|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มอญ,เอกลักษณ์,การเปลี่ยนแปลง,วัฒนธรรม,ปทุมธานี |
Author |
พัลลภ สุริยกุล ณ อยุธยา |
Title |
เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของชาวมอญ : ศึกษากรณีหมู่บ้านเจดีย์ทอง ตำบลคลองควาย อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มอญ รมัน รามัญ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
148 |
Year |
2542 |
Source |
หลักสูตรมานุษยวิทยามหาบัณฑิต สาขามานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
การศึกษานี้วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและประเพณีมอญและปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงและการธำรงรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวบ้านในหมู่บ้านเจดีย์ทอง ต.คลอง อ.สามโคก จ.ปทุมธานี |
|
Focus |
ศึกษาวิถีชีวิตของมอญและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม (หน้า 4) |
|
Ethnic Group in the Focus |
มอญ บ้านเจดีย์ทอง ตำบลคลองควาย อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี (หน้า4) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษามอญและภาษาไทย โดยการศึกษาภาษามอญนั้นจะมีการสอนโดยเจ้าอาวาสวัดและจะมีเด็กผู้ชายเท่านั้นที่ได้เรียน ส่วนเด็กผู้หญิงจะไม่ได้รับการศึกษา เพราะฉะนั้นผู้หญิงส่วนใหญ่ที่พูดมอญได้จะอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ การติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวันนั้นก็จำกัดอยู่แต่คนรุ่นเก่าเท่านั้น แต่ปัจจุบันพบว่าการใช้ภาษามอญปนไทยสูงขึ้นร้อยละ 50 และร้อยละ 50 ใช้ภาษาไทยในการสื่อสารกันในครอบครัวและไม่มีการใช้ภาษามอญล้วนๆ ในครอบครัวเลย (หน้า 87-89) |
|
Study Period (Data Collection) |
ไม่ได้ระบุช่วงเวลา แต่ระบุว่าในการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสภาพทั่วไปของชุมชนและพิธีกรรมบางส่วนเป็นเวลา 5 เดือน (หน้า 5) |
|
History of the Group and Community |
ในอดีตมอญได้ตั้งหลักแหล่งอยู่ในบริเวณพม่าตอนล่างตามแนวบริเวณฝั่งตะวันออกของแม่น้ำอิระวดี การอพยพของมอญเข้าสู่ประเทศไทยมีลักษณะต่อเนื่องแต่ไม่มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐาน มอญอพยพเข้ามาหลบอาศัยในไทยเมื่อยามสงครามและเมื่อใดเหตุการณ์สงบหรือสามารถกอบกู้เอกราชได้ก็จะอพยพกลับ หรือบางส่วนได้ตั้งหลักแหล่งในไทยและยังมีบางส่วนถูกกวาดต้อนมา (หน้า 36-37) การตั้งถิ่นฐานของมอญโดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ริมแม่น้ำ โดยเฉพาะแม่น้ำทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ แม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำแม่กลอง มอญที่อพยพเข้ามาในกรุงศรีอยุธยามักตั้งบ้านเรือนอยู่แถบชานพระนครและบริเวณที่ติดต่อกับจังหวัดนนทบุรีพอมาถึงสมัยกรุงธนบุรีก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้มอญที่เข้ามาอยู่ให้ไปอยู่ที่ปากเกร็ดแขวงเมืองนนทบุรีและที่สามโคกแขวงเมืองปทุมธานี ต่อมาได้มีมอญอีกกลุ่มหนึ่งอพยพหนีพม่าเข้ามาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร มอญกลุ่มนี้ได้เดินทางแยกย้ายหลายสายเข้ามาทางเมืองตากบ้างอุทัยธานีบ้าง ในครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดเกล้าให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะนั้นดำรงตำแหน่งพระอิสริยยศเป้นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ามงกุฎและได้ทรงโปรดพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้มอญกลุ่มนี้บางส่วนไปตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลสามโคกแขวงเมืองปทุมธานีจึงเรียกมอญกลุ่มนี้ว่ามอญสามโคก (หน้า39-40) |
|
Settlement Pattern |
จากอำเภอสามโคกที่ตั้งของชุมชนมอญเก่าแก่มาแต่โบราณ หมู่บ้านเจดีย์ทองเป็นชุมชนมอญหนึ่งในอำเภอสามโคกที่โดยลักษณะเด่นของหมู่บ้าน คือ มีการตั้งบ้านเรือนอยู่ติดกับริมแม่น้ำเป็นส่วนใหญ่ ต่อมามีการตัดถนนทำให้มีการขยายอาณาเขตการตั้งหมู่บ้านห่างออกจากแม่น้ำมาติดถนนแทน และมีการสร้างบ้านเรือนสมัยใหม่ ซึ่งส่งผลให้ชาวบ้านอพยพออกจากบ้านริมน้ำไปอยู่ใกล้กับถนนมากขึ้น (หน้า 76) ลักษณะบ้านเรือนที่พักอาศัยในอดีต ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านทรงไทยการปลูกบ้านไม่จำเป็นต้องใช้ตะปู แต่จะใช้สลักแทนตามวิธีการปลูกบ้านแบบโบราณของไทย ซึ่งจำนวนบ้านดังกล่าวไม่ค่อยได้พบเห็น ในปัจจุบันมีเพียงไม่กี่หลังเท่านั้น ขณะที่บ้านส่วนใหญ่ที่อยู่ติดริมถนนหรือใกล้แม่น้ำจะเป็นบ้านแบบใหม่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม บ้านเรือนส่วนใหญ่ที่อยู่ติดแม่น้ำจะมีลักษณะที่ยกใต้ถุนสูงมากกว่าปกติเพื่อเตรียมไว้ป้องกันกรณีน้ำท่วม และอีกประการคือแทบทุกบ้านจะมีศาลพระภูมิอย่างน้อย 1 หลัง บางบ้านอาจมีมากถึง 2 หลัง ซึ่งสิ่งนี้เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่ชาวบ้านยังคงมีความเชื่อและนับถือผีบ้านผีเรือนอยู่เป็นส่วนใหญ่ ศาลพระภูมิหนาแน่นมากกว่าหมู่บ้านของไทย (หน้า 81-82) |
|
Demography |
ประชากรหมู่บ้านเจดีย์ทองมี 136 ครัวเรือนรวมประชากรทั้งหมด 764 คน แบ่งเป็นชาย 358 คน แบ่งเป็นหญิง 376 คน เป็นคนไทยเชื้อสายมอญร้อยละ 90 และส่วนใหญ่จะเป็นคนมอญที่เกิดในชุมชนนี้ประมารร้อยละ 86.4 ผู้ที่มาจากท้องที่อื่นร้อยละ 13.6 (หน้า76) |
|
Economy |
ในอดีตชุมชนบ้านเจดีย์ทองส่วนใหญ่ทำการเกษตรเป็นหลัก ในปัจจุบันพบว่าร้อยละ 54.5 มีอาชีพทำงานเป็นลูกจ้างหรือพนักงานในโรงงานและบริษัทเอกชน รองลงมาร้อยละ 13.6 ประกอบอาชีพรับราชการรวมถึงการเป็นลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐส่วนร้อยละ 9.1 ประกอบอาชีพค้าขายส่วนตัวและร้อยละ 22.7 ไม่ได้ทำงานเนื่องจากเป็นนักเรียนนักศึกษาและคนชรา (หน้า 78-79) |
|
Social Organization |
ระบบความสัมพันธ์ในครอบครัวและเครือญาติ ลักษณะครอบครัวมอญในอดีตไม่ต่างจากของไทยมากนัก มีลักษณะเป็นครอบครัวใหญ่และนิยมมีบุตรหลายคน และเคารพนับถือผู้อาวุโสในครอบครัว การแต่งงานนิยมแต่งกับคนเชื้อสายเดียวกัน แต่การแต่งงานกับคนไทยถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่น้อยมากที่จะแต่งงานกับคนจีนหรือคนมุสลิม (หน้า 61) สำหรับการแต่งงานของคนมอญหมู่บ้านเจดีย์ทองคล้ายคลึงกับของคนไทยโดยทั่วไป เพียงแต่จะให้ความสำคัญในเรื่องการผูกสายศีล พิธีทางสงฆ์ ฉะนั้น องค์ประกอบของงานโดยทั่วไปจะประกอบพิธีทางสงฆ์และพิธีของฆาราวาส กล่าวคือ ในส่วนของสงฆ์จะมีการนิมนต์พระมาสวดปริยัติธรรมเพื่อเป็นมงคลแก่ผู้บ่าวสาว คนมอญให้ความสำคัญต่อการครองเรือนซึ่งต้องประพฤติตนตามหลักพุทธศาสนา และการถ้อยทีถ้อยอาศัยแก่กัน โดยเฉพาะสตรีมักจะถูกวางบทบาทในลักษณะของการเป็นช้างเท้าหลังและการให้การสนับสนุนสามีตามค่านิยมทางสังคมตะวันออก (หน้า94) |
|
Belief System |
การนับถือศาสนาและการนับถือผีของมอญ : มอญนับถิอศาสนาพุทธเช่นเดียวกับไทยแต่พระมอญจะมีวัตรปฎิบัติที่เคร่งกว่าอย่างไรก็ตาม นอกจากประเพณีศาสนาที่มอญยึดถือแล้วมอญยังให้ความสำคัญต่อการนับถือผีด้วย และได้แบ่งประเภทของผีไว้ 3 กลุ่มใหญ่ๆ - ผีสิง ผีที่ไม่ดีนำพาความเจ็บป่วยและอุบัติเหตุมาให้ ส่วนใหญ่เกิดจากวิญาณคนตายที่เร่ร่อนไปในสถานที่ต่างๆ ตามป่าเขา - ผีบ้าน ผีเรือน ผีที่คุ้มครองบ้านเรือนของตนส่วนใหญ่มักเป็นผีประจำตระกูล - ผีเจ้าพ่อและผีเจ้าแม่ ผีบรรพบุรุษของคนในหมู่บ้านเป็นที่เครารพสักการะของคนในหมู่บ้านและจะมีการตั้งศาลไว้ในอาณาเขตหมู่บ้านและมีการทำพิธีบวงสรวงเป็นประจำทุกปีโดยมีคนทรงเป็นผู้ประกอบพิธีเป็นสื่อกลางให้กับผีเจ้าพ่อและผีเจ้าแม่ นอกจากนี้มอญบางกลุ่มยังมีความเชื่อเกี่ยวกับผีเต่า ผีงู ผีไก่ ผีหมู ฯลฯ ด้วย โดยเฉพาะเกี่ยวกับเต่าจะถือกันว่าหากใครพบเต่าแล้วไม่ต้องการมันหรือจะหลีกเลี่ยงไป เขาจะบอกว่า "เหม็น" แล้วผ่านไป หากใครจับเต่าได้หรือเลี่ยงไม่พ้นจะต้องนำกลับไปที่บ้าน และนำไปปรุงอาหารกิน นำส่วนหัวและส่วนตีน ไปเซ่นศาลพระภูมิ ส่วนหางให้ทิ้งไป แต่ถ้าเต่าตัวใหญ่มากจะต้องนำไปปล่อยวัด (หน้า 62) ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรม ได้แก่ - การเกิด เมื่อภรรยาตั้งท้องได้ 2-3 เดือน สามีจะไปตัดฟืนมา 9 ท่อนแล้วตั้งเป็นรูปกระโจมไว้ ในวันที่เด็กคลอด พ่อจะล้มกระโจมทันที แล้วขุดดินมา 9 ก้อน เพื่อทำก้นเตาสำหรับการอยู่ไฟ และนำฟืนเหล่านั้นมาทำเป็นเชื้อไฟ ที่ก้นเตาทั้งสี่มุมจะมีข้าวสุกปั้นเป็นก้อน ๆ เพื่อเซ่นสรวงแม่เตาไฟ (หน้า 62) - การโกนจุก เป็นการททำขวัญครั้งแรกของชีวิตคนมอญ เนื่องจากมอญมักจะกล่าวว่าผู้ชายมีการทำขวัญ 3 ครั้ง คือ โกนจุก, แต่งงาน และบวช ส่วนผู้หญิงทำขวัญ 2 ครั้งคือ โกนจุก และแต่งงาน - การบวช คล้ายคลึงกับของไทย แต่ผู้ที่จะบวชยังไม่ได้โกนผมจะแต่งตัวคล้ายผู้หญิงในสมัยโบราณ (หน้า 63) - การแต่งงาน เหมือนธรรมเนียมไทย แต่มีการขอขมาผีบ้านผีเรือน และมีผ้าไหว้สีขาว เจ้าบ่าวจะต้องเทียวไปมาบ้านเจ้าสาวกับบ้านตนเป็นเวลา 7 วันจึงจะย้ายมาอยู่ด้วยกันได้ การทำศพ จะแบ่งศพออกเป็น 2 ประเภทคือ ศพตายดี ห้ามนำโลงขึ้นบ้าน แต่ต้องสร้างแท่นวางศพไว้บนบ้าน และเมื่ออาบน้ำศพเสร็จให้ก่อกองไฟไว้ที่ปลายเท้าของศพ เอาหม้อดินใส่น้ำต้มไว้ ปล่อยให้ไฟมอดลงเอง ใช้ฟืน 3 ดุ้น และจุดตะเกียงอีก 1 ดวงไว้ที่หัวนอน แล้วนิมนต์พระมาสวดต่อไป ศพตายไม่ดีจะต้องนำไปฝังที่วัดทันที ไม่มีการสวดหรือทำบุญ นอกจากตายไปแล้ว 7 วันจึงจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ และหากเป็นพระเมื่อจะเผาศพก็จะมีการสร้างปราสาทสำหรับตั้งศพ ซึ่งปราสาทนี้จะเผาไปพร้อม ๆ กับโลง (หน้า 64-65) ประเพณีที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา ได้แก่ - ตักบาตรน้ำผึ้ง จัดในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ชาวบ้านจะนำผ้ามาถวายพระ โดยนำผ้ามาวางไว้ที่ก้นบาตร เชื่อว่าน้ำผึ้งเป็นหนึ่งในเภสัชทาน การตักบาตรน้ำผึ้งจะทำให้มีความสมบูรณ์มั่งคั่งในโลกหน้า (หน้า 66-67) - ทำบุญกลางบ้าน เป็นการทำบุญให้กับผีไม่มีญาติ นิยมทำกลางหมู่บ้านเพราะในบ้านนั้นจะมีผีบ้านผีเรือน จะจัดปีละครั้งโดยไม่กำหนดตายตัว - ส่งข้าวแช่วันสงกรานต์ วันที่ 13-15 จะส่งข้าวแช่ไปยังบ้านญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือตั้งแต่เช้าจนถึงเพล ตอนปลายจะเป็นการก่อพระทราย ปล่อยนกปล่อยปลา สรงน้ำพระ การแห่หางหงส์นางมอญและธงตะขาบ มีที่มาจากตำนานเป็นการระลึกถึงเมืองหงสาวดี (หน้า 67-68) - การรำพาข้าวสาร จัดหลังออกพรรษา ช่วงทอดกฐินและผ้าป่า โดยคณะผู้รำจะพายเรือออกไปขอรับบริจาคข้างสาร เงินทอง การตักบาตรพระร้อย เป็นของกลุ่มมอญที่มีบ้านติดแม่น้ำ ในช่วงออกพรรษา วันแรม 1 ค่ำเดือน 11 จะจัดเตรียมอาหารคาวหวานลงเรือมาจอดเรียงรายเพื่อรอตักบาตร (หน้า 68-69) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ลักษณะการแต่งกายของมอญคล้ายกับพม่า โดยลักษณะของผู้ชายจะชอบนุ่งโสร่ง หรือ "สะล่ง" ในภาษามอญส่วนเสื้อเป็นคอกลมผ่าอกตลอดแขวนทรงกระบอกและมีเสื้อตัวสั้นแบบแจ๊กเก็ตสวมทับอยู่ข้างนอกและในสมัยก่อนโพกผ้าที่ศีรษะด้วย ลักษณะของผู้หญิงนุ่งผ้า "กานิน" ซึ่งก็คล้ายกับสะล่งของผู้ชายแต่เล็กกว่าและมักเป็นสีพื้นหรือตาเล็กๆ ผ้านุ่งแบบนี้บางทีก็เรียกว่า "ผ้าตาโถง" เวลามีงานหญิงชาวรามัญจะมีผ้าคล้องคอด้วย ส่วนผมนั้นก็นิยมไว้ยาวและมัดเกล้าเป็นมวยเช่นเดียวกับพม่า แต่เกล้าไปข้างหลังต่างจากพม่าซึ่งจะเกล้าสูงขึ้ไปข้างบน (หน้า60) เจดีย์ทรงรามัญอยู่บริเวณหน้าวัดสร้างขึ้นมาพร้อมกับวัดนี้อายุ 186 ปีเศษนับว่าเป็นเจดีย์เก่าแก่มากองศ์หนึ่ง ซึ่งก่อสร้างเลียนแบบเจดีย์จิตตะกองของเมืองมอญ ประชาชนทั่วไปเรียกเจดีย์นี้ว่า เจดีย์ มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบรามัญ (หน้า 83) |
|
Folklore |
ที่มาของหงส์มีตำนานเล่าว่า หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ในประเทศอินเดียแล้วได้ 8 ปี จึงเสด็จโปรดเวไนยสัตว์ในแคว้นต่างๆ จนกระทั่งวันหนึ่งได้เสด็จมาถึงภูเขาสุทัศพนมรังสิตซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองสะเทิม ทรงผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออกทอดพระเนตรเห็นเนินดินกลางทะเลเมื่อน้ำขึ้นเปรี่ยมฝั่งเห็นพอกระเพื่อมน้ำยังมีหงส์ทอง 2 ตัวลงเล่นน้ำอยู่ ตัวเมียเกาะอยู่บนหลังตัวผู้เนื่องจากมีเนินดินที่จะยืนเพียงนิดเดียว จึงทรงทำนายว่ากาลสืบไปภายหน้าเนินดินที่หงส์ทองทั้งสองเล่นน้ำอยู่นั้นจะเป็นมหานครขึ้นชื่อว่าหงสาวดีและจะเป็นที่ตั้งพระธาตุ สถูปเจดีย์ พระศรีมหาโพธิ์ คำสั่งสอนทางพุทธศาสนาของพระพุทธศาสนาของพระองค์เจริญรุ่งเรืองขึ้น ณ ที่แห่งนี้ครั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพานล่วงไปแล้ว 100 ปี เนินดินกลางทะเลใหญ่นั้นก็ตื้นเขินจนกลายเป็นแผ่นดินอันกว้างใหญ่มีพระราชบุตรของพระเจ้าเสนะคงคาทรงพระนามว่าสมลกุมารและวิมลกุมารเป็นผู้รวบรวมไพร่พลตั้งเมืองขึ้นจนเป็นเมืองหงสาวดี ณ ดินแดนที่มีหงส์ทองเคยเล่นน้ำอยู่ ฉะนั้นมอญในหงสาวดีจึงใช้หงส์เป็นสัญลักษณ์ของประเทศนับแต่นั้นมา (หน้า 63-64) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
หมู่บ้านเจดีย์ทองมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเอกลักษณ์วัฒนธรรมของชุมชนมอญอย่างต่อเนื่องตามยุคสมัยโดยเฉพาะในยุคของการพัฒนาประเทศได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและความเป็นอยู่ของชุมชนอย่างมากฉะนั้นเมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปย่อมทำให้ความเชื่อและความเป็นอยู่ของชุมชนและประเพณีบางอย่างขาดหายไป (หน้า117) ชุมชนหมู่บ้านเจดีย์ทองเป็นชุมชนมอญแห่งหนึ่งที่มีความเคร่งและยึดมั่นในหลักพุทธศาสนาอย่างมาก ทั้งนี้เนื่องจากในหมู่บ้านมีวัดเจดีย์ทองเป็นศูนย์กลางทางจิตใจและวัฒนธรรมมอญที่สำคัญ ส่วนความเชื่อเรื่องผีพบว่าในอดีตรุ่นปู่ของปู่มีการกล่าวถึงประเพณีการรับผีหรือสืบทอดผีประจำตระกูล เนื่องจากมีการรับผีแล้วจะต้องมีกิจกรรมต่างๆ ตามมามีข้อห้ามต่างๆ มากมายทำให้ความเชื่อเรื่องผีค่อยๆ เสื่อมคลายลงจนถึงรุ่นปัจจุบันโดยส่วนใหญ่ไม่มีการนับถือและการประกอบประเพณีเกี่ยวกับผี (หน้า123) กรณีของหมู่บ้านเจดีย์ทองประสบปัญหาทางวัฒนธรรมอย่างมากในเรื่องของภาษามอญ คนรุ่นใหม่ไม่สนใจศึกษา นอกจากนี้ประเพณีการละเล่นดั้งเดิมไม่มีผู้ชำนาญและความสามารถในการเล่น (หน้า127) |
|
Map/Illustration |
แผนที่ (หน้า73,76) - แสดงหมู่บ้านเจดีย์ทอง ต. คลองควาย อ. สามโคก จ. ปทุมธานี - แผนที่จังหวัดปทุมธานี ภาพประกอบ 24 ภาพ (ภาคผนวก 73-114) |
|
|