|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ประวัติความเป็นมา,การตั้งถิ่นฐาน,ประเทศพม่า |
Author |
Saw Hanson Tadaw |
Title |
The Karens: Their Origin and Early Movements |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
หอจดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยพายัพ |
Total Pages |
5 |
Year |
2505 |
Source |
The Nation Supplement : Rangoon, July 8. |
Abstract |
กะเหรี่ยงเป็นที่รู้จักของชาวยุโรปในราวคริสต์ศตวรรษที่ 18 และถูกเรียกในชื่อต่าง ๆ ส่วนคำว่า "กะเหรี่ยง" นั้นมาจากภาษาพม่าว่า "Kayin" ซึ่งมีผู้สันนิษฐานถึงที่มาของศัพท์หลากหลายแนว ส่วนหนึ่งที่บทความนี้ได้ให้ความสนใจคือ ภาษาของกะเหรี่ยงซึ่งเป็นภาษาที่มีลักษณะใกล้เคียงกับภาษาจีน เพราะภาษา กะเหรี่ยงมีเสียงวรรณยุกต์ แต่ด้านการเรียงคำมีความแตกต่างจากภาษาจีน นอกจากนี้ลักษณะทางภาษาเป็นส่วนสำคัญ ที่ใช้ในการสันนิษฐานถึงทิศทางการอพยพ รวมถึงช่วงเวลาของการอพยพก่อนหรือหลังชนเผ่าอื่นอีกด้วย กะเหรี่ยงมีเรื่อง ราวคล้ายคลึงกับในพระคัมภีร์ไบเบิล แต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร หรืออาจจะเกิดจากการพ้องกัน โดยบังเอิญก็ได้ อย่างไรก็ดี แม้ว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่บ่งบอกความเป็นมาของชนเผ่ากะเหรี่ยงไม่ได้ถูกบันทึกไว้ แต่จากนิทาน มุขปาฐะที่เล่าถึงการอพยพจากบ้านเกิด ที่อยู่ทางเหนือลงมาทางใต้นั้นทำให้สันนิษฐานได้ว่า ต้นกำเนิดเดิมของกะเหรี่ยง นั้นอยู่ทางเหนือ แล้วเคลื่อนที่ลงมาสู่ประเทศพม่า ผ่านรัฐฉานและกระจายตัวไปทางทิศใต้และทิศตะวันตก กะเหรี่ยงแบ่งได้ 3 กลุ่มย่อย คือ กะเหรี่ยงสะกอ กะเหรี่ยงโปว์ และ กะเหรี่ยงบะไค (บางเอกสารใช้คำว่า บเว : ผู้สังเคราะห์) ซึ่งจากข้อสันนิษฐานของผู้เขียน เชื่อว่า กะเหรี่ยงโปว์น่าจะเป็นกลุ่มแรกที่อพยพเข้ามาก่อน ตามด้วย กะเหรี่ยงสะกอ ส่วน กะเหรี่ยงบะไคนั้นเป็นกลุ่มสุดท้ายโดยพิจารณาจากการตั้งถิ่นฐานและการกระจายตัวในเขตต่างๆ ทั้งในประเทศพม่าและไทย |
|
Focus |
ที่มาของคำว่า "Karen" และแนวคิดว่าด้วยเรื่องทิศทาง ช่วงเวลา และทิศทางของการอพยพย้ายถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในประเทศพม่า |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยง แบ่งได้ 3 กลุ่มย่อยคือ สะกอว์ (Sgaw) โปว์ (Pwo) และ บะไค (Bghai) กะเหรี่ยง สะกอว์ และ โปว์ มีจำนวนคร่าวๆ เท่ากัน คือประมาณ 37 % ของประชากรกะเหรี่ยงในพม่า |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษากะเหรี่ยงอยู่ในกลุ่มภาษา ไทย-กะเหรี่ยง (Siamese-Karen language) จัดอยู่ในกลุ่มย่อยของกลุ่มภาษา ไทย-จีน (Siamese - Chinese sub - family) ของตระกูลภาษาทิเบต - จีน (Tibeto - Chinese Language) แม้ว่าภาษากะเหรี่ยง จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับภาษาไท (Shan) หรือจีน แต่ไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดมากนัก แม้ว่าปรากฏเสียงวรรณยุกต์ และมีลักษณะคำพยางค์เดียว แต่ลักษณะการเรียงคำในประโยคเหมือนกับภาษาอังกฤษมากกว่า (หน้า 3) ภาษากะเหรี่ยงน่าจะ ได้รับอิทธิพลเสียงวรรณยุกต์จากภาษาจีน (หน้า 4) ภาษากะเหรี่ยงไม่มีอักษรใช้เป็นของตัวเอง จนกระทั่ง ปี ค.ศ. 1832 หมอสอนศาสนาอเมริกันได้สร้างชุดอักษรเพื่อถ่ายถอดเสียงในภาษากะเหรี่ยง |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ชาวยุโรปเริ่มรู้จักกะเหรี่ยงในราวกลางคริสต์วรรษที่ 18 โดยไม่มีความแตกต่างจากชนเผ่าอื่นในประเทศพม่า ราวปี ค.ศ.1828 ได้ศึกษาค้นคว้าและแบ่งกะเหรี่ยงออกจากชนเผ่าอื่นๆ แต่ก็ยังถูกมองว่าเป็นชนเผ่าดั้งเดิมที่ดุร้ายป่าเถื่อน ราวต้นคริสต์ศตวรรษ ที่19 หมอสอนศาสนานิกายแบปติสต์ ได้สอนศาสนาและชักจูงให้นับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งทำให้กะเหรี่ยงเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวคริสต์ กะเหรี่ยงไม่มีตัวอักษรใช้บันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่บ่งบอกความเป็นมาและการย้ายถิ่นฐาน แต่มีนักวิชาการหลายคน ได้ให้ข้อสันนิษฐานถึงการย้ายถิ่นฐานไว้ดังนี้ - ดร.ครอส เชื่อว่ากะเหรี่ยงเป็นชนเผ่าดั้งเดิมในพม่า โดยสันนิษฐานจากคำเรียกชื่อ "Karen" ซึ่ง เขาได้ให้ความหมายว่า "ชน เผ่าดั้งเดิม" - ดร.เลาเฟอร์ เสนอว่า กะเหรี่ยงมีถิ่นกำเนิดบริเวณแม่น้ำหวงโห เพราะ ความเชื่อ การประกอบพิธีกรรม อุปกรณ์พิธี แนวคิดทางสังคม รวมถึงเสียงวรรณยุกต์ที่เหมือนภาษาจีน ดังนั้นจากหลักฐานที่มีลักษณะพิเศษนี่บ่งชี้ได้ว่า กลุ่มชนกะเหรี่ยงน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับคนจีน - ศาสตราจารย์ เป มวง ติง เสนอว่า จากจารึกโบราณของพม่า ได้กล่าวถึง "จะเกรา" (กะเหรี่ยง สะกอ) ได้อาศัยอยู่ในอาณาจักร ศรีเกษตรใน คริสต์วรรษที่ 8 - ดร.ลูซ ชี้ชัดไปว่า กะเหรี่ยงสะกอ ตั้งฐิ่นฐานในจังหวัด มินบู ก่อนชาวพม่า อพยพเข้ามาในคริสต์วรรษที่ 9 และกะเหรี่ยงน่าจะอพยพมาจากทางตะวันออก ผ่านทางใต้ของรัฐฉาน - ผู้บัญชาการลูวิส ได้เสนอว่า กะเหรี่ยงน่าจะอพยพเข้ามาสู่ดินแดนพม่าหลังชนเผ่าอื่น เนื่องจากลักษณะทางเสียงวรรณยุกต์ที่ ได้รับอิทธิพลจากจีนซึ่งไม่ใช่ลักษณะที่ปกติ แสดงว่า ไม่ได้ตั้งถิ่นฐานบริเวณนี้มาก่อน กะเหรี่ยงน่าจะอพยพเข้ามาในเวลาเดียวกับไทใหญ่ เขาเชื่อว่า กะเหรี่ยงและไทใหญ่อพยพมาจากทางเหนือลงสู่ทางใต้ ข้ามแม่น้ำโขง ที่ราบหุบเขาแม่น้ำสาละวินไปสู่รัฐฉาน เนื่องจากต้องปะทะกับไทใหญ่จึงต้องอพยพไปสู่รัฐคะเรนนี แล้วกระจายไปทางทิศตะวันตกและใต้ ไปตามที่ราบหุบเขาแม่น้ำสาละวินและแม่น้ำสะโตง จากนั้นก็เคลื่อนไปยังดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิรวดี และทางใต้ของเขต เตนัสเสอริม (หน้า4) - นักวิชาการบางคนนั้นเชื่อว่า กะเหรี่ยงไม่ใช่ชนเผ่าดั้งเดิมในพม่า แต่อพยพเข้ามาก่อนชาวพม่าและไทใหญ่ แต่หลังมอญหรือตะเลง ประมาณคริสต์วรรษที่ 5 - กิลมอร์ เสนอว่า กะเหรี่องโปว์น่าจะอพยพเข้ามาสู่พม่าก่อนกะเหรี่ยงสะกอ - ผู้เขียน เสนอว่า กะเหรี่ยงสะกอน่าจะอพยพตามหลังกะเหรี่ยงโปว์ โดยเริ่มจากภูเขาคะเรนนี หรือ เตาโง เป็นจุดศูนย์กลางในการกระจายตัวไปทางใต้และตะวันตก กลุ่มหนึ่งเคลื่อนที่มาทางตะวันตกข้ามที่ราบหุบเขาแม่น้ำสะโตงไปยังดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิรวดี อีกกลุ่มอพยพมาทางใต้จนถึงชายแดนไทย-พม่า และรักษาทิศทางลงไปสู่เมืองทวายและมะริด จากจุดศูนย์กลางและการกระจายตัวของการตั้งถิ่นฐานทำให้สันนิษฐานได้ว่า กะเหรี่ยงโปว์น่าจะเป็นกลุ่มที่อพยพเข้ามาก่อนเมื่อยึดการตั้งบ้านเรือนของกะเหรี่ยวโปว์เป็นเกณฑ์ ก็จะพบว่า กะเหรี่ยงสะกอได้กระจายห่างไปไม่เกิน 30 ไมล์ ดังนั้นกะเหรี่ยงสะกอจึงน่า อพยพตามเส้นทางการเคลื่อนที่ของกะเหรี่ยงโปว์ ส่วนกะเหรี่ยงบะไคนั้น น่าจะเป็นกลุ่มที่อพยพเข้ามาหลังสุดเพราะไม่ได้กระจายตัวไปเกินจากรัฐคะเรนนีและจังหวัดเตาโง นอกจากนี้กะเหรี่ยวโปว์และสะกอ ยังอาศัยในประเทศกัมพูชา เพราะตกเป็นเชลยในสงครามและถูกเนรเทศไปยังกัมพูชา |
|
Settlement Pattern |
กะเหรี่ยงบะไค มักตั้งบ้านเรือนในหุบเขา |
|
Demography |
กะเหรี่ยง สะกอว์ และ โปว์ มีจำนวนคร่าวๆ เท่ากัน รวมแล้วมีจำนวนราว 74% ของ ประชากรกะเหรี่ยงในพม่า ส่วนกะเหรี่ยงบะไค มีจำนวน 26 % |
|
Belief System |
ความเชื่อของกะเหรี่ยงพ้องกับเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิล ดร.เมสัน ผู้เชื่อว่า กะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชนที่อพยพมาจากอิสราเอล ผู้เขียนกล่าวว่า ความคิดนี้เป็นไปได้ยากเพราะไม่สามารถอธิบายได้ว่า กะเหรี่ยงนั้นสอดพ้องกับเรื่องในคัมภีร์ได้อย่างไร และกะเหรี่ยงไม่มีความเกี่ยวข้องทางชาติพันธุ์กับชาวฮิบรูเลย (หน้า 2) วัฒนธรรมของกะเหรี่ยงบางอย่างมีลักษณะเหมือนกับวัฒนธรรมจีน เช่น การบูชาบรรพบุรุษ และการเสี่ยงทายโดยใช้กระดูกไก่ นอกจากนี้ ยังพบการใช้กลองสำริด ซึ่งแสดงถึงวัฒนธรรมที่มีต้นกำเนิดเดียวกัน (หน้า 4) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
นิทานมุขปาฐะกล่าวถึง การอพยพจากบ้านเกิดซึ่งอยู่ทางเหนือ และอพยพลงมาทางใต้ โดยผู้นำชื่อ "Htaw Meh Pa" จนกระทั่งพบ "Hti She Meh Ywa" ซึ่งเป็นแม่น้ำกั้นขวางไว้ แม้ว่า นิทานนี้ไม่มีความน่าเชื่อถือทางประวัติศาสตร์ ที่ใช้อ้างอิงได้ แต่ทว่ามีคุณค่าทางชาติพันธุ์ ศึกษามากกว่าการโอ้อวดถึงความเจริญทางอารยธรรมมากกว่าชนชาติอื่น (หน้า 3) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
ชาวยุโรปได้เขียนชื่อ กะเหรี่ยงกันหลายแบบ เช่น Carians, Carrians, Carayners, Carrianers, หรือ Karen คำว่า "Karen" นั้นเกิดจากการถ่ายถอดเสียงที่ไม่สมบูรณ์จากภาษาพม่าว่า "Kayin" ซึ่งชาวพม่าใช้เรียกกะเหรี่ยง นักวิชาการได้ให้ความหมายและที่มาของคำว่า "Karen" ไว้ดังนี้ - ดร.ครอส เสนอว่า คำนี้หมายถึง ชนเผ่าดั้งเดิม หรือ คนป่า ก็ได้ เพราะชาวพม่าได้เปรียบเทียบตัวเองกับกะเหรี่ยงว่า กะเหรี่ยงมีอารยธรรมที่ด้อยกว่าตน โดยคำว่า "yine" หมายถึง "ป่าเถื่อน" ในทางตรงกันข้าม คำว่า "yin" อาจจะหมายถึง อารยธรรม หรือ ก่อน ดังนั้นคำว่า "Kayin" คำนั้นหมายถึง คนป่า ซึ่งปรากฏรูปเขียนตรงกันข้ามกับที่ดร.ครอสได้ให้ความหมายไว้ - พระสงฆ์รูปหนึ่งในเมืองเตาโง ได้เสนอว่าคำนี้น่าจะมาจากภาษาบาลี หมายถึง คนเลี้ยงผู้สกปรก หรือคนในวรรณะต่ำ คำนี้อาจจะมาจากคำว่า "ยาง" ชื่อที่ถูกเรียกโดยไทใหญ่ และเปลี่ยนแปลงเสียงโดยผู้พูดภาษาพม่าเป็น "yen" หรือ "yein" และเติมอุปสรรค "ka" เช่นเดียวกับการเรียกชื่อชนเผ่าอื่นในภาษาพม่า |
|
|