|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลเวือะ,เศรษฐกิจ,สังคม,วัฒนธรรม,ความเชื่อ,เชียงใหม่,แม่ฮ่องสอน |
Author |
คณะวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ วิทยาลัยครูเชียงใหม่ |
Title |
ลัวะในล้านนา |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลัวะ (ละเวือะ) ลเวือะ อเวือะ เลอเวือะ ลวะ ละว้า, ลัวะ (มัล ปรัย) ลัวะมัล ไปร ลัวะปรัย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
169 |
Year |
2531 |
Source |
คณะวิชามนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ วิทยาลัยครูเชียงใหม่ สหวิทยาลัยล้านนา |
Abstract |
รายงานของผู้เขียนมีใจความสำคัญที่มุ่งศึกษาค้นคว้าในเรื่องวิถีการดำเนินชีวิตของลัวะในล้านนา ระหว่างนักวิชาการที่มีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องของลัวะในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นประวัติความเป็นมาของลัวะ ชีวิตความเป็นอยู่ ความเชื่อและประเพณี เศรษฐกิจ ถิ่นที่อยู่อาศัยในพื้นที่ต่าง ๆ รวมไปถึงลักษณะบ้านเรือน โครงสร้างทางสังคมที่สืบเชื้อสายทางฝ่ายมารดา นับถือผีบรรพบุรุษทางฝ่ายมารดา และการปกครองก็ยังเน้นให้เห็นถึงการนับถือผู้นำทางเครือญาติของตน ทั้งนี้เพื่อนำความรู้ในเรื่องที่ศึกษามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันของนักวิชาการ และจะได้รวบรวมเผยแพร่ข้อมูลจากเอกสารจากเรื่องลัวะในล้านนานี้ ให้กับผู้ที่สนใจที่จะศึกษาต่อไป (หน้า 1-10) |
|
Focus |
เป็นการศึกษาค้นคว้าแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของลัวะในล้านนา เพื่อเป็นการรวบรวมข้อมูลที่เป็นจริงของลัวะ มาเผยแพร่ให้ผู้สนใจได้ศึกษาหาความรู้ ซึ่งจะช่วยให้เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่เกี่ยวกับลัวะในล้านนา ให้เข้าใจได้ดียิ่งขึ้น (หน้าหลักการและเหตุผล) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ลัวะมีภาษาพูดเป็นของตนเอง แต่ไม่มีภาษาเขียน ภาษาของลัวะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. ภาษาถิ่นคลำปรัย 2. ภาษาถิ่นมาล ลัวะ ส่วนใหญ่จะพูดภาษาเหนือได้และใช้ภาษาไทยกับภาษาเหนือในการสื่อสารกับคนพื้นราบ (หน้า 3) |
|
Study Period (Data Collection) |
1-3 มีนาคม พ.ศ. 2531 ศึกษาภาคสนาม, 7-8 มีนาคม พ.ศ. 2531 ประชุมทางวิชาการ |
|
History of the Group and Community |
ประวัติความเป็นมาของลัวะ ยังเป็นที่สงสัยกันอยู่ เพราะไม่ได้ระบุชัดเจนว่ามีความเป็นมาอย่างไร แต่มีข้อสงสัยกันอยู่ 2 ข้อ คือ เป็นกลุ่มชนดั้งเดิมที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยอยู่ก่อนแล้ว อีกข้อหนึ่งเป็นกลุ่มชนที่อพยพมาจากประเทศลาว แต่ก็ยัง หาข้อสรุปไม่ได้ ลัวะได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทยได้ประมาณ 40-80 ปีมาแล้วถ้านับจนถึงปัจจุบันก็ประมาณ 60-100 ปี (Frank M. Lebar) กลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานเมื่อปี ค.ศ. 1928 และสัณนิษฐานว่าชนกลุ่มแรกน่าจะอยู่อาศัยที่ประเทศไทยก่อนที่คนไทยจะอพยพจากประเทศจีนมาอยู่ที่แหลมอินโดจีนนี้เสียอีก (บุญช่วย ศรีสวัสดิ์) สาเหตุที่ลัวะอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยก็เพราะพวกเขากระด้างกระเดื่องต่อประเทศลาว จึงถูกทางประเทศลาวปราบปราม ทำให้ลัวะบางกลุ่มหนีมาอยู่ในประเทศไทย (หน้า 2) |
|
Settlement Pattern |
ลัวะมักจะนิยมตั้งบ้านเรือนอยู่บนไหล่เขาหรือบนที่ราบบนภูเขามีความสูงไม่ต่ำกว่า 300 เมตรแต่ไม่เกิน 1,300 เมตรจากระดับน้ำทะเล การตั้งถิ่นฐานจะอยู่ใกล้แหล่งน้ำที่ใช้อุปโภคบริโภค แต่ละหมู่บ้านจะอยู่รวมกันกลุ่มหนึ่งเฉลี่ย 51 หลังคาเรือน ซึ่งแต่ละหมู่บ้านจะเป็นกลุ่มที่อยู่ในเครือญาติเดียวกัน มาอาศัยอยู่ด้วยกัน พวกเขาจะไม่ค่อยนิยมย้ายหมู่บ้านบ่อยนัก หากได้อยู่ที่ใดก็จะอยู่แบบถาวร ตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นหลักแหล่งที่แน่นอน แต่จะย้ายหมู่บ้านก็ต่อเมื่อมีโรคระบาดติดต่อกันหลาย ๆ ปีเท่านั้น จึงจะมีการเคลื่อนย้ายหมู่บ้าน (หน้า 3-4) (ลักษณะบ้านเรือนดูหัวข้อ Art and Crafts) |
|
Demography |
ในการศึกษากล่าวถึงจำนวนประชากรของจังหวัดน่าน ที่มีลัวะอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น คือ อำเภอทุ่งช้าง เชียงกลาง ปัว โดยเฉพาะอำเภอปัว มี "ถิ่น" อาศัยอยู่ถึง 20,079 คน คิดเป็นร้อยละ 70.41 ของ "ถิ่น" ในจังหวัดน่าน รวมประชากรถิ่นในจังหวัดน่านทั้งหมดมีจำนวน 28,524 คน (พ. ศ. 2531) (หน้า 9) และมีการสำรวจเพิ่มอีกในปีต่อมาว่า พบถิ่นอาศัยอยู่กระจัดกระจายตามอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดน่าน 7 อำเภอ 146 หมู่บ้าน มีประชากรถึง 28,516 คนโดยเฉพาะอำเภอปัวมีถึง 109 หมู่บ้าน (หน้า 60) |
|
Economy |
(อยู่ในระหว่างดำเนินการนำข้อมูลเข้าฐานข้อมูล) |
|
Social Organization |
ลักษณะครอบครัวของลัวะหรือถิ่นเป็นครอบครัวเดี่ยว มีพ่อ แม่ ลูก นิยมมีผัวเดียวเมียเดียว และบางบ้านอาจจะมีพ่อ แม่ของฝ่ายหญิงที่มีอายุมากแล้วแต่ทำงานไม่ได้มาอาศัยอยู่ด้วย ครอบครัวของลัวะเป็นครอบครัวเล็กๆ มีสมาชิกในครอบครัวไม่มากนัก การสืบทอดตระกูลจะสืบทอดทางฝ่ายหญิง ผู้ชายหากแต่งงานแล้วจะต้องเปลี่ยนมาถือตระกูลทางฝ่ายหญิง นั่นคือนับถือผีบรรพบุรุษทางฝ่ายหญิง เพราะผู้หญิงจะต้องเป็นฝ่ายที่ถือผีตระกูลของตนเองตลอดไป ถ้าหากผู้หญิงคนไหนแต่งงานแล้วแต่ไปนับถือผีตระกูลของฝ่ายชาย ผู้หญิงคนนั้นจะถูกตัดขาดจากตระกูลของตน จะกลับขึ้นไปบนบ้านของพ่อ แม่ตนเองไม่ได้โดยเด็ดขาด หากพ่อ แม่ของตนป่วยหนักก็ไม่สามารถไปเยี่ยมเยียนพ่อ แม่ของตนได้ ดังนั้น การสืบทอดตระกูลของลัวะ เมื่อผู้ชายแต่งงานก็ต้องเปลี่ยนไปนับถือผีบรรพบุรุษทางฝ่ายหญิง การถือวันกรรมก็เปลี่ยนไปตามผู้หญิงด้วย ถึงแม้ว่าจะแยกออกมาจากบ้านพ่อ แม่ฝ่ายหญิงแล้วก็ตาม หากฝ่ายชายไม่ยอมถือผีบรรพบุรุษทางฝ่ายหญิงและไม่ยอมเปลี่ยนการถือวันกรรม ก็จะต้องหย่าขาดจากกัน ถ้าผู้หญิงไม่ยอมหย่าขาดจากฝ่ายชาย ญาติของฝ่ายหญิงจะตัดผู้หญิงคนนั้นออกจากตระกูลและห้ามไม่ให้ขึ้นไปที่บ้านพ่อ แม่ของตนอีกต่อไป (หน้า 10) |
|
Political Organization |
หมู่บ้านของลัวะมีเป็นกลุ่มย่อยๆ อาศัยอยู่ด้วยกันหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มส่วนใหญ่จะเป็นเครือญาติเดียวกัน และจะมีผู้นำของกลุ่มคือผู้อาวุโสในตระกูล เป็นผู้นำของพวกเขาแต่ละตระกูลจะเชื่อฟังและเคารพผู้อาวุโสของพวกเขา อีกทั้งผู้นำของพวกเขายังเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและเป็นหมอผีอีกด้วย แล้วรวมไปถึงเป็นบุคคลที่ตัดสินการกระทำผิดของคนใดคนหนึ่งว่าเป็นการกระทำที่ผิดจารีตประเพณีหรือไม่ แต่บางครั้งการปกครองก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะมักจะเกิดความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านกับผู้นำเสมอ เพราะบางหมู่บ้านเป็นหมู่บ้านใหญ่มีกลุ่มย่อยหลายกลุ่ม (หน้า 12) |
|
Belief System |
ลัวะมีความเชื่อในเรื่องผี สิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ เชื่อในเรื่องไสยศาสตร์และสิ่งที่มองไม่เห็นตัว พวกเขาเชื่อว่าผีสามารถให้คุณและโทษแก่เขา หากทำผิดจารีตประเพณีที่บรรพบุรุษกำหนด ผู้กระทำผิดอาจเกิดการเจ็บป่วยจนถึงตายได้ ผีที่สำคัญของลัวะมี 4 ประเภทคือ
1. ผีหมู่บ้านจะมีการเซ่นไหว้บูชาทุกปี ผีหมู่บ้านเป็นผีที่ปกปักรักษาดูแลคนในหมู่บ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข
2. ผีเรือนมีหน้าที่คุ้มครองคนในบ้านให้รอดพ้นจากภัยอันตรายต่างๆ
3. ผีไร่จะปกปักรักษาไร่นา
4. ผีเจ้าที่เป็นผีที่สำคัญมาก พวกเขาเชื่อว่าพื้นที่ทุกที่มีเจ้าที่คอยปกปักรักษา แล้วพวกเขายังมีความเชื่อเกี่ยวกับผีอื่น ๆ เช่น ผีครู ผีบรรพบุรุษ ผีเตาไฟ ผียุ้งข้าว ผีหัวบันไดอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อในเรื่องของการทำศพว่าห้ามหามศพข้ามแม่น้ำ เพราะถือว่าเป็นสิ่งไม่ดี ทั้งนี้ยังรวมไปถึงความเชื่อในเรื่องขวัญ พวกเขาเชื่อว่าทุกคนมีขวัญประจำตัว 32 ขวัญ ขวัญดีจะอยู่กับเรา 1 ขวัญ ส่วนอีก 31 ขวัญจะออกไปเที่ยว หากคนใดเกิดสะดุ้งตกใจขวัญก็จะตกหาย และจะต้องทำพิธีเรียกขวัญหรือทำพิธีผูกข้อไม้ข้อมือ เพื่อที่ขวัญจะได้กลับมาอยู่กับเราเหมือนเดิม ในทางศาสนามีลัวะบางหมู่บ้าน อย่างลัวะแม่แจ่ม มีการนับถือศาสนาคริสต์ด้วย แต่ไม่มีวัดในศาสนาพุทธอยู่ในหมู่บ้าน แต่ก็มีหลายที่ที่นับถือศาสนาพุทธคู่กับการนับถือผีอย่างบ้านบ่อหลวง เป็นต้น - ด้านประเพณีมีประเพณีการเกิด ผู้หญิงที่คลอดลูกใหม่จะต้องอยู่ไฟ ห้ามรับประทานอาหารหลายชนิด อาหารบางอย่างจะทานไม่ได้เลย เช่น กล้วยแฝดเป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีประเพณีการฝังรกของเด็ก แล้วก่อนออกจากการอยู่ไฟจะเข้าเส้าหรืออบสมุนไพรก่อน ในการเข้าเส้าจะเอาน้ำปูเลยหรือน้ำไพรมาพรมลงบนก้อนอิฐสีแดง แล้วให้คนที่คลอดลูกเข้ากระโจมเพื่อให้เหงื่อออก เป็นการอบสมุนไพรเป็นเวลา 3 - 7 วัน ก่อนออกจากการอยู่ไฟของหญิงคนนั้น - ส่วนพิธีกรรมมีพิธีการเลี้ยงผีหมู่บ้าน ปีหนึ่งจะทำพิธีเลี้ยงผี 1 ครั้ง แต่ในกรณีที่มีคนมาบนบานศาลกล่าว หากเขาสำเร็จได้ดังหวัง ก็จะมีพิธีการเลี้ยงเพื่อแก้บนอีก ในการเลี้ยงผีทุกครัวเรือนจะต้องส่งตัวแทนมา 1 คนเพื่อเข้าร่วมพิธี และจะต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น ผู้หญิงจะเข้าร่วมไม่ได้ แล้วทุกคนต้องนำข้าวมาร่วมด้วย หากเสร็จพิธีจะรับประทานอาหารร่วมกัน ของที่เหลือจากการกินจะไม่นำเอากลับไปบ้าน หากเหลือจะเททิ้งหมด เครื่องเซ่นที่ใช้ในการทำพิธีมีไก่ เหล้า ดอกไม้ ในการประกอบพิธีทุกพิธีจะขาดเลือดไก่ไม่ได้เพราะเลือดไก่เป็นสิ่งจำเป็นมาก อย่างพิธีนี้จะเอาเลือดไก่มาทาที่บันไดบ้านของผีหมู่บ้าน บางปีก็จะใช้หมูมาทำพิธี นอกจากนี้ ยังมีพิธีเกี่ยวกับการทำไร่อีกด้วย ได้แก่ พิธีไร่ ในการทำไร่แต่ละครั้งต้องประกอบพีที่ไร่ เพื่อเสี่ยงทายดูว่าที่ตรงนี้เจ้าที่อนุญาตให้ทำไร่หรือไม่ และก็มีพิธีทำโสรธ ทำตอนต้นข้าวสูงประมาณหัวเข่า มีพิธีกินข้าวเม่า และพิธีการกินดอกแดง หรือหมายความว่าหมดฤดูการเพาะปลูกแล้ว หลังจากทานดอกแดงไปก็เป็นการสิ้นสุดฤดูของการเพาะปลูก (หน้า 6-7, 9, 19, 21, 43-45, 56-57, 70-71) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
ลัวะรักษาโรคโดยการใช้ไสยศาสตร์ มาทำการรักษาและวินิจฉัยโรค หากพวกเขาเกิดการเจ็บป่วย วิธีการรักษาก็คือ ดูว่าผีอะไรทำให้คนเจ็บป่วย โดยการนำไข่ดิบมากลิ้งให้ทั่วตัวผู้ป่วย หากไข่แตกจะทำนายว่าเป็นผีอะไรที่ทำให้เจ็บป่วย เพื่อจะได้เซ่นได้ถูกต้อง แล้วอาการเจ็บป่วยก็จะหาย (หน้า 21) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ด้านสถาปัตยกรรมกล่าวถึงลักษณะบ้านของลัวะแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะคือ 1. บ้านแบบโบราณลักษณะประจำเผ่าเป็นบ้านยกพื้นสูง พื้นและฝาทำด้วยฟาก หลังคาทำด้วยหญ้าคา หลังคาด้านหนึ่งจะลาดลงมาเกือบถึงพื้น ใต้หลังคาด้านที่ลาดเทลงมาจะมีครกกระเดื่องไว้สำหรับตำข้าว และก็ยังใช้เป็นที่เก็บฟืนและสิ่งของต่างๆ อีกด้วย ภายในตัวบ้านไม่มีช่องหน้าต่าง มีแต่ประตูทางเข้า 2 ประตู หน้าบ้านมีระเบียงหรือนอกชาน ใต้ถุนบ้านจะเป็นคอกสัตว์ 2. บ้านกึ่งโบราณลักษณะประจำเผ่าผสมลักษณะคนพื้นราบ เป็นบ้านยกพื้นสูง หลังคาหน้าจั่วธรรมดา จั่วทั้งสองข้างจะยาวเท่ากัน ไม่มีข้างใดข้างหนึ่งยาวจดดิน หลังคาทำด้วยหญ้าคา พื้นและฝาทำด้วยฟาก แต่บางบ้านอาจทำด้วยไม้แปรรูป ลักษณะการแบ่งส่วนต่าง ๆ ในบ้านจะเหมือนกับแบบที่ 1 แต่จะไม่มีคอกไว้สำหรับเลี้ยงสัตว์ เพราะคอกสัตว์จะแยกออกจากตัวบ้าน 3. บ้านแบบคนพื้นราบเป็นบ้านยกพื้นสูงพื้นและฝาทำด้วยไม้แปรรูป หลังคามุงด้วยสังกะสี มีช่องหน้าต่างแบบคนพื้นราบเพื่อถ่ายเทอากาศ ถึงแม้ว่าบ้านทั้ง 3 แบบ จะมีความแตกต่างกันทางภายนอก แต่การจัดแบ่งพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านจะเหมือนกัน คือมีบันไดขึ้น มีระเบียงกว้าง ภายในบ้านแบ่งเป็นห้อง แยกเป็นห้องนอน 1-2 ห้อง และห้องครัวก็อยู่ในบ้าน ใช้ไม้ไผ่ทำเป็นกระบะสี่เหลี่ยมไว้ในมุมใดมุมหนึ่งของห้อง ภายในกระบะ จะใส่ทรายเต็มกระบะ มีหลัก 3 ขาวางไว้ หรือบางที่ก็ใช้หินสามก้อน วางเพื่อทำเป็นเตาไฟ บนเตาไฟจะมีไม้ไผ่สานแขวนไว้เพื่อใช้เป็นที่วางของหรือเนื้อสัตว์ เพื่อรมควันเป็นการถนอมอาหารแบบหนึ่งของถิ่น (หน้า 5) - ด้านเสื้อผ้าการแต่งกายเดิมทีลัวะจะทอผ้าไว้ใช้เอง แต่ในปัจจุบันการแต่งกายจะเหมือนกับคนพื้นราบ การแต่งกายของพวกเขาจะไม่มีอะไรเป็นจุดเด่น เหมือนชาวเขาเผ่าอื่น ที่มีเอกลักษณ์การแต่งกายเป็นของตนเอง การแต่งกายแบเดิมผู้หญิงจะนุ่งผ้าถุงลายขวาง แคบพอดีตัว เสื้อเป็นตัวยาวสีขาวแบบกะเหรี่ยง ผู้หญิงลัวะจะใส่สร้อยเงิน กำไล และต่างหู เพื่อความสวยงาม - ด้านหัตถกรรมกล่าวถึงการทอผ้าไว้ใช้เอง (หน้า 63) แต่ลัวะบางหมู่บ้าน อย่างหมู่บ้านแปะ ก็รับตีเหล็ก ทำเครื่องประดับ ปั้นหม้อไว้ใช้เองและไว้ขาย ลัวะบ้านมืดหลองก็ปั้นหม้อเหมือนกัน (หน้า 5, 18, 54, 56, 63) - ด้านศิลปการแสดงไม่ได้ระบุ |
|
Folklore |
กล่าวถึงตำนานสุวรรณดำแดง หรือตำนานเสาอินทขิล ในตำนานได้อ้างถึงเรื่องราวของลัวะ ว่าสังคมของลัวะเป็นชุมชนขนาดเล็ก ต่อมาได้ขยายชุมชนโดยการสร้างเวียง ที่เชิงดอยสุเทพ และเป็นศูนย์กลางของเวียงอื่น ต่อมาขยายเป็นเมืองสวนดอก (เวียงนพบุรี) ตามตำนานกล่าวว่า เป็นบริเวณกำแพงเมืองสี่เหลี่ยมชั้นในของเมืองเชียงใหม่ในปัจจุบัน เวียงนพบุรีนี้สร้างโดยเศรษฐีลัวะ 9 ตระกูล ในการสร้างเมืองมีการสร้างเสาอินทขิล หรือเสาหลักเมืองไว้กลางเมืองของลัวะ ต่อมาก็เลยกลายเป็นเมืองเชียงใหม่ การตั้งเสาอินทขิลเป็นการสร้างตามคำแนะนำของพระอินทร์ เพื่อรวมจิตใจของชาวเมือง เพื่อให้เมืองมั่นคง และพระอินทร์ยังมอบให้กุมภัณฑ์สองตน เป็นผู้ดูแลรักษาเสาอินทขิลอีกด้วย ในการบูชาเสาอินทขิล ต้องนำข้าวตอก ดอกไม้ ธูปเทียน มาไหว้ หากละเลยการกราบไหว้ จะทำให้บ้านเมืองพินาศ ดังนั้นพิธีการบูชาเสาอินทขิลจึงมีทั้งของลัวะและชาวเมืองล้านนา (หน้า 15, 16) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ด้านความสัมพันธ์ ลัวะกับคนเมืองจะอาศัยอยู่ใกล้กันเสมอมา จะไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นระหว่างคนเมืองกับลัวะ พวกเขาจะยอมรับซึ่งกันละกัน ลัวะจะพูดและใช้ภาษาของคนเมือง ดังนั้นจึงมีคนสันนิษฐานว่า คนเมืองกับลัวะมีวัฒนธรรมอยู่ร่วมกัน (หน้า 22-23) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในปัจจุบันลักษณะทางสังคมวัฒนธรรมของลัวะ ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก เพราะพวกเขามีความใกล้ชิดกับหมู่บ้านของคนเมือง ยอมรับวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะการแต่งกายที่ลัวะได้รับเอาวัฒนธรรมของคนเมืองไปใช้ จะเห็นได้ว่าการแต่งกายของลัวะ ในปัจจุบันจะเหมือนกับคนเมือง การแต่งกายแบบเดิมไม่มีให้เห็นแล้ว นอกจากจะเก็บเอาไว้ ถ้าใครมาขอดูก็ให้เขาดู ด้านประเพณีต่างๆไม่ว่าจะเป็นประเพณีการเกิด การตาย ก็รับเอาแบบคนเมือง หันมารับเอาประเพณีการเผาแทนการฝังตามแบบเก่า อาหารการกินก็จะกินคล้ายกับคนเมือง จะมีแต่ถั่วเน่าเท่านั้นที่เป็นอาหารหลักและคงความเป็นเอกลักษณ์ทางด้านการกินของลัวะ อยู่ (หน้า 22-23) |
|
Other Issues |
ลัวะกับการพัฒนาท้องถิ่นในปัจจุบัน จะเห็นว่าเป็นการยากลำบากที่จะพัฒนาท้องถิ่นของลัวะให้ดีขึ้น เคยมีทีมงานพัฒนาสังคมวิทยาลัยครูเชียงใหม่ เข้าไปวิเคราะห์ถึงปัญหาที่ทำให้การพัฒนา ไม่สำเร็จลุล่วงเท่าที่ควร ก็พบว่าพวกเขาไม่เข้าใจการพัฒนา จึงทำให้ยากลำบากต่อการทำงาน ปัญหาก็เยอะ ถ้าเทียบกันระหว่างลัวะกับกะเหรี่ยง ลัวะจะพัฒนาล่าช้ากว่าพวกกะเหรี่ยง แต่ไม่ใช่ว่าการพัฒนาจะไม่ได้ผล ก็ได้ผลเหมือนกัน แต่ได้ผลช้า อย่างการแบ่งกลุ่มกันทำงานอันนี้ก็พบปัญหาค่อนข้างมาก เพราะไม่ยอมลงรอยกัน พวกใครพวกมัน อีกปัญหาหนึ่งก็คือปัญหาความเชื่อ ลัวะจะไม่นิยมเลี้ยงหมูขาว เวลามีโครงการขอหมูมาเลี้ยงและทางการก็จัดให้ โดยการส่งหมูหลายพันธุ์มาให้รวมทั้งหมูขาวด้วย มาให้เลี้ยง พวกเขาไม่เอาลูกเดียว ไม่ยอมเลี้ยงก็เลยกลายเป็นปัญหา ส่วนการพัฒนาการเกษตรก็มีปัญหาเหมือนกัน คนที่มาร่วมกิจกรรมส่วนมากเป็นคนหนุ่ม เวลาให้ปลูกอะไรคนหนุ่มพวกนี้ก็ไม่ยอมปลูก ด้านผู้หญิงก็ไม่เข้าร่วมกิจกรรมการพัฒนา อ้างว่าติดงานบ้าง ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ จึงเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา (หน้า 134-141) |
|
Map/Illustration |
แผนที่-แสดงที่ตั้งของสถานที่รวมละหมาดของชาวมุสลิมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (หน้า 119) |
|
|