำให้ภาพของการพัฒนาเพื่อความอยู่รอดของทะแยมอญปรากฏเด่นยิ่งขึ้น อีกทั้งการสืบทอดทะแยมอญที่ขาดช่วง จากเดิมซึ่งมีการสืบทอดกันจากครอบครัว และการที่มอญบางกระดี่ได้สัมผัสกับทะแยมอญอยู่ตลอดทั้งปี ทำให้ทะแยมอญถูกซึมซับเข้าไปในจิตใจของพวกเขาตลอดเวลา เมื่อทะแยมอญลดบทบาทความสำคัญของตัวเองลง โอกาสในการแสดงมีน้อย ชาวบ้านสัมผัสทะแยมอญน้อยลง จึงทำให้ระบบการสืบทอดขาดช่วงนั่นเอง (หน้า 245) จากผลการวิจัยพบว่าวัฒนธรรมที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของชาวบางกระดี่หลายอย่าง มีการพัฒนารูปแบบไปตามสภาพทางสังคม เช่น - วัฒนธรรมการแต่งกายของหนุ่มสาวในปัจจุบัน ซึ่งมีการแต่งกายตามสมัยนิยมมากขึ้น เห็นได้จากในยามปกติซึ่งเดิมเคยนุ่งผ้านุ่ง เกล้ามวย ก็เปลี่ยนมาเป็นนุ่งยีนส์ ปล่อยผม ทำทรงผมตามแฟชั่นสมัยใหม่ - วัฒนธรรมการแต่งงานซึ่งเดิมมีพิธีหลั่งน้ำที่เรียกว่า "ท๊อบตัว" เป็นพิธีที่ให้ผู้ทำพิธีและพ่อแม่เป็นผู้หลั่งน้ำเท่านั้น แต่ในปัจจุบัน (ปี พ.ศ. 2540) มีการจัดพิธีหลั่งน้ำโดยให้ญาติและเพื่อนๆ สามารถหลั่งน้ำอวยพรได้ - วัฒนธรรมการไว้จุกและเปียในเด็กๆ ที่พบในปัจจุบันมีการไว้จุกผมน้อยลง เนื่องจากเด็กๆ ต้องเข้าโรงเรียนเร็วขึ้น จึงตัดจุกกันตั้งแต่เข้าโรงเรียนอนุบาล จากเดิมจะทำพิธีการตัดจุกได้เมื่ออายุ 7 ปี จะเห็นได้ว่าลักษณะดังกล่าวเป็นการปรับเปลี่ยนตามหลักการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม (Culture Change) นั่นเอง (หน้า 245) นอกจากนี้ในด้านความสัมพันธ์ของวงโกรจยาม กับเครื่องสายไทยนั้น นับเป็นปกติวิสัยที่มอญเป็นชนกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินไทย ย่อมหลีกเลี่ยงมิได้ที่จะรับเอาวัฒนธรรมบางอย่างไปจากไทยบ้าง ในขณะที่คนไทยเองก็รับเอาวัฒนธรรมของมอญเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวันหลายอย่าง จนบางครั้งไม่สามารถแยกได้ว่าใครหยิบยืมใครมา แต่จากการวิเคราะห์จากข้อมูลที่ได้ศึกษามาทั้งหมดในงานวิจัยนี้พอสรุปได้ว่า เป็นความสัมพันธ์ที่มีมูลฐานของการเป็นรากเหง้าแห่งวัฒนธรรมดนตรีเดียวกัน ของ กลุ่มมอญ-เขมร ที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมการดนตรีไทยทางด้านเครื่องสาย โดยมีการปะทะสังสรรค์ทางวัฒนธรรมภายใต้กรอบแห่งทฤษฎีการสังสรรค์ทางวัฒนธรรม ซึ่งถือเป็นปกติของชนชาติต่างๆ ในโลกที่ย่อมมีการเปลี่ยน และผสมผสานทางด้านวัฒนธรรมของชาติใกล้เคียงกับวัฒนธรรมเดิมของตน มีการสั่งสมพัฒนาจนเป็นรูปแบบเฉพาะของตน โดยปรากฏเค้าโครงเดิมที่บ่งบอกถึงความเป็นรากเหง้าเดียวกันได้ (หน้า 246)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

การเล่นดนตรีทะแยมอญ (ดู Abstract ประกอบ)

Map/Illustration

ผู้วิจัยได้มีการนำเสนอข้อมูลด้วยการใช้ตาราง , แผนภูมิ , รูปภาพ และตัวโน้ตเพลงที่ประกอบการเล่นทะแยมอญ ซึ่งจะระบุรายละเอียดดังนี้ ตาราง : ตารางที่ 1 แสดงการอพยพของชาวมอญเข้าสู่ประเทศไทย หน้า 12 ตารางที่ 2 แสดงสถิติจำนวนประชากรแขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร หน้า 40 ตารางที่ 3 แสดงการเปรียบเทียบวงโกรจยามของมอญกับวงเครื่องสายไทย หน้า 230 แผนภูมิ : แผนภูมิที่ 1 แสดงลักษณะการสืบทอดนักร้องทะแยมอญ หน้า 157 แผนภูมิที่ 2 แสดงแนวทางแห่งการสืบทอดทางดนตรี หน้า 158 แผนภูมิที่ 3 แสดงรูปแบบการแสดงแบบโบราณ หน้า 167 แผนภูมิที่ 4 แสดงรูปแบบการแสดงแบบใหม่ หน้า 168 แผนภูมิที่ 5 แสดงรูปแบบการจัดวงโกรจยาม หน้า 192 แผนภูมิที่ 6 แสดงรูปแบบการบรรเลงและขับร้องเจิกมัว หน้า 197 แผนภูมิที่ 7 แสดงรูปแบบการบรรเลงและขับร้องโปดเซ หน้า 200 แผนภูมิที่ 8 แสดงความสัมพันธ์ของทะแยมอญต่อสังคม หน้า 227 รูปภาพ : ภาพที่ 1 ภาพแผนที่แสดงอาณาเขตพื้นที่เขตบางขุนเทียน และบริเวณชุมชนบางกระดี่ หน้า 35 ภาพที่ 2 ภาพแผนที่แสดงชุมชนมอญวัดบางกระดี่ หน้า 38 ภาพที่ 3 ภาพทางเข้าวัดบางกระดี่ หน้า 39 ภาพที่ 4 ภาพใบลานจารึกอักษรมอญที่วัดบางกระดี่ หน้า 44 ภาพที่ 5 ภาพหนังสือแบบเรียนภาษามอญ หน้า 45 ภาพที่ 6 ภาพอาคารสมาคมไทยรามัญ หน้า 47 ภาพที่ 7 ภาพแสดงตำแหน่งเสาเรือนบ้านมอญบางกระดี่ หน้า 49 ภาพที่ 8 ภาพการไว้ผมจุก และผมเปียของเด็กๆ บางกระดี่ หน้า 52 ภาพที่ 9 ภาพงานคอนเสิร์ตลอยชาย หน้า 61 ภาพที่ 10 ภาพการแสดงรำมอญหน้าพระ ศพพลโทหม่อมเจ้าชิดชนก กฤดากร หน้า 63 ภาพที่ 11 ภาพการเล่นสะบ้าของหนุ่มสาวชาวบางกระดี่ หน้า 66 ภาพที่ 12 ภาพพิธีโกนจุก หรือตัดจุก หน้า 74 ภาพที่ 13 ภาพอุปกรณ์ที่ใช้ตัดจุก และผมจุกที่ตัดแล้ว หน้า 75 ภาพที่ 14 ภาพการแต่งกายของนาคมอญและเพื่อนนาคที่ถือพานดอกไม้และหะเดาะลาย หน้า 77 ภาพที่ 15 ภาพร่างทรงตะละทาน (พระภูมิเจ้าที่) มอบผ้าไตรให้นาค หน้า 78 ภาพที่ 16 ภาพนาครับผ้าไตรจากมารดาก่อนเข้าไปประกอบพิธีกรรมในโบสถ์ หน้า 79 ภาพที่ 17 ภาพพิธีท๊อบตัว (หลั่งน้ำทาบมือ) หน้า 82 ภาพที่ 18 ภาพจ่องแหนะห์ (แคร่ไม้ไผ่ที่สำหรับวางศพ) หน้า 85 ภาพที่ 19 ภาพขบวนแห่ศพของชาวมอญบางกระดี่ หน้า 86 ภาพที่ 20 ภาพอะลาบ๊อก (โลงศพมอญ) ของศพผู้สูงอายุที่เป็นฆราวาส หน้า 87 ภาพที่ 21 ภาพอะลาบ๊อก และเมรุเผาศพสำหรับพระสงฆ์ หน้า 88 ภาพที่ 22 ภาพธรรมเนียมการนำท่อนฟืนไปเผาศพผู้ที่อายุน้อยกว่าผู้ไปเผา หน้า 89 ภาพที่ 23 ภาพร้านมา (เชิงตะกอน) ที่ใช้เผาศพคนมอญในสมัยก่อน หน้า 90 ภาพที่ 24 ภาพประเพณีการนำข้าวแช่ไปทำบุญที่วัดในวันสงกรานต์ หน้า 95 ภาพที่ 25 ภาพลูกหลานชาวบางกระดี่นำสำรับข้าวแช่ไปส่งผู้ใหญ่ หน้า 96 ภาพที่ 26 ภาพประเพณีการสรงน้ำพระของชาวมอญบางกระดี่ หน้า 99 ภาพที่ 27 ภาพหนุ่มสาวเล่นสงกรานต์หลังจากเสร็จสิ้นการสรงน้ำพระ หน้า 100 ภาพที่ 28 ภาพประเพณีตักบาตรน้ำผึ้ง หน้า 101 ภาพที่ 29 ภาพประเพณีตักบาตรดอกไม้ หน้า 102 ภาพที่ 30 ภาพเสาปาโหนก (เสาผีบรรพบุรุษ) ประจำตระกูล หน้า 107 ภาพที่ 31 ภาพสิ่งของเครื่องใช้ของปาโหนก หน้า 108 ภาพที่ 32 ภาพเครื่องเซ่นปาโหนก หน้า 109 ภาพที่ 33 ภาพพิธีรำผี หน้า 111 ภาพที่ 34 ภาพตะละทาน (พระภูมิเจ้าที่) วัดบางกระดี่ หน้า 112 ภาพที่ 35 ภาพศาลเจ้าพ่อบางกระดี่ หน้า 114 ภาพที่ 36 ภาพศาลเจ้าแม่หัวละหาน หน้า 115 ภาพที่ 37 ภาพพิธีทรงเจ้าพ่อบางกระดี่ หน้า 116 ภาพที่ 38 ภาพพิธีทรงเจ้าแม่หัวละหาน หน้า 116 ภาพที่ 39 ภาพการละเล่นทะแยมอญถวายเจ้าแม่หัวละหาน หน้า 117 ภาพที่ 40 ภาพพิธีช้อนขวัญงานบะห์คะมะอะโป (โกนจุก) หน้า 120 ภาพที่ 41 ภาพพิธีช้อนขวัญงานบะห์คะมะอะยัง (บวชนาค) หน้า 120 ภาพที่ 42 ภาพการรักษาโรคงูสวัดแบบพื้นบ้านของนายเปลี่ยน หน้า 122 ภาพที่ 43 ภาพนายม้วน ศักดิ์บริบูรณ์ หน้า 136 ภาพที่ 44 ภาพนายชัน สอนดำแดง หน้า 138 ภาพที่ 45 ภาพนายลึก รอดสาลี หน้า 139 ภาพที่ 46 ภาพนายจำนงค์ เขยะตา หน้า 140 ภาพที่ 47 ภาพนายสะอาด แจ้งสว่าง หน้า 141 ภาพที่ 48 ภาพนายสมเกียรติ มะคนมอญ หน้า 142 ภาพที่ 49 ภาพนางสาวทองคำ สอนสำแดง หน้า 143 ภาพที่ 50 ภาพนางทองตรา พุกรัดกรุด หน้า 144 ภาพที่ 51 ภาพนางสาวกนกวรรณ อุ่มยืนยง หน้า 146 ภาพที่ 52 ภาพนายจำเรียน แจ้งสว่าง หน้า 147 ภาพที่ 53 ภาพนายประดิษฐ์ เขาแก่ง หน้า 149 ภาพที่ 54 ภาพนางกัลยา ปุงบางกระดี่ หน้า 150 ภาพที่ 55 ภาพนายนะยัน สมบุญ หน้า 152 ภาพที่ 56 ภาพนางสุวิมล สาแหรกทอง หน้า 153 ภาพที่ 57 ภาพผู้ชมกำลังเฝ้ารอชมการเล่นทะแยมอญ หน้า 160 ภาพที่ 58 ภาพการบูชาครูก่อนการเล่นทะแยมอญ หน้า 160 ภาพที่ 59 ภาพการแต่งกายของผู้เล่นทะแยมอญฝ่ายชาย และฝ่ายหญิง หน้า 164 ภาพที่ 60 ภาพการเล่นทะแยมอญหน้าศพบนศาลา หน้า 165 ภาพที่ 61 ภาพการเล่นทะแยมอญบนเวที หน้า 166 ภาพที่ 62 ภาพการบรรเลงก่อนการเล่นทะแยมอญ หน้า 170 ภาพที่ 63 ภาพการร้องโต้ตอบกันในการเล่นทะแยมอญ หน้า 171 ภาพที่ 64 ภาพการเล่นทะแยมอญที่แต่งกายตามเนื้อเรื่อง หน้า 171 ภาพที่ 65 ภาพจยามที่พัฒนาตามแบบจะเข้ไทย หน้า 175 ภาพที่ 66 ภาพแสดงชื่อเรียกส่วนประกอบของจยาม หน้า 176 ภาพที่ 67 ภาพแสดงตำแหน่งเสียงของจยาม หน้า 177 ภาพที่ 68 ภาพโกร (ซอมอญ) หน้า 180 ภาพที่ 69 ภาพแสดงชื่อเรียกส่วนประกอบของโกร หน้า 181 ภาพที่ 70 ภาพแสดงระบบเสียงและความถี่ของเสียงโกร หน้า 183 ภาพที่ 71 ภาพแสดงตำแหน่งเสียงของโกร หน้า 183 ภาพที่ 72 ภาพอะโลด (ขลุ่ยมอญ) หน้า 184 ภาพที่ 73 ภาพแสดงชื่อเรียกส่วนประกอบของอะโลด หน้า 186 ภาพที่ 74 ภาพแสดงความถี่ของระดับเสียงอะโลด หน้า 187 ภาพที่ 75 ภาพแสดงช่วงเสียงของอะโลด หน้า 187 ภาพที่ 76 ภาพปุงตัง (เปิงมาง) หน้า 188 ภาพที่ 77 ภาพแสดงชื่อเรียกส่วนประกอบของปุงตัง หน้า 189 ภาพที่ 78 ภาพหะเด (ฉิ่ง) หน้า 191 ภาพที่ 79 ภาพวงโกรจยาม หน้า 192 ภาพที่ 80 ภาพวงโกรจยามผสมผสานเครื่องดนตรีไทย หน้า 193 ภาพที่ 81 ภาพแสดงช่วงเสียงของจยาม โกร และอะโลด หน้า 194 ภาพที่ 82 ภาพการบันทึกบทร้องทะแยมอญของชาวบ้าน หน้า 205 ภาพที่ 83 ภาพแสดงเครื่องดนตรีในวงโกรจยามของมอญ หน้า 231 ภาพที่ 84 ภาพแสดงเครื่องดนตรีในวงเครื่องสายของไทย หน้า 231 ภาพที่ 85 ภาพแสดงการเปรียบเทียบระดับเสียงโกร กับซอด้วง และซออู้ หน้า 234 ภาพที่ 86 ภาพแสดงการเปรียบเทียบระบบการตั้งเสียงของโกร กับซอด้วยและซออู้ หน้า 235 ภาพที่ 87 ภาพแสดงการเปรียบเทียบระดับเสียงของจยามกับจะเข้ หน้า 236 ภาพที่ 88 ภาพแสดงความแตกต่างของระดับเสียงอะโลดกับขลุ่ยเพียงออ หน้า 237 ตัวโน้ต : ภาพประกอบตัวโน้ตเพลงต่างๆ หน้า 254

Text Analyst สุพรรณิการ์ เอี่ยมแสนสุข Date of Report 30 มิ.ย 2560
TAG มอญ, ทะแยมอญ, การดนตรี, วัฒนธรรม, การเปลี่ยนแปลง, บางกระดี่, กรุงเทพมหานคร, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง