|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มอญ,การตั้งถิ่นฐาน,บางกระดี่,กรุงเทพมหานคร |
Author |
จริยาพร รัศมีแพทย์ |
Title |
รูปแบบการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของชุมชนมอญบ้านบางกระดี่ กรุงเทพมหานคร |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มอญ รมัน รามัญ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
214 |
Year |
2544 |
Source |
หลักสูตรปริญญาการวางแผนภาคและเมืองมหาบัณฑิต สาขาวิชาการวางผังเมือง บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
จากผลการศึกษาพบว่า รูปแบบการตั้งถิ่นฐานของชุมชนมอญบ้านบางกระดี่เป็นแบบกลุ่ม ซึ่งจะมีความสัมพันธ์กับปัจจัยทางธรรมชาติ เช่น บริเวณแม่น้ำ ทำให้คนในชุมชนต้องเดินทางไปยังที่ทำกินและดูแลผลผลิตได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่มีผลต่อจิตใจคือ ทำให้คนในชุมชนมีความใกล้ชิดและอบอุ่น สำหรับการขยายตัวของชุมชนไปตามเส้นทางคมนาคมทางน้ำในอดีตนั้น เป็นเพราะน้ำมีความสำคัญต่อชีวิตตามแนวคิดของ Fairchild อย่างไรก็ตาม วัดถือเป็นศูนย์กลางในการทำกิจกรรมที่สำคัญ โดยเฉพาะในทางศาสนา การตั้งบ้านเรือนใกล้กับวัดย่อมสะดวกในการเดินทางไปร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่วัด
เมื่อมีถนน การเปลี่ยนวิธีเดินทางทำให้เกิดการขยายตัวของบ้านเรือนไปตามแนวถนน นอกจากสะดวกแล้วยังสามารถทำการค้าได้ด้วย ด้วยข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ที่ทิศตะวันตกติดกับคลองมหาชัย ส่วนด้านตะวันออกมีคลองบางกระดี่ ทำให้บ้านเรือนยังคงเกาะกลุ่มกันอยู่ ไม่สามารถขยายตัวไปตามแนวยาวได้ ทำให้บ้านเรือนค่อนข้างหนาแน่น พื้นที่ว่างน้อย อีกทั้งการปลูกเรือนใหม่ยังสอดคล้องกับเรือนเก่าที่เป็นเรือนไม้ เกิดเป็นเอกลักษณ์ของบ้านเรือนบริเวณนี้ที่ส่วนมากเป็นบ้านไม้ขนาดย่อม ไม่มีบริเวณบ้าน และปลูกใกล้ๆ กัน
นอกจากนี้ การตั้งถิ่นฐานของชุมชนแห่งนี้ยังเกี่ยวพันกับวิถีชีวิตและความสัมพันธ์ทางสังคม สอดคล้องกับการศึกษาของ ดักกลาส ฟราเซอร์ ซึ่งมอญที่นี่ยังได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่มีรอบหมู่บ้านอีกด้วย ในส่วนของลักษณะบ้านเรือน ส่วนมากตั้งอยู่ติดริมน้ำ แต่ไม่พบความสัมพันธ์เรื่องการวางตัวของบ้านและน้ำ ทิศทางการวางตัวของบ้านขึ้นอยู่กับทิศทางการวางเสาเอกของเรือน สอดคล้องกับงานวิจัยเรื่องเรือนพื้นถิ่นไทย-มอญ และตรงกับการศึกษาเรื่องชุมชนมอญพระประแดงที่พบว่าการวางตัวบ้านของที่นี่ส่วนมากจะวางตัวตามตะวัน นอกจากสาเหตุทางความเชื่อแล้ว ยังมีเหตุจากสังคมของคนในชุมชนที่จะไม่ปลูกบ้านแทงพ่อแม่ ทำให้พบว่าบ้านบางหลังไม่ปลูกตามตะวัน อีกทั้งการขยายเรือนต่อจากเรือนเดิมมาจากข้อจำกัดทางที่ดินของครอบครัวและจากความเชื่อข้างต้น หากครอบครัวใดมีที่ดินเหลือ ก็จะปลูกบ้านใหม่บนที่ดินเดิมในชุมชนเมื่อลูกหลานออกเรือน แต่หากที่ดินที่เหลือต้องปลูกขัดกับความเชื่อ ก็จะต้องขยายเรือนออกไปจากเรือนเดิมแทน (หน้า 232-233) |
|
Focus |
เป็นการศึกษารูปแบบการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของชุมชนบ้านบางกระดี่ กรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะปัจจัยด้านวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อรูปแบบการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือน อันได้แก่ วิถีชีวิต ความเชื่อ และการทำกิจกรรมในช่วงเวลาต่างๆ รวมทั้งศึกษาการเปลี่ยนแปลงและลักษณะทางกายภาพของชุมชนอีกด้วย (หน้า ง) |
|
Ethnic Group in the Focus |
พื้นที่ในการศึกษาคือ หมู่บ้านมอญบางกระดี่ ตั้งอยู่ขนาบคลองสนามชัย ประกอบด้วยหมู่ 2 หมู่ 8 และหมู่ 9 ตั้งอยู่สุดซอยบางกระดี่ ถนนพระราม 2 หรือ ธนบุรีปากท่อ แขวงแสมดำ กรุงเทพฯ โดยมีพื้นที่ในการศึกษาประมาณ 0.34 ตารางกิโลเมตร
(หน้า 62) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ใช้เวลาเพื่อสังเกตกิจกรรมที่เกิดขึ้น 1 ปี และเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ในช่วงปี พ.ศ.2543-2544 (หน้า 3) |
|
History of the Group and Community |
สำหรับที่มาของชื่อ "บางกระดี่" นั้นมีการบอกเล่าอยู่ 2 แบบ แบบแรกกล่าวกันว่าเดิมพวกเขาอพยพกันมาจาก "บ้านบางกระดี่" เมืองหงสาวดี เมื่อมาตั้งเป็นชุมชนบ้านจึงใช้ชื่อเมืองเดิม และอีกทางหนึ่งว่า เนื่องจากในอดีตในคลองข้างวัดด้านตะวันออกเฉียงเหนือมีปลากระดี่ชุกชุมมาก เพิ่งจะหมดไปประมาณ 5-6 ปีนี้เอง
ส่วนพิศาล บุญผูกให้ข้อสันนิษฐานว่า บรรพบุรุษของมอญแห่งนี้อพยพมาจากมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร และคลองสุนัขหอนเพื่อมาจับจองแหล่งทำมาหากิน เนื่องจากบริเวณหมู่บ้านบางกระดี่ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีสภาพเป็นป่าชายเลนและอุดมไปด้วยป่าจาก อีกทั้งมีคลองสนามชัยซึ่งสามารถใช้ในการคมนาคมระหว่างมหาชัย กรุงเทพฯ และปากเกร็ดได้ ต่อมาการขายฟืนและการเย็บจากสร้างรายได้ดี จึงทำให้มีมอญจากบริเวณใกล้เคียง เช่น บางไส้ไก่ คลองบางหลวง และปากลัด อพยพมาอยู่รวมกันเกิดเป็นชุมชนใหญ่ (หน้า 62) |
|
Settlement Pattern |
จากการสำรวจสภาพทางกายภาพปัจจุบัน จะเห็นว่าชุมชนมอญแห่งนี้อยู่รวมกลุ่มกัน โดยจะปลูกบ้านอยู่ใกล้ๆ กัน และใช้วิธีเดินทางไปยังที่ทำกินที่อยู่นอกหมู่บ้านออกไป โดยการเลือกที่ตั้งบ้านอยู่ริมน้ำน่าจะมีความสำคัญมากต่อการตั้งถิ่นฐานของชุมชนแห่งนี้ ถึงแม้ประชากรมากขึ้น ก็ยังคงนิยมอยู่เป็นกลุ่มและติดริมน้ำเพราะบ้านเครือญาติมักอยู่ใกล้ๆ กัน จนกระทั่งใน พ.ศ.2517 จึงพบว่ามีการขยายตัวของหมู่บ้านออกไปตามแนวถนนมากขึ้นและเกิดการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินบริเวณแนวถนน มีโรงงาน หมู่บ้านจัดสรรและการขยายตัวของบ้านทางฝั่งเหนือคลองมากขึ้น (หน้า75) |
|
Demography |
ในปี พ.ศ.2543 ชุมชนบางกระดี่
- หมู่ 2 มีประชากรรวม 1,373 คน มีบ้านเรือนทั้งสิ้น 230 หลังคาเรือน
- หมู่ 8 มีประชากรรวม 1,311 คน 253 หลังคาเรือน
- หมู่ 9 มีประชากรรวม 856 คน 159 หลังคาเรือน
ไม่มีสถิติการย้ายออกของทั้ง 3 หมู่บ้าน แต่มีสถิติการย้ายเข้าโดยย้ายเข้าหมู่ 2 หมู่ 8 และหมู่ 9 เป็นจำนวน 21, 4 และ 5 คน รวมเป็น 30 คนตามลำดับ เฉพาะพื้นที่ปลูกสร้างนั้นประชากรของหมู่ 2 มีความหนาแน่นของครัวเรือนต่อพื้นที่สูงสุดคือ 2,409 ครัวเรือนต่อ ตร.กม. ขณะที่หมู่ 9 มีความหนาแน่นรองลงมาคือ 2,271 และหมู่ 8 มีความหนาแน่นของครัวเรือนต่ำที่สุดเท่ากับ 1,581 ตร.กม. (หน้า 63) |
|
Economy |
ในระยะแรก คนในชุมชนประกอบอาชีพหลักคือ การทำนาหลังจากช่วงปี พ.ศ.2510 - 2512 ชาวบ้านเริ่มเปลี่ยนอาชีพมาเป็นเย็บจากและตัดฟืนขาย เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป รายได้จากการเย็บจากตัดฟืนไม่เพียงพอต่อการยังชีพ จึงมีการหันไปประกอบอาชีพอื่น เช่น ประกอบกิจการวังกุ้ง วังปลา รวมไปถึง ค้าขาย รับราชการ และเป็นลูกจ้างในโรงงาน (หน้า 64) |
|
Social Organization |
ในปัจจุบัน มอญในหมู่บ้านแห่งนี้ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว หากบุตรหลานแต่งงานและสร้างฐานะได้แล้ว ก็จะแยกไปมีบ้านเรือนอยู่ต่างหาก แต่ก็ยังคงความสัมพันธ์ต่อครอบครัวของตนเองอย่างเหนียวแน่น จากการไปมาหาสู่กันในช่วงเทศกาลต่างๆ สำหรับการเลือกคู่ จะขึ้นอยู่กับความสมัครใจของบุตรหลาน แต่ไม่นิยมให้แต่งงานกับญาติที่ใกล้ชิดมาก ในอดีต มักแต่งงาน
ภายในหมู่บ้านเป็นส่วนใหญ่ เพราะสภาพหมู่บ้านที่เป็นแบบปิดและการทำนาทำให้หนุ่มสาวไม่ค่อยได้ออกจากหมู่บ้าน แต่เมื่อมอญออกไปทำงานนอกหมู่บ้านมากขึ้น จึงมีการแต่งงานกับคนนอกหมู่บ้านมากขึ้นด้วย ส่วนการประกอบพิธีนั้นมีความแตกต่างจากประเพณีไทยตรงที่จะมีการเซ่นไหว้บรรพบุรุษด้วย
ในการเลี้ยงลูก หากครอบครัวที่ภรรยาทำงานบ้านหรือเย็บจาก หน้าที่การเลี้ยงลูกจะตกเป็นของภรรยา แต่หากบ้านใดภรรยาทำงานนอกบ้าน ก็จะให้แม่ของสามีหรือแม่ของภรรยาเป็นผู้ดูแลแทน (หน้า 66) |
|
Political Organization |
ในสมัยก่อน หมู่บ้านบางกระดี่จะมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ทำหน้าที่ติดต่อประสานงานกับทางราชการ โดยชาวบ้านจะเป็นผู้เลือกคนมอญมาทำหน้าที่ดังกล่าว อีกทั้งยังจัดตั้งสมาคมไทยรามัญขึ้นเพื่อสร้างความสามัคคีและอนุรักษ์ฟื้นฟูวัฒนธรรมของคนมอญ ที่มีศาสตราจารย์สุเอ็ด คชเสนี เป็นนายกสมาคมคนปัจจุบัน หากเกิดปัญหาภายในหมู่บ้าน ชาวบ้านจะปรึกษาผู้ใหญ่บ้านเป็นหลัก แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีปัญหาที่รุนแรง มีเพียงปัญหายาเสพติดที่ยังคงพบเห็นอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะกับเยาวชนในหมู่บ้าน (หน้า 66-67) |
|
Belief System |
มอญนับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาทนับตั้งแต่อาณาจักรแห่งแรกของมอญคือ สุธรรมวดีหรือสะเทิม โดยมีข้อปฏิบัติที่เคร่งครัดเช่น ห้ามผู้หญิงเข้าพระอุโบสถ มีการฟังเทศน์ สวดมนต์ ปฏิบัติธรรมทุกวันพระ ทำบุญที่วัดในวันสำคัญทางศาสนา และบริจาคเงินให้วัดเพราะเชื่อว่าจะส่งผลให้ได้ขึ้นสวรรค์เมื่อตายแล้ว (หน้า 93)
นอกจากนี้มอญยังมีความเชื่อในเรื่อง "การถือผี" ได้แก่
- ผีประจำหมู่บ้าน หรือ "pea cu" ที่อยู่ในศาลซึ่งตั้งไว้ที่ชายทุ่งและมีการเซ่นสรวงปีละครั้ง โดยมี "คนทรง" เป็นผู้ทำพิธีในการทำนายอนาคตและความอุดมสมบูรณ์ และยังมีการบูชาตามความศรัทธาของแต่ละคนอีกด้วย เช่น เมื่อมีเรื่องทุกข์ร้อน หรือเมื่อมีการแต่งงานเกิดขึ้น เป็นต้น
- ผีบ้าน หมายถึง ผีบรรพบุรุษ ซึ่งจะมีอยู่ประจำบ้านให้กราบเซ่นไหว้สืบมา ในการสืบทอดผีบ้าน ลูกหลานทุกคนในตระกูลจะต้องยอมรับผีบ้านประจำตระกูลของตน และต้องสืบทอดต่อไปจนกว่าจะไม่มีผู้ชายในตระกูลแล้ว โดยผู้สืบทอดต้องเชิญผีบ้านมาไว้ที่บ้านของตน เพราะจะสะดวกกว่าการไว้ที่บ้านเดิมเมื่อมีการเซ่นไหว้ประจำปี ซึ่งบุตรชายคนโตในตระกูลจะเป็นผู้สืบทอดและเป็นผู้ทำพิธีรำผีเรียกว่า "ต้นผี" ส่วนบุตรหญิงสามารถเข้าร่วมพิธีได้ ยกเว้นหากมีครอบครัวแล้ว จะต้องถือผีตามฝ่ายสามี และเป็นเพียงแขกของพิธีเท่านั้น สำหรับที่ตั้งผีบ้านคือ เสาหลักหรือเสาเอกของบ้าน โดยใช้กระบุงหรือหีบเป็นตัวแทนของผีบ้านแขวนหรือตั้งบนชั้นไม้ ในการเซ่นไหว้ผีบ้านประจำปี คนในตระกูลต้องเข้าร่วมทุกคน อาจส่งสิ่งของหรือเงินทองมาแทนหากไม่สามารถเข้าร่วมได้ เพราะอาจเกิดโทษภายหลัง ทั้งนี้ สามารถแยกผีบ้านไปไว้ที่บ้านของตน หากบ้านเรือนตั้งอยู่ไกลได้ (หน้า 94-95)
นอกจากนี้ มอญยังมีความเชื่อในการปลูกเรือนที่ต้องถูกโฉลกโดยการไปปรึกษากับผู้ใหญ่ หรือพระที่วัด และนิยมให้หน้าบ้านอยู่ทางทิศเหนือ เพราะเชื่อว่าเป็นการระลึกถึงถิ่นเดิมที่ตนอพยพมา จนมีคำกล่าวว่า "มอญขวาง" จากการตั้งบ้านที่แย้งกับการไหลของกระแสน้ำจากเหนือไปใต้ของไทยนั่นเอง ความเชื่อในการตั้งถิ่นฐานนี้เป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ใบลานภาษามอญโบราณ "โลกสิทธิ" และ "โลกสมมติ" ซึ่งประกอบด้วยกฎเกณฑ์ คำสั่งสอนของคนมอญโบราณที่สืบต่อกันมาจนปัจจุบัน (หน้า 95) |
|
Education and Socialization |
ผู้วิจัยกล่าวว่าครอบครัวในชุมชนแห่งนี้ยังคงมีความเข้มแข็ง สมาชิกในวัยทำงานจะมีชุมชนแห่งนี้เป็นที่พักถาวร ส่วนสมาชิกผู้สูงอายุในครอบครัวจะเป็นผู้ถ่ายทอดบรรทัดฐานการใช้ชีวิตให้กับคนรุ่นต่อไป ขณะที่เด็กๆ ก็ได้รับบริการการศึกษาจากวัดและโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ (หน้า 63-64)
สำหรับโรงเรียนวัดบางกระดี่เริ่มสอนหนังสือครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2474 โดยเริ่มสอนให้กับเด็กวัดก่อนประมาณ 10 คน ใช้ศาลาการเปรียญของวัดเป็นที่เรียน ในปี พ.ศ.2479 จึงมีอาคารเรียนหลังแรก และเมื่อ พ.ศ.2503 ทางโรงเรียนได้ขยายหลักสูตรจากชั้นประถม 1 - ประถม 6 เป็นชั้นประถม 1 - ชั้นมัธยม 3 ในส่วนของโรงเรียนอนุบาลนั้น ตั้งอยู่ในหมู่ 8 คือ โรงเรียนอนุบาลบ้านรักเด็ก สร้างได้ประมาณ 3 - 4 ปีแล้ว (หน้า 177-178) |
|
Health and Medicine |
ปัจจุบัน มีศูนย์บริการสาธารณสุขภายในชุมชนอยู่ในหมู่ 8 ทั้ง 2 แห่ง แต่ตั้งอยู่คนละฝั่งของคลองบางกระดี่ จัดว่ามีการใช้บริการอย่างสม่ำเสมอจากคนในชุมชน โดยศูนย์บริการทั้ง 2 แห่งได้แก่ ศูนย์บริการสาธารณสุข 4 สาขาแสมดำ สำนักอนามัยกรุงเทพมหานคร และศูนย์สุขภาพชุมชนกับที่ทำการแพทย์ประจำตำบล แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน (หน้า 178-179) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
งานฝีมือของมอญที่มีบทบาทในประเพณีและความเชื่อต่างๆ เช่น
- ในงานศพสมัยโบราณ การเอาศพลงจากเรือนของมอญจะไม่ให้เอาลงทางบันได แต่ให้รื้อฝาเรือนแล้วเอาศพออกทางนั้น แต่ก็
มีมอญบางแห่งเอาศพลงทางบันได ซึ่งต้องทำบันไดสำหรับผีลง ทำด้วยไม้ไผ่ซีก บันไดยาวประมาณ 2 ศอก กว้างประมาณ 1 ศอก 1 คืบ (หน้า 91)
- การประกอบพิธีรำผีจะประกอบด้วยงานฝีมือของมอญตั้งแต่โรงพิธีปลูกด้วยเสา 6 ต้น พาไลสำหรับแขกนั่ง หิ้งยาวด้านหลังโรงพิธีสำหรับวางของเพื่อใช้ในการรำผีจัดเป็นชุดอยู่ในอ่างโลหะขอบสูง และยังมีอุปกรณ์ในการรำอื่นๆ เช่น ดาบ ต้นกล้วย เป็นต้น ที่สำคัญคือ วงพิณพาทย์มอญ 1 วง เพื่อใช้บรรเลงประกอบการรำ โดยจะเป็นหน้าที่ของคนรำผีทั้งสิ้นตั้งแต่จัดเครื่องเซ่นไหว้ การแต่งกายและร่ายรำ และสุดท้ายคือ การรวบรวมเศษอาหารหรือต้นกล้วยที่ตัดในระหว่างพิธีเทรวมกันแล้วใส่ลงในเรือซึ่งทำจากต้นกล้วย แล้วนำเรือไปลอยในน้ำเพื่อเป็นการลอยเสนียดทิ้ง (หน้า 94)
นอกจากนั้น ผู้เขียนยังนำเสนอถึงประเพณีสงกรานต์ของมอญที่มีการละเล่นหลายรูปแบบ ได้แก่ การแสดงของวงทะแยมอญ การเล่นสะบ้าที่นิยมเล่นบริเวณใต้ถุนบ้านกว้างๆ อีกทั้งในอดีตยังมีการละเล่นที่นิยมคือ การเล่นทรงผีโดยเชิญแต่ละผีมา เช่น ผีสุ่ม ผีลิง และเพื่อเป็นการอนุรักษ์การละเล่นเหล่านี้ไว้ สมาคมชาวรามัญในซอยบางกระดี่จึงได้จัดให้มีการละเล่นสะบ้าอยู่ บางปีก็มี การรำหงส์ด้วย ซึ่งผู้แสดงคือคนมอญที่มาจากพม่าและเล่าถึงความเป็นมาของคนมอญในอดีตนั่นเอง (หน้า 87-88) |
|
Folklore |
ตำนานหรือเรื่องเล่าต่างๆ ของมอญส่วนใหญ่ ก่อให้เกิดประเพณีและความเชื่อของมอญที่สำคัญ ได้แก่
- ประเพณีตักบาตรดอกไม้ในวันออกพรรษา ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ชาวบ้านบางกระดี่ถือเป็นวันพระใหญ่และให้ความสำคัญอย่างมาก โดยพิธีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากพุทธประวัติ เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดาบนเทวโลกนั้น พระองค์ได้เสด็จประทับอยู่เพื่อโปรดพระมารดาตลอดพรรษา บรรดาอาณาประชาราษฎร์ทั้งหลายต่างคำนึงถึงพระองค์และรอคอยการเสด็จกลับของพระพุทธองค์ตลอดเวลา เมื่อถึงวันที่เสด็จกลับชาวเมืองก็ดีใจมาก เตรียมการต้อนรับอย่างมโหฬาร พร้อมทั้งจัดเตรียมบุปผามาลัยและเครื่องสักการะต่างๆ เพื่อนำมาถวาย คนมอญจึงนำพุทธประวัตินี้มาจัดเป็นพิธีตักบาตรดอกไม้ และถือเป็นพิธีสำคัญปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน (หน้า 89)
- การถือผีบ้าน ความเชื่อในเรื่องผีบ้านของมอญมาจากนิทานปรัมปราที่เล่าว่า ครั้งหนึ่งมีเศรษฐีผู้หนึ่งมีภรรยา 2 คน ภรรยาหลวงเกิดอิจฉาภรรยาน้อยจึงฆ่าลูกของภรรยาน้อยตายจึงเกิดการอาฆาตจองเวร ในที่สุดเมื่อฝ่ายหนึ่งไปเกิดเป็นผี อีกฝ่ายเป็นมนุษย์และมีลูกด้วย ฝ่ายมนุษย์จึงไปขอพึ่งพระองค์ในขณะที่พระองค์กำลังประทับอยู่ที่เวฬุวันมหาวิหาร เมื่อพระพุทธองค์ทราบความเป็นไปจึงได้เทศนาให้นางผีเห็นโทษของการจองเวร นางมนุษย์และนางผีจึงระงับการจองเวรต่อกัน ต่อมานางผีได้ไปอยู่กับนางมนุษย์ก็ได้ช่วยเหลือให้นางมนุษย์ทำนาได้ผลดีจนมั่งคั่ง และเกิดผลดีต่อชาวเมืองด้วย เรื่องเล่านี้จึงเป็นมูลเหตุของการนับถือผีมาจนทุกวันนี้ (หน้า 94) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
การธำรงเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของมอญบางกระดี่ปรากฏอยู่ในประเพณีและความเชื่อ ด้วยความที่ชุมชนแห่งนี้เป็นที่ตั้งของวัดบางกระดี่ จึงมีคนไทยเชื้อสายมอญจากชุมชนอื่นๆ มาร่วมงานประเพณี ซึ่งวัดแห่งนี้ได้รับการบูรณะตลอด 125 ปีที่ผ่านมาและยังคงเทศน์และสวดศพเป็นภาษามอญอยู่ โดยชาวบ้านจะร่วมใจกันแต่งกายแบบดั้งเดิม ฝ่ายชายจะนุ่งโจงกระเบน ฝ่ายหญิงจะนุ่งผ้านุ่งและผ้าพาดบ่าไปร่วมงาน อีกทั้งยังมี "สมาคมชาวรามัญ" ซึ่งในวันสงกรานต์ไทย-รามัญของทุกปี คนรามัญจากที่อื่นๆ จะมาชุมนุมกันเพื่อรำลึกถึงถิ่นฐานเดิมของตนในประเทศพม่าผ่านทางการแสดงการละเล่นพื้นบ้าน (หน้า 203)
นอกจากนี้ ชุมชนมอญบางกระดี่ยังคงมีความเชื่อในเรื่องผีบรรพบุรุษอยู่แทบทุกครัวเรือน จากการกราบไหว้ผีบรรพบุรุษ การปฏิบัติตามข้อห้ามต่างๆ ของการถือผี และข้อห้ามบางอย่างยังส่งผลดีต่อการอยู่ร่วมกัน อีกทั้งการนับถือผียังเป็นเครื่องมือในการรวมตัวกันของตระกูลในวันเซ่นไหว้ผีอีกด้วย นับว่าเป็นกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยเชื้อสายมอญ ซึ่งถือเป็นรากฐานที่สำคัญต่อการอยู่ร่วมกันของคนในชุมชนแห่งนี้ (หน้า 204) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงในด้านวิถีชีวิตของมอญเกิดจากปัจจัยภายนอกหลายประการ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีจากการสร้างบ้านไม้ กลายเป็นการใช้คอนกรีตแทน เพราะมีราคาถูกกว่า แข็งแรงและสร้างกันทั่วไปตามสมัย อีกทั้งการมีถนนและรถยนต์เข้ามาใช้ในหมู่บ้าน ทำให้การติดต่อกับภายนอกมีความสะดวกรวดเร็ว ส่งผลให้กิจการต่างๆ ในชุมชนซับซ้อนยิ่งขึ้นและขยายตัวอย่างรวดเร็วอีกด้วย
ด้านการเกษตร การขยายตัวของโรงงานอุตสาหกรรมทำให้พื้นที่ในการเกษตรลดลง นอกจากนั้น มอญบางกระดี่ยังมีแนวโน้มจะหันไปประกอบอาชีพอื่นแทนการทำการเกษตรมากขึ้น เนื่องจากให้รายได้ที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นในปัจจุบัน การพัฒนาอุตสาหกรรม การขยายตัวของโรงงานนอกจากทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านวิถีชีวิตของคนในชุมชนแล้ว ยังมีผลกระทบโดยตรงต่อระบบนิเวศน์บริเวณชุมชนอีกด้วย จากที่เคยใช้น้ำในคลองเพื่ออุปโภคบริโภคก็ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป เนื่องจากโรงงานปล่อยมลพิษลงสู่แม่น้ำ อีกทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นมายังหมู่บ้านด้วย
ด้านแผนและนโยบายจากภาครัฐ การที่โรงงานบางแห่งได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการในพื้นที่ของชุมชนได้ ทำให้เกิดสิ่งก่อสร้างที่ขัดแย้งกับชุมชน และอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ลดความเป็นเอกภาพของชุมชนแห่งนี้ (หน้า 153-158) |
|
Other Issues |
เนื่องมาจากผู้เขียนเห็นว่ารูปแบบการตั้งถิ่นฐานที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนแห่งนี้มี 6 ประการ (หน้า 231) ได้แก่
1) การวางทิศทางของบ้านเรือน มาจากความเชื่อผีบรรพบุรุษซึ่งเป็นความเชื่อของคนมอญโดยเฉพาะ
2) การมีวัดเป็นศูนย์กลาง
3) การเกาะกลุ่มกันของบ้านเรือน
4) การมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่หัวและท้ายของหมู่บ้าน
5) การปลูกเรือนใกล้แหล่งน้ำ
6) การมีพื้นที่ทำกินอยู่บริเวณโดยรอบ
ดังนั้น ผู้เขียนจึงได้เสนอแนะแนวทางในการพัฒนาชุมชน โดยเริ่มจากการแบ่งพื้นที่ศึกษาในชุมชนเป็น 11 กลุ่มย่อยเพื่อนำมาพิจารณาศักยภาพและปัญหาในการตั้งถิ่นฐานของพื้นที่นั้นๆ จากนั้นจะทำการประเมินคุณค่าพื้นที่ชุมชนทั้งปัจจัยบวกและลบต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นำมาซึ่งการกำหนดแนวทางการพัฒนารูปแบบการตั้งถิ่นฐานที่มี 7 ข้อ (หน้า 232) ได้แก่
1) การควบคุมความสูงและรูปแบบอาคาร
2) การเตรียมพื้นที่เพื่อการขยายตัวของชุมชน
3) การอนุรักษ์พื้นที่เกษตร
4) การจัดระเบียบพื้นที่เพื่อการพาณิชยกรรม
5) การอนุรักษ์และส่งเสริมกิจกรรมทางวัฒนธรรม
6) การปรับปรุงภูมิทัศน์และสิ่งแวดล้อม
7) การพัฒนาโครงข่ายทางสัญจร ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวข้างต้นจะสำเร็จได้ด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชน |
|
Map/Illustration |
ผู้วิจัยได้นำเสนอข้อมูลด้วยการใช้ตาราง แผนภูมิ และรูปภาพไว้จำนวนมาก ดังนี้
1) ตารางมีจำนวนทั้งสิ้น 61 ตาราง
2) แผนภูมิจำนวน 31 แผนภูมิ
3) รูปภาพจำนวน 27 รูปภาพ
4) ภาพถ่ายจำนวน 56 ภาพ |
|
|