|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
พวน ไทยพวน ไทพวน,ความเป็นอยู่,ความเชื่อ,บวชช้าง,หาดเสี้ยว,สุโขทัย |
Author |
ศิริพร ศรีแสง |
Title |
บวชช้าง : ภาพสะท้อนมิติทางสังคมและวัฒนธรรมของชาวพวน กรณีศึกษาชุมชนบ้านหาดเสี้ยว อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทยพวน ไทพวน คนพวน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
140 |
Year |
2538 |
Source |
หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยศิลปากร |
Abstract |
มีเนื้อหาหลายประเด็น คือ สภาพทั่วไปของชุมชน ประวัติความเป็นมา ประเพณีและความเชื่อ โดยจะเน้นที่ประเพณีบวชช้างในฐานะที่เป็นภาพสะท้อนมิติทางสังคมและวัฒนธรรม |
|
Focus |
พิธีบวชของพวนหาดเสี้ยว (หน้า 2-3) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ลาวพวนซึ่งผู้เขียนเรียกว่า ไทยพวนหาดเสี้ยว (หน้า 2-130) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ผู้วิจัยขอเรียกว่าภาษาพวน (หน้า 81, 92, 97, 115) |
|
Study Period (Data Collection) |
เก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนามในพื้นที่ตั้งแต่เดือนมกราคม 2537 จนถึงเดือนกรกฎาคม 2538 ในช่วงแรกเข้าไปทำการสำรวจพื้นที่อย่างคร่าว ๆ เวลาที่อยู่ในชุมชนช่วงโรงเรียนปิดภาคเรียน (เดือนเมษายนและตุลาคม 2538) (หน้า 4) |
|
History of the Group and Community |
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า พวนมีการอพยพย้ายไปตามดินแดนต่าง ๆ หลายช่วงเวลา เฉพาะในเขตประเทศไทยนั้นมีบรรพบุรุษอพยพเข้ามาทั้งด้วยความเต็มใจและด้วยความจำเป็น คือ สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช รัชกาลที่ 1 รัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 5 กรณีของพวนหาดเสี้ยวนั้น วิเชียร วงษ์วิเศษ ได้สันนิษฐานถึงเส้นทางการอพยพว่ามาจากเมืองพวนเข้ามาทางจังหวัดแพร่ อุตรดิตถ์ แล้วจึงมุ่งหน้ามายังเมืองสวรรคโลก มักจะตั้งชื่อบ้านเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่ตามชื่อเดิมหรือตั้งตามสภาพภูมิประเทศ บ้านหาดเสี้ยวเป็นหมู่บ้านพวนขนาดใหญ่ในประเทศลาวบริเวณแขวงเมืองเชียงขวาง พวนส่วนหนึ่งอพยพมาอยู่ที่บ้านหาดเสี้ยว จ.สุโขทัย เมื่อประมาณ พ.ศ. 2380 - 2381 สมัยรัชกาลที่ 3 โดยการนำของฝ่ายฆราวาส คือ สามเสน ส่วนฝ่ายสงฆ์ คือ ครูบาวัดหาดเสี้ยว และเจ้าหัวอ้ายสมเด็จบ้านตาดซึ่งมีหลักฐานจารึกไว้ที่ผนังโบสถ์วัดหาดเสี้ยว (หน้า 18-22) |
|
Settlement Pattern |
แต่เดิมนั้นชาวบ้านจะตั้งบ้านเรือนอาศัยกันอยู่อย่างหนาแน่นบริเวณริมฝั่งแม่น้ำยม เพราะการเดินทางต้องอาศัยทางน้ำ ปี พ.ศ. 2508 มีการจัดรูปบ้านใหม่เพราะ ต.หาดเสี้ยวเปลี่ยนสถานภาพเป็นสุขาภิบาล ทางการจึงได้เวนคืนที่ดินบางส่วนตัดเป็นซอยเชื่อมระหว่างทางเลียบแม่น้ำทำให้การคมนาคมสะดวกขึ้น ปัจจุบันสภาพของชุมชนบ้านหาดเสี้ยวนั้นได้ตั้งกระจายออกมาอยู่ด้านตะวันออกหมู่บ้านทั้งบ้านเหนือ บ้านใต้ มีตรอกซอยจัดเรียงเป็นเลขที่ เรียงตามลำดับจากซอยข้างที่ว่าการอำเภอเป็นซอยที่ 1 เรียง 2,3,4 ขึ้นไปทางบ้านเหนือ ตลาดร้านค้าเดิมตั้งกระจายอยู่สองฝั่งถนนเลียบริมแม่น้ำยมจากบ้านใต้จรดบ้านเหนือ วัดหาดเสี้ยวได้ย้ายศูนย์การค้ามาอยู่สองฝั่งถนนใหญ่ด้านทิศตะวันออก ซึ่งเป็นทางหลวงหมายเลข 101 เชื่อมต่อการคมนาคมระหว่างหาดเสี้ยว-อุตรดิตถ์-แพร่ทางด้านเหนือ รูปแบบการสร้างบ้าน เปลี่ยนไปตามสมัยนิยม หลังคามุงด้วยกระเบื้อง ตัวบ้านเป็นแบบครึ่งตึกครึ่งไม้หรือไม่ก็เป็นตึกทั้งหลัง (หน้า 22-24) |
|
Demography |
ตำบลหาดเสี้ยวมีครัวเรือนทั้งหมด 2,098 ครัวเรือน และมีจำนวนประชาการทั้งหมด 6,295 คน แยกเป็นชาย 3,043 คน และหญิง 3,252 คน (หน้า 14,17) |
|
Economy |
ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทางเกษตรกรรม ได้แก่ การทำนา ทำสวนผลไม้ทำไร่ ประเภทถั่วเขียว ข้าวโพด ฝ้ายและอ้อย รวมไปถึงการเลี้ยงสัตว์การทำนาอาศัย น้ำฝน เรียกว่า นาน้ำฟ้า และ น้ำชลประทานเป็นบางแห่ง ส่วนใหญ่ทำนาได้ปีละ ครั้งเดียวระหว่างกรกฎาคม-ธันวาคม การลงแขกมีความสำคัญน้อยลงมาก การจ้างแรงงานคนมีบทบาทมากขึ้นและใช้เครื่องมือสมัยใหม่ เช่น รถไถเดินตาม (หน้า 27-29) |
|
Social Organization |
ความสัมพันธ์ในชุมชนจะมีลักษณะที่เกี่ยวดองกันทางเครือญาติ โดยการสืบสายทางสายโลหิตและการแต่งงาน รูปแบบของครอบครัวจะเริ่มจากครอบครัวเดี่ยวมาสู่ครอบครัวขยาย ส่วนใหญ่ชายจะเป็นฝ่ายย้ายมาอยู่กับครอบครัวฝ่ายหญิง(หน้า 25, 109-110) |
|
Political Organization |
อำเภอศรีสัชนาลัยแบ่งรูปแบบการปกครองเป็น 2 แบบ คือ การบริหารราชการส่วนภูมิภาคและการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น บุคคลในระดับผู้นำชุมชน ได้แก่ นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ข้าราชการ (หน้า 10, 105) |
|
Belief System |
พวนนับถือศาสนาพุทธมาตั้งแต่สมัยเมื่อยังอยู่เมืองพวนในประเทศลาวและนับถือเคร่งครัดมาก มีคติความเชื่อหลายอย่างที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาไม่ว่าจะเป็น ความเชื่อเรื่องการทำดีได้ดี ความเชื่อเรื่องโลกนี้โลกหน้า ความเชื่อในเรื่องบาป บุญและการทำบุญที่เชื่อว่าได้กุศลอย่างมาก คือ การได้มีโอกาสบวชบุตรหลาน รากต้นโพธิ์ซึ่งสูงขึ้นมาเหนือพื้นดินก็ห้ามไม่ให้เดินข้ามหรือเหยียบ ใบหรือกิ่งก็ห้ามเด็ดหรือหัก มิฉะนั้นจะถือว่าบาป ชาวบ้านยังคงมีความเชื่อในเรื่องภูตผีวิญญาณและอำนาจเหนือธรรมชาติควบคู่กันไปเห็นได้จากพิธีกรรมต่าง ๆ ที่ชาวบ้านยังคงถือปฏิบัติสืบต่อกันมา เช่น ประเพณีกำฟ้า กำเกียง การรักษาพยาบาลด้วยวิธีทิ้งข้าว รดน้ำมนต์ สู่ขวัญ เสี่ยงทาย นอกจากนี้ ในห้องนอนหรือห้องส่วนตัวห้ามมิให้ผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของครอบครัวเข้าไปในห้องนั้น หากเกิดมีคนเข้าไปไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กหรือผู้ใหญ่ก็ตามถือว่าเป็นการผิดผีพ่อเลี้ยง ผู้เป็นเจ้าของบ้านจะต้องทำพิธีขอขมาต่อผีพ่อเลี้ยง นอกเหนือจากความเชื่อในเรื่องของผีพ่อเลี้ยงซึ่งเป็นผีประจำบ้านแล้ว ในหมู่บ้านจะต้องมีศาลเพื่อเป็นที่สิงสถิตของผีที่คุ้มครองหมู่บ้าน คือ ศาลปู่ตาและจะมีผู้ที่ทำหน้าที่ติดต่อสื่อสารระหว่างคนกับผี เรียกว่า จ้ำ เพื่อบอกกล่าวถึงความเป็นไปในหมู่บ้าน ประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมา ได้แก่ ประเพณีเกี่ยวกับการเกิด ยังมีบางครอบครัวยังคงนิยมทำคลอดแบบโบราณอยู่ คือ การทำคลอดโดยใช้หมอตำแยหรือแม้บางคนจะไปคลอดที่โรงพยาบาล แต่เมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้วก็จะกลับมาอยู่ไฟที่บ้านตามแบบโบราณ เมื่อภรรยาตั้งครรภ์ได้ 4-5 เดือน ฝ่ายสามีก็จะต้องไปตัดฟืนไม้สะแกใช้เป็นฟืนสำหรับอยู่ไฟ ต้นที่เถาวัลย์พันต้นก็ไม่เอา เชื่อว่าเพื่อให้ลูกคลอดง่ายและรกไม่พันตัวเด็ก การอยู่ไฟลูกคนแรกต้องอยู่อย่างน้อย 1 เดือนและต้องรับประทานข้าวกับเกลือเป็นเวลา 1 เดือนเช่นกัน เชื่อว่าเพื่อจะไม่ให้เป็นพิษเป็นภัยแก่ร่างกายส่วนที่เป็นแผล และแผลหายเร็วขึ้น ในระหว่างนี้ห้ามลงไปอาบน้ำที่แม่น้ำด้วย เด็กทารกเมื่อคลอดออกมาก็จะต้องตัดสายสะดือ เรียกว่า "สายแห่" ใช้ไม้ไผ่ตัดและใช้ถ่านสำหรับรองตัดด้วยเชื่อว่าสิ่งที่ใช้ตัดและรองตัดต้องไม่มีเชื้อโรค ประเพณีการบวช ชาวหาดเสี้ยวจะนิยมกระทำกันในเดือน 4 ผู้ใดได้บวชลูกหลานแล้วเชื่อในอานิสงส์จากการบวชเป็นพระภิกษุและการบวชเป็นสามเณรว่า เป็นการสนองพระคุณของบิดามารดาและผู้มีอุปการะคุณ ทำให้บิดามารดาและผู้มีอุปการะคุณเหล่านั้นเกิดความยินดีในการบุญการกุศลทางพระศาสนาเพิ่มมากยิ่งขึ้น ถ้าบิดามารดาไปเสวยทุกขเวทนาอยู่ในอบายภูมินรกก็จะช่วยบิดามารดาให้พ้นจากอบายภูมินรกได้ ในงานบวชก็จะมีการเตรียมผ้ากองบวช การจองช้างนำมาร่วมแห่ขบวนนาคด้วย การจองหมอทำขวัญนาค งานด้านความบันเทิง เช่น จัดภาพยนตร์ วงดนตรี ภาพสะท้อนที่ได้จากพิธีการบวชทำให้ทราบถึงโลกทัศน์ของพวนบ้านหาดเสี้ยวที่สามารถผสมผสานความเชื่อในพุทธศาสนากับความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน แม้ว่าในพิธีบวชจะมีการนำเอาพุทธศาสนาเป็นหลักในการประกอบพิธีมีพระสงฆ์เป็นผู้ดำเนินพิธีกรรมตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ในหลายขั้นตอนของพิธีบวชจะต้องมีการอัญเชิญเซ่นสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเพื่อบอกกล่าวและแสวงหาความเชื่อมั่นทางด้านจิตใจ การที่พวนนิยมนำช้างมาร่วมแห่นาคก็แสดงให้เห็นถึงการยอมรับคติความเชื่อในส่วนที่เกี่ยวกับศาสนา ชาดก และความอุดมสมบูรณ์ คติความเชื่อเกี่ยวกับศาสนาและชาดก ช้างถือเป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้า และในชาดกบางครั้งก็เป็นพระโพธิสัตว์ที่เสวยพระชาติเป็นพญาช้าง คติเรื่องช้างเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ พวนเชื่อว่าช้างที่มีลักษณะดีจะทำให้บ้านเมืองบริบูรณ์ ฝนตกตามฤดูกาล ทำไร่ไถนาได้ข้าวและพืชผักอุดมสมบูรณ์จึงนิยมนำช้างที่มีลักษณะดี สวยงามมาแห่นาค ประเพณีแต่งงาน ฝ่ายชายเป็นฝ่ายไปสู่ขอฝ่ายหญิงจะต้องมีหมากไหม 2 ไหมมัดติดกัน ไต้ 1 คู่มัดติดกัน กระเทียม 4 หัว มัดเป็น 2 มัด มัดละ 2 หัวแล้วมัดติดกันอีก เกลือ 2 มัด ห่อยา 2 ห่อมัดติดกันจัดใส่ย่ามให้เฒ่าแก่สะพายไปเป็นเคล็ดว่าที่มัดติดกันหมายถึงขอให้คู่บ่าวสาวมีความรักกัน ครองรักกันยั่งยืนนานจนแก่เฒ่า เมื่อถึงวันแต่งงาน เรียกว่า "วันก่าวสาว" ฝ่ายชายต้องจัดขันหมาก 1 ขัน โดยฝ่ายชายจะมาอยู่บ้านฝ่ายหญิง ในระหว่างเป็นเขยใหม่อยู่ในบ้านพ่อตาแม่ยายจะผลัดผ้านุ่งบนเรือนไม่ได้เป็นอันขาด จะเป็นการไม่เคารพยำเกรงต้องลงไปผลัดข้างล่าง ประเพณีการตาย เมื่อเกิดมีคนตายญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านก็จะมาช่วยเหลือโดยจะนำศพไว้บนบ้านให้ศพนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกหรือทิศใต้เพราะเป็นทิศของผีเอาผ้ามาขึงรอบศพป้องกันไม่ให้แมวกระโดดข้ามศพเพราะถือว่าถ้าแมวกระโดดข้ามศพจะลุกขึ้น(เรียกว่า ขึ้นดอย) ผู้ที่มาช่วยงานยังเชื่อว่าจะได้บุญได้กุศลแรง ส่วนพวกที่มีร่างกายแข็งแรงก็จะเข้าป่าตัดฟืนเตรียมไว้เผาศพ (เรียกว่า กองฟอน) ที่บ้านคนตายเจ้าบ้านจะจัดเตรียมขันน้ำส้มป่อยวางไว้ที่เชิงบันไดเพื่อที่แขกจะกลับบ้านจะได้เอามาประพรมที่ศีรษะก่อนกลับเพราะถือว่าผีสางคางแดงที่จับหรือเกาะตามเนื้อตัวหรือเสื้อผ้าก็จะปล่อยไม่กล้าจับ (หน้า 23, 33-51, 61-98, 100, 106-108, 114-115) |
|
Education and Socialization |
ปัจจุบันเด็กในชุมชนหาดเสี้ยวจะเริ่มเข้าโรงเรียนตั้งแต่อายุ 4-5 ขวบ โดยมีโรงเรียนอนุบาลของเอกชนรองรับและเมื่อเด็กอายุครบเกณฑ์ก็จะเข้าเรียนในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนหาดเสี้ยววิทยาและเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนเมืองเชลียง (หน้า 31-32) |
|
Health and Medicine |
ในปัจจุบัน ถึงแม้ในชุมชนหาดเสี้ยวจะมีโรงพยาบาลและคลีนิคเปิดบริการ แต่ชาวบ้านบางคนก็ยังนิยมรักษาโรคด้วยวิธีแบบพื้นบ้านอยู่เช่นเดิม คือ พิธีทิ้งข้าว (สำเนียงท้องถิ่นว่า "ทิ้มข้าว") พิธีนี้ใช้สำหรับรักษาเด็กเล็กๆ ที่ร้องไห้เพราะหาสาเหตุไม่ได้พ่อแม่ของเด็กจะไปหาหญิงที่มีอายุมาก 60-70 ปี เรียกกันว่า แม่เฒ่ามาทำพิธี แม่เฒ่าจะหยิบก้อนข้าวมาก้อนหนึ่งแล้วหงายมือใช้หลังมือส่วนที่เป็นปลายนิ้วลูบไปมาตามตัวเด็ก ปากก็พร่ำบ่น เมื่อกล่าวจบก็บ้วนน้ำลายใส่ก้อนข้าวแล้วโยนไปทางทิศตะวันตกเพื่อให้ผีสางคางแดงมากินข้าวจะได้ไม่มารบกวนเด็ก พิธีเรียกขวัญและสู่ขวัญ (เฮี๊ยะขวัญ) ใช้สำหรับเด็กโต เมื่อเด็กเกิดปวดหัวตัวร้อน พ่อแม่จะให้แม่เฒ่ามาสู่ขวัญให้ การเรียกขวัญจะใช้ข้าวสุก 1 ก้อน ไข่ไก่สุก 1 ฟอง เกลือ 1 หยิบมือ แล้วนำมาใส่ไว้ในกล่องข้าว แม่เฒ่าจะทำพิธี พอถึงเวลานอนพ่อแม่จะนำกล่องข้าวไปวางที่หัวนอนเด็ก พิธีสู่ขวัญจะทำในเช้าวันรุ่งขึ้นเตรียมชาม 3 ใบ ใส่ถาดไว้พร้อมด้วยกล่องขวัญที่นำไปเรียกขวัญเมื่อวานนี้นำมาให้แม่เฒ่าทำพิธีเสร็จแล้วข้าว ไข่และเกลือให้เด็กกินจนหมด การรดน้ำมนต์หมอจะใช้ขันตักน้ำแล้วมาเสกเป่าให้คนไข้ดื่มนิดหน่อยแล้วยืนขึ้นอมน้ำมนต์พ่นไป ตั้งแต่หัวจรดเท้าเสร็จแล้วใช้มีดหมอจุ่มลงที่ขันน้ำมนต์แล้วกรีดไปตามตัวคนไข้แล้วยืนขึ้นตักน้ำมนต์อาบให้คนไข้ การเสี่ยงทายหมอที่มารักษาเรียกว่า "หมอเยา" เวลามารักษาจะสะพายดาบหุ้มด้วยผ้าสีแดงมาด้วย สิ่งของที่ใช้เสี่ยงทาย คือ เอาไข่ไก่ 2 ฟองและข้าวสาร เขี่ยข้าวให้เป็นวงกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 ฟุต ตั้งไข่ไก่ 2 ฟองไว้ตรงกลางจัดคนมานั่งข้างๆหมอเยา 1 คน เรียกว่า "จ่า" คอยรินเหล้า การเสี่ยงทายจะเริ่มด้วยการเชิญผีต่าง ๆ มาดื่มเหล้า โดยหมอเยาจะเป็นตัวแทนในการกินเหล้าจะเสี่ยงทายโดยใช้ฝ่ามือกอบข้าวสารขึ้นมาโปรยบนไข่ 2 ฟอง นับจำนวนข้าวที่ติดอยู่บนไข่ว่าเป็นเลขคู่หรือคี่ ทำเช่นนี้ซ้ำกันอีก 2 ครั้ง ถ้าผลออกมาเหมือนครั้งแรกแสดงว่าดี คนไข้จะหายวันหายคืน ถ้าผลที่ออกมาไม่ตรงกันก็จะทำจนกว่าผลที่ได้จะออกมาเหมือนกัน การรักษาด้วยยาแผนโบราณหมอที่รักษา เรียกว่า "หมอยา" จะมีตำราใบลานหรือสมุดข่อย เมื่อตรวจดูอาการแล้วหมอยาจะเปิดดูตำราจนกว่าจะพบยาที่มีสรรพคุณตรงกับอาการของคนไข้ (หน้า 37, 47-49) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ประเพณีชุมชนที่พวนหาดเสี้ยวถือปฏิบัติสืบทอดกันมา คือ ประเพณีกำเกียง กำฟ้า สงกรานต์ บุญบั้งไฟ ห่อข้าวดำดิน ทานข้าวสะ บวชช้าง หัตกรรม : การทอผ้ากองบวชได้แก่ ผ้ากั้ง ผ้าห่อคัมภีร์ ผ้ากราบ ผ้าปูนั่ง ผ้าเช็ดหน้า การแต่งกายของนาค คือ สวมเสื้อกำมะหยี่ แขนยาว นุ่งผ้าม่วง สวมเทริด สวมแว่นตา ห้อยกระจกที่หูทั้งสองข้าง ซิ่นตีนจกซึ่งในสมัยก่อนจะเป็นเครื่องบ่งบอกถึงสถานภาพของผู้สวมใส่ คือ ซิ่นตีนจกจะเป็นผ้านุ่งสำหรับหญิงสาวโสด เมื่อแต่งงานแล้วจะเลิกนุ่ง ปัจจุบัน(2538)ซิ่นตีนจกได้กลายความหมายมาเป็นสิ่งบ่งบอกถึงความเป็นชาติพันธุ์และเป็นตัวแทนของชุมชนหาดเสี้ยวด้วย ความหมายของการนำตีนจกมาใช้ในพิธีการบวชอาจตีความหมายได้ 2 ประเด็น คือ 1. มีความหมายในฐานะที่เป็นตัวแทนของผู้หญิงหรือเพศแม่ซึ่งจริงๆแล้ว ในสมัยก่อนผ้านุ่งของผู้หญิงถือเป็นของใช้ส่วนตัวจะไม่ใช้ปะปนกับผู้ชาย 2. ถือเป็นงานศิลปหัตถกรรมของพวนหาดเสี้ยวเป็นสิ่งแสดงถึงความเป็นชาติพันธุ์จะนำไปใช้กับใคร เมื่อใดหรือในโอกาสใดก็ได้ไม่จำกัด การละเล่นพื้นบ้าน เช่น เล่นนางสาก นางด้ง นางกวัก แข่งเรือจองกฐิน เข้าทำ (หน้า 24-25, 30, 52-98, 110-113, 122 ) |
|
Folklore |
มีนิทานปรัมปรากล่าวถึงที่มาของชื่อบ้านหาดเสี้ยวไว้ตอนหนึ่งว่า "ธิดาเมืองเชียงรายเสด็จมาลงเรือมาดที่เมืองแพร่เพื่อไปเยี่ยมธิดาเจ้าเมืองตากระหว่างทางบังเอิญเรือรั่วจึงแวะจอดยาเรือที่ท่าน้ำของหมู่บ้านนั้น เมื่อเสด็จไปเยี่ยมชมหมู่บ้านได้สอบถามหัวหน้าหมู่บ้านว่าหมู่บ้านนี้ชื่ออะไร หัวหน้าหมู่บ้านทูลว่าชื่อ "บ้านหาดเสี้ยว" ธิดาเมืองเชียงรายมีความเห็นพ้องด้วยตามเหตุผลสภาพภูมิประเทศและชื่อเดิม จึงตั้งชื่อหมู่บ้านให้เพื่อเป็นสิริมงคลว่า "บ้านหาดเซี่ยว" ตามสำเนียงของคนพื้นเมือง หมู่บ้านแห่งนั้นก็คือ บ้านหาดเสี้ยว ต.หาดเสี้ยว อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ในปัจจุบันหัวหน้าหมู่บ้านก็คือแสนสามพี่น้องซึ่งเป็นผู้นำพวนฝ่ายฆราวาสมาตั้งหลักฐานอยู่ที่บ้านหาดเสี้ยวแห่งนี้โดยใช้ชื่อว่า บ้านหาดเซี่ยว ต.หาดเสี้ยว ตลอดมา" และมีเรื่องเล่าถึงการเรียก "นาค" หมายถึง ผู้ที่จะบวชว่า "เมื่อครั้งพระพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์อยู่ มีพญานาคเกิดความเลื่อมใสศรัทธาได้แปลงร่างเป็นมนุษย์เพื่อขอบวชเป็นพระภิกษุ พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้บวชแต่ตามวิสัยของนาค ถ้าจะแปลงเป็นอะไรก็ตาม เวลาหลับก็จะกลับกลายเป็นนาคตามเดิม อยู่มาวันหนึ่งขณะที่นาคนอนหลับเกิดมีภิกษุรูปหนึ่งบังเอิญมาพบเข้าจึงนำความไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงตรัสแก่นาคให้กลับคืนสู่นครของตนและให้บำเพ็ญกุศล เมื่อพญานาคทราบก็เสียใจจึงกราบทูลว่าถึงไม่ได้บวชอีกต่อไปก็ขอฝากชื่อไว้กับผู้ที่จะบวชว่า "นาค" เสมอไปซึ่งเป็นความเชื่อที่เล่าสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน" (หน้า 21-22, 62-63) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ชาวบ้านจะติดต่อกับคนในหมู่บ้านใกล้เคียง (หน้า 70) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การสร้างบ้านเรือนในสมัยที่พวนอพยพมาใหม่ ๆ จะยังคงสร้างกันแบบดั้งเดิมโดยสร้างติด ๆ กันอยู่เป็นหมู่บ้าน หลังคาและบันไดแทบจะเกยกัน มีใต้ถุนสูง หลังคาทำด้วยกระเบื้องแป้นเกล็ด การสร้างเพียงแต่ขอแรง แต่ปัจจุบันเปลี่ยนรูปแบบการสร้างบ้าน หลังคาจะมุงด้วยกระเบื้อง ตัวบ้านจะเป็นแบบครึ่งตึกครึ่งไม้หรือไม่ก็เป็นตึกทั้งหลัง รูปทรงเปลี่ยนไปตามสมัยนิยม รูปแบบการแต่งงานของพวนในระยะแรกจะเป็นการแต่งงานภายในกลุ่มพวนด้วยกันเอง ต่อมาเมื่อได้มีการปะทะสังสรรค์กับกลุ่มคนภายนอกทำให้มีการแต่งงานนอกกลุ่มเกิดขึ้น การแลกเปลี่ยนแรงงานในการทำนาจะมีเหลือปฏิบัติกันบ้างส่วนใหญ่จะเปลี่ยนไปเป็นการจ้าง มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มากขึ้นหลังจากที่ไฟฟ้าเข้าถึง แทบทุกบ้านจะมีอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าทำให้หนังกลางแปลงไม่เป็นที่นิยม ชุมชนหาดเสี้ยววันนี้มีการเปลี่นนแปลงในทางความเจริญด้านวัตถุ ธุรกิจเติบโตขึ้นเป็นเมือง ความสะดวกสบายด้าน สาธารณูปโภค การคมนาคม มีมากขึ้นได้ส่งผลต่อสภาพสังคมและวัฒนธรรมให้มีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย (หน้า 23-25, 27, 31-32, 35, 124-126) |
|
Map/Illustration |
ภาพที่ 10 ศาลประจำหมู่บ้าน ภาพที่ 11 เครื่องเซ่นไหว้ศาลประจำหมู่บ้าน ภาพที่ 12 ผ้ากั้ง(ผ้าม่าน) ภาพที่ 13 ผ้าห่อคัมภีร์ ภาพที่ 14 ผ้านั่ง ภาพที่ 15 ผ้าเช็ดหน้า ภาพที่ 26 นาคที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ภาพที่ 27 เทริดอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปี ภาพที่ 28 สักกัจจัง(พนมนาค) ภาพที่ 31 นาคนำขันธ์ 5 วางไว้ที่ขาช้างเพื่ออนุญาตขึ้นไปนั่ง ภาพที่ 33 นาคของชาวหาดเสี้ยวมีช้างเป็นพาหนะ (หน้า 39,66,67,68,83,88,90) |
|
|