|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มอญ,พิธีกรรม,เอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์,ราชบุรี |
Author |
อะระโท โอชิมา |
Title |
ชีวิต พิธีกรรมและอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของคนมอญในเมืองไทย กรณีศึกษาในเขต อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
มอญ รมัน รามัญ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
125 |
Year |
2536 |
Source |
วิทยานิพนธ์หลักสูตรสังคมวิทยาและมานุษยวิทยามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Abstract |
การศึกษาครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาการธำรงชาติพันธุ์มอญที่หมู่ 4, หมู่ 5, และส่วนหนึ่งของหมู่ 3 ที่ ต.บ้านมน (ชื่อสมมุติ) อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี โดยพิจารณาการแสดงออกและการเรียนรู้เอกลักษณ์ชาติพันธุ์มอญ และพรมแดนชาติพันธุ์มอญในชีวิตประจำวันและพิธีกรรมต่าง ๆ ของมอญ โดยที่ผู้เขียนนั้นตั้งใจมองความสัมพันธ์ระหว่างการธำรงชาติพันธุ์กับพิธีกรรมโดยใช้ทฤษฎีการธำรงชาติพันธุ์และทฤษฎีวิเคราะห์พิธีกรรม อันประกอบด้วยปัจจัยหลัก 3 ประการคือ กลุ่ม, ประวัติ, และอัตลักษณ์ พบว่าคนมอญในชุมชนบ้านมนมีเอกลักษณ์ชาติพันธุ์ที่ซับซ้อนอยู่ 2 ระดับคือระดับที่เป็นคนไทยและระดับที่เป็นคนมอญควบคู่กันไปคือเป็นคนมอญที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย แต่ยังคงใช้สัญลักษณ์บางประการที่แสดงตนถึงความเป็นคนมอญตามกาลเทศะ คือ การแต่งกายและการใช้ภาษา มีพิธีกรรมนับถือผีหรือขะหลกหั่ยสืบต่อทางสายเลือดหรือการทำบุญร่วมกัน 9 วันในวันเข้าพรรษาและออกพรรษาเพื่อรวบรวมกลุ่มชาติพันธุ์มอญในแต่ละตำบลเข้าด้วยกัน (บทคัดย่อ1-2) |
|
Focus |
ศึกษาการธำรงชาติพันธุ์มอญที่หมู่ 4, หมู่ 5, และส่วนหนึ่งของหมู่ 3 ที่ต.บ้านมน (ชื่อสมมุติ) อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี โดยพิจารณาการแสดงออกและการเรียนรู้เอกลักษณ์ชาติพันธุ์มอญ และพรมแดนชาติพันธุ์มอญในชีวิตประจำวันและพิธีกรรมต่าง ๆ ของมอญ (หน้า 17) |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนได้แสดงให้เห็นสภาวการณ์ของการธำรงชาติพันธุ์มอญที่บ้านมนว่า มีเอกลักษณ์ชาติพันธุ์ที่ซับซ้อนใน 2 ระดับคือ ที่เป็นมอญและที่เป็นไทยควบคู่กันไป ผ่านทางสัญลักษณ์ต่าง ๆ คือ การแต่งกาย ภาษา และการรวมกลุ่มชาติพันธุ์ในสถานการณ์ต่าง ๆ และได้อธิบายว่ากลไกสำคัญในการธำรงเอกลักษณ์ชาติพันธุ์มอญคือพิธีกรรมต่าง ๆ และตำรามอญซึ่งเป็นรากฐานของวัฒนธรรม อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนได้ตั้งข้อสังเกตว่า ความเป็นมอญมีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งสะท้อนให้เห็นในกลุ่มอายุต่าง ๆ คนรุ่นใหม่จะแสดงความเป็นไทยมากกว่าคนรุ่นก่อน อันเนื่องมาจากอิทธิพลของการศึกษาของไทยและการรับข่าวสารทางทางโทรทัศน์ (หน้า 123) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาไทยและภาษามอญ ซึ่งมอญในหมู่บ้านมนนี้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปจะสามารถสื่อสารได้ทั้งภาษาไทยและภาษามอญ โดยเมื่อสนทนาเป็นภาษาไทยจะนำคำมอญมาผสม และเมื่อสนทนาเป็นภาษามอญก็จะนำคำไทยไปผสม แม้ว่าประชาชนส่วนมากในหมู่บ้านมนสามารถพูดภาษาไทยได้ชัดเจน แต่กลุ่มประชากรที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปนั้น มีความสามารถในการใช้ภาษามอญมากกว่าภาษาไทย และจะออกเสียงภาษาไทยไม่ชัด ในขณะที่เด็กที่อายุต่ำกว่า 15 ปีนั้นมีความสามารถในการพูดภาษามอญน้อยลงมาก สามารถฟังได้เข้าใจแต่เมื่อถามเป็นภาษามอญจะตอบเป็นภาษาไทย (หน้า 46)
สำหรับการอ่านและเขียนภาษามอญนั้น ผู้หญิงจะไม่สามารถอ่านและเขียนได้เนื่องจากต้องไปเรียนที่วัดและจะได้เรียนเฉพาะเด็กชายที่เป็นเด็กวัดเท่านั้น (หน้า 47)
ปัจจุบันภาษามอญนั้นจะใช้ประโยชน์ในเรื่องเกี่ยวกับศาสนาและพิธีกรรม แต่ไม่ค่อยมีความสำคัญในการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน การสูญหายของภาษามอญเริ่มปรากฏให้เห็นในการใช้ภาษาของเด็กยุคใหม่ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมของสังคมมอญ (หน้า 49) เกี่ยวกับความสามารถในการอ่านและเขียนภาษามอญ ลักษณะของการสูญหายได้ปรากฏชัดเจน เป็นอันตรายต่อการดำรงอยู่ของการเขียนและอ่านภาษามอญ แต่การสนทนาภาษามอญนั้นอาจจะดำรงอยู่ได้หลายปี (หน้า 50) |
|
Study Period (Data Collection) |
กรกฎาคม 2534 - กรกฎาคม 2535 (หน้า 18) |
|
History of the Group and Community |
จากหลักฐานทางโบราณคดี คือ คัมภีร์ใบลานกล่าวว่า บ้านมนนี้มีอายุมากกว่า 300 ปี สำหรับชาวบ้านในบ้านนั้นไม่ปรากฏหลักฐานว่าอพยพมาจากไหน แต่สันนิษฐานได้ว่าบรรพบุรุษของชาวบ้านมนนั้นอพยพมาจากเมืองมอญในพม่า เพราะมีการแสดงเกี่ยวกับการอพยพหนีมาจากพม่าในพิธีกรรมหนึ่งของชาวบ้านมน (หน้า 24) และมีการบันทึกเกี่ยวกับมอญที่อาศัยอยู่ริมฝั่ง
แม่น้ำแม่กลองในสมัย รัชกาลที่ 5 ที่กล่าวถึงการเสด็จทางชลมารคผ่านลำน้ำแม่กลอง จังหวัดราชบุรีในปี พ.ศ.2420 |
|
Settlement Pattern |
ชาวบ้านจะตั้งถิ่นฐานกันหนาแน่นในบริเวณถนนหลักเรื่อยเข้าไปประมาณ 300 เมตร และบ้านเรือนส่วนใหญ่จะตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณที่ไม่ห่างไปจากแม่น้ำกว่า 500 เมตร บริเวณพื้นที่นาจะอยู่ทางด้านตะวันตก บริเวณระหว่างแม่น้ำแม่กลองกับคลอง ชลประทานจะประกอบด้วยไร่ของชาวบ้าน เช่น อ้อย ผัก ข้าวโพด ฯลฯ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นไร่อ้อย (หน้า 21-23)
การตั้งถิ่นฐานส่วนใหญ่จะตั้งไม่ห่างจากแม่น้ำ บ้านเรือนมักจะปลูกขวางแม่น้ำ หันหน้าไปทางทิศเหนือตามตำราโลกะสิทธิเชื่อว่าถ้าปลูกตามตำราแล้วผีร้ายจะไม่เข้าไปในบ้าน ผู้เขียนได้กล่าวถึงทฤษฎีเกี่ยวกับการสร้างบ้านให้หันหน้าไปทางทิศเหนือไว้ 2 ทฤษฎีคือ เพราะถือว่ามอญอพยพมาจากทางเหนือ เมื่อจากบ้านก็ระลึกถึงถิ่นเดิมจึงทำเช่นนั้นและอีกข้อหนึ่งคือแม่น้ำในไทยและพม่านั้นวางตัวในแนวเหนือ-ใต้ สมัยก่อนพม่าจะยกทัพมาทางน้ำ ดังนั้น ถ้าหันหน้าเข้าแม่น้ำทหารพม่าจะเข้ามาในบ้านได้ง่าย ดังนั้นจึงหันหน้าไปทางทิศเหนือเพื่อให้ทหารพม่าเข้ามาลำบาก (หน้า 34-36)
ในหมู่บ้านมนนิยมสร้างบ้านใหม่ในบริเวณเดียวกับบ้านบิดา-มารดา จึงเกิดเป็นชุมชนเล็ก ๆ เรียกว่าหมู่ ชาวบ้านอาศัยในหมู่เดียวกันมักจะเป็นญาติกัน (หน้า 37) |
|
Demography |
ต.บ้านมนมีประชากรทั้งสิ้น 3,045 คน เป็นชาย 1,511 คน และเป็นหญิง 1,534 คน มีครัวเรือนทั้งสิ้น 579 หลังคาเรือน (พ.ศ. 2530) จากการสำรวจของสำนักผังเมืองในปี พ.ศ.2522-2528 พบว่าประชากรลดลงทุกปีเนื่องจากการอพยพออกไปต่างถิ่นเนื่องจากพื้นที่ไม่พอทำกิน (หน้า 26) |
|
Economy |
ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเป็นเกษตรกร คือทำนาเป็นหลัก แต่ก็มีปัญหาขาดแคลนพื้นที่ทำนา เนื่องจากประชากรมากขึ้น และไม่สามารถขยายพื้นที่เพาะปลูกไปได้อีก (หน้า 26)
การเพาะปลูกข้าวจะเริ่มตั้งแต่เดือน มิ.ย. - ธ.ค. และเริ่มเก็บเกี่ยวในเดือน ม.ค. ในเดือน ก.พ.- มิ.ย. ชาวบ้านจะว่างงาน ในช่วงนี้ผู้ชายจะไปจับปลา เก็บผักบุ้งเพื่อนำไปขาย ส่วนผู้หญิงจะพากันทอผ้าหรือไปเก็บผักตามบริเวณบ้านเพื่อนำไปปรุงอาหาร (หน้า 32) |
|
Social Organization |
ชาวบ้านมนเมื่อแต่งงานแล้วจะไม่มีกฎบังคับตายตัวว่าจะต้องอยู่อาศัยกับญาติฝ่ายไหนหรือจะต้องสร้างบ้านใหม่ แต่ปกติแล้วลูกคนสุดท้ายจะอยู่ที่บ้านเพื่อสืบต่อการเป็นเจ้าของบ้าน แต่บุคคลอื่น ๆ ก็สามารถสืบต่อความเป็นเจ้าของบ้านได้ ลักษณะพิเศษของการอาศัยอยู่ภายในชุมชนบ้านมนที่ว่านี้คือ การที่หลานอยู่กับปู่ ย่า ตา ยาย โดยบิดามารดามิได้อาศัยอยู่ด้วย หากคู่แต่งงานใหม่สร้างบ้านก็มักจะสร้างขึ้นมาในบริเวณเดียวกับบ้านของบิดา มารดา จึงทำให้เกิดชุมชนเล็ก ๆ ขึ้นเรียกว่าหมู่ ประกอบด้วยบ้านประมาณ 5-10 หลังคาเรือน ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่เดียวกันจะเป็นเครือญาติกัน และเมื่อมีการแต่งงานกับคนนอกที่ไม่ใช่หมู่ บุคคลนั้นสามารถเข้าเป็นสมาชิกของหมู่ได้ ส่วนใหญ่ชาวบ้านมนจะไม่รังเกียจเมื่อบุตรหลานต้องการจะแต่งงานกับคนอื่นที่ไม่ใช่มอญ แต่ไม่ยินดีเมื่อแต่งงานกับผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ
ระบบสายสกุลของมอญนั้นเป็นการสืบเชื้อสายทางบิดา รวมทั้งการสืบต่อระบบผีบ้านก็เป็นการสืบต่อทางผู้ชาย คนมอญในบ้านมนไม่นิยมการมีภรรยามากกว่า 1 คนแต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างโดยที่เมื่อมอญได้ย้ายไปยังถิ่นฐานอื่น ก็รับเอาอิทธิพลของโครงสร้างทางสังคมของคนไทยเข้าไปปนทำให้มีภรรยามากกว่า 1 คน ซึ่งถือว่าบุคคลเหล่านั้นเปลี่ยนเป็นคนไทยแล้ว เพราะถือว่าผู้ชายที่มีเมียน้อยไม่ใช่ผู้ชายมอญ (หน้า 37-38)
ระบบเครือญาติจะมีการเซ่นไหว้ผีที่ "ขะหลกหั่ย" ที่เสาเอกของบ้านต้นตระกูลคือผู้สืบผี ผู้สืบผีจะเป็นผู้ชายเท่านั้น ส่วนมากเป็นลูกชายคนโตจะเป็นคนรับต้นผี โดยต้องทำพิธีเกี่ยวกับขะหลกหั่ยทุกอย่าง และดูแลปกครองกลุ่มเครือญาติของตนไม่ให้ปฏิบัติฝ่าฝืนข้อห้ามหรือไม่ให้ผิดผี พิธีกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับขะหลกหั่ยนั้นสมาชิกทุกคนในตระกูลต้องมาร่วมในพิธี ยกเว้นแต่ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ตระกูลใหม่ที่แยกผีออกไปและตระกูลที่ปล่อยผีออกไปคือไม่อัญเชิญขะหลกหั่ยมาที่เสาเอก หรือเรียก ขะหลกหั่ยจากเสาเอกของบ้าน ปล่อยลงในแม่น้ำ (หน้า 53-54) พิธีเลี้ยงผีมีหน้าที่ 2 ประการคือ ทำให้เกิดความสามัคคีในหมู่สมาชิกของตระกูล และเพื่อสร้างกำหนดการในแต่ละรอบปี (หน้า 61) |
|
Belief System |
ชาวบ้านมนส่วนมากนับถือศาสนาพุทธเถรวาท โดยมีศูนย์กลางการนับถืออยู่ที่วัดมน นอกจากนี้ยังมีคนที่นับถือศาสนาคริสต์ 1 คน (หน้า 42) ชีวิตประจำวันของชาวบ้านจะเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนานิกายเถรวาท แต่ก็มีการนับถือผีควบคู่กันไปด้วย สำหรับพระพุทธศาสนานั้นในอดีตจะนับถือกันอย่างเคร่งครัด ทำให้มีข้อห้ามเกี่ยวกับพุทธศาสนามาก (หน้า 43)
ผีแบ่งได้เป็น 4 ประเภทได้แก่
- ผีเรือน หรือ ขะหลกหั่ย หรือ ผีมอญ โดยจะบวงสรวงที่เสาเอก เป็นผีบรรพบุรุษ มี 3 ตน คือ ผีผู้ชาย ผีผู้หญิง และ ผีเมียน้อย
- เจ้าพ่อ หรือ เปียะเจ๊ะ อยู่ที่ศาล มีอำนาจคุ้มครองพื้นที่รอบ ๆ ศาลเจ้า แต่ในบางสถานการณ์ก็ให้โทษ เจ้าพ่อของมอญจะมีชื่อ และมีตำนานเล่าสืบต่อกันมา
- ผีธรรมชาติ อาศัยตามธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ ภูเขา น้ำ ฯลฯ หากคนเข้าไปรบกวนจะเกิดภัยพิบัติ
- ผีร้าย เกิดจากผู้ที่ตายไม่ดี จะทำร้ายคนโดยไม่มีเหตุผล (หน้า 51)
ผีที่มีความสำคัญสำหรับมอญคือผีเรือนและผีเจ้าพ่อ และมอญมีตำนานเกี่ยวกับการนับถือผีซึ่งเชื่อว่ามีมาตั้งแต่พุทธกาล (หน้า52)
ชาวบ้านมนนั้นจะนับถือผีผ้าทั้งหมด เพราะเป็นกลุ่มมอญเตียะ จากเมืองหงสาวดี ตามบ้านจะมีกระบุงหรือหีบแขวนไว้ที่เสาเอกซึ่งบรรจุสไบ ผ้าซิ่น ผ้าขาวม้า เสื้อแขนยาวของผู้ชาย ผ้าขาวและผ้าแดง แหวน 1 วงที่มีหัวเป็นเพชรหรือพลอย ซึ่งต้องดูแลผีผ้า
นี้เป็นอย่างดี มักเปลี่ยนเมื่อวันเลี้ยงผีหรือวันพิธีผีรำ (หน้า 53)
แต่ละตระกูลของมอญจะมี "ขะหลกหั่ย" และมีสัญลักษณ์ของตระกูลซึ่งเป็นสัตว์ เพื่ออธิบายถึงประเภทของขะหลกหั่ยซึ่งเข้าลักษณะ Toteism (หน้า 54) ชาวบ้านมนหมู่ 4 นี้ราว 85 % จะมีสัญลักษณ์เป็นเต่า นอกจากนี้ ยังมี งู ม้า ปลาช่อน โดยมีข้อห้ามและประเพณีต่างกันไป (หน้า 58) แต่ไม่ปรากฏเทพนิยายและตำนานที่อธิบายว่าสัตว์ต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นบรรพบุรุษของตน ไม่มีหน้าที่ที่จะปกป้อง (หน้า 59) ขะหลกหั่ยจะทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องดูแลและควบคุมความประพฤติของสมาชิกทุกคนในตระกูล หากสมาชิกในครอบครัวไม่ปฏิบัติตามข้อห้ามหรือไม่เคารพขะหลกหั่ย จะเกิดการผิดผี ขะหลกหั่ยอาจจะลงโทษคนในตระกูล และต้องแก้ไขด้วยการจัดพิธีรำผี ซึ่งพิธีรำผีนี้ก็อาจเป็นการแสดงความขอบคุณต่อขะหลกหั่ยด้วยก็ได้ (หน้า 61)
"เจ้าพ่อ" มีระดับสูงกว่าผี ทำหน้าที่ปกครองดูแลอาณาเขตตนเอง มีชื่อเรียกเหมือนกับคนและมีบุคลิกที่ต่างกันออกไป ศาลเจ้าพ่อมักอยู่ในบริเวณวัดหรือทางแยก โดยเฉพาะในวัดมอญ ประกอบด้วยเสา 6 เสา หรือ 4 เสา หรืออาจมีเพียงเสาเดียว แตกต่างจากศาลพระภูมิ มีความสูงประมาณ 2 เมตร มีลักษณะคล้ายบ้าน (หน้า 69) ชาวบ้านจะนิยมบูชาเจ้าพ่อเมื่อจะออกเดินทางนอกหมู่บ้าน การจัดพิธีกรรมใหญ่ ๆ และการบนบานศาลกล่าว และในพิธีรำผีก็จะถูกเชิญไปร่วมพิธีรำ (หน้า 70) ซึ่งเจ้าพ่อของคนมอญนั้นอาจจะเคยเป็นคนที่เคยมีชีวิตอยู่และอาจจะมีความสัมพันธ์กับ "ผีนัต" ของพม่า (หน้า 71)
พิธีกรรม
- พิธีเลี้ยงผีบรรพบุรุษ จะทำทุกปี และทุก 3 ปีแล้วแต่แบบแผนของแต่ละตระกูล โดยจะมีในวันข้างขึ้น เดือน 6 ยกเว้นในวันพระและวันเสาร์ โดยเชื่อว่าวันเสาร์เป็นวันแข็งทำให้ผีเข้ามาในพื้นที่ที่เลี้ยงผีลำบาก และเชื่อว่าวันพระนั้นผีจะไปกินอาหารที่วัด และไม่เข้ามาในพื้นที่เลี้ยงผี ซึ่งสันนิษฐานว่าให้ความสำคัญกับพุทธศาสนามากกว่าความเชื่อเรื่องผี (หน้า 60)
- พิธีรำผี จัดขึ้นเมื่อมีคนเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือเกิดเหตุเภทภัยในตระกูล โดยไปปรึกษาหมอดูแล้ว หมอดูกล่าวว่าเกิดจากการผิดผี มักกระทำในเดือนคู่ โดยเชื่อว่าถ้ากระทำการใด ๆ ในเดือนคี่มักไม่ประสบผลสำเร็จ และจะไม่จัดในช่วงเข้าพรรษาและช่วงหน้านา นิยมจัดในเดือน 4 และ 6 ยกเว้นวันพระและวันเสาร์เหมือนพิธีเลี้ยงผี (หน้า 62)
- การตั้งครรภ์และการคลอดบุตร เมื่อตั้งครรภ์จะวางมะพร้าวหนึ่งผลไว้ที่หัวนอน เตรียมหม้อใบหนึ่งไว้ใส่ผงขมิ้นเพื่อใช้ผสมน้ำดื่มและอาบจะได้คลอดลูกได้ง่าย ห้ามนั่งกลางระเบียงบ้าน และห้ามนั่งพิงเสาบ้านโดยเฉพาะเสาเอกหรือเสาผี ห้ามนั่งห้อยเท้าที่บันไดบ้าน ห้ามเก็บผักไปส่งศพ ห้ามเดินทางข้ามน้ำข้ามคลอง หากต้องไปให้เอาเข็มปักที่ผมไปด้วยเล่มหนึ่ง ห้ามอาบน้ำกลางคืน เนื่องจากกลัวว่าผีจะกระทำเอา และต้องทำพิธีเสียกะบาลเป็นรายเดือนรวมทั้งต้องกินยารักษาครรภ์ (หน้า 72) และเมื่อคลอดต้องจำเวลาเกิดให้แม่นยำ เพราะมีความสำคัญจนถึงตาย โดยเชื่อว่าถ้ารู้วันเกิดก็จะรู้วันตาย (หน้า 74)
- พิธีโกนผมไฟ ชาวบ้านบางคนเชื่อว่าผมไฟเป็นผมที่ไม่ค่อยสะอาด จึงต้องทำพิธีโกนผมไฟ มักทำเมื่ออายุได้ 1 เดือน 1 วัน แต่มีข้อห้ามคือ คนในตระกูลเดียวกันจะทำพิธีเกี่ยวกับผีและทำขวัญได้ปีละครั้ง ดังนั้น จึงมักจัดพิธีต่าง ๆ ในวันเดียวกัน ถ้ามีคนตายในปีใด ปีนั้นห้ามโกนผมไฟให้ลูกหลาน หากสมาชิกคนใดมีบุตรที่ยังไม่ได้โกนผมไฟ แต่ภรรยาเกิดตั้งครรภ์ จะทำพิธีไม่ได้ ต้องรอจนคลอดและโกนผมไฟพร้อมกัน และหากยังโกนไม่ได้ให้เก็บผมนั้นไว้ ห้ามโกนทิ้งไปเฉย ๆ จะเกิดอัปมงคล ชาวบ้านจะนิยมจัดพิธีโกนผมไฟในเดือน 4, 5, 6 หรือเดือน 12 (หน้า 74-75)
-พิธีบวช เป็นพิธีมงคลยิ่ง มีความหมายเช่นเดียวกับพิธีบวชไทย แต่ลักษณะการประกอบพิธีนั้นจะต่างกัน ยกเว้นตั้งแต่ตอนนาคเข้าโบสถ์ไปแล้ว โดยผู้ชายจะบวชเมื่อครบ 20 ปี ถ้าในตระกูลเดียวกันมีพิธีกรรมต่าง ๆเกี่ยวกับผีหรือการทำขวัญ ในปีนั้นจะจัดงานบวชไม่ได้ และถ้าในตระกูลเดียวกันมีชายหนุ่มอายุใกล้ ๆ กัน ผู้ที่มีอายุมากกว่าจะรอผู้ที่มีอายุน้อยกว่าครบ 20 ปี แล้วจึงจัดพิธีบวชพร้อม ๆ กัน เพราะถ้าจัดงานบวชทุก ๆ ปีจะไม่สามารถจัดงานอื่นได้ การบวชนี้มีจุดมุ่งหมายคือบวชให้บุพการีและถ้าผู้ชายที่ยังไม่ได้บวชจะถือว่ายังไม่เป็นผู้ใหญ่ นิยมจัดงานบวชตั้งแต่เดือน 12 ถึงเดือน 6 แต่ชาวบ้านเชื่อว่าถ้าบวชหรือสึกให้ทำในเดือนคู่จะดีกว่า สำหรับการจัดพิธีนั้นจะจัดหลายแบบทั้งภายในวันเดียว สองวัน หรือ สามวัน (หน้า 75-76)
- พิธีแต่งงาน ไม่ค่อยต่างกับพิธีไทยมากนักนอกจาก "วันคืนผี" ของเจ้าสาว แต่หากในตระกูลเจ้าบ่าวมีการโกนจุก บวช หรือรำผีแล้ว ปีนั้นจะจัดงานแต่งงานไม่ได้ ต้องรอไปอีก 1 ปี ถ้าต้องการแต่งงานกันจริง ๆ ทำได้โดยการไม่จัดพิธีตามประเพณี แต่มาอยู่ด้วยกันเฉย ๆ โดยสมมติให้เจ้าบ่าวเป็นลูกจ้าง และให้ญาติเจ้าสาวตะโกนว่าลูกจ้างมาแล้ว (หน้า 81)
- พิธีอายุยืน จะจัดให้ผู้สูงอายุ ที่ไม่มั่นใจในสุขภาพตัวเอง หรือหมอดูดูว่ากำลังจะสิ้นอายุขัย เป็นพิธีทางพุทธ โดยพระสงฆ์จะสวดมนต์ให้ เรียกว่า "โพชฌงค์" โดยทำพิธีติดต่อกัน 3 วัน (หน้า 82-83)
- พิธีเกี่ยวกับความตาย เป็นพิธีที่มีที่มาจากศาสนาพุทธและความเชื่อเรื่องผี จะมีวิธีปฏิบัติต่อศพต่างกันไปแล้วแต่ลักษณะของการตาย โดยมีคัมภีร์ "โลกสมมุติ" อธิบายไว้ (หน้า 83)
- พิธีทำบุญ ในวันพระ ชาวบ้านจะไปที่วัดพร้อมอาหาร ธูปเทียน ดอกไม้ มีการสวดมนต์และถวายอาหารแด่พระ เมื่อพระฉันเสร็จจะสวดมนต์อีกครั้ง และชาวบ้านจะกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล ซึ่งการสวดมนต์นี้จะเป็นการสวดแบบมอญ (หน้า 94)
- เข้าพรรษา ในตอนเช้าของวันอาสาฬหบูชามีการทำบุญที่วัด เมื่อทำบุญเสร็จชาวบ้านบางส่วนจะอยู่ถือศีลแปดที่วัดจนถึงวันเข้าพรรษา ในวันรุ่งขึ้นเป็นวันเข้าพรรษา พระสงฆ์จะข้ามน้ำไปยังวัดฝั่งตรงข้าม ที่วัดนี้จะมีพระสงฆ์ทุกรูปจากวัดมอญอีก 8 แห่งที่อยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง ใน อ.บ้านโป่งมารวมกันในศาลา พิธีในตอนเช้าจะเหมือนการทำบุญในวันพระโดยทั่วไป (หน้า 95)
- บุญเดือนสิบ ชาวบ้านเชื่อว่าตั้งแต่วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 - วันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ผีจะออกจากยมโลกได้ถ้าญาติของผู้ตายทำบุญในช่วงนี้จะสามารถส่งบุญให้แก่ผู้ตายได้โดยตรง จึงนิยมทำบุญในช่วงนี้ โดยจะนำเครื่องใช้พระภิกษุ ผัก ผลไม้ น้ำปลา น้ำตาล เกลือ หม้อ กระทะ ฯลฯ มาถวาย และนิยมถวายน้ำผึ้งด้วย บางคนเรียกพิธีนี้ว่า "ทำบุญน้ำผึ้ง" จะทำในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 และแรม 8 ค่ำ เดือน 10 จะมีการเผากระดาษซึ่งเขียนชื่อผู้ตายไว้ เชื่อว่าสามารถส่งบุญไปให้ผู้ตายได้ (หน้า 96) ตอนเย็นชาวบ้านจะเดินไปที่เจดีย์พร้อมกับนำดอกไม้ ธูปเทียนไปบูชาเจดีย์ โดยจะเดินรอบ ๆ เจดีย์สามรอบ และจะสวดมนต์ไปด้วย จากนั้นก็จะบูชาพระพุทธรูปที่อยู่หน้าเจดีย์ ซึ่งพิธีบูชาเจดีย์นี้เป็นเอกลักษณ์ของมอญ (หน้า 97)
- ฑุคตะทาน เป็นพิธีทางพุทธที่มักปรากฏเฉพาะในวัดมอญ ทำทุก 3 ปี จัดในช่วงเดือน 10 -11 เชื่อว่าจัดขึ้นเพื่อให้คนจนมีโอกาสทำบุญ ปัจจุบันนั้นจะเพื่อให้ชาวบ้านได้มีโอกาสนิมนต์พระไปบ้าน โดยเมื่อวัดประกาศว่าจะมีพิธีนี้ ชาวบ้านที่ต้องการนิมนต์พระไปบ้านจะเขียนชื่อตนเองใส่กระดาษและนำไปให้ที่วัด ซึ่งจะต้องเขียนเพียงบ้านละใบ เมื่อทางวัดทราบจำนวนผู้ที่ต้องการนิมนต์แล้ว จะติดต่อไปยังวัดใกล้เคียง และในวันพิธี พระจากวัดอื่นจะเดินทางมาที่วัด และชาวบ้านที่ต้องการจะนิมนต์ก็จะมารวมกันที่หน้าวัด จากนั้นพระทุกรูปจะจับสลากชื่อชาวบ้านรูปละ 1 ใบ เมื่อเป็นชื่อใครก็จะนิมนต์พระรูปนั้นไปที่บ้านตน (หน้า 97)
- ออกพรรษา หลังจากทำบุญตอนเช้า พระจะข้ามแม่น้ำไปยังวัดตรงข้ามเช่นเดียวกับวันเข้าพรรษา เพื่อตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งหรือ "ตักบาตรแถว" และมีการสอบสวดมนต์ของพระที่บวชในพรรษานี้ (หน้า 98) และมีการแข่งเรือยาวและพระสงฆ์รูปหนึ่งจะขึ้นไปเทศน์มหาเวสสันดร 1 บท เป็นภาษามอญ และจะมีอีก 3 รูปจะเทศน์อีกรูปละ 1 บท เป็นภาษาไทย (หน้า 99)
- เทศน์มหาชาติ อยู่ในช่วงเดือน 11-12 มี 2 วัน ในวันแรกชาวบ้านจะมาช่วยกันตกแต่งศาลาและอาสนะสงฆ์ และตอนบ่ายเจ้าอาวาสของวัดที่อยู่ตรงข้ามจะเทศน์มหาชาติ 1 บทให้ฟัง (หน้า 99) วันที่สองจะมีพระจากวัดต่าง ๆ มาผลัดกันเทศน์ทั้งหมด 13 บทพระที่อ่านภาษามอญได้จะใช้ภาษามอญ ส่วนที่อ่านไม่ได้จะใช้ภาษาไทย ชาวบ้านจะจุดเทียนบูชาบรรพบุรุษในขณะฟังเทศน์และจะแยกนั่งตามสกุล (หน้า 100)
- ทอดกฐิน มักไม่ได้ทำโดยชาวบ้าน จะเป็นคนในท้องถิ่นอื่น แต่ชาวบ้านจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี (หน้า 100)
- ลอยกระทง จัดในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ในขณะที่เก็บข้อมูลงานนี้ไม่ได้จัดมา 5 ปีแล้ว แต่ก็มีการรื้อฟื้นกันในปีนี้ มีขบวนแห่โดยนักเรียนจะแต่งกายแบบมอญ และชาวบ้านช่วยกันทำกระทงขนาดใหญ่เพื่อร่วมขบวนแห่ ตอนกลางคืนชาวบ้านจะมารวมกันที่ริมน้ำพร้อมกับนำกระทงและดอกไม้ธูปเทียนมาด้วย และสวดมนต์บูชาพระอรหันต์ และจุดเทียนเพื่อลอยกระทง กระทงนี้มี 2 ประเภทคือกระทงแบบไทยโดยทั่วไป และกระทงที่เย็บเป็นรูปถ้วยและใส่น้ำมันลงไปและใส่ไส้เทียนไว้จุดไฟ ชาวบ้านเชื่อว่าการลอยกระทงนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อบูชาพระอรหันต์และแสดงความขอบคุณผีแม่น้ำ (หน้า 101)
-พิธีสงกรานต์ วันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่จะเริ่มตั้งแต่ 13-15 เมษายน ในวันที่ 12 ชาวบ้านจะเตรียมข้าวของต่าง ๆ โดยเฉพาะข้าวแช่และกาละแม และสร้างศาลหรือ "บ้านสงกรานต์" เพื่อใช้บูชานางสงกรานต์ไว้ที่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของบ้าน วันที่ 13 ทุกคนจะนำดอกไม้ธูปเทียนไปบูชานางสงกรานต์ และถวายข้าวแช่ และสมาชิกในครอบครัวก็จะนำข้าวแช่ที่เหลือไปถวายตามวัดต่าง ๆ และตอนสายจะนำข้าวแช่ไปให้ผู้ใหญ่ตามบ้าน และทุกคนในหมู่บ้านจะมารับประทานข้าวแช่ด้วยกัน มีการละเล่น ผู้ชายที่มีอายุจะทำการหล่อเทียนในวัดเพื่อจะถวายพระไว้ใช้ในช่วงเข้าพรรษา วันที่ 14 เป็นวันที่อยู่ระหว่างปีเก่ากับปีใหม่ เรียกว่าวันเนา หากมีใครตายในวันนี้วิญญาณจะไปไหนไม่ได้เพราะเป็นวันที่อยู่ระหว่างปีเก่ากับปีใหม่ วันที่ 15 เป็นขึ้นปีใหม่ มีการทำบุญตอนเช้าและกรวดน้ำสงกรานต์ และมีการเผากระดาษที่เขียนชื่อบรรพบุรุษ ตอนบ่ายจะมีพิธีสรงน้ำพระและแห่ปลา โดยที่พิธีสรงน้ำพระนั้นจะใช้น้ำอบหรือน้ำขมิ้นสรง ส่วนพิธีแห่ปลานั้นจะมีผู้หญิงแต่งตัวสวยงามถืออ่างใส่ปลาเดินไปรอบ ๆ หมู่บ้านแล้วนำปลาไปปล่อย (หน้า 102-104) |
|
Education and Socialization |
อดีต ที่บ้านมนนั้น วัดเป็นศูนย์กลางการศึกษา มีการสอนภาษามอญทั้งอ่านและเขียนให้แก่เด็กวัด ซึ่งนอกจากที่จะมีการเรียนภาษามอญแล้วที่วัดยังสอนภาษาไทย คณิตศาสตร์อีกด้วย เมื่อมีโรงเรียนมาเปิดผู้หญิงมอญก็ได้มีโอกาสอ่านออกเขียนได้
มากขึ้น แต่ก็ไม่มีโอกาสได้เรียนภาษามอญเพราะไม่มีการสอนภาษามอญในโรงเรียน และเมื่อสร้างโรงเรียนแล้วเด็กชายก็
จะได้เรียนทั้งที่โรงเรียนและที่วัดด้วย (หน้า 46-50) |
|
Health and Medicine |
มีการใช้ยารักษาครรภ์สตรี คือใช้ดอกบัวหลวง และบัวเผื่อน เปลือกหอย แก่นมะซาง ตำละเอียดผสมกับนมวัวรับประทาน สำหรับการอยู่ไฟ เตาไฟสำหรับอยู่ไฟนั้นสามีต้องไปขุดดินที่อยู่นอกบ้านมาทำเตา ถ้าเป็นลูกชายให้ขุด 9 ก้อน หญิง 7 ก้อน สายสะดือฝังที่เตาหรือนอกบ้านก็ได้แต่ต้องให้ถูกทิศ (หน้า 72-73) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย
ผู้ชายจะนุ่งโสร่ง ถือเป็นจารีตของมอญ โดยผู้หญิงจะเป็นผู้ทอ จะทอเป็นลายตาสี่เหลี่ยมขนาด 2 ซ.ม. ซึ่งเป็นลายพิเศษของมอญ ต่างจากผ้าขาวม้าที่ตาเล็กกว่า อดีตโสร่งจะทอจากฝ้ายหรือป่าน ปัจจุบันนิยมด้ายโทเร โสร่งเมื่อนุ่งแล้วจะมีความยาวตั้งแต่เอวจนถึงข้อเท้า และใช้ผ้าขาวม้าคาดเอว แต่เมื่อไปวัดหรือไปงานพิธีกรรมต่าง ๆ จะใช้ผ้าขาวม้าพาดไหล่ซ้ายเอาไว้
โดยให้ชายผ้าด้านหนึ่งอยู่ด้านหน้ายาวลงมาจนถึงเอว แล้วใช้ชายด้านหนึ่งพาดไปข้างหลังอ้อมใต้รักแร้ขวาขึ้นมาแล้วพาด
ไปบนไหล่ซ้ายอีกครั้งให้ชายผ้าอยู่ข้างหลัง แต่ในชีวิตประจำวันโดยทั่วไปก็จะนุ่งทั้งโสร่งและกางเกง ขึ้นอยู่กับความนิยม
และสะดวก แต่โดยส่วนใหญ่คนแก่มักนุ่งโสร่งแต่คนหนุ่มจะทั้งนุ่งโสร่งและนุ่งกางเกง ในขณะที่เด็กจะนุ่งกางเกง สำหรับคนหนุ่มนั้นถ้าอยู่ในหมู่บ้านจะนุ่งโสร่ง แต่ถ้าออกนอกหมู่บ้านจะนุ่งกางเกง ยกเว้นแต่ไปเที่ยวหมู่บ้านมอญอื่น ๆ จะนุ่งโสร่งไป เนื่องจากโสร่งเป็นเครื่องแสดงถึงความเป็นมอญ (หน้า 38-39)
ผู้หญิงมอญ ในบ้านมนจะนุ่งผ้าถุงและใส่เสื้อคอกระเช้าหรือเสื้อเชิ้ตธรรมดา สมัยก่อนมักทอผ้าถุงใช้เองแต่ในสมัยนี้มักจะซื้อมาใช้เพราะว่าการทอผ้าเองลำบากและเสียเวลานาน ราคาผ้าจากโรงงานก็ถูกกว่าการซื้อด้ายมาทอเอง เมื่อไปวัดก็จะใช้ผ้าสไบขาวพาดไหล่ซ้ายแบบเดียวกับการใช้ผ้าขาวม้าของผู้ชาย (หน้า 39)
สำหรับเวลาไปวัดหรืองานพิธีกรรมที่จัดในวัด ชายจะนุ่งโสร่ง ใส่เสื้อเชิ้ต และใช้ผ้าขาวม้าพาดที่ไหล่ซ้าย หญิงจะนุ่งผ้าถุง ใส่เชิ้ตขาวและสไบขาวพาดไหล่ ยกเว้นในวันทอดกฐินและทอดผ้าป่า สำหรับงานศพและการไปวัดถือศีลแปดนั้นผู้ชายจะนุ่งโสร่งสีอะไรก็ได้ ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวหรือสีอ่อน ๆ และพาดผ้าขาวม้าสีอะไรก็ได้ที่ไหล่ซ้าย ส่วนผู้หญิงนุ่งผ้าถุงดำ ใส่เสื้อสีขาวและพาดสไบสีขาวไว้ที่ไหลซ้าย ( หน้า 40) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
- การใช้ภาษามอญ จะใช้ภาษามอญในชีวิตประจำวันทั้งการสนนาและการอ่านและการเขียน เป็นสิ่งที่แสดงถึงความเป็นมอญอย่างชัดเจน( หน้า 107)
- การแต่งกาย โดยเฉพาะการนุ่งโสร่งของผู้ชาย และการใช้ผ้าขาวม้าพาดไหล่ (หน้า 108)
- อาหารเห็นได้ชัดเจนคืออาหารที่ใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ (หน้า 109)
- คติความเชื่อ คนมอญจะนับพุทธศาสนาคู่กับผี (หน้า 109) และมีรูปแบบพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการนับถือผีหลายพิธี (หน้า 110)
- ชาวบ้านจะเรียกตัวเองว่าคนมอญบ้าง คนบ้านเราบ้าง หรือเรียกตัวเองเป็นคนไทยที่มีพ่อแม่เป็นมอญบ้าง (หน้า 110)
สำหรับการธำรงเอกลักษณ์ชาติพันธุ์นั้น กลุ่มตระกูลที่นับถือ "ขะหลกหั่ย" เดียวกันและพิธีกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นนี้เป็นกลไกที่จะธำรงชาติพันธุ์ โดยการแสดงออกถึงสายเลือดและประวัติของชาติพันธุ์ในมิติของพิธีกรรม และพิธีกรรมทางพุทธที่ทำร่วมกัน 9 วัด ก็เป็นการรวบรวมกลุ่มชาติพันธุ์มอญกลุ่มย่อย ๆ เข้าไว้ด้วยกัน (หน้า 120) และสามารถสรุปได้ดังนี้
- คนมอญมีเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์ที่ซับซ้อนอยู่ 2 ระดับคือ ระดับที่เป็นคนไทยและระดับที่เป็นมอญควบคู่กันไป
- คนมอญที่ถือว่าส่วนหนึ่งเป็นไทยนั้นเป็นการแสดงความผูกพันต่อสังคมไทยมากกว่าการสืบเชื้อสาย
- พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับ "ขะหลกหั่ย" เป็นกลไกสำคัญที่จะธำรงเอกลักษณ์ชาติพันธุ์มอญ และด้านศาสนาพุทธที่มีการทำบุญร่วมกัน 9 วัดด้วยเช่นกัน
- มอญให้ความสำคัญต่อรากฐานวัฒนธรรมมอญทั้งที่เกี่ยวกับคนมอญและกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตของคนมอญ (หน้า 123) |
|
Social Cultural and Identity Change |
คนรุ่นใหม่ในหมู่บ้านมีเอกลักษณ์ส่วนหนึ่งเป็นไทยมากกว่าคนรุ่นเก่า โดยมีสาเหตุมาจากการศึกษาในโรงเรียน การอบรมจากบิดามารดา การรับข่าวสารทางโทรทัศน์ การติดต่อกับสังคมไทยมากขึ้น ฯลฯ (หน้า 123) |
|
|