สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,แม้วขาว,โครงสร้างสังคมและเศรษฐกิจ,ครอบครัวและเครือญาติ,ระบบการเพาะปลูกแบบโค่นถางเผา,เชียงใหม่
Author George A. Binney
Title The Social and Economic Organization of Two White Meo Communities in Northern Thailand
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 549 Year 2511
Source Advanced Research Projects Agency (ARPA), D.C. 20301
Abstract

การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ศึกษาการจัดระเบียบเศรษฐกิจ-สังคมและวิเคราะห์โครงสร้าง เนื้อหาของระบบการเพาะปลูกแบบโค่นถางเผา (swidden agricultural system) หรือการเพาะปลูกเลื่อนลอย ในชุมชนม้งขาว 2 แห่งที่ภาคเหนือของประเทศไทย ผู้เขียนศึกษาลักษณะภูมิประเทศและประชากรเพื่อวิเคราะห์รูปแบบเฉพาะของระบบการเพาะปลูกแบบโค่นถางเผาซึ่งอาจจะเห็นได้ภายในบริบทสังคมและสิ่งแวดล้อมของชุมชน การปลูกพืชเพื่อให้ได้อาหารมากที่สุดเป็นตัวกำหนดการจัดการการเพาะปลูก การปรับปรุงเทคโนโลยี องค์ประกอบของสิ่งแวดล้อม และความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆที่คนในชุมชนกำหนดแสดงถึงความรู้ในความซับซ้อนของกระบวนการนิเวศชาติพันธุ์ (the sophistication of the ethnoecological) ผู้เขียนพบว่าม้งขาวยังคงรักษาความเป็นหนึ่งเดียวกันทางสังคมไว้ได้ (social solidality) แม้ว่าจะได้รับความกดดันจากวัฒนธรรมกระแสหลักของคนพื้นราบ คุณค่าเชิงการเมืองของม้งขาวขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ในถิ่นที่อยู่ หน่วยพื้นฐานของโครงสร้างทางการเมืองคือ ครัวเรือนและหมู่บ้าน ระบบสายตระกูลและการจัดระเบียบความสัมพันธ์ทางเครือญาติของม้งเข้ามาแทนที่การขาดการรวมตัวกันทางการเมืองโดยหล่อหลอมม้งขาวเข้าเป็นเครือข่ายของการพึ่งพากัน สมาชิกแต่ละครัวเรือนจะเกี่ยวข้องกับคนอื่นๆในชุมชน 2 ลักษณะคือ โดยการสืบสายเลือดหรือตระกูล และโดยการแต่งงาน ผู้เขียนเห็นว่า ในภาษาม้งมีคำที่แสดงความคิดการจัดระเบียบความสัมพันธ์ ได้แก่ คำ "yim"- กลุ่มครัวเรือนเชิงพื้นที่ "cuab"- กลุ่มสายตระกูลหน่วยที่เล็กที่สุด ซึ่งประกอบด้วยญาติโดยสายเลือดและญาติโดยการแต่งงานที่อยู่ภายใต้อำนาจของหัวหน้าครัวเรือนเดียวกัน "kwvtij"- กลุ่มของลูกหลานที่สืบสายเลือดข้างบิดา และคำว่า "xeem" ซึ่งมีความหมายหลายนัย หมายถึงกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดของคนที่สืบสายเลือดข้างผู้ชาย ขณะเดียวกันก็ยังมีความหมายเหมือนกับ "cuab" ด้วยอีกนัยหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่กลุ่มที่มีลักษณะพิเศษเป็นหนึ่งเดียว (an entirely unique group) เหมือนกับกลุ่ม/หน่วยเล็กในระบบของกลุ่ม (a system of groups) อย่างไรก็ดี สายตระกูล (lineages) ไม่ได้เป็นกลุ่มท้องถิ่นที่ร่วมมือกันเสมอไป แม้ว่าสายตระกูลจะเกี่ยวข้องมีความสัมพันธ์กับหน่วย/กลุ่มเชิงอาณาเขต (territorial units) อยู่บ่อยๆ ก็ตาม สมาชิกของสายตระกูลหนึ่งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งหนึ่งจะมองตนเองว่าเป็นกลุ่มที่ร่วมถิ่นเดียวร่วมกันหรือกลุ่มบ้านเดียวกัน และก็มีอยู่บ่อยๆว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีความสัมพันธ์เป็นญาติข้างบิดา ซึ่งกำหนดแบบแผนการตั้งถิ่นฐานในชุมชน ที่ดินรอบๆ ชุมชนถือเป็น "liag ia" - ที่ดินและพื้นที่ที่เป็นของสายตระกูลในชุมชน สิทธิการเพาะปลูกบนที่ดินมีความสำคัญต่อม้งขาว ขณะที่คุณค่าที่สนับสนุนสิทธิในการเพาะปลูกก็เป็นหลักการพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจ - สังคมม้ง หลักการเบื้องต้นคือ การรักษาสิทธิการเพาะปลูกบนที่ดินเพื่อสนับสนุนความต้องการของสายตระกูลตนเอง ขณะที่การรักษาตำแหน่ง (position) ของตนในกลุ่มญาติร่วมสายเลือดจะทำให้ได้รับความช่วยเหลือจากญาติๆ ในกรณีที่เกิดข้อขัดแย้งเกี่ยวกับสิทธิการเพาะปลูก สิ่งนี้เป็นผลของการพยายามรักษาสมดุลระหว่างการมีที่ดินเพื่อการเพาะปลูกกับการอาศัยในชุมชน การแต่งงานเป็นเครื่องมือที่ม้งขาวใช้สร้างข้อผูกมัดระหว่างสายตระกูล ม้งขาวห้ามมิให้สมาชิกในตระกูลเดียวกันแต่งงานกัน ค่าสินสอดเจ้าสาวจะสร้างข้อผูกมัดทางสังคมระหว่างบุคคลต่างๆ และกำหนด/ควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างกันของคนเหล่านั้นจนกระทั่งความสัมพันธ์นั้นผสมกลมกลืนเข้าไปในระบบเครือญาติ ณ จุดนั้น กลุ่มทางสังคมจะจำแนกกลุ่มตนเองด้วยการมีบรรพบุรุษร่วมกัน มีผลประโยชน์ทรัพย์สินร่วมกัน ภรรยาและเด็กๆ และสิทธิในเขตแดนร่วมกัน รวมทั้งสิทธิในทรัพยากรที่ดินอันเกี่ยวข้องกับความร่ำรวยของครัวเรือน (น. i-xv - abstract)

Focus

ศึกษาการจัดระเบียบสังคมและเศรษฐกิจของชุมชนม้งขาว (White Meo) ที่มีระบบการเพาะปลูกแบบโค่นถางเผา(swidden or shifting cultivation) 2 แห่ง (น.4) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายรูปแบบหรือลักษณะเฉพาะของระบบการเพาะปลูกแบบโค่น ถางเผา และเพื่อศึกษาโครงสร้างและการจัดระเบียบของชุมชนที่มีระบบการเพาะปลูกดังกล่าว (น.13,15-16)

Theoretical Issues

ผู้เขียนเห็นว่า ระบบการเพาะปลูกแบบโค่นถางเผา (swidden cultivation) เป็นผลมาจากการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มและอยู่อาศัยร่วมกันในบริเวณพื้นที่จำกัด ขณะที่ในแง่นิเวศน์ ลักษณะที่สำคัญที่สุดของการเพาะปลูกแบบนี้ คือ การปรับตัวเข้ากับระบบนิเวศทางธรรมชาติที่เป็นอยู่ในขณะนั้น การเพาะปลูกแบบโค่นถางเผาไม่เปลี่ยนและทำลายสิ่งแวดล้อมจนถึงระดับที่ไม่สามารถเปลี่ยนให้อยู่ในสภาพเดิมไม่ได้เหมือนเช่นการเพาะปลูกแบบอยู่กับที่ (sedentary agriculture) ม้งขาวได้เลียนแบบความหลากหลายของป่าร้อนชื้น โดยปลูกพืชผสมผสานกัน พวกเขาใช้สิ่งแวดล้อมธรรมชาติเป็นแหล่งสินค้า แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การถางป่าที่กระจัดกระจายไม่ได้เปลี่ยนสภาพที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต (habitat) มาเป็นพื้นดินที่ผลิตพืชเฉพาะอย่าง การขาดแคลนที่ดิน ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ดินและการปรับตัวเป็นปัจจัยจำกัดในการเพาะปลูกแบบเลื่อนลอย ซึ่งปรากฏในชุมชนม้งบ้านแม่นาย (Mae Nai) และบ้านแค (Khae) ความต้องการหมุนเวียนการใช้ที่ดินและระยะเวลาการพักฟื้นดินอย่างพอเพียงทำให้ความต้องการปริมาณที่ดินเพาะปลูกต่อคนสูงกว่าการเพาะปลูกแบบถาวร (sedentary or permanent field cultivation) ขณะที่การเปลี่ยนแปลงปัจจัยการเพาะปลูกแบบเลื่อนลอยแสดงถึงการเริ่มกระบวนการเสื่อมสลายสิ่งแวดล้อม การเพาะปลูกแบบโค่นถางเผากลายเป็นระบบปรับตัวที่ไม่ดี เมื่อการขาดแคลนที่ดินผลักดันให้นักเพาะปลูกต้องใช้ที่ดินที่ยังพักฟื้นไม่พอเพียง เมื่อนักเพาะปลูกสนใจการใช้ประโยชน์ปัจจุบัน (immediate harvest sacrifice future prospects to expediency) เมื่อนักเพาะปลูกแบบเลื่อนลอยย้ายเข้าไปในบริเวณร้อนชื้นมากขึ้นซึ่งป่าผลัดใบเติบโตอย่างช้าๆ และเมื่อปริมาณความลาดชันทำให้ดินพังทลายมากขึ้น (น.506-507) ในการศึกษานี้ ผู้เขียนเห็นว่า ม้งบ้านแม่นายและบ้านแคซึ่งเพาะปลูกแบบโค่นถางเผา แก้ปัญหาการเพาะปลูกโดยใช้การจัดระเบียบแรงงาน แบบแผนการตั้งถิ่นฐาน สิทธิการใช้ที่ดินและการแตกตัวของชุมชน ในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม(น.507-508)

Ethnic Group in the Focus

ม้งขาวที่บ้านแม่นาย (Mae Nai)และบ้านแค(Khae) จังหวัดเชียงใหม่

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาม้งขาว (the White Meo or Hmoob Dawb) เป็นคำพยางค์เดียว (monosyllabic words) มีวรรณยุกต์ 9 เสียง จัดอยู่ในกลุ่มตระกูลภาษาแม้ว-เย้า(Miao-Yao) "ม้ง" เรียกตนเองว่า "Hmoob" หมายถึง คนโชคดี (fortunate people) แต่คนจีนเรียกพวกเขาว่า "Miao or Meo" (น.xvi-xvii)

Study Period (Data Collection)

ไม่ได้ระบุชัดเจน แต่จากช่วงเวลาการเก็บข้อมูลภาคสนามอยู่ในช่วง ปี ค.ศ. 1965-1967 (น.70, 79-82, 86-87, 90, 114, 116, 118)

History of the Group and Community

แต่เดิมดินแดนที่เป็นศูนย์กลางของม้งอยู่ที่ไกวโจว (Kweichow) ในประเทศจีนตอนใต้ ส่วนบริเวณรอบๆ เช่น กวางตุ้ง (Kwangtung) กวางสี (Kwangsi) ฟูเกียน (Fukien) ฮูหนาน (Hunan) ยูนนาน (Yunnan) เสฉวน (Szechuan) และเกาะไฮหนานกับตังเกี๋ย (the islands of Hainan and Tonkin) การสู้รบกันระหว่างม้งกับจีนทำให้ม้งอพยพลงมาทางใต้ในดินแดนที่เป็นภูเขา และม้งอพยพเข้ามายังประเทศลาว เวียดนามตอนเหนือ พม่า และภาคเหนือของไทยเมื่อประมาณ 50-100 ปี คาดกันว่าม้งเข้ามายังจังหวัดเชียงใหม่เมื่อ 40-50 ปีที่ผ่านมา (น.1-2)

Settlement Pattern

การตั้งบ้านเรือน บ้านม้งขาวมีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตั้งขนานไปตามแนวสันเขา หันหน้าบ้านลงเชิงเขา ข้างบ้านด้านบนมีร่องระบายน้ำในช่วงฝนตกหนัก บ้านม้งขาวไม่มีหน้าต่าง แต่มีประตูเข้าบ้าน 2 บาน บานหนึ่งเป็นประตูหลัก-qhov rooj taj อยู่ที่มุมบ้านด้านหน้า อีกบานหนึ่งเป็นประตูด้านข้าง-qhov rooj อยู่ใกล้เตาไฟทำอาหาร บ้านม้งไม่มีรั้วล้อมแสดงอาณาเขต ใกล้ๆ บ้าน จะมีบ่อน้ำ ยุ้งฉาง โรงตีเหล็ก และเล้าหมู ซึ่งมักจะอยู่ต่ำลงไป ใกล้ๆ ทางเข้าด้านข้างบ้าน (น.19-20, 243-244) พื้นที่ภายในบ้านแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ พื้นที่พิธีกรรม พื้นที่ทำอาหารและพื้นที่หลับนอน (น.252) 1.พื้นที่พิธีกรรม ได้แก่ พื้นที่รอบๆ หิ้งผีบรรพบุรุษ-dab neeb หิ้งผีท้องฟ้า-dab ntawg (the sky spirit) ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับประหลัก และเสาผี-ncej dab (the agnatic spirit post) ซึ่งตั้งอยู่กลางบ้านและเป็นเสาหลักของบ้าน ที่โคนเสาจะฝังรกของเด็กผู้ชายทุกคนที่เกิดในเรือน วิญญานของผู้ชายในเรือนต้องกลับมาที่เสาก่อนไปพบ Siv Yis และกลับไปเกิดใหม่ รกนี้ใช้พิสูจน์ว่าวิญญาณเป็นสมาชิกในสายตระกูล คนที่ไม่ใช่สมาชิกในตระกูลจะนั่งหรือนอนที่โคนเสาไม่ได้ ถ้าฝ่าฝืนจะเกิดหายนะและการแตกแยกในเรือน เสานี้ต้องตั้งบนพื้นดิน ไม่มีสิ่งใดปกคลุม เพราะมิฉะนั้นจะทำให้วิญญาณคนตายเข้าไปไม่ได้ (น.248-250) ม้งขาวมีข้อกำหนดว่า ระยะทางระหว่างเสาผีกับหิ้งผีบรรพบุรุษต้องห่างกันไม่เกินระยะห่างระหว่างเสาผีกับเตาไฟทำหมู-qhov txos (pig fire) (น.250) 2. พื้นที่ทำอาหาร ได้แก่ พื้นที่ระหว่างเตาไฟทำอาหาร-qhov cub กับเตาไฟทำหมู-qhov txos นอกจากใช้เป็นที่ทำอาหารแล้ว ยังใช้เป็นที่ต้อนรับแขกกันเองหรือที่ไม่เป็นทางการ (น.252) 3. พื้นที่สำหรับหลับนอน พื้นที่ส่วนนี้จะมีฝากั้นแยกจากห้องโถง แต่ไม่มีประตู ภายในจะมีแคร่นอน บ้านที่มีสมาชิกจำนวนมากอาจจะมีห้องนอน 2-3 ห้อง พื้นที่ส่วนนี้นอกจากจะใช้นอนแล้ว ยังใช้เป็นที่เก็บทรัพย์สินส่วนตัวด้วย คนนอกครัวเรือนจะเข้าไปในห้องนอนไม่ได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาต และแม้แต่สมาชิกในครัวเรือนก็จะไม่เข้าไปในห้องนอนของคนอื่นด้วย ถ้าไม่ได้รับอนุญาต (น.251, 254)

Demography

ในปี ค.ศ. 1967 ประชากรม้งในประเทศไทยมีประมาณ 34,000 คน ในจำนวนนี้เป็นม้งขาวน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรม้งทั้งหมด (น.25) บ้านแม่นายมีประชากร 17 ครัวเรือน จำนวน 123 คน อยู่ที่ Jak Kyn 54 คน (น.22) เป็นม้งขาวทั้งหมด ส่วนบ้านแคมีประชากร 27 ครัวเรือน จำนวน 270 คน (น.24) ในจำนวนนี้เป็นคนไทยผู้หญิง 2 คนทั้งคู่เข้ามาอยู่ในหมู่บ้านโดยไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับม้งในชุมชนเลย และจีนฮ่อ 1 คนซึ่งแต่งงานกับผู้หญิงม้งขาว (น.30-31)

Economy

ระบบการเพาะปลูก ม้งทำการเพาะปลูกแบบโค่นถางเผาหรือไร่เลื่อนลอย (swidden or shifting cultivation) กิจกรรมการเพาะปลูกของม้งมีลำดับเวลาเป็นตัวกำหนดและพึ่งพาสภาพภูมิอากาศ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงฤดูกาลจึงกำหนดกิจกรรมการเพาะปลูกมากกว่าการเพาะปลูกบนพื้นราบ (น.65) ม้งเพาะปลูกโดยปลูกพืชแบบหมุนเวียนในระยะสั้น (a rotation pattern of swidden) มีข้าวโพด ข้าวและฝิ่นเป็นพืชหมุนเวียนหลัก และมีพืชรองเสริม (น.68-69) ที่ดินที่ถูกโค่นถางเผาจะใช้ปลูกข้าวไร่ใน 1-2 ปีแรก จากนั้นจึงปลูกข้าวโพดและฝิ่นผสมในแปลงเดียวกัน (intercrop) เป็นเวลา 5 ปี แล้วดินก็จะสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ ต่อจากนั้นก็จะใช้ที่ดินแปลงนั้นปลูกฝิ่นอย่างเดียวซึ่งอาจจะนาน 10-15 ปี การใช้ที่ดินเพาะปลูกแบบนี้เป็นเวลานานทำให้ดินเสียหายอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในฤดูมรสุมที่มีการพังทลายของดิน (น.69, 84) อย่างไรก็ดี ผู้เขียนเห็นว่า ระบบการปลูกพืชหมุนเวียนช่วยรักษาพื้นดินให้สามารถใช้เพาะปลูกได้ยาวนานและช่วยให้ม้งลดการตัดถางป่าแห่งใหม่ทุกปี (น.69) เพราะว่าเมื่อย้ายมาปลูกข้าวโพดและฝิ่นที่แปลงข้าวแล้ว ที่ดินแปลงเดิมที่เคยปลูกข้าวโพดและฝิ่นก็จะถูกทิ้งไว้ให้ดินได้พักฟื้นตัว หรือใช้ปลูกฝิ่นเพียงอย่างเดียว ส่วนข้าวก็จะย้ายไปปลูกในพื้นที่ป่าทุติยภูมิแห่งใหม่ นอกจากนั้นผู้เขียนยังเห็นว่า เมื่อเปรียบเทียบการปลูกพืชหมุนเวียนระหว่างม้งบ้านแม่นายซึ่งปลูกข้าว ข้าวโพดและฝิ่น กับม้งบ้านแคซึ่งปลูกมันฝรั่ง ข้าวโพดและฝิ่นแล้ว ระบบการปลูกข้าว ข้าวโพดและฝิ่นหมุนเวียนเป็นการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่า (น.75) การเพาะปลูกพืชหมุนเวียนของม้งบ้านแค การปลูกมันฝรั่งหมุนเวียนแทนข้าวทำให้แบบแผนการเพาะปลูกเปลี่ยนไป ทั้งนี้เพราะมันฝรั่งไม่สามารถปลูกร่วมบนที่ดินแปลงเดียวกันกับฝิ่นและข้าวโพดได้ เนื่องจากวงจรการเจริญเติบโตขัดกัน จึงต้องแยกแปลงปลูกข้าวโพด/ฝิ่นออกจากมันฝรั่ง มันฝรั่งเติบโตให้ผลผลิตดีบนผืนดินเดิมนาน 3 ปี จากนั้นในปีที่ 4 ต้องย้ายแปลงปลูก ถางที่ดินแห่งใหม่ ซึ่งภายใต้การปลูกผสมแบบนี้ (this crop combination) ป่าถูกถางมากกว่าการปลูกข้าว ข้าวโพดและฝิ่นหมุนเวียนกัน (น.69-70) การปลูกพืชหลัก ปฏิทินการเพาะปลูกของม้งมีกิจกรรมที่สำคัญที่สุด 5 อย่าง (น.65) ได้แก่ การปลูกข้าวช่วงเดือน 6 การปลูกข้าวโพดช่วงเดือน 5 การเก็บข้าวโพดในเดือน 9 การปลูกฝิ่นเดือน 10 และ การเก็บฝิ่นช่วงเดือนยี่ - ข้าว (nplej) ที่ดินสำหรับปลูกข้าวต้องเป็นพื้นที่ป่าที่เพิ่งถางใหม่ เพราะว่าที่ดินที่ใช้ปลูกเกิน 2 ปีจะไม่ให้เมล็ดข้าว เมื่อเลิกใช้ที่ดินที่ปลูกข้าว ก็จะเปลี่ยนมาใช้ปลูกข้าวโพดและฝิ่นแทน ซึ่งทำให้เกิดระบบหมุนเวียนการปลูกพืชหลัก 3 ชนิด (น.74-75) ม้งมีข้าวธรรมดา (non-glutinous dry-land rice) 3 พันธุ์ ได้แก่ npleq ntsuab (blue rice) npleq dawb (white rice) และ npleq daj (yellow rice) พันธุ์ข้าวเหล่านี้ต้องปลูกในที่อากาศเย็น บนดินแดง ดินไม่ควรมีน้ำขังเกิน 2 วัน มิฉะนั้นต้นข้าวจะสูงมาก และให้เมล็ดน้อย (น.109) ส่วนข้าวเหนียวมี 3 พันธุ์ ได้แก่ พันธุ์สีขาว สีเหลือง และสีแดง (น.110) การปลูกจะเริ่มในช่วงเดือน 6 ปักษ์แรก ก่อนที่ฝนจะตกหนัก แต่ละครัวเรือนจะเผาไร่ ขุดดิน และเพาะกล้าข้าว ผู้ชายและเด็กวัยรุ่นจะขุดดินเป็นหลุมลึกประมาณ 8 นิ้วหรือมากกว่านั้น 2-4 นิ้ว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของหินและดิน โดยจะเริ่มจากพื้นที่ด้านบนของไร่เป็นแถวลงมาตามแนวทแยงมุม คนหยอดเมล็ดข้าวจะเดินตามคนขุดหลุม แล้วหยอดเมล็ดข้าวหลุมละ 10 หรือมากกว่านั้น และจะไม่เอาดินกลบหลุม เพราะต้องการให้หลุมมีน้ำขังเพื่อให้เมล็ดข้าวงอกเร็วๆ (น.166-167) ส่วนการเก็บเกี่ยวจะทำในเดือน 12 - ข้าวโพด (pobkws) เป็นอาหารหมูที่สำคัญและเป็นอาหารเสริมของม้าและเป็ดไก่ ม้งที่บ้านแคพึ่งพาข้าวโพดมากกว่าข้าว เนื่องจากข้าวโพดทนทานแข็งแรง ปลูกง่ายกว่าข้าว (น.106-107,160) อีกทั้งยังปลูกเป็นพืชเงินสดด้วย การปลูกข้าวโพดจะทำหลังจากเผาไร่และก่อนลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะทำให้ดินชุ่มน้ำ ข้าวโพดต้องการอุณหภูมิเย็นปานกลาง ดินสีดำและอ่อน การดูแลพิเศษคือ ต้องเผาไร่ให้ทั่ว เพื่อจะได้ไม่มีเชื้อโรคในดินและจะได้มีขี้เถ้าเพียงพอที่จะทำให้ดินร่วนและหวาน ก่อนปลูกข้าวโพดจะอยู่ในช่วงเดือน 5 ก่อนฤดูมรสุม โดยขุดวัชพืชก่อน จากนั้นผู้ชายจะขุดหลุมลึก 4 นิ้ว แต่ละหลุมห่างกัน 1-2 เมตร ส่วนผู้หญิงกับเด็กๆ จะหยอดเมล็ดลงหลุมๆ ละ 4-5 เมล็ด แล้วเอาดินกลบหลุม การปลูกข้าวโพดใช้เวลาน้อยกว่าการปลูกข้าว ไม่ต้องการแรงงานมาก แรงงานเป็นคนในครัวเรือนเกือบทั้งหมดส่วนการเก็บข้าวโพดจะทำในช่วงเดือน 9 (น.67,161-163) - ฝิ่น (yeeb) ฝิ่นเจริญเติบโตได้ดีที่สุดในภูมิอากาศแห้งเย็นและดินที่มีความเป็นกรด ม้งจึงต้องการที่ดินที่ระดับความสูงตั้งแต่ 1,500 เมตรขึ้นไป (น.110,170) เมล็ดฝิ่นจะงอกในดินชื้นและร่วน การปลูกฝิ่นจึงเริ่มเมื่อสิ้นฤดูลมมรสุม ประมาณปลายเดือนกันยายน-ต้นเดือนตุลาคม เมล็ดฝิ่นจะถูกแกะออกจากฝักและแยกออกเป็นกลุ่มตามสีของเมล็ด เมล็ดสีขาวจะให้ดอกฝิ่นสีขาว(yeeb dawb) เมล็ดสีดำจะให้ดอกฝิ่นสีแดง (yeeb liab) เมล็ดสีเทาจะให้ดอกฝิ่นกลีบสีขาวและแดงหรือชมพู (yeeb paj หรือ white and red combination or pinkish petals) และฝิ่นที่มีดอกสีม่วงอ่อนๆ ( yeeb tshuaj หรือ lavender flowered poppy) ซึ่งใช้เป็นยารักษาโรคแก้อาการปวดท้อง มาจากเมล็ดฝิ่นสีดำ (น.169,211) การปลูกฝิ่นมีระยะสำคัญ 4 ระยะ คือ 1) tseb yeeb -การหว่านเมล็ด 2) dob yeeb - การกำจัดวัชพืชครั้งแรก 3) las yeeb - การกำจัดวัชพืชครั้งที่สอง และ 4) hlais yeeb -การกรีดฝิ่น (น.170) ฝิ่นจะปลูกในที่ดินแปลงเดียวกับข้าวโพด การหว่านเมล็ดฝิ่นจะทำก่อนการหักข้าวโพดประมาณ 10 วัน โดยจะเตรียมดินราวๆ ปลายเดือนแปด ผู้หญิงและเด็กโตจะพรวนดินระหว่างต้นข้าวโพดให้ลึกประมาณ 4-6 นิ้ว พร้อมๆ กับกำจัดวัชพืชไปด้วย หลังจากนั้นผู้ชายก็จะหว่านเมล็ดฝิ่นในช่วงเดือน 10 การหว่านนี้จะทำก่อนหรือหลังการเก็บข้าวโพดก็ได้ ที่บ้านแม่นายและบ้านแคข้าวโพดมีระยะเวลาแก่ตั้งแต่ 90-115 วัน ชาวบ้านจึงเก็บข้าวโพดก่อนหว่านเมล็ดฝิ่น และการเก็บข้าวโพดก็อาจจะหยุดไป 2-3 วันเพื่อหว่านเมล็ดฝิ่น จากนั้นจึงเก็บข้าวโพดต่อ การเก็บฝิ่นจะอยู่ในช่วงเดือนยี่ถึงเดือนสาม ซึ่งเป็นฤดูหนาว (น.66-67,73,171) ฝิ่นทุกกลุ่มสามารถปลูกและเก็บในช่วงเวลาเดียวกันได้ ม้งขาวมีความเห็นเกี่ยวกับคุณภาพของฝิ่นแต่ละกลุ่มไม่เหมือนกัน ม้งบ้านแม่นายส่วนมากเห็นว่า ฝิ่นดอกสีขาวให้ผลผลิตจำนวนมากและคุณภาพดีกว่า (น.210) ขณะที่ม้งบ้านแคเห็นว่า ฝิ่นดอกสีแดงให้ผลผลิตฝิ่นสำหรับสูบดีที่สุด แต่ทว่าปลูกยาก ต้องปลูกในที่มีอากาศเย็น และต้องการแสงแดดอย่างน้อย 9 ชั่วโมง ฝิ่นชนิดนี้ให้น้ำมันเล็กน้อย มีน้ำหนักมาก ฝิ่นดอกสีขาวมีน้ำมันมาก ใช้สูบดี แต่ว่าจะไหม้รวดเร็วและมีน้ำหนักน้อย ฝิ่นดอกสีชมพูให้ผลผลิตฝิ่นคุณภาพต่ำสุด มีน้ำหนักเบากว่าฝิ่นชนิดอื่น (น.211) - มันฝรั่ง (qos yaj ywv) แม้ว่าข้าวจะเป็นพืชอาหารหลักของม้ง แต่ม้งที่บ้านแคก็ไม่ได้ปลูกข้าว พวกเขาปลูกมันฝรั่งขาว (white potato) และมันฝรั่งขาวก็เป็นพืชเงินสดที่สำคัญอันดับสองของม้งบ้านแค ชาวบ้านจะปลูกมันฝรั่งปีละสองครั้ง โดยจะปลูกต่อจากปลูกข้าวโพดทันที ระหว่างเดือน 5 ปักษ์หลังถึงเดือน 6 ปักษ์แรกซึ่งเป็นเวลาเดียวกับข้าวโพด แล้วเก็บเกี่ยวในช่วงเดือน 8 และเดือน 9 ซึ่งทำให้เกิดความขัดแย้งกับการเก็บข้าวโพดอยู่บ่อย การปลูกมันฝรั่งครั้งที่สองเป็นช่วงเวลาเดียวกับการหว่านเมล็ดฝิ่น โดยจะทำการปลูกในช่วงเดือน 10 หลังการเก็บข้าวโพดและก่อนการปลูกฝิ่น (น.68,163-164) การปลูกพืชรอง ม้งแบ่งพืชรองออกเป็น 6 กลุ่ม (น.220) ได้แก่ zaub - ผักกินใบ มีการปลูกสองช่วง ช่วงแรกปลูกตอนเดือน 5 หลังจากปลูกข้าวโพดแล้ว โดยปลูกตามริมไร่ข้างใน(inner periphery) ช่วงที่สองจะปลูกพร้อมกับฝิ่นในเดือน 10 โดยผสมเมล็ดพันธุ์ผักเข้ากับเมล็ดฝิ่นในอัตราส่วน 1:20 เมล็ดผักจะโตเร็วกว่าฝิ่น หลังจากปลูกได้ 2 เดือน ประมาณเดือน 12 ก็เก็บผักได้ (น.220-223) - taub - พืชจำพวกน้ำเต้าและฟักทอง เป็นพืชรองกลุ่มใหญ่ที่สุดที่ม้งปลูก จะปลูกร่วมกับข้าวโพดโดยผสมเมล็ดพันธุ์ผักกับเมล็ดข้าวโพดในอัตราส่วน 1:200 เถาแตงจะเลื้อยไปตามดินทั่วไร่ข้าวโพด ส่วนการปลูกในไร่ข้าวจะปลูกตามริมไร่หรือใกล้ๆ กับตอไม้หรือต้นไม้ที่ถูกตัดแล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เถาแตงพันต้นข้าว หลังจากปลูกได้ 6 อาทิตย์ก็เก็บผลได้ (น.223-224) looj pum - พืชให้หัว (root crops) มีตั้งแต่มันฝรั่งขาวจนถึงขิง พืชกลุ่มนี้ไม่ได้ปลูกกันแพร่หลายที่บ้านแม่นายและบ้านแค แม้จะรู้ว่าพืชกลุ่มนี้จะปลูกเวลาใดก็ได้และยังใช้แรงงานในการปลูกน้อย ยกเว้นมันฝรั่งที่ม้งบ้านแคปลูกเป็นพืชเงินสดอันดับสอง พืชให้หัวแต่ละชนิดจะปลูกในที่ต่างกัน เช่น มันเทศหรือมันแกวจะปลูกบริเวณใต้ต้นไม้และตอไม้ในไร่ หัวผักกาด กระเทียม ขิงและมันฝรั่งหวานจะปลูกบริเวณชายไร่ แต่มันฝรั่งที่ปลูกเป็นพืชเงินสดจะปลูกในไร่ทั้งหมด ส่วนมากจะปลูกพืชให้หัวในเดือน 6 และเดือน 7 เมื่อดินได้รับความชุ่มชื้นจากฝนที่ตกเป็นครั้งแรก และการปลูกครั้งสองจะทำในเดือน 9 โดยจะปลูกร่วมกับกล้วยและอ้อยตามชายไร่ข้าวโพดหรือฝิ่น ที่บ้านแคการปลูกครั้งที่สามจะทำในช่วงเดือน 11 เมื่อสิ้นสุดลมมรสุม พืชให้หัวทุกชนิดยกเว้นมันฝรั่งใช้บริโภคภายในหมู่บ้าน การเก็บเกี่ยวจะเริ่มหลังจากปลูกได้ 2 เดือน โดยถือว่าเป็นงานของผู้หญิง (น.224-225) taum - พืชจำพวกถั่ว (beans) ปลูกตามริมไร่หรือใกล้ๆ ตอไม้ในไร่ข้าวโพดไร่ฝิ่น ปลูกโดยขุดหลุมหยอดเมล็ดหรือโดยการหว่าน ทั้งนี้ ขนาดของพื้นที่ที่ปลูกเป็นตัวกำหนดวิธีปลูก ถ้าพื้นที่ขนาดเล็กก็ใช้การขุดหลุมหยอด การปลูกทำในเดือน 5 หลังฝนตกครั้งแรก ผู้หญิงและเด็กจะช่วยปลูกด้วย การเก็บเกี่ยวจะเริ่มปลายเดือน 7 ถั่วบางชนิด เช่น qaib qua (string beans) และ suav (short beans) จะโตเต็มที่ในช่วง 50-55 วัน ขณะที่บางชนิด เช่น moq (green pea) ใช้เวลา 10 วันถึงสองสัปดาห์ก็โตเต็มที่ (น.225-226) txiv - ไม้ผล (fruit crops) ไม้ผลที่สำคัญมี 2 ชนิด คือ กล้วย (tsawb) และ ท้อ (dua หรือpeaches) สำหรับกล้วยนั้นที่บ้านแม่นายปลูกเพื่อบริโภค ส่วนบ้านแคปลูกเป็นพืชเงินสด ขณะที่ท้อในบ้านแคเป็นพืชยังชีพ (a subsistence crop) แต่บ้านแม่นายปลูกในเชิงการค้า (น.226) - ม้งแบ่งพันธุ์กล้วยออกเป็น 5 ชนิด ได้แก่ 1) tsawb dub มีผลใหญ่และมีสีเขียวเมื่อสุก 2) tsawb qab zib มีผลขนาดกลาง รสหวาน 3) tsawb qaub ผลมีรสเปรี้ยว 4) tsawb teem เป็นกล้วยเล็ก (a small banana) พันธุ์นี้ได้รับความนิยม เนื่องจากเก็บไว้ได้นาน และ 5) tsawb pav เป็นกล้วยที่เล็กมาก การปลูกกล้วยจะทำในเดือน 6 เดือน 7 หรือเดือน 8 เพราะต้นกล้วยต้องการน้ำมาก (น.226-228) - ส่วนท้อนั้น ในช่วงปลายคริสตทศวรรษ 1950 ม้งในบริเวณหางดง-แม่ริมได้รับการแนะนำให้ปลูกเป็นพืชเงินสดเพื่อแข่งกับการปลูกฝิ่น ชาวบ้านนิยมปลูกท้อในไร่ฝิ่นที่อยู่ในระยะพักฟื้นดิน หรือปลูกตามริมไร่ข้าวโพดไร่ฝิ่น (น.228-229) qoob loo - ธัญพืช (grain crops) นอกจากข้าวและข้าวโพดซึ่งเป็นพืชหลักแล้ว ยังมีธัญพืชอื่นที่เป็นพืชรองด้วย เช่น ข้าวฝ่าง(pias juas) (น.108-109) พืชให้เส้นใย (ntaub) มี 2 ชนิด คือ ฝ้ายสำหรับทอผ้ากับฝ้ายสำหรับทำเชือกซึ่งใช้เปลือก ผู้หญิงจะปลูกฝ้ายในแปลงเล็กๆ ใกล้ไร่ข้าวโพดในเดือน 7 และเก็บเกี่ยวในเดือน 10 (น.232) การกำจัดวัชพืช มี 3 วิธี จะใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับระยะการเจริญเติบโตของพืชชนิดนั้น วิธีแรก dob nroq เป็นการถอนรากกำจัดวัชพืชทั้งต้น วัชพืชมีความสูงน้อยกว่า 4 นิ้วสามารถใช้มือดึงได้ง่ายๆ วิธีที่สอง luaj nroq เป็นการใช้มีดตัดลำต้นวัชพืชให้ติดดิน วิธีที่สาม nthua nroq เป็นการขุดต้นวัชพืชที่ไม่ต้องการ (น.173) - ไร่ข้าวโพดจะกำจัดวัชพืชครั้งแรกหลังจากปลูกได้ไม่เกิน 5 สัปดาห์ด้วยวิธี dob nroq และ luaj nroq ครั้งที่สองทำหลังจากครั้งแรกแล้ว 3-4 สัปดาห์เมื่อต้นข้าวโพดสูงเท่าหัวเข่า และครั้งที่สามทำในช่วงเดือน 9 ด้วยวิธี nthua nroq การทำครั้งที่สามนี้ไม่ใช่การกำจัดวัชพืชอย่างเดียว แต่เป็นการพรวนดินรอบต้นข้าวโพดด้วย เพื่อเตรียมดินสำหรับหว่านเมล็ดฝิ่น ดังนั้น จึงต้องใช้แรงงานคนทั้งครัวเรือน เพื่อไม่ให้ปลูกฝิ่นช้า (น.175-176) - แปลงข้าวจะกำจัดวัชพืช 2 ครั้ง ช่วงเดือน 7 ครั้งหนึ่งและเดือน 9 อีกครั้งหนึ่ง การกำจัดวัชพืชครั้งแรกทำหลังจากปลูกข้าวได้ 4 สัปดาห์เมื่อต้นข้าวสูงประมาณ 6 นิ้ว โดยใช้มือดึงวัชพืชที่ไม่ต้องการทิ้ง หลังจากนั้น 5 สัปดาห์จึงกำจัดวัชพืชครั้งที่สองเมื่อต้นข้าวสูงถึงหัวเข่า โดยใช้วิธี luaj nroq ต้นวัชพืชที่สูงน้อยกว่า 4 นิ้วจะไม่ถูกตัดเนื่องจากไม่เป็นอันตรายต่อต้นข้าว (น.177) - การกำจัดวัชพืชในไร่มันฝรั่งทำในเดือน 7 และเดือน 8 โดยวิธี nthua nroq ที่บ้านแคส่วนใหญ่จะกำจัดวัชพืชครั้งเดียว (น.177) - ในไร่ฝิ่นจะกำจัดวัชพืช 2 ครั้ง ครั้งแรกทำในช่วงเดือน 11 หรือหลังจากปลูกได้ประมาณ 4 สัปดาห์ โดยใช้มือถอนต้นวัชพืช และระหว่างการถอนวัชพืชนี้ ถ้าพบว่าต้นฝิ่นขึ้นหนาแน่นเกินไปก็จะทำให้เบาบางลงเพื่อจะได้ไม่แย่งกันเติบโต การกำจัดครั้งสองทำตอนปลายเดือน 12 ถึงต้นเดือนอ้าย (น.178) การเก็บเกี่ยว - คำ "sau" (to gather or bring in crops) เป็นคำทั่วไป ม้งมีคำเฉพาะสำหรับเรียกการเก็บเกี่ยวพืชผลแต่ละชนิด การเก็บข้าวโพดเรียกว่า "ntais pobwks" (การเก็บฝักข้าวโพด) การเก็บเกี่ยวมันฝรั่งเรียก "nthua qos yaj ywv" (การขุดมัน) การเกี่ยวข้าวเรียกว่า "muab npej" และเรียกการเก็บฝิ่นว่า "hlais yeeb" (การกรีดฝิ่น) (น.185-186) - การเก็บฝักข้าวโพด ทำในเดือน 9 ซึ่งเป็นช่วงกลางฤดูมรสุม แต่สภาพอากาศก็ไม่มีผลต่อการเก็บข้าวโพด สมาชิกทุกคนในครัวเรือนมี่ส่วนร่วมในกิจกรรมนี้ ผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กโตจะช่วยกันตัดต้นข้าวโพดแล้วนำไปวางกองที่ริมไร่ เด็กที่อายุน้อยลงมาจะหักฝักข้าวโพดจากต้นที่กองไว้ จากนั้นพวกเด็กๆ ก็จะเอาข้าวโพดใส่ตะกร้าให้ผู้ชายยกไปวางบนหลังม้า แล้วผู้หญิงก็จะพาม้าบนตะกร้าข้าวโพดกลับหมู่บ้าน (น.188,190) - การเก็บมันฝรั่ง ที่บ้านแคเก็บมันฝรั่ง 2 ครั้ง ตอนปลายเดือน 8 ซึ่งเป็นช่วงที่ฝนตกหนักกับตอนเดือนอ้ายซึ่งเป็นช่วงหลังฤดูมรสุม การเก็บหัวมันในเดือนอ้ายจะลำบากน้อยกว่าเดือน 8 แต่การเก็บหัวมันฝรั่งในเดือน 8 จะได้คุณภาพดีและใหญ่กว่า เพราะมันฝรั่งชอบดินชุ่มน้ำ การขุดมันฝรั่งต้องการแรงงานจำนวนมาก จึงต้องการความช่วยเหลือจากญาติสนิทที่เป็นสมาชิกในสายตระกูลของตน โดยการช่วยเหลือตอบแทน (pauv) การขุดมันฝรั่งทั้งผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กต่างมีส่วนร่วมในกิจกรรม (น.193-195) - การเกี่ยวข้าว มีช่วงระยะเวลา 6 สัปดาห์และ เวลาในการเกี่ยวข้าวขึ้นอยู่กับพันธุ์ข้าวแต่ละชนิด การเกี่ยวข้าวมี 5 ขั้น (น.196-197) ได้แก่ hlais nplej - การตัดต้นข้าว (the cutting or reaping of rice) ผู้ชายเป็นคนตัด ผู้หญิงเป็นคนมัดต้นข้าว ฟ่อนข้าวจะถูกทิ้งไว้ 3 วันให้แห้ง (น.200-201) pawv teq nplej (the stacking of the rice sheaves) ผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กๆ จะช่วยกันขนฟ่อนข้าวที่มัดไว้มากองในลานนวดข้าว ntaus nplej -การนวดข้าว (the threshing of the rice sheaves) vaj nplej - การเอาแกลบออกจากข้าว (the winnowing or the separation of the rice chaff from the grain) ผู้หญิงมักเป็นคนทำกิจกรรมนี้ (น.205) thawj nplej -การขนข้าวกลับหมู่บ้าน (the carrying of the rice to the village) การเก็บฝิ่น - sau yeeb เวลาการเก็บฝิ่นจะอยู่ระหว่างเดือนยี่และต้นเดือน 3 (น.209) มีขั้นตอนการเก็บ 2 ขั้นตอน คือ 1.hlais yeeb -การกรีดฝิ่น สภาพอากาศระหว่างกรีดฝิ่นจะต้องแห้ง ลมและอากาศแห้งจำเป็นต่อการจับตัวแข็งเป็นก้อนและการแห้งของฝิ่น (น.209) การกรีดฝิ่นต้องการแรงงาน 6 คนหรือมากกว่านั้น (น.217) ปัจจัยสำคัญในการกรีดฝิ่น ได้แก่ เวลา เทคนิคการกรีดของแต่ละคนและรูปแบบการกรีด (น.215) 2.sau yeeb - การเก็บยางฝิ่นจากฝัก การเก็บฝิ่นต้องทำให้เสร็จภายใน 18 ชั่วโมงหลังจากการกรีด (น.217) ส่วนใหญ่ผู้หญิงและเด็กหญิงจะกรีดและเก็บฝิ่นมากกว่าผู้ชาย เพราะช่วงเวลานี้ ผู้ชายจะเริ่มโค่นต้นไม้ในพื้นที่แห่งใหม่ (น.219) การใช้ที่ดิน สภาพแวดล้อม ม้งแบ่งสภาพแวดล้อมเชิงชีวภาพ (the biotic environment) ออกเป็น 2 ชนิด คือ qus กับ teb (น.102-103) ซึ่งมีความแตกต่างกัน ดังนี้ qus หมายถึง สภาพแวดล้อมที่เป็นป่า ไม่ได้ใช้เพาะปลูกพืชพันธุ์ มี zoov pliq - ผีป่าเป็นตัวแทนแสดงถึงความน่ากลัว พืชพันธุ์ในบริเวณนี้ประกอบด้วยต้นไม้ใหญ่ ต้นไม้ใบ (foliage) ต้นไม้ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ มนุษย์ไม่ได้ปลูก รวมไปถึงวัชพืชต้นหญ้าชนิดต่างๆ ในที่ดินที่พักฟื้น ส่วน teb หมายถึง บริเวณพื้นที่ที่โค่นถางแล้วและใช้เป็นพื้นที่เพาะปลูกเลี้ยงชีพ รวมทั้งพืชทุกชนิดที่มนุษย์ปลูกและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับครัวเรือน มี teb pliq - ผีไร่นา (the field spirit) เป็นสัญลักษณ์ ผีไร่นาเป็นผีดีตราบเท่าที่ได้รับการเซ่นไหว้ที่เหมาะสม (น.103-104) ชนิดของดิน ในระบบการเพาะปลูกแบบโค่นถางเผาหรือแบบเลื่อนลอย ลักษณะดินเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดพืชพันธุ์ที่จะปลูก พืชต่างชนิดกันต้องการดินต่างกัน (น.83) เช่น พืชจำพวกพีช (Peach tree) ถ้าปลูกในดินแดงจะมีใบน้อยและโตช้ากว่าปลูกในดินดำ แต่จะออกดอก ให้ผลมากกว่า (น.111-112) ม้งแบ่งดินออกเป็นชนิดต่างๆ โดยพิจารณาจากเนื้อดินและรส (taste) ดินที่มีเนื้อดินลื่น (oily texture) เหนียวปานกลางและอากาศผ่านได้ดี (porosity) เป็นคุณสมบัติของดินที่ต้องการ ส่วนรสของดินนั้นควรจะมีรสเค็มหรือหวาน ไม่มีรสเปรี้ยว ซึ่งทำให้ม้งจำแนกดินออกเป็น 4 ชนิดตามสี (น.91) คือ 1.av blog - ดินเหนียว (stickly soil) อุ้มน้ำดี ดูดซึมน้ำน้อย เหมาะสำหรับการปลูกข้าวนาดำ (wet rice) แต่ม้งไม่ได้ปลูกข้าวนาดำ อีกทั้งดินชนิดนี้ปลูกพืชอื่นๆไม่ได้ผลดี จึงไม่ใช่ดินที่ม้งต้องการ (น.91) 2.av dawb - ดินขาว (white soil) เป็นดินที่มีทรายหรือหินปูน (lime) มาก เมื่อฝนตก น้ำจะซึมผ่านรวดเร็ว แร่ธาตุและอาหารในดินจึงไหลผ่านไป ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์น้อย ปลูกพืชไม่ได้ผลดี และลึกลงไปจากหน้าดิน 4 นิ้วก็มีหินก้อนเล็กก้อนน้อย ทำให้ขุดดินลำบาก (น.91) 3.av lib - ดินแดง (red soil) บ้านแม่นายและบ้านแคส่วนใหญ่เป็นดินชนิดนี้ ชาวบ้านรู้สึกว่าดินแดงปลูกข้าวไร่ (dry-land rice)ได้ดีที่สุด โดยกล่าวว่า ข้าวม้งขึ้นได้ดีในดินชนิดนี้ และวัชพืชก็โตไม่เร็วมากในดินแดง (น.91) 4.av dub -ดินดำ (black soil) เป็นดินที่ดีที่สุด เหมาะกับพืชทุกชนิด จะพบดินดำในพื้นที่ที่เพิ่งจะโค่นถางเผาแล้วไม่นาน บนหน้าดินและลึกลงไปไม่เกิน 3-4 นิ้วจะมีใบไม้และหญ้าเน่าเปื่อยทับถม ดินดำเหมาะสำหรับปลูกข้าวโพดและฝิ่น (น.91-92) การเลือกพื้นที่เพาะปลูก ม้งมีเกณฑ์การเลือกตามลำดับดังนี้ ดังนี้ 1. ดิน หัวหน้าครัวเรือนจะเลือกที่ดินเพาะปลูกโดยดูจากคุณสมบัติของดินให้เหมาะกับพืชที่จะปลูก เพราะพืชแต่ละชนิดต้องการดินต่างกัน (น.111-112) 2. ความใกล้ -ไกลหมู่บ้าน ชาวบ้านชอบพื้นที่เพาะปลูกใกล้บ้านมากกว่า เนื่องจากช่วยประหยัดเวลาเดินทางระหว่างหมู่บ้านกับไร่ ระยะห่างที่เหมาะสมระหว่างที่ดินเพาะปลูกกับหมู่บ้านอยู่ที่ 300-2,000 เมตร (น.113-115) 3. ความใกล้ -ไกลพื้นที่เพาะปลูก (น.116-117) 4. แหล่งน้ำ ชาวบ้านจะมองหาพื้นที่ใกล้ห้วยหรือตาน้ำ (streambeds or springs) ซึ่งสังเกตได้จากต้นไม้ (lush foliage and leavy vetgetation) ในบริเวณนั้น ถ้าในบริเวณที่ดินเพาะปลูกที่ทิ้งไว้ให้ดินฟื้นตัวในช่วงสั้น ประมาณ 5 ปีหรือน้อยกว่านั้น มีต้นหญ้า พุ่มไม้และต้นไม้เล็ก (seedling) ขึ้นปกคลุมโดยมีใบเขียวตลอดทั้งปี ที่ดินพักฟื้นแห่งนั้นก็นำมาใช้เพาะปลูกได้ใหม่ (น.117-118) 5. พันธุ์ไม้ที่ขึ้นคลุมดิน ม้งบ้านแคจะไม่ใคร่โค่นถางบริเวณที่มีไม้จำพวกสน (coniferous) เพราะต้นสนเติบโตดีใน av dawb-ดินทรายแห้ง (dry sandy soil) ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ขณะที่ม้งบ้านแม่นายไม่ค่อยอยากจะโค่นถาง dipterocapus forest เนื่องจากดินในป่าชนิดนี้ปลูกข้าวไม่ได้ผลดี ต้นไม้ที่บ่งบอกความอุดมสมบูรณ์ของดิน ได้แก่ Ntoo nplooj hlis (a hardwood) Ntoo tawv ntxhw (a rough-barked hardwood) qheb (oak species hardwood) ซึ่งพบได้บ่อยในที่สูง 1,000-1,500 เมตร Ntoo qhuav plawv (a hardwood) ในบริเวณป่าทุติยภูมิ (secondary forest) และพื้นที่ที่ปล่อยให้ดินพักฟื้นมากกว่า 3 ปี จะใช้ต้นไม้ในบริเวณนั้นเป็นตัวบ่งชี้ (น.119-123) 6. ภูมิประเทศ เป็นพื้นที่ในหุบเขาที่อยู่บริเวณเชิงเขา เพราะมีก้อนหินเก็บกักน้ำที่ทำให้ดินอ่อนนุ่มตลอดปี ขณะเดียวกันพื้นที่แห่งนั้นก็ต้องมีด้านหนึ่งเปิดโล่งลงเชิงเขาสำหรับระบายน้ำ (น.124-125) 7. การรับแสงแดด(exposure) (น.127) 8. การใช้ที่ดินก่อนหน้านี้ (previous land use) (น.129) การแลกเปลี่ยนเชิงธุรกิจ (transactions) ม้งขาวแบ่งกิจกรรมการแลกเปลี่ยนออกเป็น 2 กลุ่มสำคัญ คือ rob nqe - เป็นกิจกรรมการแลกเปลี่ยนที่ต้องการค่าตอบแทน เกิดขึ้นกับคนนอกครัวเรือน และ pub qhuav qhuav -เป็นกิจกรรมที่ไม่คาดหวังการตอบแทนใดๆ (น.278) ทั้งนี้ม้งมองว่า การจ่ายค่าจ้างแรงงาน - nqe tes (wages for hard labour) เป็นการจ่ายค่าตอบแทนพิเศษสำหรับการบริการ ซึ่งมีลักษณะตรงกับกิจกรรมเชิงธุรกิจมากที่สุด การจ่ายค่าจ้างแรงงานจะไม่ค่อยเกิดขึ้นในกลุ่มสมาชิกสายตระกูลเดียวกัน ม้งขาวถือว่าคนที่ทำงานเพื่อค่าจ้างจะอยู่ใต้อำนาจผู้จ่ายเงินและวางชีวิตของตนไว้ในมือผู้อื่น ม้งจะจ้างคนนอกที่ไม่ใช่ม้ง - kum khej (non-Meo) แต่ถ้าจำเป็นต้องเป็นม้งก็จะจ้างม้งจากตระกูลอื่น ไม่ใช่ม้งในตระกูลหรือสายตระกูลตน (น.279-280) ม้งจะทำกิจกรรมที่มีผลประโยชน์เชิงธุรกิจ - tahaj thawj (profit from a business transaction) กับคนนอกที่ไม่ใช่กลุ่มที่ญาติพี่น้อง (one's own kwvtij) และบางครั้งก็รวมไปถึงญาติที่เกี่ยวดองโดยการแต่งงานด้วย กิจกรรมที่มีผลประโยชน์เชิงธุรกิจประเภทนี้ ได้แก่ การแลกเปลี่ยนและการขายสินค้า การกู้ยืม ส่วนการบริการไม่จัดอยู่ในประเภทนี้ แต่ในทางปฏิบัติ กิจกรรมการกู้ยืมก็มีความแตกต่างกันระหว่างสินทรัพย์เพื่อการผลิตกับสินทรัพย์ที่ไม่ใช่เพื่อการผลิต สินทรัพย์เพื่อการผลิต อันได้แก่ เงินและที่ดินที่ให้คนนอกครัวเรือนกู้ยืมอาจจะไม่คิดดอกเบี้ยก็ได้ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงเฉพาะ แต่ดอกเบี้ยก็เป็นสิ่งที่คาดหวังหรือต้องการกัน อย่างไรก็ดี ในหมู่ชาวบ้านก็มีความคิดไม่สอดคล้องกันว่า ใครจะหาประโยชน์จากใคร บางคนเห็นว่า สมาชิกในสายตระกูลเดียวกัน ญาติเกี่ยวดองที่ใกล้ชิดกัน (close affinals) และคนในตระกูลไม่ควรถูกใช้เพื่อผลประโยชน์ ขณะที่บางคนเห็นว่า สิ่งของที่ไม่ใช่เพื่อการผลิต เช่น หม้อทำอาหาร มีด ขวาน เครื่องมือทำอาหารและของใช้ในครัวเรือนอื่นๆ ไม่ควรถูกใช้เพื่อผลประโยชน์กำไรในหมู่คนในตระกูล ญาติเกี่ยวดองหรือแม้แต่ชาวบ้าน (txum tim) ด้วยกัน แต่สินทรัพย์เพื่อการผลิตก็ต้องมีการตอบแทน เช่น ที่บ้านแม่นาย มีการยืมเงิน เมล็ดธัญพืชและที่ดินจากชาวบ้านคนอื่นโดยไม่คิดดอกเบี้ย ตราบใดที่การจ่ายคืนกระทำในระยะที่กำหนด การขอยืมและการให้ยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ย (txais) ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยเหลือเพื่อนบ้านหรือญาติ (น.280-281) การให้ของ (gift) ผู้เขียนแบ่งการให้ที่เป็น/หรือมีการตอบแทนออกเป็น 4 แบบ (น.282) คือ 1. rob nqe - ให้ค่าจ้างแรงงาน ตอบแทนการได้แรงงาน 2. porthawj - ให้ค่าสินสอดเจ้าสาว (bridewealth) ตอบแทนครอบครัวของเจ้าสาวที่สูญเสียแรงงาน (น.282) 3. pauv - การตอบแทนแรงงานในงานไร่ (น.283) 4. txuag nws txiaj - เป็นการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ ซึ่งถือว่าเป็นการตอบแทนบุญุคณผีบรรพบุรุษหรือขอให้ผีบรรพบุรุษบันดาลประโยชน์บางอย่างให้ (น.284-285) นอกจากนี้ก็ยังมีการให้แบบไม่แลกเปลี่ยน (non-reciprocal gifts) เป็นการให้ที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนกลับคืน ได้แก่ การให้ของขวัญในหมู่ญาติ โดยเฉพาะคนในครัวเรือน การโอนสิทธิในทรัพย์สินของตนให้แก่คนที่ไม่ได้มีสิทธิรับสืบทอด เช่น การให้ที่ดินเพาะปลูกส่วนหนึ่งแก่ลูกชายคนโตที่แยกเรือน ก่อนที่ตนเองจะตาย และการสอนให้การฝึกฝนความรู้ความชำนาญตามความพอใจของตน ปราศจากค่าตอบแทน เช่น พ่อหรือพี่น้องผู้ชายของพ่อสอนการตีเหล็กให้แก่ลูกหลานผู้ชาย การฝึกเป็น shaman จาก shaman อาวุโสของหมู่บ้าน เป็นต้น (น.288-290)

Social Organization

ครอบครัวและครัวเรือน ม้งมีคำที่ใช้ในความหมายครอบครัว ครัวเรือน 2 คำ คือ cuab และ yim (น.258) cuab หมายถึง ครัวเรือนหรือครอบครัวที่สมาชิกผูกพันเป็นญาติทางสายเลือดฝ่ายผู้ชาย (agnatic kin) และญาติเกี่ยวดองโดยการแต่งงาน (affines) สมาชิกครอบครองทรัพย์สินร่วมกัน ทำงานในไร่นาร่วมกัน มีชีวิตร่วมกันด้วยการแบ่งแรงงานกัน cuab เป็นกลุ่มที่มีญาติเป็นพื้นฐาน (a kin-based group) (น.259, 274) yim หมายถึง ครัวเรือน ใช้ในความหมายที่เป็นกลุ่มเชิงพื้นที่ในท้องถิ่น (a local spatial group) หรือกลุ่มเขตแดน (the basic territorial group) หมายถึงทุกคนที่อยู่ในบ้านหลังเดียวกัน (น.259,269,274) ซึ่งความหมายของ cuab จะอยู่ภายใต้ขอบเขต yim ในแง่ถิ่นที่อยู่อาศัย เศรษฐกิจ-การเพาะปลูก และกลุ่มพิธีกรรม หากทว่า cuab ก็เป็นกลุ่มหลักสำคัญของ yim (น.291) ลักษณะครอบครัวของม้งมีทั้งครอบครัวเดี่ยวและครอบครัวขยาย และมีทั้งครอบครัวแบบภรรยาเดียวและครอบครัวแบบภรรยาหลายคน (polygynous household) ซึ่งที่บ้านแม่นายและบ้านแคจำนวนครอบครัวแบบภรรยาหลายคนมีเพียง 1 และ 3 ครัวเรือนตามลำดับ เป็นครอบครัวเดี่ยวขนาดใหญ่อยู่ภายใต้หลังคาเดียวกัน (ua twb cuab) โดยอาจจะแยกห้องนอนหรือนอนห้องเดียวกัน (น.269-273) ตระกูลและสายตระกูล (clan and lineage) ม้งมีคำที่ใช้ในความหมายตระกูลหรือสายตระกูลหลายคำ ซึ่งแต่ละคำมีระดับความหมายไม่เท่ากัน xeem - ตระกูล ใช้ในความหมายของ กลุ่มญาติสายเลือดที่เป็นกลุ่มระดับใหญ่ที่สุด(the largest or maximal lineage) มีความหมายตรงกับ clan ในภาษาอังกฤษ (น.370) kwvtij - พี่ชายน้องชายข้างพ่อ ใช้ในความหมาย กลุ่มคนหรือคนที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด (น.370) ม้งมักจะกล่าวถึง xeem หรือ kwvtij ด้วยการอ้างถึงปู่ของพ่อ (the great-grandfather) ที่เป็นคนตั้งสายตระกูลหน่วยที่เล็กที่สุดของตน เขาอาจจะอ้างถึงปู่ของพ่อหรือชวด (yawg koob) หรือบรรพบุรุษคนอื่นที่ไกลออกไปอีก อาจจะคิดถึงบรรพบุรุษที่อยู่เหนือเชียด-yawg suab (his paternal great-great grandfather) (น.371) cuab - ครัวเรือน ครอบครัว ชาวบ้านมักกล่าวถึงกลุ่มในแง่ cuab และคิดถึงคำนี้ในฐานะกลุ่มญาติกลุ่มที่เล็กที่สุด คำ cuab จึงหมายถึง หน่วยของสายตระกูลระดับเล็กที่สุด (the minimal lineage) ประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นญาติข้างพ่อไม่เกิน 3 รุ่นอายุ แต่โดยทั่วไปจะมี 2 รุ่นอายุ (น.371) ผู้เขียนเห็นว่า ม้งมีการแบ่งกลุ่มสายตระกูลออกเป็น 4 ระดับ (น.381) ซึ่งเป็นการแบ่งกลุ่มเพื่อกำหนดกลุ่มคนที่เข้ามาร่วมพิธีไหว้บรรพบุรุษ (น.387) ได้แก่ 1.หน่วยตระกูลที่ใกล้ชิดกันที่สุด (the minimal lineage segment) เป็นหน่วยเศรษฐกิจ ได้แก่ ครัวเรือน (cuab) ซึ่งเป็นหน่วยพื้นฐานที่เล็กสุดของสายตระกูล สมาชิกเป็นญาติทางสายเลือด ใช้เตาไฟร่วมกัน กินอาหารและเตรียมอาหารร่วมกัน สมาชิกในกลุ่มหรือครัวเรือนมีหน้าที่จัดทำพิธีไหว้ผีพ่อแม่ (dab niam tsiv) และพิธีศพพ่อแม่ แม้ว่าในพิธีจะมีกลุ่มญาติจากครัวเรือนอื่นมาร่วมด้วย แต่ทว่าก็มีการจัดเตรียมและทำพิธีก็เป็นหน้าที่ของครัวเรือน มีหัวหน้าครัวเรือนเป็นผู้ทำพิธี ทั้งนี้เพราะผีพ่อแม่จะเกี่ยวข้องเป็นพิเศษกับคนในครัวเรือน ผีพ่อแม่จะปกป้องคุ้มครองสมาชิกในครัวเรือนให้ปลอดภัยจากอันตราย ถ้าครัวเรือนละเลยการไหว้ผีพ่อแม่ ก็จะเกิดเหตุร้ายในเรือน สมาชิกในกลุ่มมีไม่เกิน 3 รุ่นอายุ (น.387-389) 2.หน่วยตระกูลที่ร่วมปู่เดียวกัน (the minor lineage segment) จัดเป็นหน่วยทางศาสนา (the religious unit) ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ทำพิธีกรรมไหว้บรรพบุรุษร่วมกัน เป็นกลุ่มคนที่มีปู่คนเดียวกัน ได้แก่ พ่อ พี่น้องผู้ชายของพ่อ และลูกหลานผู้ชายของเขาเหล่านั้น กลุ่มคนเหล่านี้จะมาทำพิธีไหว้ผีปู่ย่าร่วมกัน สมาชิกที่เข้าร่วมพิธีมีเพียง 4 รุ่นอายุ (น.387,393-394) 3.หน่วยตระกูลที่ร่วมทวดเดียวกัน (the major lineage segment) สามารถจัดเป็นหน่วยทางการเมือง (the political unit) ได้ (น.387) เป็นกลุ่มสายตระกูลที่ทำพิธีไหว้ผีทวด (yawskoob) ร่วมกัน เรียกกลุ่มสายตระกูลกลุ่มนี้ว่า "ncaim npog" ประกอบด้วยกลุ่มคนที่เป็นญาติกันอาศัยอยู่ใกล้กันรวมกันเป็นกระจุกกลุ่ม(cluster) หรือกลุ่มญาติจากหมู่บ้านใกล้เคียงโดยอ้างความใกล้ชิดผ่านการมีทวดร่วมกัน(น.395-396) the major lineage segment เป็นกลุ่มการร่วมมือกันระดับท้องที่ (the localized corporate group) ที่ก่อตัวกันเป็นกระจุกกลุ่มที่อยู่อาศัย (a redsidential cluster) (น.377) 4.หน่วยตระกูลที่ครอบคลุมที่สุด (the maximal lineage segment) ซึ่งก็คือ xeem เป็นกลุ่มสายตระกูลที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งสมาชิกในกลุ่มมักจะอ้างถึงในฐานะญาติที่ห่างไกล-kwvtij thaj kub กลุ่มระดับนี้ไม่สามารถนิยามได้ในเชิงเขตแดนหรือพื้นที่ทางการเมือง ความเป็นหนึ่งเดียวกัน (solidarity) ของ xeem เห็นได้จากการเข้าร่วมพิธีไหว้บรรพบุรุษ (น.387,401-402) the maximal lineage segment เป็นหน่วยพื้นฐานของการแต่งงานนอกกลุ่ม (the basic units of exogamy) และตั้งชื่อตระกูลตามบรรพบุรุษผู้ตั้งตระกูล ในภาคเหนือของไทยและประเทศลาวมี the maximal lineage segment 12 กลุ่ม ได้แก่ Lis, Hawj, Xyooj, Maus, Yaj, Lauj, Tsab, Vwj, Ham, Thoj, Faj และ Vaj (น.380) การแต่งงาน ลักษณะของการแต่งงานเป็นการแต่งกับคนนอก (exogamy) การตั้งถิ่นฐานหลังแต่งงานภรรยาจะย้ายเข้ามาอยู่ ในครัวเรือนของพ่อสามี (น.274) การเลือกเจ้าสาวมักจะเลือกผู้หญิงที่ทำงานหนักและมีความสามารถเรื่องการเพาะปลูก เพราะผู้หญิงที่มีคุณสมบัติเช่นนี้เป็นสินทรัพย์ทางเศรษฐกิจให้สามีและครอบครัวของสามีในอนาคต ในครอบครัวที่มีอิทธิพลจะพยายามหาลูกสะใภ้จากสายตระกูลใหญ่และร่ำรวยเพื่อเพิ่มสถานภาพของตนในหมู่บ้าน (น.451) ม้งนิยมแต่งงานกับญาติลูกพี่ลูกน้องที่เป็นลูกสาวของพี่น้องผู้หญิงของพ่อหรือลูกสาวของพี่น้องผู้ชายของแม่ (cross-counsin) (น.460) ม้งห้ามสมาชิกในตระกูลเดียวกันแต่งงานกัน ห้ามแต่งงานกับผู้หญิงจากครอบครัวเดิมของแม่ ห้ามแต่งงานกับผู้หญิงที่พ่อของตนนำมาเลี้ยงเป็นบุตรในตระกูลเพราะถือว่าเป็นคนในตระกูลเดียวกัน ห้ามมีความสัมพันธ์ทางเพศหรือแต่งงานกับน้องสาวของภรรยาหรือพี่น้องผู้หญิงที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของภรรยา ถ้าภรรยายังมีชีวิตอยู่ (น.455-457) อายุที่เหมาะสมในการแต่งงานของผู้ชายอยู่ระหว่าง 20-25 ปี ส่วนผู้หญิงจะแต่งงานเมื่ออายุ 13 ปี แต่ก็มีผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่รอจนอายุ 19 หรือ 20 ปี ก่อนจึงแต่งงาน (น.453) รูปแบบการแต่งงานของม้งหลายแบบ ได้แก่ 1. การเกี้ยวผู้หญิงที่พ่อแม่ยอมรับว่าเหมาะสม เมื่อพ่อแม่เห็นด้วย ก็จะส่งตัวแทน (tus tsoob หรือ mej koob - meng koog) ไปเจรจาสู่ขอกับฝ่ายหญิง ตกลงค่าสินสอดเจ้าสาว (น.452,466-467) 2. การลักพาเจ้าสาว ซึ่งผู้หญิงอาจจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ได้ หลังจากลักพาแล้ว ภายใน 3 วันฝ่ายชายจะส่งตัวแทนไปแจ้งพ่อหรือญาติฝ่ายหญิง พร้อมกับนำสิ่งของที่ติดตัวฝ่ายหญิงไปมอบให้ด้วย ถ้าผู้หญิงกลับคืนเรือน พ่อฝ่ายหญิงจะเรียกค่าปรับจากฝ่ายชายเป็นเงิน 30 รูปี เหล้า 1 ขวด ไก่ 2 ตัว แต่ถ้ามีการแต่งงานเกิดขึ้นหลังจากการเจรจา ครอบครัวฝ่ายหญิงจะเรียกเงินเพิ่มเป็น 40 รูปีพร้อมทั้งค่าสินสอดเจ้าสาว (น.452,453) 3. พ่อแม่จัดการแต่งงานให้ พ่อแม่จะหมั้นหมายทั้งสองฝ่ายตั้งแต่ยังเป็นเด็กหรือยังไม่เกิด โดยให้ผ้า (a heavily embroidered cloth) และเงิน 4 รูปีแก่ฝ่ายหญิงเป็นเครื่องหมายแสดงการหมั้น (น.454,465) ค่าสินสอด โดยทั่วไป การจ่ายสินสอดเป็นเงินแท่ง 8 แท่ง (เงิน 1 แท่งมีค่า 32 รูปีครึ่ง) ถ้าผู้หญิงเคยแต่งงานแล้วแต่ไม่มีลูก ค่าสินสอดจะเหลือ 100 รูปี แต่ถ้ามีลูกมากกว่า 3 คนค่าสินสอดจะลดลงครึ่งหนึ่ง เหลือเป็นเงิน 4 แท่ง นอกจากค่าสินสอดเจ้าสาวแล้ว ฝ่ายชายต้องให้หมูตัวใหญ่ 1 ตัว ไก่ 2 ตัว เหล้า 10 ขวด สำหรับใช้ในงานเลี้ยงแต่งงาน (น.467) นอกจากนั้น ฝ่ายเจ้าบ่าวยังต้องจ่ายเงิน 4 รูปีให้พี่ชายและพี่สาวของเจ้าสาว เงิน 3 รูปีสำหรับน้องสาวของพ่อเจ้าสาวและน้องชายของพ่อเจ้าสาว และยังต้องจ่ายพิเศษให้กับกลุ่มของเจ้าสาวอีกครั้งหนึ่งในงานเลี้ยงฉลองแต่งงานครบ 3 ปี รวมทั้งต้องให้หมูตัวใหญ่ 1 ตัว เหล้า 4 ขวดและไก่ 2 ตัว (น.470)

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

ความเชื่อเรื่องการตาย ม้งเชื่อว่าเมื่อตายไปแล้ว วิญญาณคนตายจะเดินทางไปยังสถานที่ที่เรียกว่า yeeb yaj kaib ณ ที่แห่งนั้น Siv Yis จะตัดสินวิญญาณ ถ้าระหว่างที่มีชีวิต ทำไม่ดี ละเลยธรรมเนียมประเพณีของตระกูล วิญญาณก็เป็นผี-xym (ghost)ไม่ครอบครัวทำพิธีเซ่นไหว้ และจะคอยหลอกหลอนคนในตระกูลเดิมของตน ทำให้โชคร้ายหรือไม่มีความสุข หรือวิญญาณอาจจะถูกตัดสินลงโทษให้กลับมาเกิดใหม่ แต่อยู่ในสภาพที่ต่ำกว่าชาติก่อน เช่น เกิดเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้าน หรือเป็นคนไม่สมประกอบทางร่างกายหรือจิตใจ แต่ถ้าได้รับการตัดสินที่ดี วิญญาณจะกลับไปยัง "หมู่บ้านของปู่" (the "grandfather' s village") ซึ่งสมาชิกของตระกูลทุกคนจะต้องไปอยู่รวมกัน (น.390-391) การไหว้ผีบรรพบุรุษ ม้งมีพิธีไหว้ผีบรรพบุรุษหลายพิธี แต่ละพิธีเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนในสายตระกูลที่มีบรรพบุรุษร่วมคนเดียวกันในระดับรุ่นอายุต่างกัน - การไหว้ผีพ่อแม่ - dab niam tsiv ทำปีละ 2 ครั้ง ระหว่างการเพาะปลูกประจำปีครั้งหนึ่ง และงานเลี้ยงฉลองเมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วอีกครั้งหนึ่ง เฉพาะลูกชายที่ยังอยู่ในครัวเรือนของพ่อแม่เท่านั้นที่มีหน้าที่รับผิดชอบจัดฆ่าหมู 1 ตัวสำหรับพิธี ส่วนลูกชายคนอื่นที่แยกเรือนออกไปแล้วแต่ยังอาศัยในหมู่บ้านสามารถเข้าร่วมพิธีได้ พิธีไหว้ผีพ่อแม่นี้มีเฉพาะลูกหลานผู้ชาย 3 รุ่นอายุเท่านั้นที่เข้าร่วมพิธีได้ (น.388-389) - การไหว้ผีปู่ย่า จะทำพิธีทุกปีก่อนวันปีใหม่ 3 วัน คนที่มีอาวุโสสุดทั้งอายุและรุ่น (the oldest generation) เป็นหัวหน้าผู้ทำพิธี และก็เฉพาะลูกหลานผู้ชาย 4 รุ่นเท่านั้นที่เข้าร่วมพิธีได้ โดยจะนำข้าว เงินผี (spirit money) และเหล้าไปไหว้ที่หลุมศพปู่ย่า แต่ถ้าหลุมศพอยู่ไกลหมู่บ้าน ก็จะทำพิธีไหว้ที่หิ้งผีบรรพบุรุษในบ้านของหัวหน้าผู้ทำพิธี (น.394) - พิธี sen kas เป็นการไหว้ผีทวด จะทำพิธีก่อนวันปีใหม่ ที่ปลายหมู่บ้าน มีต้นไม้อ่อนปักอยู่หนึ่งต้น (a young sapling) ที่ต้นไม้มีเชือกทำจากเถาวัลย์ติดอยู่ที่ยอด 2 แห่งและมีแถบผ้าสีแดงผูกกับเชือก แต่ละครัวเรือนในหมู่บ้านจะช่วยกันทำความสะอาดบ้าน หัวหน้าครอบครัวทำความสะอาดหลัง ผู้หญิงและเด็กปัดกวาดพื้น ฝาผนังและพื้นดินนอกบ้าน ฝุ่นทั้งหมดจากการทำความสะอาดจะนำมารวมกันในภาชนะ ซึ่งจะนำไปยังสถานที่ที่ทำพิธี หัวหน้าสายตระกูล (the major lineage) จะถือไก่มีชีวิตตัวหนึ่งไว้ในมือและยืนอยู่ใกล้กับตะกร้าที่ใส่ฝุ่น แล้วเริ่มพิธี สมาชิกทุกคนจะจับมือกัน ขณะที่หัวหน้าสวดอ้อนวอนผีบรรพบุรุษ (neeb) ให้นำสิ่งไม่ดีทั้งหลายออกไปและนำแต่สิ่งดีๆ มาให้ แล้วสมาชิกสายตระกูลก็จะวนรอบต้นไม้ 3 รอบ ขณะเดียวกับที่ไก่ถูกฆ่า เลือดไก่จะถูกนำไปป้ายที่เชือก แล้วหัวหน้าสายตระกูลก็จะพูดดังว่า "ตอนนี้สิ่งเลวร้ายในสายตระกูล (kwvtij) หายไปหมดแล้ว และสิ่งดีๆ สำหรับปีใหม่ก็มาอยู่ที่นี่แล้ว" (น.395-396) - พิธีแต่งงาน การแต่งงานจะจัดที่บ้านเจ้าสาว การจัดที่นั่งในงานเลี้ยงการแต่งงานจะกำหนดเป็นแบบแผน โต๊ะตัวแรกอยู่ใกล้ประตูหน้าบ้านสำหรับตัวแทนเจรจาของทั้งสองฝ่ายนั่ง โต๊ะตัวต่อมาอยู่ใกล้เสาหลักของบ้านสำหรับพ่อ ลุงอาผู้ชายของเจ้าสาวและเจ้าบ่าว โต๊ะตัวที่สามอยู่ใกล้บริเวณเตาทำอาหารเป็นที่สำหรับผู้หญิง โต๊ะตัวที่สี่เป็นที่นั่งสำหรับแขกรับเชิญ เจ้าบ่าวจะนั่งที่โต๊ะแขกรับเชิญ เจ้าสาวจะนั่งที่โต๊ะสำหรับผู้หญิง ที่กลางโต๊ะจะมีเหล้าและถ้วยวางไว้ เจ้าบ่าวจะคำนับ-coos gaws (bow and knee) กลุ่มญาติเจ้าสาว 3 ครั้ง และครั้งสุดท้ายเจ้าบ่าวเจ้าสาวคำนับกันเอง เจ้าบ่าวจะแสดงความซาบซึ้งที่ได้แต่งงาน สัญญาว่าจะเชื่อฟังและเคารพกลุ่มญาติเจ้าสาว ส่วนเจ้าบ่าวก็จะได้รับความปรารถนาดีและคำอวยพรจากญาติเจ้าสาว แขกรับเชิญจะได้รับเนื้อหมูกลับบ้าน โดยจะแบ่งเนื้อตามสถานภาพของผู้เข้าร่วมพิธี เมื่อออกจากหมู่บ้าน คู่แต่งงานจะมีร่มเป็นสัญลักษณ์และถือตะกร้าบรรจุสิ่งของส่วนตัวของเจ้าสาว (น.484,486)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

การรักษาอาการเจ็บป่วย เมื่อมีอาการเจ็บป่วยจะเชิญ rub plig (a diviner) มาทำพิธีขับไล่ผีที่ทำให้เจ็บป่วย ถ้ายังไม่หายก็จะเชิญ dab tshuaj ซึ่งเป็นหมอยาสมุนไพรมารักษา และถ้าอาการดังกล่าวยังไม่หายก็จะใช้ยาไทย ("Thai" medicines) เช่น ยาแอสไพริน (aspirin) หรือยาหม่องตราเสือ (Tiger Palm) แล้วจากนั้นก็จะเชิญ see neng (the witch doctor) มาเรียกวิญญาณบรรพบุรุษของผู้ป่วยมาช่วย ถ้าวิธีทั้งหมดที่กล่าวมานี้ยังรักษาไม่ได้ผล ก็จะใช้ฝิ่นรักษาในกรณีผู้ป่วยที่ยังไม่เคยใช้ฝิ่น (น.29)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

- การแต่งกาย เสื้อผ้าที่สวมเวลาธรรมดากับช่วงเทศกาลจะไม่เหมือนกัน และเสื้อผ้าของม้งขาวในท้องถิ่นแต่ละแห่งก็แตกต่างกันด้วย ผู้ชายจะสวมเสื้อผ่าหน้า (jacket) ยาวแค่หน้าอกส่วนบน นุ่งกางเกงรูปทรงแบบจีน (Chinese-type trousers) ส่วนผู้หญิงม้งขาวมีผ้าโผกศีรษะสีน้ำเงิน ขาว หรือเทาพันรอบหัว นุ่งกระโปรงสีขาว ที่คอสวมกำไลเงินเพื่อแสดงสถานภาพและความร่ำรวย (น.31-32) - หัตถกรรม เด็กๆ เรียนรู้งานฝีมือ เช่น การตีเหล็ก การทำเครื่องประดับ การจักสาน จากการเลียนแบบผู้ใหญ่ ม้งทำงานแกะสลักไม้เล็กน้อย เช่น ชามไม้ ช้อน ด้ามขวาน ส่วนงานจักสาน เช่น เสื่อ ตะกร้า แม้จะทำได้ แต่ก็ไม่มีการออกแบบให้สวยงาม (น.33-34) - ดนตรี ขลุ่ยหรือแคน (flutes) ของม้งมีหลายขนาด ทำจากไม้ไผ่หลายลำ ตั้งแต่ 3 ลำขึ้นไป (three geej-ntiv peb) ถึง 12 ลำ(twelve ntiv kaum ob) ผู้ชายและเด็กชายจะเป่าขลุ่ยในโอกาสที่มีงานฉลอง พิธีกรรมและเพื่อความสนุกสนานของตนเอง (น.34)

Folklore

เรื่องเล่าหญิงสาวกับกระต่าย นานมาแล้วหลายชั่วอายุคน เมื่อยังไม่มีดวงจันทร์ มีผู้หญิงม้งคนหนึ่งชื่อ Pi เข้าไปเดินเล่นในป่า ใกล้หมู่บ้าน และพบกับกระต่ายตัวหนึ่ง หลังจากพูดคุยกันแล้ว ทั้งสองก็ตกหลุมรักกัน หญิงสาวก็ได้เป็นภรรยาของกระต่าย และพากันไปอาศัยอยู่ที่บ้านของหญิงสาวเนื่องจากเธออยู่ลำพังคนเดียว เมื่อทั้งสองมีลูก หญิงสาวก็ให้กระต่ายสัญญาว่าจะ พูดแต่ความจริง แล้ววันหนึ่งเมื่อลูกน้อยร้องไห้ กระต่ายก็บอกกับลูกว่า อย่าร้อง แม่เจ้ากำลังมา แต่ทว่าแม่ก็ยังไม่มา เมื่อหญิงสาวกลับถึงบ้าน เธอก็บอกกับกระต่ายว่า เจ้าพูดโกหกกับลูก ดังนั้น เราจึงไม่อาจจะอยู่ด้วยกันได้อีกต่อไป แต่เนื่องจากหญิง สาวรักสามีมาก จึงบอกว่า เธอกับลูกชายต้องตาย แล้วจะไปเกิดเป็นพระจันทร์ ตัวเธอจะเป็นพระจันทร์ ส่วนลูกชายเป็นเงากระต่ายบนดวงจันทร์ ดังนั้นคนจึงเห็นกระต่ายมองดูดวงจันทร์และเต้นรำตอนกลางคืน (น.60-61) เรื่องเล่าเกี่ยวกับต้นกำเนิดตระกูล เมื่อ Siv Yis สร้างผู้ชายและผู้หญิงคู่แรกขึ้นมาแล้ว ก็บอกให้ผู้ชายไปตัดฟักทองออกเป็นชิ้นๆ จำนวน 24 ชิ้น แล้วนำชิ้นฟักทองไปไว้ที่ต้นไม้รอบหมู่บ้าน ต้นละ 2 ชิ้น ทำให้เกิดตระกูลม้ง12 ตระกูลจากต้นไม้ 12 ต้นนี้ (น.374)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ม้งขาวแบ่งคนบนโลกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มคนที่อาศัยในพื้นราบ (mab daum) มีคำเรียกเฉพาะว่า "mab suav" หมายถึง คนจีน และกลุ่มคนที่อยู่บนภูเขา ซึ่งม้งจำแนกตนเองอยู่ในกลุ่มนี้ ความแตกต่างระหว่างคนสองกลุ่มนี้ในความคิดม้งคือ คนพื้นราบฉลาด ไม่มีคุณธรรม (unscrupulous) มีอำนาจเข้มแข็งและไม่น่าไว้วางใจ ส่วนคนบนภูเขา ธรรมดาเรียบง่าย (simple) และทำงานหนัก และเมื่อม้งอพยพลงมายังดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ม้งก็ยังคงความคิดนี้ไว้ แม้ว่าภูมิประเทศและผู้คนจะเปลี่ยนไปก็ตาม ในประเทศลาวคำ "los tsuas" ได้เข้ามาแทนที่คำที่ใช้เรียกคนจีน ส่วนในภาคเหนือของไทยก็ใช้คำ "cov phwv nyeeb" ซึ่งหมายถึง คนพื้นราบ แทน (น.1-2) ม้งมีคำที่ใช้ระบุตนเองหลายคำ (น.375) ได้แก่ Hmoob หรือ sawvdaws haiv neeg หมายถึง ม้งทุกคน เป็นกลุ่มญาติที่ไกลที่สุด (the most distant sector of kin) Haiv neeg หรือ qhua tauj yaiis ob caq peb txhais หมายถึง ม้งทุกคนที่สืบสายมาจากผู้ตั้งตระกูลคนเดียวกัน Neejtsa หมายถึง คนในตระกูลที่เกี่ยวข้องกันโดยการแต่งงาน Kwvtij thaj kub หมายถึง ญาติที่ห่างไกลทุกคนที่อยู่ในตระกูลเดียวกัน Kwvtij หมายถึง พี่น้องผู้ชาย ในความหมายของกลุ่มญาติที่มีปู่คนเดียวกัน กลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ม้งแบ่งตนเองออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ ม้งน้ำเงิน (Hmoob Ntsuab or Blue Meo) และม้งขาว (Hmoob Dawb or White Meo) ทั้งสองกลุ่มแตกต่างกันทั้งประเพณี เครื่องแต่งกายและภาษาถิ่น (dialect) สังเกตได้จากสำนวนภาษา ผู้หญิงม้งขาวจะนุ่งกระโปรงสีขาว มีผ้าโพกศีรษะ ส่วนผู้หญิงม้งน้ำเงินจะนุ่งกระโปรงสีน้ำเงิน ทำผมมวยมีหวีเสียบ นอกจากนั้นบ้านของม้งทั้งสองกลุ่มยังต่างกันด้วย บ้านม้งขาวมีประตู 2 บาน ส่วนม้งน้ำเงินมีประตูบานเดียว ส่วนในประเทศไทยมีม้งกลุ่มย่อยอยู่ 4 กลุ่ม ได้แก่ ม้งน้ำเงิน (the Blue Meo) ม้งขาว (the White Meo) the Gua M'ba Meo และม้งดำ (the Black Meo) (น.3)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ความคิดเรื่องเวลา (Time Reckoning) ผู้เขียนเห็นว่า ม้งมีความคิดเรื่องเวลา 3 แบบ ได้แก่ เวลาประจำวัน (daily times) เวลาเชิงนิเวศ (ecological time) และเวลาเชิงความสัมพันธ์ (relation time) - เวลาประจำวัน (daily times) ม้งแบ่งเวลาในแต่ละวันออกเป็นช่วงๆ โดยใช้การอ้างอิง ดังนี้ 1. ใช้ดวงอาทิตย์เป็นจุดอ้างอิงในการเรียกวันว่า "hnub" ซึ่งหมายถึงดวงอาทิตย์ เช่น ib hnub - วันหนึ่ง (one day) nruab hnub - เวลากลางวัน (daytime) hnub hnub - เมื่อวานซืน (day before yesterday) และใช้ตำแหน่งของดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าเป็นจุดอ้างอิงการบอกเวลา เช่น hnub quij - ตอนบ่าย (early afternoon) hnub tiaj - บ่ายแก่ๆ (late afternoon) (น.42-43) 2. ใช้กิจกรรมเฉพาะที่เกิดขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งที่แน่นอนบนท้องฟ้าเป็นจุดบอกเวลา เช่น tav tshais - เวลากินอาหารเช้า tav niaj su - เวลากินอาหารกลางวัน tsaus ntuij ntais - เวลามืด ดวงอาทิตย์หายไปจากท้องฟ้า ib tag hmo - เวลาเที่ยงคืน และ ib tag hmo dua - ช่วงเวลาเที่ยงคืนถึงเวลาที่ไก่ขันครั้งแรก (น.43-44) นอกจากจุดอ้างอิงทั้งสองแบบแล้ว ยังมีคำเกี่ยวกับเวลาที่ไม่แสดงจุดอ้างอิงด้วย แต่เป็นคำที่แสดงช่วงระยะเวลา คือ คำว่า "tsam" ซึ่งช่วงเวลาที่หมายถึงอาจจะมากหรือน้อยกว่า 2-3 ชั่วโมง เช่น ib tsam -ชั่วครู่ (a little while) tsam no - เดี๋ยวนี้(now) nyob tsam - ในชั่วขณะหนึ่ง (in a while) (น.43) - เวลาเชิงนิเวศน์ (ecological time) เป็นการมองเวลาในแง่กิจกรรมในรอบหนึ่งปีกับการหมุนเวียนฤดูกาล (the seasonal parts of the cycle) การกำหนดจุดอ้างอิงจะใช้การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติที่มีนัยยะสำคัญต่อกิจกรรมการเพาะปลูก (น.62) ผู้เขียนเห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างฤดูกาล (lub caij ntuj) พืชพรรณและการทำกิจกรรมทำให้ม้งขาวปรับระบบความคิดเรื่องเวลา (time-reckoning system) ตามระยะเวลาของดวงจันทร์ (the phases of moon) ม้งขาวแบ่งฤดูกาลออกเป็น 3 ฤดูเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงสุดโต่ง 3 แบบ คือ เปียกมาก (extreme wetness) เย็นจัด (extreme cold) และร้อนแห้งแล้งจัด (extreme dry heat) ฤดูแล้ง - lub caij ntuj ghua มีระยะเวลานาน 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงมิถุนายน (น.63) แบ่งออกเป็น 2 ระยะตามกิจกรรมการเพาะปลูกคือ blawv teb - โค่นถางเผาในช่วงเดือนสาม และ coq pobkws - ปลูกข้าวโพดในเดือนสี่ ฤดูฝน - lub caij ntuj lo naq เป็นช่วงที่การเปลี่ยนแปลงอากาศมีผลต่อวงจรกิจกรรมการเพาะปลูก การปลูกพืชเร็วหรือช้าเกินไปหลังจากฝนตกอาจจะทำให้เกิดความเสียหายได้ (น.45) ฤดูฝนมีช่วงเวลานาน 6 เดือน ประมาณเดือนมิถุนายนถึงตุลาคม (น.64) แบ่งเวลาทำกิจกรรมการเพาะปลูกออกเป็น 3 ระยะ คือ coq npleg - ปลูกข้าวเดือนห้า las npleg - กำจัดวัชพืชเดือนเจ็ด และ tseb yeeb - หว่านเมล็ดฝิ่นเดือนเก้า ฤดูหนาว - lub caij nutj no มีระยะเวลานาน 3 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ (น.64) เป็นช่วงที่การเพาะปลูกให้ผล (น.45) แบ่งกิจกรรมออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ sau npleg - เกี่ยวข้าวในเดือน 11 และ 12 hlais yeeb -เก็บฝิ่นในเดือนอ้ายและเดือนยี่ - เวลาเชิงความสัมพันธ์ (relational time) เป็นการอ้างอิงกับความสำคัญของกลุ่มท้องถิ่น การอ้างอิงนี้อาจจะอยู่หรือไม่อยู่ภายในวัฏจักรชีวิตของบุคคล แต่ทว่าการอ้างอิงนี้ก็ต้องมีคนในชุมชนอย่างน้อย 2 คนรับรู้ (recognizable) ถ้ามีเหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอะไรเกิดขึ้นในวัฏจักรชีวิตของแต่ละคนก็สามารถสร้างความสัมพันธ์ร่วมกับเหตุการณ์อื่นที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันได้ (น.57) เวลาเชิงความสัมพันธ์นี้มีพื้นฐานอยู่ที่สังคมและกิจกรรมที่ร่วมกันทำ เป็นการกำหนดความลึกของเวลาที่สมาชิกคนอื่นๆของกลุ่มสามารถอ้างอิงได้ (น.62) การครอบครองที่ดิน (usufruct right) ม้งถือว่าที่ดินรอบหมู่บ้าน - liaj ia เป็นของครัวเรือนในชุมชนแห่งนั้น หัวหน้าครัวเรือนเป็นผู้ถือสิทธิในการใช้ที่ดิน ซึ่งเป็นที่ที่ตนได้โค่นถาง สิทธิในการใช้นี้จะคงอยู่ตราบเท่าที่ยังคงใช้เพาะปลูก หรือที่ดินถูกทิ้งไว้ให้พักฟื้นตัวในช่วง 20 ปี แต่ถ้าครัวเรือนย้ายออกจากหมู่บ้านไปอยู่ที่อื่น ก็จะถือว่าที่ดินที่ถูกทิ้งร้างเป็นพื้นที่ที่ไม่ถูกครอบครอง คนอื่นในชุมชนสามารถอ้างสิทธิใช้ที่ดินได้ (น.412-413) ม้งมีหลัก 3 ประการในการถ่ายทอดสิทธิการใช้ที่ดิน (น.424-425X 1. การใช้ที่ดินของผู้ตายต้องโอนผ่านไปยังลูกชายที่เลี้ยงดูพ่อแม่และเซ่นไหว้ผีพ่อด้วยวัว 2.สิทธิการใช้ที่ดินจะอยู่ภายในครัวเรือนและกลุ่มญาติที่มีปู่ร่วมกัน 3.ม้งจะถือสิทธิเหนือที่ดินในจำนวนหน่วยที่ไม่ใหญ่กว่ากำลังการเพาะปลูกของครัวเรือน เมื่อหัวหน้าครัวเรือนตาย สิทธิการใช้ที่ดินจะถ่ายทอดไปยังลูกชายที่ยังอยู่ในครัวเรือน ซึ่งปกติจะเป็นลูกชายคนสุดท้อง (น.414,428) ถ้าหัวหน้าครัวเรือนตายก่อนที่ลูกๆ จะโต พี่น้องที่เป็นผู้ชายของพ่อจะเป็นผู้ดูแลเด็กๆ และใช้สิทธิเพาะปลูกบนที่ดินให้เด็กๆ แต่ถ้าหัวหน้าครัวเรือนตาย หลังจากที่ลูกชายทุกคนแต่งงานและย้ายออกไปจากครัวเรือนแล้ว ลูกชายและพี่น้องผู้ชายของผู้ตายจะได้รับสิทธิในที่ดินเท่าๆ กัน (น.424-425) ผู้หญิงไม่ได้รับการถ่ายทอดสิทธิการใช้ที่ดิน ผู้หญิงสามารถเพาะปลูกบนที่ดินให้กับสามีของเธอ พ่อหรือพี่น้องผู้ชาย ตราบเท่าที่เธอยังอยู่ในหมู่บ้านของผู้ชายเหล่านั้น (น.414)

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst อธิตา สุนทโรทก Date of Report 25 ก.ย. 2567
TAG ม้ง, แม้วขาว, โครงสร้างสังคมและเศรษฐกิจ, ครอบครัวและเครือญาติ, ระบบการเพาะปลูกแบบโค่นถางเผา, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง